ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดคนแดนเถื่อน "Bangkok D area"

    ลำดับตอนที่ #2 : ออกเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 54


             ดอกหญ้าเขียวเหลือง ไหวปลิวสะบัดเมื่อถูกลมร้อนโหมซัดพัดลอยละล่อง
    ลิ่วร่วงลงกองตรงภูเขาขยะ ฤดูร้อนลงจัดบนดินแดนที่แม้แต่สนิมยังกัดคนตาย
    กระจกและเศษเหล็กที่กองพะเนินทำให้ความร้อนเกิดเกินจะบรรยาย
    เหมือนอาศัยอยู่ในบ้านสังกะสีที่โอบล้อมไปด้วยกำแพงไฟที่ผนึกกำลังกับ
    แสงอาทิตย์กลางเดือนเมษา
              ณ เวลาที่เข็มนาฬิกาทั้งสั้นทั้งยาวพร้อมใจกันหยุดตำแหน่งเดียวกันเพื่อ
    บอกเวลาเที่ยงวัน บนเนินขยะอลูมิเนียมและป้ายไฟที่เคยเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวตลอด
    ท่ามกลางภาวะอากาศร้อนนี้ก็คือเม็ดเหงือจากชายผิวขาวในเสื้อคลุมสีเทามอมแมม
    หยดเหงื่อไหลรินเป็นทางจากหน้าผากลงมาจรดปลายจมูกของเขา ท่อนแขนที่ดูกำยำถูกนำขึ้นมาปาดเหงือเม็ดแล้วเม็ดเล่า ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีเทายืนมองออกไปไกล
    ยังพื้นที่รกร้างที่ถูกกล่าวขานจากคนในชุมนุมว่าเป็นเขตอันตรายหรือเป็นแหล่งที่อยู่
    ของแก๊งอันธพาลแก๊งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่โจษจันย์ถึงความบ้าบิ่นโหดร้ายเกินจะเรียกว่ามนุษย์
    ด้วยพาหนะดัดแปลงเสียงประหลาดหลากหลายชนิดที่ใช้เป็นตัวพาพวกมันไปทำชั่ว
    ได้ทั่วทุกหนแห่ง แต่แท้จริงแล้วแก๊งนี้เกิดจากการรวมตัวของคนที่มีใจรักความเร็ว
    ในแบบเถื่อนๆ บ้างก็เคยเป็นถึงผู้จัดการร้านฟาสฟู๊ด บ้างก็เป็นถึงพนักงานออฟฟิศมา
    ก่อน แต่ก็มีส่วนหนึ่งซึ่งก็คือส่วนใหญ่เป็นพวกนักแต่งรถมาก่อน ซึ่งก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์พวกเขาก็ดูเหมือนจะประกอบอาชีพสุจริตด้วยการเปิดร้านซ่อมรถกัน
    มาทั้งนั้น แต่ที่เป็นเหมือนตัวขับเคลื่อนของแก๊งจะเป็นพวกพลขับที่เคยแว้นกัน
    ตามถนนหลวงมาในยามปกติสุข พวกนี้ก็เหมือนเป็นตัวเบี้ยเพื่อขยายอำนาจ
    ของแก๊งนั่นเอง คาราวานของมันจะไปที่แห่งหนใดก็จะส่งเสียงคำรามมาแต่ไกล
    เป็นเสียงที่เด็กๆ ได้ยินเป็นต้องมุดตรอกร้องไห้ตัวสั่น ไม่แม้แต่เด็ก ผู้ใหญ่หลายคน
    ก็ยังทัดทานอาการสั่นกลัวของตนไว้ไม่ไหว ....

               "แวนกรุง" ชื่อแก๊งของพวกมันที่ใครได้ยินก็ต้องหนีเข้าตรอกซอกหลืบ
    ของตนเพื่อซ่อนตัวหลบหัวจากพวกชั่วเหล่านี้  ในเขตกรุงเทพฯ ณ เวลานี้ ผู้คนที่มีชีวิต
    อยู่ต่างจับกลุ่มกันเพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ โดยก่อตั้งกันเป็นชุมนุ่มเรียกขานกันตามพื้นที่
    ที่อยู่อาศัย ด้วยอันตรายต่างๆ บางคนไม่กล้าแม้จะออกตามหาครอบครัวที่พลัดพลาก

                 ชุมนุมในเขตกรุงเทพฯ ตอนนี้ ครึ่งหนึ่งถูกก่อกวนข่มขู่รีดไถและปล้นฆ่ามา
    แล้วตลอด 9 ปี โดยฝีมือของพวกแวนกรุงและหนึ่งในนั้นคือชุมนุม "สยามสามย่าน"
    เป็นชุมนุนที่มีหัวหน้าชุมนุม เป็นชายร่างท้วม อดีต สก.กรุงเทพฯ ชื่อสุวิทย์ และเป็นชุมนุมที่ผู้ชายในชุดเสื้อคลุมสีเทาคนนี้อาศัยพักพิงอยู่ เขายังยืนนิ่งด้วยอาการคิดพิจารณาอะไรบางอย่าง อีกไม่นานเท่าไรนัก แขนที่ใช้ปาดเหงือบนหน้า
    ก็เอื้อมลงจับเป้สะพายสีเขียวกรมท่าดูกลืนไปกับกองขยะ ขึ้นมา เปิดดูแล้วดึงแผ่นกระดาษแผ่นใหญ่ในสภาพม้วนกลมยาว เขาคลี่ออกมาเหมือนจะตรวจดูให้แน่ใจ
    อะไรบางอย่าง มันเป็นกระดาษแผนที่กรุงเทพฯ ที่หาได้ไม่ยากในกองขยะเดี๋ยวนี้
    แต่ที่แปลกออกไปคือเส้นที่ชี้โยงขึ้นใหม่จากหมึกปากกาสีแดง แสดงตำแหน่งต่างๆ
    และจุดที่เคยเป็นสถานที่สำคัญๆ ในสมัยก่อนก็ถูกมาร์คเอาไว้ เมื่อชายหนุ่มตรวจสอบ
    แผนที่เรียบร้อยก็ม้วนมันแล้วยัดใส่เป้กลับไว้ที่เดิมและ ใช้มือจับสายกระเป๋าเป้ข้างเดียวเหวียงไปข้างหลังพาดผ่านไหล่  พร้อมกับก้าวเดินลงจากกองขยะที่ดูเหมือนจะสูงที่สุดในละแวกนั้น

    ยังไม่ทันที่เขาจะลงมาถึงพื้นระนาบ.....

    "พี่ปอนจะไปไหน?" เด็กชายอายุ ราว14 รูปร่างเล็กเสื้อแขนยาวถลกแขนขึ้นข้างหนึ่ง
    และกางเกงนักเรียนสีกากีใส่รองเท้าผ้าใบแต่ไม่ใส่ถุงเท้า เดินโผล่ออกมาจากร่มเงา
    ของเสาปูนที่มีสภาพไฟไหม้เหลือแต่ตอเขาเอ่ยถามเหมือนจะรู้ว่าผู้ที่เขาถามกำลังจะ
    จากไปไกล ชายหนุ่มถูกหยุดไว้ด้วยเสียงอันสั่นคลอเหมือนจะอาบไปด้วยน้ำตา
    ก่อนหันมาประจัญหน้ากับผู้ที่เรียกเขาไว้

    "พี่จะทิ้งพวกเราแล้วเหรอ ทำไมละพี่ เดี๋ยวนี้ผมโตมากพอที่จะไม่ทำตัวเป็นภาระพี่ได้แล้วนะ ผมสามารถดูแลน้องๆ ได้แล้ว พี่ไม่ต้องเหนื่อยมาคอยปกป้องพวกเราเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว"

    คำของเด็กชายพรั่งพรูพอๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสายแม้จะแห้งเหือดก่อน
    จะไหลลงถึงแก้ม ปอนเดินเข้ามาหาเด็กชายด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอื้อมมือจับบ่า

    "วุฒิ เธอรู้ใช่ไหม ว่าพี่จะไม่ทิ้งใคร ตอนนี้เธอก็โตเป็นหนุ่มแล้วจริงๆ
    ดังนั้นพี่จะฝากชุมนุมเราให้เธอดูแลแทนพี่สักพัก ช่วยคุณลุงสุวิทย์ดูแลพวกเราให้ดี
    แล้วพี่จะกลับมารับพวกเราไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ พี่สัญญา!"

    "แล้วทำไมพี่ไปโดยไม่ลาพวกเรา ทำไมพี่ไม่ลาคุณตาหนวด ไม่ลาเจ๊เจี๊ยบ
    ไม่ลาไอ้ชัย ไม่ลาไอ้ตาล .."

    ปอนลามือจากไหล่ขึ้นไปจับหัวของเด็กชายเพื่อส่งสัญญาณให้เขา ทำใจเย็นๆ

    "อย่างอแงสิ วุฒิ เป็นลูกผู้ชายใครให้เสียน้ำตากันง่ายๆ พี่สัญญาแล้วพี่ไม่คิดจะผิด
    คำสัญญาหรอก ขอให้เชื่อพี่นะ ส่วนคำลา พี่ได้เขียนบอกทุกคนไว้แล้วในถ้ำประชุม
    พรุ่งนี้มีประชุมเขาคงรู้กันได้เอง ชุมนุมเราแข็งแกร่งมากขึ้นจากศึกการรับมือพวก
    แวนกรุงที่ผ่านมา อย่างไงซะ พี่เชื่อว่า คุณลุงสุวิทย์จะพาชุมนุมเราอยู่รอดได้ จนกว่าพี่จะกลับมา"

    เด็กหนุ่มปาดน้ำตาความสะอื้นเริ่มเบาบางก่อนจะเอ่ยถามด้วยคำถามเดิม
    "แล้วพี่จะไปไหน"

    "พี่จะออกไปจากกรุงเทพฯ" ปอนตอบ
    "หา!!~" 
    วุฒิตกใจกับคำตอบของผู้ชายที่เขารั้งไว้เมื่อครู่
    "ถึงตอนนั้นผมจะเด็กมาก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้เราตายจากประเทศนี้
    ไปนานแล้วนะครับ ตลอดเวลา 9 ปี ผู้ใหญ่คอยพร่ำสอนผมว่าอย่าออกไปไกล
    ชุมนุมเพราะไม่มีผู้ใดรอดกลับมาแบบมีชีวิตอยู่สักครั้ง"

    "ไม่มีใครทำใช่ว่าจะทำไม่ได้ อย่าบอกนะว่าไม่เชื่อใจพี่?"
    ปอนพูดพรางก้มลงมาขยิบตาข้างเดียวให้วุฒิเหมือนจะบอกถึงนัยยะความมั่นใจ
    ที่มีอยู่เต็มเปี่ยม

    "เชื่อสิครับ เพราะตั้งแต่ผมเกิดมา ก็มีแต่พี่นี่แหละเป็นเหมือนฮีโร่ของผมเลย
    แต่ เอ่อ..ผมไม่อยากให้พี่เป็นอะไรไป..นี่ครับ"

    "ไม่ต้องห่วง เพราะพี่มีไอ้นี่"
    ปอน เอามือล้วงเข้าไปที่คอเสื้อเพื่องัดเอาสร้อยคอที่มีวัตถุทรงกลมแขวนอยู่ออกมา
    มันเป็นหินสีดำขลับเจาะรูและร้อยด้วยสร้องสีดำ วุฒิเริ่มยิ้มได้เพราะรู้ว่าของสิ่งนั้น
    เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับจิตใจของปอนมาก ปอนเคยบอกกับเขาว่า มันเป็นกระดูกขอแม่
    ที่เก็บติดตัวไว้ตลอดทำให้เขาไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค์ใดๆ แม้แต่ความตายก็ตาม
    วุฒิเริ่มวางใจเมื่อระลึกรู้ถึงความสามารถของฮีโร่ในดวงใจของเขา

    "เอาละ พี่ต้องไปแล้ว วุฒิก็รีบกลับไปตรอกได้แล้วนะ"
    ปอนตีบ่าเด็กชายเบาๆ สองครั้ง ก่อนจะตั้งตัวตรงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
    และหันหลังค่อยสาวเท้าเดินจากไปโดยไม่หันมาดูเด็กชายที่ยืนใช้สายตาอำลา
    อยู่ด้านหลัง แผ่นหลังของชายหนุ่มเริ่มเลือนหายไปเพราะความห่าง
    และถูกบดบังด้วยทัศนียภาพต่างๆ

    เสาปูนที่ตั้งโด่เด่ อยุ่เบื้องหลังเด็กชายวุฒิ ค่อยๆ มีสิ่งมีชีวิตขยับเขยื่อนออกมา
    เผยให้เห็นร่างของชายหญิ่งกว่า 20 ชีวิต เดินออกมาจากมุมอัพต่างๆ

    ชายร่างท้วมที่เดินออกมาจากกองขยะด้านในสุด เดินสาวเท้าเข้ามายืนข้างวุฒิ
    วุฒิแปลกใจที่คนในชุมนุมต่างโผล่ออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าแอบซ่อนกันอยู่ตั้งแต่
    เมื่อไรและนานแค่ไหน?

    ทุกคนไม่แม้จะอ้าปากถามบรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเงียบงันยังกับ
    จะได้ยินเสียงของอากาศ เหมือนทุกคนจะเข้าใจตรงกันด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
    พวกเขามองตามเส้นทางที่ปอนเดินไป ถึงจะมองไม่เห็นแม้เงา
    หรือไม่แม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าแตะพื้น  แต่ทุกคนก็ยังยืนมองไม่ลดละ
    ไม่กล้าแม้จะออกมากล่าวลาเพราะไม่อยากจะทำให้ปอนต้องรู้สึกเหมือน
    แบกความหวังของคนทั้งชุมนุมเอาไว้มากไปกว่านี้อีก....
    ............
    .....
    ...

     

    ชายชราที่ยืนอยู่หลังสุด แหงนมองฟ้าฉ่ำจ้าไปด้วยแสงจากพระอาทิตย์
    "ปอนเอย ไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไร คนในชุมนุมก็จะอยู่ข้างเธอเสมอ"







     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×