คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 คำมั่นสัญญา
บทที่1 คำมั่นสัญญา
ณ ป่าไผ่ทางตอนใต้แห่งแผนดินจงหยวนที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนายากแก่การมองเห็นยิ่งนัก บัดนี้ได้ปรากฏร่างบุคคลลึกลับเก้าร่าง ทั้งหมดแต่งชุดธรรมดาเหมือนชาวยุทธ์ทั่วไปในแผ่นดินจงหยวนเจ็ดร่างในนั้นเป็นสตรีที่มีความงามล่มเมืองเลยทีเดียว ส่วนอีกสองร่างนั้นเป็นบุรุษที่ตอนนี้ต่างจ้องมองหน้ากันและกันพลันเกิดเสียงหัวเราะออกมาจากชายทั้งสองพร้อมกัน หนึ่งในชายทั้งสองที่มีลักษณะค่อนข้างบึกบึนกำยำ สูงใหญ่ นัยน์ตาดำขลับ ไว้ผมยาวดำสนิท ยิ้มพลางกล่าวว่า “น้องเราเจ้ามาช้าเหลือเกินจนเราคิดว่าเจ้าจะไม่มาตามคำมั่นสัญญาเสียแล้ว”
“ฮ่าๆๆ พี่จินเจิ้นเทียนท่านก็กล่าวเกินไป ข้าเหยาหมิงเต๋อมีหรือที่จะผิดคำ อันวิญญูชนนั้นไซร้กล่าวแล้วย่อมไม่คืนคำ....เอาเถอะน่าพี่ท่านเรามาช้าดีกว่าไม่มา” บุรุษรูปร่างสันทัด ไม่อ้วนไม่ผอม บุคคลิกสง่ามงามดั่งบัณฑิต กล่าวตอบ
“เฮอะ เจ้ามันก็ผู้ดีจอมปลอมเอาแต่ใช้คำสวยหรูแก้ตัวไปเรื่อยนั้นแหละ...เอาละในเมื่อมากันพร้อมหน้าแล้วพวกเราก้จะสร้างบ้านอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้ใช้เร้นกายจากชาวยุทธ”จินเจิ้นเทียนกล่าวตอบอย่างทันควันเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกล่าววาจาหรูหรามาแก้ตัวที่ทำให้ตนเองต้องรอนานถึงสองชั่วยาม
“ว่าแต่พี่ท่านป่าไผ่แห่งนี้เป็นป่าไผ่ที่ไม่มีผู้คนรู้จักมากนักเลยไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม ในเมื่อเราจะมาปลักหลักวางฐานอยู่ที่นี้แล้ควรตั้งชื่อสถานที่นี้ดีหรือไม่”เหยาหมิงเต๋อกล่าวถาม
“อืมน้องเราประเสริฐแท้ งั้นเรามาตั้งชื่.......” จินเจิ้นเทียนไม่ทันกล่าวจบก้มีเสียงแทรกจากหนึ่งในหญิงงามทั้งเจ็ดคนที่ยืนฟังบุรุษทั้งสองโต้เถียงมาเนิ่นนานว่า “พวกท่านจะกล่าวโต้เถียงไปมาอีกนานเท่าใดพวกเราเหล่าฮูหยินของพวกท่านหิวจะตายอยู่แล้ว ชื่อป่าไผ่พวกท่านจะไปคิดให้มากความทำไมป่าไผ่นี้ที่คนไม่รู้จักมานักก็เพราะมีหมอกลงหนาทึบทำให้อาจหลงทางเวลาเดินเข้ามา จึงไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาถึงส่วนลึกของป่าไผ่เช่นพวกเราได้ ชื่อเสียงเรียงนามข้าขอตั้งชื่อให้มันเองว่าป่าไผ่หลงทาง พวกท่าคิดว่าเป็นเช่นไร”
“พี่สะใภ้ใหญ่เรานี้ช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนักปัญญาของท่านไม่ด้อยไปกว่าความงามของท่านเลย” เหยาหมิงเต๋อกล่าวชมสตรีผู้ที่ตั้งชื่อป่าไผ่ได้เข้ากับลักษณะของป่าไผ่ยิ่งนัก
“น้องหมิงเต๋อเจ้าไม่ต้องมากล่าวคำสวยหรูชมเชยเรา ถ้าพวกท่าทั้งสองชมชอบพอใจในชื่อที่เราคิดให้ก็แยกย้ายกันหาอาหารกับสร้างที่พักเถอะ”
ที่แท้สองบุรุษนี้ก้คือสุดยอดยุทธแห่งยุค หนึ่งคือผู้นำฝ่ายอธรรม นามจินเจิ้นเทียน ฉายาจอมมารท่องโลกา อีกหนึ่งคือผู้นำฝ่ายธรรมมะ จ้าวยุทธภพคนปัจจุบัน นามเหยาหมิงเต๋อ ฉายาจอมยุทธหน้าหยกแดนใต้ ทั้งสองต่างเป็นยอดยุทธที่ผู้คนกล่าวขานกันว่า หนึ่งคือจอมมารที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่มีมา หนึ่งคือเทพธรรมมะไร้พ่าย จอมเซียนแดนพิภพทั้งสองต่างคนต่างยืนกันอยู่กันคนละฝ่ายแต่ไม่รู้เพราะสวรรค์เล่นตลกหรืออย่างไร เมื่อคนทั้งสองได้พบเจอกันก็บังเกิดการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน กล่าวต่อสู้กินเวลายาวนานสามวันสามคืน แต่ผลของการต่อสู้ครั้งนี้กลับจบลงด้วย การสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่แม้ไม่ได้เกิดวันปีเดียวกันแต่ขอตายวันปีเดียวกัน เมื่อทั้งสองได้สาบานเป็นพี่น้องแล้วก็ให้คำมั่นสัญญากันคือ จะซ่อนเร้นกายออกจากยุทธ์ภพเพื่อร่วมกันใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์พี่น้องและใช้ชีวิตเสพสุขกับเหล่าฮูหยิน ทำให้ชาวยุทธที่รู้ถึงการต่อสู้ของสองคนแต่ไม่มีใครที่สามารถเข้าไปชมดูการต่อสู้ได้เพราะพลังทำลายล้างที่เกิดจากการปะทะกันของคนทั้งสอง ต่างกล่าวไปต่างๆนานา บ้างก็ว่าจอมยุทธหน้าหยกแดนใต้ได้ฆ่าจอมมารลงได้ แล้วตัวเองก้หลุดพ้นจากทางโลกจุติเป็นเซียนบนสวรรค์ บ้างก้ว่าทั้งสองต่อสู้กันตกตายไปทั้งสอง แต่ไม่มีครหาได้ล่วงรู้ความจริงเลยไม่ที่ว่าจอมมารกับจอมเซียนแห่งยุค หาได้ตกตายแต่อย่างใดไม่แต่กลับยุติการต่อสู้ลงเพราะต่างเลื่อมใสในวิชายุทธของอีกฝ่าย จนตกลงปลงใจสาบานเป็นพี่น้องกัน
“อืมน้องเรานี้ก้ยามบี่(13.00-14.59)แล้วแต่อาหารเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องพวกเราเลย ข้าว่าพวกเราแยกย้ายกันอาหารกลับสร้างที่พักกันเถิด ดังนี้ข้าจะไปตัดไม้มาสร้างที่พักชั่วคราว ส่วนเจ้าก้ไปหาสัตว์มาให้เหล่าฮูหยินทำเป็นอาหารละกัน” จินเจิ้นเทียนกล่าวบอกต่อเหยาหมิงเต๋อน้องร่วมสาบาน
“เป็นอันว่าตกลงตามนี้พี่ท่านก่อนสิ้นสุดยามบี่ข้าจะหาสัตว์มาเป็นอาหารให้พวกท่านกินอิ่มสำราญใจทีเดียว ว่าแต่พี่ท่านเถิดเรื่องที่พักจะเอายังไงหรือท่าน” เหยาหมิงเต๋อกล่าวต่อผู้พี่ร่วมสาบานพร้อมถามคำถามที่อดสงสัยไม่ได้ที่ว่าจะสร้างบ้านใช้ชีวิตอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้ตลอดไปนั้นจะหาไม้หรือกระเบื้องหลังคาของตกแต่งมากมายมาจากใหน
“เรื่องนั้นข้าคิดเอาไว้แล้วน้องเรา เราจักซ้อนเร้นกายออกจากยุทธภพก้จริงอยู่แต่หาใช่เลิกยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพเลยไม่เราจะสร้างพรรคที่เป็นกลางไม่เข้าฝ่ายธรรมมะหรืออธรรมเฉกเช่นตระกูลถังคอยสืบเรื่องราวความเป็นไปของยุทธภพ สร้างกิจการการค้าต่างเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการสร้างฐานะที่มั่นคงให้ลูกหลานเขาเราสืบไป” จินเจิ้นเทียวกล่าวอธิบายต่อน้องร่วมสาบานเพื่อให้คลายความสงสัย
“อืมข้าเข้าใจแล้วพี่ท่านงั้นข้าไปล่าสัตว์ก่อนละเดียวเหล่าฮูหยินของท่านและเราจะรอนาน”เมื่อกล่าวจบเหยาหมิงเต๋อก้ใช้วิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาวิชาตัวเบาฝ่ายธรรมะจากไป จินเจิ้นเทียนก้นำเหล่าฮูหยินของตัวเองทั้งหกคนและฮูหยินของน้องร่วมสาบานอีกหนึ่งคนไปสร้างที่พักพิงชั่วคราวเพื่อพอหลบฝนหลบแดดไปก่อน รอเวลามีเงินทุนจะได้สร้างบ้านที่ดีกว่านี้ขยับขยายที่ให้กว้างขวาง เมื่อสิ้นสุดยามบี่เริ่มยามซิม(15.00-16.59) เหยาหมิงเต๋อก้กลับมาพร้อมกวางหนึ่งตัวและผักสมุนไพรอีกนานาชนิด เหยาหมิงเต่อกลับมาไม่ทันได้พักผ่อนหรือกล่าววาจาใดก้โดนวาจาจากพี่ร่วมสาบานกล่าวแดกดันว่า
“น้องเราเจ้าสงสัยฝีมือตกลงเป็นแน่แท้ออกไปล่าสัตว์แค่นี้ใช้เวลาตั้งหนึ่งชั่วยาม สงสัยข้าจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องผิดคนซะแล้ว”
“พี่ท่านไม่รู้เรื่องราวอย่ากล่าวความ ที่ข้าใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเพื่อรอสิ่งหนึ่ง และเมื่อข้าพบข้าก็นำกลับมาให้พี่ท่านได้ชมดูแล้ว”เหยาหมิงเต๋อกล่าวกลับไปเพื่อหักหน้าจินเจิ้นเทียนพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากแล้วก้หันหลังผายมือไปทางด้านหลังที่มีผู้ชายสามคนยืนอยู่ ชายทั้งสามอายุราวยีสิบถึงสามสิบปีเห็นจะได้ รูปร่างการแต่งกายเหมือนชาวบ้านทั่วไป ด้านหลังสะพายตะกล้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด เมื่อจินเจิ้นเทียนเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ว่า
“น้องเราเจ้าจะพาคนที่ขึ้นเขามาเก็บสมุนไพรทั้งสามมาทำไมรึ....หรือว่า” จินเจิ้นเทียนกล่าวไม่ทันจบ เหยาหมิงเต๋อก็กล่าวตอบเป็นการรู้นัยพี่ชายตนเอง
“ใช่แล้วท่านพี่ที่ข้านำพวกเขาทั้ง3คนมาเพื่อถ่ายทอดวิชายุทธให้พวกมันไปดำรงตำแหน่งพรรคที่เราจะก่อตั้งขึ้นยังไงละ ใครฝีมือดีสุดก็เป็นหัวหน้าพรรคไปอีกสองคนก้ให้เป็นผู้รักษากฎพรรคดำรงตำแห่งเป็นทูตซ้ายทูตขวา พี่ท่านว่าดีหรือไม่”
สิ้นเสียงกล่าวของเหยาหมิงเต๋อก้พลันเกิดเสียงหัวเราะออกมาจากจินเจิ้นเทียนพร้อมกล่าวว่า “น้องเราเจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก ดีงั้นเราทั้งสองจะสอนวิชายุทธให้แก่พวกเจ้ารับรองพวกเจ้าทั้งสามจะเป็นจอมยุทธือันดับต้นของยุทธภพไม่สิต้องเป็นที่หนึ่งของยุทธภพเลยก้ว่าได้ ฮ่าๆๆ”
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วชาวบ้านที่ขึ้นมาเก็บสมุนไพรทั้งสามคนนั้นก้เรียนรู้วิชาจากจินเจิ้นเทียนและเหยาหมิงเต๋อทั้งสามได้ชื่อแซ่ใหม่โดยการตั้งให้จากฮูหยินใหญ่ของจินเจิ้นเทียน โดยบุรุษที่อายุมากสุด และเก่งกาจที่สุดในบรรดาสามคน ได้ใช้แซ่ จิน นามว่าคำเดียวว่า เฉิง แปลว่าความสำเร็จ ส่วนอีกสองคนก้ใช้แซ่ จินเหมือนกันนามคำเดียวว่า หลง กับ หู่ ทั้งสามได้เรียนวิชาจากสองยอดยุทธ์แต่ไม่ได้กราบพวกเขาเป็นอาจารย์ไม่กลับขอแค่เป็นคนติดตามรับใช้จนกว่าชีวิตจะสิ้น
ทั้งสามเมื่อร่ำเรียนวิชายุทธจากสองยอดยุทธํจนหมดสิ้นก้ออกมาจากป่าไผ่หลงทางเพื่อจัดตั้งพรรค โดยตั้งชื่อพรรคว่าลิขิตสวรรค์ตามคำสั่งฮูหยินใหญ่พรรคลิขิตสวรรค์จัดตั้งได้ไม่นานใช้เวลาเพียงสาบสิบปีก็ขึ้นเป็นพรรคที่ควบคุมกิจการการค้ากว่าครึ่งในแผ่นดินจงหยวนและเป็นพรรคที่มีจำนวนลูกศิษย์พรรคเป็นรองแค่พรรคกระยาจกเท่านั้น
ถือได้ว่าพรรคลิขิตสวรรค์เป็นพรรคที่ใหญ่และควบคุมอำนาจเกือบทั้งหมดของแผ่นดินจงหยวนเลยก็ว่าได้ ทำให้พรรคน้อยใหญ่ต่างอิจฉาพรรคลิขิตสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดแย้งด้วยเนื่องจากทางพรรคมียอดฝีมือจำนวนเยอะบวกกลับเป็นพรรคฝ่ายกลางไม่เข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถ้าพรรคได้ก่อความขัดแย้งด้วยพรรคลิขิตสวรรค์อาจขอความร่วมมือจากสำนักและพรรคน้อยใหญ่จากทางธรรมะและอธรรมมาโจมตีได้ และยิ่งกว่านั้นพรรคลิขิตสวรรค์เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญที่ส่งเสริมด้านการกองทัพให้แก่ราชสำนักเลยมิมีใครกล้าหาญแม้แต่จะกล่าวหรือด่าทอคนในพรรคลิขิตสวรรค์เลยก็ว่าได้
แต่ก็ใช่จะไม่มีศรัตรูที่กล้าต่อกร ยังมีสองพรรคที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพรรคลิขิตสวรรค์นั้นก็คือพรรคพยัคฆ์มังกรพรรคฝ่ายธรรมมะที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาเรื่องกิจการค้า กับอีกสำนักที่มีนามว่าสำนักวังอสูรฟ้าสำนักฝ่ายอธรรมขัดแย้งกันในด้านธุรกิจมืดนั้นคือการรับจ้างฆ่าคน โดยพรรคลิขิตสวรรค์เป็นพรรคฝ่ายกลางขอเพียงผู้ว่าจ้างมีเงินทองก็จะรับงานไม่สนว่าเป้าหมายเป็นบุคคลฝ่ายธรรมมะหรืออธรรม ผิดจากสำนักวังอสูรฟ้าที่จะรับแต่งานที่เป้าหมายอยู่ในฝ่ายธรรมะเท่านั้น ทั้งให้ผู้คนส่วนใหญ่ไปใช้บริการทางพรรคลิขิตสวรรค์มากกว่าเพราะไม่กำหนดข้อบังคับและรับงานทุกงาน
กล่าวย้อนไปทางด้านป่าไผ่หลงทางสองยอดยุทธ์หลังจากถ่ายทอดวิชาให้กลับ จินเฉิง จินหลง จินหู่ แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบฝึกยุทธ์และคิดวิชายุทธ์ใหม่พร้อมกับนำเงินที่ได้จากกิจการต่างๆมาสร้างที่พักอาศัยในป่าไผ่หลงทางโดยสร้างเป็นหมู่ตึกนามว่าลิขิตสวรรค์เป็นหมู่ตึกที่รวบรวมยอดวิชาทั้งยุทธภพมาไว้ในหมู่ตึก วิชาต่างๆก็ได้มาจาก จินหลงและจินหู่ที่แอบเข้าไปตามที่เก็บตำราของพรรคและสำนักต่างไม่ว่าฝ่ายธรรมะหรืออธรรมและคัดลอกกลับมาเพื่อมาเก็บไว้ในหมู่ตึกลิขิตสวรรค์ โดยเมื่อเวลาผ่านไปนั้นผู้คนทั่วยุทธภพก้ล่วงรู้ถึงข่าวลือว่าหมู่ตึกลิขิตสวรรค์รวบรวมยอดวิชาทั่วยุทธภพเอาไว้แต่ไม่รู้ว่าได้มายังไงและไม่รู้ว่าหมู่ตึกนี้แท้จริงแล้วตั้งอยู่ที่ไหน คนส่วนมากต่างคิดกันว่าตั้งอยู่ในตัวพรรคลิขิตสวรรค์ หามีใครรู้ไม่แท้จริงแล้วกลับตั้งอยู่ที่ป่าไผ่หลงทาง
หลังจากที่พรรคลิขิตสวรรค์ก่อตั้งได้สิบเอ็ดปี ฮูหยินใหญ่ของจินเจิ้นเทียน กับฮูหยินหนึ่งเดียวของเหยาหมิงเต๋อก้ได้กำเนิดบุตร ทางจิ้นเทียนนั้นฮูหยินใหญ่ได้คลอดลูกฝาแฝดชายหญิง ชายนั้นเกิดก่อนจึงเป็นผู้พี่จินเจิ้นเทียนตั้งชื่อให้ว่าเสี้ยวเทียน(กตัญญูต่อฟ้า)ส่วนส่วนบุตรีนั้นเกิดหลังเป็นผู้น้อง จินเจิ้นเทียนตั้งชื่อให้ว่าเหมย (ดอกเหมย) ส่วนทางฮูหยินของเหยาหมิงเต๋อให้กำเนิดบุตรี เหยาหมิงเต๋อตั้งชื่อให้ว่า ไป๋หลิน(หยกขาว) จินเจิ้นเทียนกับเหยาหมิงเต๋อเมื่อตอนรู้ว่าฮุหยินของตนเองตั้งครรภ์ก็ต่างให้คำมั่นสัญญาเพิ่มอีกข้อคือ ถ้าหากลูกของทั้งสองเป็นชายหญิงก็จะให้แต่งงานกันชายกับชายก็จะให้สาบานเป็นพี่น้องกัน เมื่อฮูหยินทั้งสองเกิดลูกออกมาดั่งกล่าวก็เท่ากับว่า จินเสี้ยวเทียนกับเหยาไป๋หลินเป็นคู่มั่นคู่หมายกัน ส่วนจินเหมยก็จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเหยาไป๋หลิน
.........................................................................................................................................................................................................................................
เป็นไงมั้งครับบทที่1 มีอะไรติมาได้เลยครับจะได้แก้ไขส่วน ตอนต่อไป น่าจะตามมาไม่เกิน5วันครับ
ช่วยกันวิจารณ์กันเยอะนะครับผมจะได้เอาไปปรับปรุงแก้ไข
ความคิดเห็น