ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดคนแดนเถื่อน "Bangkok D area"

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท ชุมนุมคนเถื่อน

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 54


    "กาลครั้งหนึ่ง...มีดินแดนแห่งหนึ่ง ถือว่าเป็นแดนสวรรค์  ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมา
    ใช้ชีวิต ใช้สิ่งของมีค่าเพื่อมาแลกเปลี่ยนเอาสิ่งที่ต้องการ
    และสิ่งที่เขามักจะแลกมาก็มักจะเป็นอะไรในแนวๆ เดียวกัน
    บางเวลาก็ชอบเหมือนกันกับของสิ่งหนึ่งบางเวลาก็ชอบของอีกสิ่งหนึ่งเหมือนกัน 
    คนพวกนั้นเรียกมันว่า รสนิยมที่ทันสมัย ดินแดงแห่งนั้นมีทุกอย่างที่ผู้คนอยากได้
    และมีทุกอย่างที่ตอบสนองความสุขของพวกเขา จึงถูกเรียกว่าเป็นแดนสวรรค์ ไงละ... "
    ชายชราหนวดเขาขาวโพลนเสื้อผ้าสีเทามอมแมมนั่งเล่าเรื่องอยู่บนกระโปรงรถมินิคูเปอร์
    ที่มองแทบไม่เห็นสีเพราะถูกปกคลุมไปด้วยสนิมและดูเหมือนจะลาจากล้อมาแรมปี
    จนตะไคร้ขึ้นเกลอะกรังไปเกือบทั้งคัน ทั่วบริเวณนั้นก็เช่นกัน เป็นสุสานรถบนถนนสายเก่าก็ว่าได้

    "แล้วคุณตาเคยไปที่นั่นหรือเปล่าคะ"  
    เด็กผู้หญิงวัย 8ขวบยืนขึ้นเนื้อตัวเสื้อผ้ามอมแมม
    ไม่ต่างกับเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมวง อยู่กับพื้นและแหงนหน้าฟังนิทานจากชายชราอย่างตั้งใจ

    "ตาเคยไปซิ ตาก็ทำแบบคนอื่น ตาก็เอาของมีค่าของตาไปแลกของที่อยากได้มาเหมือนกัน"

    "ว้าว!!~ ผมอยากไปที่นั่นจังเลยครับ จะได้เอาไอ้แข็งไปแลกขนมอร่อยๆ กิน"
    เด็กหนุ่มในกลุ่มพูดขึ้นมาพร้อมยกมือที่มีตัวตุ๊กตายางตัวเท่าฝ่ามือที่มีรอยไหม้อยู่ทั่วตัวขึ้น

    "นั่นซิคะ หนูก็อยากไป" , "ผมก็อยากไป " , "ผมด้วย.." 
    เด็กๆ ทุกคนส่งเสียงเซงแซ่!~ จนชายชราต้องยกมือพายออกเพื่อห้ามเสียงจอแจนั้น

    "เอาละหนู ตาจะเล่าให้ฟัง ดินแดนแห่งนั้นก็เคยอยู่ที่นี่แหละ แต่หนูรู้ไหม
    ก็เพราะมันเป็นเหมือนแดนสวรรค์คนก็เลยเร่มากันเยอะ พอคนเยอะทุกคน
    ก็แย่งชิงเพื่อจะเอาของที่ต้องการด้วยกันทั้งนั้น การแกร่งแย่งชิงดีก็เกิดขึ้น
    ผู้คนเหล่านั้นกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวโดยไม่รุ้ตัว บางทีก็ทิ้งสิ่งที่ตัวไม่ต้องการ
    หรือใช้แล้วไม่เป็นที่เป็นทางบางคนก็ปล่อยสิ่งโสโครกในตัวออกมาไม่ได้สนใจใคร
    ดินแดนสวรรค์ก็เริ่มทรุดโทรมลง จนในที่สุดเมื่อ 9 ปีที่แล้ว
    ธรรมชาติก็เอาดินแดนสวรรค์นั้นกลับคืนจากผู้คนพร้อมกับลงโทษคนเหล่านั้นอย่างสาสม"


    "โธ่ ทำไมคนพวกนั้นถึงแย่อย่างนี้นะคุณตา หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณตา
    ต่อไปนี้หนูจะปล่อยของโสโครกของหนูให้เป็นที่เป็นทางแล้วละ ดินแดนสวรรค์จะได้กลับมาซะที"

    "ใช่พวกเราก็เหมือนกันครับคุณตา "

    "ฮ่าๆ ดีมากเด็กๆ เอาละกลับบ้านได้แล้ว แล้วก็อย่าออกไปไหนตอนกลางคืนละ"

    "ครับ/ค่ะ".....

    เด็กๆ ต่างพากันแยกย้ายกันเดินไป บางคนเดินรอดช่องเล็กๆ
    เข้าไปในถ้ำขยะที่เจาะเป็นอุโมงรอดผ่านไปได้
    ชายชรายังคงนั่งแหงนมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น

    "นี่มันจะค่ำแล้วนะครับ ลุงยังไม่กลับไปที่ตรอกของตัวเองอีกเหรอ"
    ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนสีน้ำเงินมอมๆ รองเท้าคอนเวิร์ดเก่าหน้าตาดีคิ้วเข้มสูง170
    ส่งเสียงออกมาจากมุมบนด้านหลังชายชรา เมื่อชายชราหันหลังไปดูก็เผยให้เห็น
    ชายหนุ่มนั่งแกว่งขาอยุ่บนสิ่งก่อสร้างคอนกรีตที่เคยเป็นทางรถไฟฟ้า

    "อ้าว เจ้าปอนเองเหรอ นี่นั่งแอบฟังฉันเล่าเรื่องนั้นให้เด็กๆ ฟังอีกแล้วสินี่"
    ปอนกระโดดเหยียบวัตถุต่างๆ ที่กองกันระเกะระกะลงมาอย่างคล่องแคร่ว
    เขาใช้เวลาไม่นานก็ถึงพื้น แล้วเดินตรงไปหาชายชรา

    "ผมไม่ได้แอบฟังนะลุง แต่ลุงไม่เห็นผมเองต่างหากละ 
    ว่าแต่ทำไมลุงถึงต้องเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังอยู่บ่อยๆ ละ ไม่เบื่อบ้างเหรอ"

    "เธอก็รู้นี่ ว่า สิ่งบันเทิงที่สุดของเด็กที่นี่ ก็คือการฟังนิทาน
    ส่วนนิทานอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับพวกเขา ก็คงเป็นเรื่องอดีตที่ขมขื่นของบรรพบุรุษนี่แหละ
    ตอนนี้สิ่งที่ฉันทำได้ก็คงมีเท่านี้เอง"

    "นั่นสินะครับ หลังจากการปิดเขตกรุงเทพแล้ว พวกเราก็กลายเป็นตัวเชื่อโรคของประเทศไปเลย
    จะออกไปจากกรุงเทพก็ไม่ได้ ไม่รุ้โลกภายนอกเป็นอย่างไร เครื่องมือสื่อสารก็ถูกตัดคลื่นหมดทุกทาง
    เดี๋ยวนี้ ที่นี่คงเป็นได้แค่ที่ทิ้งขยะ แม้แต่พวกเราก็ไม่ต่างจากขยะดีดีนี่เอง
    ผมอยุ่เฉยๆ มาปีหนึ่งแล้ว ผมคิดทบทวนมานานแล้วครับคุณลุง เราจะนั่งรอความตายไปวันๆ แบบนี้ต่อไปไม่ได้"


    "แล้วเธอจะทำอย่างไรละ ตอนนี้ที่นี่ก็เป็นเหมือนเมืองขยะอย่างที่เธอว่า
    ไอ้พวกจิตใจขยะก็เเพิ่มขึ้นทุกวันพวกแก๊ง แวนกรุง มันยังไม่เท่าไร
    แต่ถ้าจะให้ไปแข็งขืนหรือต่อต่านกับพวกกลุ่ม มิดเดิ้ลคลาส นั่นไม่ไหวนะ
    เราแค่รักษาชุมนุมของเราดูแลเด็กของเราก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว"

    "ผมก็อยากคิดหาวิธีนะ"

    "เธอก็อย่าจมอยุ่กับอดีตนักสิ"

    "ผมพยายามแล้วครับคุณลุง"

    "จะอย่างไงก็ตาม เรื่องในอดีตไม่มีใครโทษเธอหรอกนะ
    แต่แค่ฉันคิดว่าเธอจะทำอะไรก็ควรปรึกษา สุวิทย์เขาหน่อย
    อย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าชุมนุนเรา ถึงพื้นที่แถวนี้มันจะเปลี่ยนไปมาก
    แต่เขาก็เคยเป็นถึง สก. เขตนี้มาก่อน เขาอาจจะแนะนำวิธีดีดีให้ได้
    เพราะคนส่วนใหญ่ของเราก็เป็นคนที่อาศัยอยุ๋ในพื้นที่นี้มาก่อนน้ำจะท่วมใหญ่
    ถึงจะเหลือรอดกันไม่เท่าไร หรือคนพลัดถิ่นจะมีหลงมาเข้าชุมนุมบ้างก็ตาม
    ดังนั้นเรื่องความรู้สึกของคนในชุมนุมเขาคงช่วยได้เยอะ"


    "ไม่ต้องห่วงครับลุง ผมจะไม่ทำให้คนในชุมนุมของเราต้องไปเสี่ยงกับวิธีของผมเหมือนครั้งที่แล้ว"

    "แต่ที่ลุงพูดแบบนี้ ไม่ใช้ตำหนิเรื่องในอดีตของเธอหรอกนะ ทุกคนรอเธออยู่เหมือนเดิม"

    "แต่ลุงก็รุ้ว่า ครั้งที่แล้วผมพาญาติๆ และคนที่รักของพวกเขาไปตาย
    คุณลุงว่าผมจะมีหน้าคิดวิธีพาพวกเขาไปเสี่ยงอีกได้อย่างไร"


    "เธอก็เลยเก็บตัวเงียบมาเป็นปีแบบนี้หน่ะเหรอ เวลามีประชุมก็ไม่เข้าร่วม
    เธอคงลืมไปแล้วว่าคนในชุมนุมนี้ รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ได้ก็เพราะเธอนะ ปอน"


    "ผมก็อยากทำได้อีก ผมยังอยากจะพาทุกคนออกจากที่นี่ให้ได้
    แต่จะทำอย่างไงไม่ให้ใครต้องมาเสี่ยงกับผม เราต้องหาทางออกไปบอกรัฐบาล
    ให้ได้ว่าที่นี่ยังมีเหลือคนที่ไม่ติดโรคระบาดอยู่"


    "นี่สินะสิ่งที่เธอจะทำตามลำพัง ถึงไม่ยอมเข้าประชุมกับพวกเราเลย
    เพราะเธอรุ้ใช่มั้ยว่าคนที่นี่เขารักเธอมากแค่ไหน เธอกลัวว่าทุกคนจะไม่ยอมให้เธอทำ
    เอ๊ะ!! .. ปอน  1 ปีที่เธอเก็บตัวเงียบ อย่าบอกนะว่าเธอกำลังวางแผนจะทำอะไรบ้าๆ คนเดียวอยู่"


    "ไม่ต้องห่วงครับลุง ผมไม่เคยวางแผนอะไรนานขนาดนี้มาก่อนและก็จะไม่ให้มันเสียเปล่าแน่"
    ปอนพูดพรางเดินจากชายชราเข้าไปในโพรงขยะ

    ชายชรามองตามชายหนุมจนเขาลับตาเข้าไปในโพรง ก่อนจะแหงนมองท้องฟ้าที่ใกล้พบค่ำพร้อมพึมพำกับตัวเอง

    "ฟ้าเอ้ย ไม่ว่าไอ้หนุ่มนี่คิดจะทำอะไรก็ตาม ก็ขอให้เขาประสบกับความสำเร็จด้วยเถอะ!!~"


    .....


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×