คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่4-ก้าวเเรกสู่ยุทธภพ 100%
บทที่4
จินเสี้ยวเทียนก้าวเดินออกมาจากห้องก็มุ่งหน้าไปยังลานฝึก มันเดินไปด้วยสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความสุขพลางนึกคิดถึงการเสพสุขความรักจากไป๋หลิน เมื่อมาถึงยังลานฝึกก็พบว่า จินเจิ้นเทียนและเหยาหมิงเต๋อ รอมันอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ ท่านอา หีบไม้นั้นคือสิ่งใดกัน แล้ววันนี้ท่านจะให้ข้าฝึกอันใด”เสี้ยวเทียนกล่าวพลางมองไปที่หีบไม้ พร้อมกับคิดว่าบิดากับท่านอาของมันจะทำอันใด แต่มันก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าในน้ำเต้าของบิดาและท่านอาของมันมียาตัวใด
“การฝึกในวันนี้ก็คือการไม่ฝึก ส่วนหีบไม้นี้ก็ถือเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งงานของเจ้า สิ่งของภายในหีบไม้นี้ข้าจัดทำมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อที่จะให้เจ้าเป็นยอดยุทธ์ที่เหนือกว่าพวกข้าสองคน”จินเจิ้นเทียวกล่าวตอบคำถามบุตรชายของมัน
“ในหีบใบนี้มีเคล็ดวิชาลมปราณเซียนเทวมารที่หลังจากนี้เจ้าจะต้องนำไปฝึกใช้ด้วยตนเองซึ่งวิธีเดินลมปราณก็อยู่ในคัมภีร์แล้ว เจ้าจงไปอ่านและฝึกมันให้สำเร็จ เมื่อเจ้าฝึกสำเร็จถึงขั้นที่3เมื่อใดก็ถึงเวลาที่เจ้าจะได้ออกไปท่องยุทธภพ ประกาศให้ยุทธภพรู้ว่าเจ้าคืออันดับหนึ่ง และยังมีอาวุธอีกสี่ชิ้นที่อาและบิดาของเจ้าช่วยกันสร้างมันขึ้นมา เจ้าจงไปฝึกใช้มันและคิดค้นวิชาของตัวเจ้าเอง”เหยาหมิงเต๋อกล่าวเสริมพร้อมกับเดินกลับเข้าหมู่ตึกบัณฑิตไปพร้อมจินเจิ้นเทียน เสี้ยวเทียนได้ยินบิดาและท่านอาของมันกล่าวจบแล้วก็เดินจากมันไปทิ้งเพียงหีบไม้ให้มันก็อดทำหน้าบูดเบี้ยวไม่ได้ พลางลอบด่าทอผู้เป็นบิดาและอาของตนอยู่ในใจ
‘เฮอะ ใหนว่าจะสอนวิชายุทธ์ให้แก่ข้าใช้ให้ฝึกฝนร่างกายมานานนับสิบปี สุดท้ายก็โยนคัมภีร์ที่พวกท่านคิดค้นให้ข้าไปหาทางฝึกเอาเอง ช่างเป็นบิดาที่ดีต่อข้าซะจริงๆ’
หลังจากด่าทอผู้เป็นบิดาอยู่เป็นพักใหญ่เสี้ยวเทียนหันเหความสนใจมาที่หีบไม้ที่อยู่ตรงหน้า มันเปิดหีบไม้ออกก็พบว่าข้างในหีบมีคัมภีร์หนึ่งเล่มและอาวุธสี่ชิ้น โดยอาวุธทั้งสี่ชิ้น ชิ้นแรกลักษณะคล้ายง้าวก็มิเชิงดาบก็มิใช่ตัวอาวุธมีลวดลายมังกรยาวประมาณหกเชียะหนักประมาณ72ชั่ง ส่วนชิ้นที่สองเป็นอาวุธรูปร่างเหมือนหงส์กำลังสยายปีก ดูแล้วจัดเป็นอาวุธที่สวยงามชั้นเลิศแต่ถ้าจะให้บ่งบอกว่าจัดเป็นอาวุธชนิดใด ก็ไม่สามารถบอกได้จะจัดว่าเป็นทวนก็มิใช่ หอกก็มิใช่ ง้าวก็มิเชิงตัวอาวุธน้ำหนักและความยาวมีความใกล้เคียงกับอาวุธชิ้นแรกมากส่วนอาวุธชิ้นที่สามเป็นกระบี่ ตัวคมกระบี่เป็นสีดำสนิทมีด้ามจับรูปร่างลักษณะเป็นเต่าทะเล น้ำหนักและความยาวจะน้อยกว่าอาวุธสองชิ้นแรกเล็กน้อย ส่วนอาวุธชิ้นที่สี่ดูจากภายนอกคือมีดสั้นธรรมดาแต่แฝงกลไกล มันสามารถที่จะคลี่ออกมาเป็นพัดได้แถมยังดูคล้ายลักษณะอุ้มตีนเสือ เสี้ยวเทียนพิจารณาอาวุธแต่ละชนิดอย่างถี่ถ้วน
“อืมชั่งเป็นอาวุธที่น่าทึ่งจริงๆ ทั้งสวยงามและแปลกประหลาด อาวุธทั้งสี่นี้ท่านพ่อและท่านอาคงจะได้ความคิดมาจากจตุรเทพทั้งสี่ทิศ อืมมม ในเมื่อเป็นอาวุธของข้า ข้าก็จะตั้งชื่อให้”เสี้ยวเทียนกล่าวรำพึงรำพันอยู่คนเดียวพลางหยิบอาวุธชิ้นแรกขึ้นมาจากหีบ
“ ชิ้นแรกดูแล้วน่าเกรงขามลวดลายก็สวยงามยิ่ง ดูจากลวดลายแล้ว อาวุธชิ้นนี้ชื่อเทพมังกรท่องสมุทรน่าจะเห็นสมควร ชิ้นที่สองท่านพ่อน่าจะหลอมมาจากเหล็กเพลิงที่ได้จากภูเขาไฟอเวจี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักหงส์ทักษิณ โอ้คราครั้งนี้เห็นแล้วท่านแม่ใหญ่ต้องเห็นรู้ด้วยแน่ๆ ฮ่าๆๆ จากลวดลายแล้วอาวุธชิ้นนี้ควรจักชื่อเพลิงหงส์สวรรค์ อืมมม ชิ้นที่สามตัวกระบี่ดำสนิทถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด มันต้องทำมาจากเหล็กนิลดำวัตถุดิบที่ใช้หลอมอาวุธแต่ละชิ้นนับว่าหายากยิ่ง ท่านพ่อและท่านอาคงจะทุ่มกำลังคนและกำลังทรัพย์น่าดู กระบี่นิลดำ ชื่อตาวมวัตถุที่สร้างมาเลยก็แล้วกัน ชิ้นสุดท้ายเขี้ยวเล็บพยัคฆ์คำรณเป็นอันครบอสูรจตุรเทพผู้เฝ้าน่านฟ้าทั้งสี่ทิศ นี้ถ้าสี่พรรคผู้สืบทอดแห่งเทพทั้งสี่รู้ว่าท่านพ่อได้นำของมีค่าประจำสำนักขอกพวกมันมาทำเป็นอาวุธคงจะโกรธกริ้วน่าดู ฮ่าๆ เจ้าว่าไม่สายฟ้า”เสี้ยวเทียนกล่าวพลางยิ้มพลางพร้อมเงยหน้ามองเจ้าสายฟ้าที่เกาะอยู่บนกิ่งต้นเหมยในลานฝึก เมื่อมันสำรวจดูอาวุธทั้งสี่เสร็จมันก็แบกหีบไม้ขึ้นแล้วเดินไปยังเพิงพักที่เป็นที่อาศัยของเจ้าดำและเจ้าขาวซึ่งอยู่ในป่าไผ่หลงทางส่วนด้านหลังของหมู่ตึกลิขิตสวรรค์ ก่อนที่มันจะออกมาจากหมู่ตึกมันก็ได้กำชับบ่าวใช้ให้ไปแจ้งต่อมารดาและทุกคนว่าห้ามให้ใครไปรบกวนมันเด็ดขาด นอกจากนำอาหารและเสื้อผ้าไปให้แก่มัน เพราะมันต้องการที่จะฝึกวิชาให้สำเร็จ รวดเร็วที่สุด
“ลมปราณเซียนเทวมาร” เสี้ยวเทียนอ่านชื่อคัมภีร์ที่มันถืออยู่ในมือ มันค่อยๆเปิดอ่านคัมภีร์ไปทีละหน้าๆแล้วก็เดินลมปราณตาม มันจะเริ่มฝึกเดินลมปราณเวลายามไห่(21.00-22.59)จนถึงเริ่มยามเบ้า(05.00-0.6.59)เป็นประจำทุกวัน ส่วนเวลาช่วงกลางวันมันก็จะอยู่แต่กับการฝึกใช้อาวุธทั้งสี่ชนิด การฝึกอาวุธทั้งสี่ของมันแต่ละวันก็ไม่มีท่วงท่าอันใดเลยมีแต่การฝึกท่าธรรมดา แทง ปัด จิก ฟาด กัน ซ้ำๆไปมาทุกวันจนกว่าจะถึงเวลาฝึกลมปราณ ซึ่งเท่ากับว่าการฝึกลมปราณของมันในแต่ละค่ำคืนก็คือการนอนหลับผักผ่อนของมัน
กล่าวถึงวิชาลมปราณเซียนเทวมารมีทั้งหมด5ขั้นด้วยกันขั้นที่1มีชื่อว่าเทวมารประสานเสริมขั้นนี้จะเป็นการฝึกใช้ลมปราณสายเซียนลมปราณสายมารลมปราณหยินหยางให้สอดคล้องกัน ขั้นที่2มีชื่อว่าเซียนคืนฟ้ามารคืนดินขั้นนี้จะเป็นการฝึกเดินลมปราณเพื่อให้รู้จักต้นกำเนิดของพลังลมปราณของสายเซียนและสายมารเพื่อให้เรียกใช้ออกมาได้อย่างสะดวก และเป็นการฝึกปิดกลั้นพลังลมปราณในตัวโดยที่ขั้นนี้ถ้าฝึกสำเร็จแม้แต่บิดาและท่านอาของมันก็มิอาจรับรู้ได้ถึงพลังลมปราณ และถ้าใช้ปิดกั้นอำพลางตัวแม้อยู่ต่อหน้าก็เหมือนมิได้อยู่ ขั้นที่3เทวมารคงกระพัน ขั้นนี้เป็นการฝึกเรียกใช้พลังลมปราณห่อหุ้มร่างกาย ถ้าฝึกสำเร็จจะไม่มีคมกระบี่หรืออาวุธชนิดใดรวมถึงพลังลมปราณทำร้ายได้ แต่ต้องขึ้นกับพลังลมปราณของผู้ใช้จะมีมากพอหรือไม่ ขั้นที่4สำเร็จเซียนบรรลุมารขั้นนี้เป็นขั้นที่ทำให้ผู้ฝึกเข้าใจถึงแก่นแท้ของพลัง แก่นแท้ของตัวเองซึ่งทำให้ผู้ฝึกรู้ขีดจำกัดของตัวเองรวมถึงผู้ฝึกสามารถใช้ลมปราณในการรักษาตัวเองได้ ส่วนขั้นที่5สวรรค์ไร้เขตแดนจักรวาลไร้ขอบเขตเป็นขั้นที่จินเจิ้นเทียนและเหยาหมิงเต๋อคิดว่าเสี้ยวเทียนไม่น่าจะฝึกสำเร็จได้เพราะขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายถ้าฝึกสำเร็จก็จะมีพลังลมปราณที่ไม่จำกัดสามารถดึงพลังลมปราณฟ้าดินจากธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงว่าถ้าอยู่ในการต่อสู้ก็จะไม่รู้จักเหนื่อยสามารถใช้พลังได้อย่างไม่มีสิ้นสุดแต่ต้องรับรู้ถึงพลังลมปราณในธรรมชาติรอบตัวได้แยกแยะพลังทั้งมวลได้ซึ่งนับว่ายากมากที่จะสำเร็จได้ แต่เพียงแค่3ขั้นแรกก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เสี้ยวเทียนออกท่องยุทธภพได้
เสี้ยวเทียนฝึกฝนวิชาลมปราณเซียนเทวมารเป็นเวลา4ปีก็สำเร็จในขั้นที่3 โดยขั้นที่1และขั้นที่2มันใช้เวลาฝึก2ปีแรกสำเร็จส่วนขั้นที่3มันใช้เวลา2ปีหลังจึงฝึกสำเร็จ
“อืมในที่สุดข้าก็ทำได้ ข้าฝึกสำเร็จขั้นที่3แล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะได้ไปเล่นสนุกในยุทธภพ ถึงเวลาของพวกเราแล้วเจ้าสายฟ้า เจ้าขาว เจ้าดำ ฮ่าๆๆ” เสี้ยวเทียนกล่าวพลางยิ้มพลางอย่างสุขสมใจที่ฝึกวิชาสำเร็จถึงขั้นที่3เมื่อมันกล่าวาจาเสร็จก็ทะยานร่างออกจากเพิงพักที่มันใช้ฝึกวิชาเป็นเวลานาน ตอนนี้เสี้ยวเทียนเหมือนสัตว์ที่หลุดจากการจำศีลเป็นเวลานาน พร้อมที่จะออกล่าเหยื่ออีกครั้ง มันทดลองใช้วิชาร่ายรำเป็นท่าทางต่างเหาะเหินเดินอยู่บนอากาศ หลังจากลองวิชาเป็นที่พึงพออกพอใจมันแล้วก็กลับเข้าไปสู่หมู่ตึกลิขิตสวรรค์ในรอบ4ปี
เสี้ยวเทียนทะยานร่างด้วยวิชาตัวเบามาถึงหน้าหมู่ตึกลิขิตสวรรค์ก็สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณ3สาย มันล่วงรู้ในทันทีว่าต้องเป็นไป๋หลินที่กำลังฝึกวิชากับจินเหมยและจินหลินที่ท่านพ่อของมันเป็นคนสัญญาว่าจะฝึกให้มันจึงใช้ออกด้วยวิชาตัวเบาขับเน้นพลังลมปราณออกทะยานร่างสู่ต้นเหมยในลานฝึก สิ่งแรกที่เสี้ยวเทียนคิดคือ ลอบด่าทอผู้เป็นบิดาอยู่ในใจ
‘บุตรชายคนอื่นกับสอนวิชาให้บุตรชายตนเองกลับให้ฝึกด้วยตนเอง’มันคิดไปคิดมาเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ของการฝึกกับคัมภีร์ด้วยตนเองมันก็ยิ้มออกและเข้าเจตนาของบิดาและท่านอาของมัน
“ฮ่าๆอันใดกันเนี่ยพวกท่านทั้งสี่คน คงจะตั้งใจจดจ่อกับการฝึกวิชายุท์มากสินะถึงไม่รับรู้การมาของข้าเลยแม้แต่ท่านพ่อก็เป็นไปกับเขาด้วย อืมวิเศษๆช่างวิเศษจริงๆฮ่า”เสี้ยวเทียนกล่าว ที่แท้เสี้ยวเทียนปิดกั้นพลังลมปราณและนั่งชมการฝึกอยู่บนกิ่งเหมยเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม เพื่อจะทดลองวิชาที่ตนเองสำเร็จมา และผลที่ได้ก็เป็นไปตามคาดหมายคือไม่มีใครรับรู้การมาของมัน แต่ที่มันคิดอยู่ในใจคือบิดามันไม่สามารถรับรู้การคงอยู่ของมันหรือแสร้งเป็นไม่รู้กันแน่
“เสี้ยวเทียน ท่านพี่ นายน้อย”ไป๋หลิน จินเหมยและจินหลิน ต่างหลุดปากกล่าวเรียกคนที่พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของเสียง
จินเจิ้นเทียนยิ้มพลางกล่าวว่า “ เจ้าคงสำเร็จวิชาถึงขั้นที่3แล้วสินะถึงได้ออกจากป่าไผ่กลับมายังบ้านได้ เผยตัวออกมาเถิดลูกข้าอย่าทำให้ทุกคนต้องตกใจ”
สิ้นเสียงกล่าววาจาของจินเจิ้นเทียนก็เกิดเสียง ตรึม ตุ้บ ที่แท้จินเจิ้นเทียนใช้นิ้วมือดีดหินแฝงพลังลมปราณไปทางต้นเหมยที่เสี้ยวเทียน เสียวเทียนจึงใช้ออกด้วยฝ่ามือปัดป้องลูกหินไปแต่แล้วมันกลับพ่อว่าบิดาของมันดีดลูกหินออกมาเป็นลูกโซ่ติดต่อกันแม้จะป้องกันครั้งแรกได้แต่หินก้อนต่อไปก็มิอาจป้องกันได้มันจึงโดนหินแฝงพลังลมปราณอัดเข้าเต็มท้องตกลงจากกิ่งเหมย
เสี้ยวเทียนฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อท่านเล่นรุนแรงไปแล้ว ถ้าข้าไม่ใช้พลังลมปราณห่อหุ้มร่างกายทันวันนี้ในอีกปีกข้างหน้าคงจักเป็นวันครบรอบวันตายของลูกชายท่านเป็นแน่แท้”
จินเจิ้นเทียนหัวร่อพลางกล่าวว่า “ข้าแค่ลองทดสอบเจ้า ถ้าแค่นี้เจ้ายังรับมิได้ ไฉนเลยจะออกท่องยุทธจักรที่มีแต่อันตราย และมีแต่ผู้คนที่ยากจะเชื่อถือ และการต่อสู้ช่วงชิงในยุทธจักรใหนเลยจะเรียกหาความยุติธรรมได้ เจ้าจะต้องระวังตัวเจ้าอยู่ตลอดเวลา อืมม์...เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เย็นวันนี้จะได้มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
หมู่ตึกลิขิตสวรรค์ ห้องโถงชั้นใน
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำสมาชิกทุกคนต่างมารวมตัว ณ ห้องโถงชั้นในเพื่อรับประทานอาหาร บนโต๊ะกลางห้องโถงจัดเรียงด้วยอาหารมากมายหลากสีสันชวนรับประทานยิ่งนัก โต๊ะอาหารนั่งไว้ซึ่งผู้คนสิบสอนคนนั้นคือ จินเจิ้นเทียน จินฮูหยินทั้งหก เหยาหมิงเต๋อ เหยาฮูหยิน ไป๋หลิน จินเหมย และจินเสี้ยวเทียน
จินเจิ้นเทียนรินสุราใส่ในป้านพลางกล่าว่า “วันนี้ถือเป็นวันดีของครอบครัวที่ได้อยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตา ข้าขอดื่มให้ ฮ่าๆ”
เหยาหมิงเต๋อสะแหยะยิ้มพลางกล่าวว่า “ดื่มให้อันใดกัน มิใช่พี่ท่านชมชอบดื่มสุราทุกวันอยู่แล้วหรอกหรือ”
จินเจิ้นเทียนกล่าวตอบโต้ว่า “น้องเราเจ้าช่างเกิดมาขัดใจขัดคอข้านัก วันนี้ข้าตั้งใจดื่มให้กับลูกข้าเสี้ยวเทียนหาได้เป็นเพราะนิสัยชมชอบดื่มสุราไม่ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นมันก็ต้องจากข้าไปอีกแล้ว”
จินฮูหยิน ได้ยินคำสามีตนเองรีบกล่าวคำย้อนถามว่า “ ว่าอันใดกันเช้ารุ้งขึ้นไฉน เสี้ยวเทียนต้องจากไปฟูจวินอย่าได้กล่าวคำล้อเล่น”
จินเจิ้นเทียวกล่าวตอบเสียงหนักว่า “กล่าวล้อเล่นอันใด เช้าวันรุ่งขึ้นมันจะต้องออกเดินทางเข้าสู่ยุทธจักร ตัวมันเองก็อายุสิบเก้าปี วิชาก็ฝึกสำเร็จตามที่ข้าคาดหวังแล้ว ฮูหยินเจ้าอย่าเสียใจไปเลยคืนนี้จงมีความสุขร่วมกับลูกเจ้าให้เต็มที่ เพราะนับว่าอีกนานกว่าเราจะได้พบเจอกันอีก”
เสี้ยวเทียนกล่าวแทรกขึ้นเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านแม่พวกท่านอย่าได้เป็นห่วงข้าเลย ข้าสามารถดูแลรักษาตัวเองได้ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะออกไปท่องยุทธจักร แล้วข้ามิได้ไปตัวคนเดียวยังมีเจ้าสายฟ้า เจ้าขาว เจ้าดำ”
จินเหมยได้ยินคำที่พี่ชายมันกล่าวขึ้นรีบกล่าวถามออกไป ว่า “ท่านพี่แล้วพวกข้ากับไป๋หลินละ ท่านเอาพวกเราไปไว้ที่ใหน”
จินเจิ้นเทียนชิงกล่าวตอบคำถามแทนว่า “พ่อและอาของเจ้าปรึกษากันแล้วว่า คราครั้งนี้จะให้พี่ชายเจ้าออกท่องยุทธจักไปเพียงผู้เดียวก่อน เพราะตัวมันยังมิอาจปกป้องตัวเองได้แล้วจะมีทางปกป้องพวกเจ้าได้หรือ พวกเจ้าต้องฝึกวิชากับพ่อ จนกว่าจะพ่อเห็นสมควรจะให้ออกท่องยุทธจักร”
สิ้นสุดเสียงการกล่าวของจินเจิ้นเทียนที่กล่าวด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังที่แฝงความนัยว่ามิให้ใครโต้เถียง ทุกคนจึงเปลี่ยนหันเหหัวเรื่องไปคุยเรื่องสัพเพเหระ และเมื่อรับประทานอาหารเสร็จทุกคนต่างแยกย้ายกันเข้านอน
………………………………………………………………………………..
“เสี้ยวเทียนข้าอยากจะตบตีท่านให้ตายคามือเรานัก ที่ฝึกแต่วิชาไม่สนใจสิ่งใด แม้แต่ข้าที่จะเข้าไปพบก็มิให้พบท่านออกมาคราครั้งนี้เราจะตีท่านให้ตายครามือเลย แต่ไฉนเลยจะมีเวลาตลบตีท่าน เช้าวันรุ่งขึ้นท่านก็ต้องจากข้าไปอีกแล้ว” ไป่หลินกล่าวพลางทำหน้าตาดุดันแต่ในจริงของนางกับดีใจและอยากที่จะยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นชายคนรักกลับมาแม้ จะรู้ว่าชายคนรักไม่ได้ไปไหนแต่การที่ไม่ได้พบหน้ากันเลยถึง4ปีแม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมก็เป็นการทรมานใจอย่างยิ่ง
เสี้ยวเทียนเข้าใจความรู้สึกไป๋หลินเป็นอย่างดีจึงสอดมือเข้าไปใต้ซอกแขนไป๋หลินโอบกอดแผ่นหลังพลางกว่าว่า “ไป๋หลินเจ้าอย่าน้อยใจไปเลย ข้าสัญญาว่าข้าไปท่องสู่ยุทธภพข้าจะรีบฝึกปรือตัวเองแล้วกลับมารับเจ้าออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน เจ้าลองคิดดูข้าออกไปท่องยุทธภพครานี้ไฉนจะมีความสุขได้ในเมื่อสาวงามที่ขายมอบกายและมอบใจให้ไม่อาจติดตามข้าไปด้วย”
ไป๋หลินหลบสายตาของเสี้ยวเทียนมุดหน้าซบที่ซอกคอเสี้ยวเทียนพลางกล่าวว่า “เรื่องวิชายุทธ์ข้าไม่อาจรู้ว่าท่านมากฝีมือแต่ถ้าเป็นเรื่องปลอบประโลมหญิงสาวข้าว่าท่านเป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน”
ทั้งสองคนประคองกันเดินมาที่ริมหน้าต่างแหงนมองชมดาวเดือนท้องฟ้ายามราตรี เมฆล่องลอยตามสายลมพัดผ่านดวงจันทร์ ทำให้เห็นดวงจันทร์ที่เต็มดวงส่องแสงนวลอย่างสวยงามทอดแสงเข้ามาในห้อง เสี้ยวเทียนจึงดีดนิ้วปล่อยลมปราณเข้าดับเทียนภายในห้องละโอบอุ้มไป๋หลินขึ้นเตียงไป
ยามซิ้ง (07.00-08.59 น.)
หลักจากเสี้ยวเทียนตื่นขึ้นก็มุ่งหน้าไปบอกลาทุกคนที่ห้องโถงกลาง ซึ่งห้องโถงกลางหมู่ตึกลิขิตสวรรค์เต็มไปด้วยผู้คนที่มาอำลาเสี้ยวเทียนก่อนที่มันจะออกท่องยุทธภพ
“เสี้ยวเทียนเจ้าออกท่องยุทธภพในครั้งนี้ต้องจากทุกคนไป บิดาเพียงหวังให้เจ้าไปเรียนรู้ประสบการณ์ในยุทธภพ ไม่ต้องไปยึดติดในชื่อเสียงเพราะชื่อเสียงจะนำพามาซึ่งอันตราย ถ้าเจ้าพึงพอใจคิดจะกลับก้กลับมารับช่วงกิจการจากมารดาของเจ้าต่อ” จินเจิ้นเทียนกล่าววาจาเบาๆแม้ตัวมันต้องการให้เสี้ยวเทียนออกท่องยุทธภพแต่อีกใจก็ต้องการให้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเช่นมันไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญมีความสุขกับชีวิตไปวันๆ แต่มันก็มิอาจจะไปกำหนดชะตาชีวิตใครได้ ทำได้เพียงส่งเสริมสอนวิชายุทธ์เพื่อให้เอาตัวรอดในยุธภพได้ เพราะมันย่อมรู้ดีชายชาตรเกิดมาต้องมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเสียงเรียงนามไม่ก็ทำวีรกรรมบนหลังม้ารับใช้ชาติ ถึงสมกับเป็นชายชาตรี
เสี้ยวเทียนประสานมือคารวะกล่าว “ขอบพระคุณบิดาที่สอนสั่ง ลูกจะจดจำมิลืมเลือน”
จินเจิ้นเทียนผงกศรีษะและยื่นมือมอบป้ายทองคำที่แสดงถึงคนตระกูลจินให้กับเสี้ยวเทียน เสี้ยวเทียนรับไว้เก็บใส่อกเสื้อ ประสานมือคารวะอำลาทุกคน “เช่นนั้นข้าขออำลาทุกคนไปก่อน” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกจากหมู่ตึกลิขิตสวรรค์
เสี้ยวเทียนออกเดินทางพร้อมกับเพื่อนรู้ใจอีกสามตัวนั้นคือพวกเจ้าขาว เจ้าดำและเจ้าสายฟ้านั้นเอง เมื่อออกจากป่าไผ่หลงทางเสี้ยวเทียนก้จัดแจงรถม้าให้เจ้าขาวเจ้าดำอยุ้ในตัวรถม้าเพื่อไม่ให้ผู้คนทั่วไปที่พบเห็นเป็นอันตกใจกลัว หลังจากจัดเตรียมเสร็จเสี้ยวเทียนใช้เวลาเดินทางกว่าห้าชั่วยามก็ถึงชายเมืองกว่างโจวซึ่งเป็นที่ตั้งของสาขาใหญ่ของพรรคลิขิตสวรรค์
หลังจากเสี้ยวเทียนเดินผ่านกำแพงเข้าสู่ประตูเมืองได้ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินสุ้มเสียงอ่อนเยาว์จัดเจนเสียงหนึ่งเรียกขาน “คุณชายที่มาจากต่างถิ่นโปรดหยุดชะงักรถ” เสี้ยวเทียนจึงหยุดรถม้าหันหน้าไปทางต้นเสียงที่เรียกขาน เด็กหนุ่มชาวเมืองกว่างโจวผู้หนึ่งอายุราวสิบห้าสิบหกขวบปีเร่งรุดมาด้วยสีหน้าลิงโลดยิดดี ก่อนจะหยุดเท้ากล่าววาจา “ข้าพเจ้าเรียกว่าเสี่ยวหม่าเป็นคนเมืองกว่างโจว พูดถึงถนนหนทางที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองกว่างโจวเป็นข้ารู้ดีที่สุด ดูจากท่าทางคุณชายคงจะมาเมืองนี้เป็นครั้งแรก ถ้าคุณชายต้องการคนแนะนำที่ท่องเที่ยวจัดหาโรงเตี้ยมที่พักผ่อนหลับนอน สามารถมอบหมายต่อข้าพได้”
เสี้ยวเทียนยิ้มในใจครุ่นคิดว่าเจอเข้ากับอัธพาลน้อยแห่งเมืองกว่างโจวเข้าแล้ว จึงคิดจะเล่นด้วย
“ข้ามาจากเมืองหลวงคิดจะท่องเที่ยวไปทั่วภาคกลาง วันนี้มาถึงกว่างโจวไม่รู้แห่งหนทางเจอเจ้าเป็นอันวาศนาที่ดียิ่ง ข้าต้องการไปยังพรรคลิขิตสวรรค์แต่ก่อนจะไปเจ้าช่วยหาโรงเตี้ยมสักแห่ง ให้ข้าได้ดื่มกินให้อิ่มหนำสำราญก่อน”
เสี่ยวหม่ายิ้มออกพร้อมกล่าว “เรื่องทั้งหมดมอบให้ข้าพเจ้าจัดการ เชิญคุฯชายตามข้ามา” อันธพาลน้อยเสี่ยวหม่านำพาหลงอิงไปยังโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งที่ประตูมีป้ายแขวนไว้ซึ่งชื่อของโรงเตี้ยมว่าหอสวรรค์ เสี่ยวหม่าจัดการเอารถม้าของเสี้ยวเทียนไปฝากให้เสี้ยวเอ้อจัดเกบไว้ ส่วนตัวมันก็เดินไปเรียกเถ้าแก่ร้านของหอสวรรค์มาพบกับเสี้ยวเทียน
“เถ้าแก่นี้คือคุณชายของข้าช่วยจัดหาที่ว่างให้คุณชายของข้า พร้อมกับยกอาหารชั้นเลิศที่สุดมาให้กับคุณชายข้าด้วย” เถ้าแก่ร้านเห็นเสี่ยวหม่ามาจึงมอบเงินให้เป็นค่าที่นำพาลูกค้ามาร้านมันซึ่งเป็นรู้กันดีระหว่างมันกับเสี่ยวหม่าก่อนจะกล่าววาจา “เชิญคุณชายขึ้นชั้นสอง ร้านของข้าเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส และยังมีเหล้าดีๆอีกมากมายรับรองว่าคุณชายต้องถูกใจ เดี่ยวข้าจะให้เด็กๆจัดมาให้คุณชายอย่างดี” กล่าวจบเถ้าแก่ก็นำพาเสี้ยวเทียนขึ้นชั้นสองของร้าน จัดหาที่นั่งให้เสี่ยวเทียนก่อนจะขอตัวไป
“คุณชายที่นี้เป็นโรงเตี้ยมที่ดีที่สุดในกว่างโจว ไม่ว่าลูกนายอำเภอหรือลูกเศรษฐีต่างมาร้านแห่งนี้กันทั้งนั้น เอ่อ..”เสี่ยวหม่าหยุดกล่าววาจาแล้วมองไปที่เก้าอี้ว่างเป็นการจะขอนั่งร่วมตะกับเสี่ยวเทียน
“ อืมม ข้าลืมไปสนิท เจ้านั่งรับประทานอาหารเป็นเพื่อนข้าด้วยละกัน” เสี่ยวเทียนกล่าวจบก็ปรากฎรอยยิ้มของเสี่ยวหม่ารีบกุลีกุจอนั่งลงร่วมโต๊ะกับเสี่ยวเทียนทันที
“ขอบคุณ คุณชายที่ไม่รังเกียจข้า”เสี่ยวหม่ากล่าวขอบคุณแล้วรินเหล้าให้กับเสี้ยวเทียน
“คุณชายเหล้าของร้านนี้เป็นเหล้านารีแดงที่ทางร้านจัดซื้อมาจากเมืองหลวง คุณชายลองดื่....” “ปังงง”เสี่ยวหม่าไม่ทันกล่าววาจาจบก็มีพวกชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าปีสามคน รูปร่างใหญ่โตทุกคนถือดาบเป็นอาวุธเดินเข้ามาตบโต๊ะ
“พ่อหนุ่มน้อยดูแล้วคงเป็นพวกคนต่างถิ่น มองแล้วไม่คุ้นหน้าตา ข้าขอนั่งที่ของเจ้าแทนได้ไม่ส่วนพวกเจ้าไปนั่งข้างล่างแทนพวกข้า”
“คุณชา”เสี่ยวหม่ากำลังกล่าววาจาบอกต่อเสี่ยวเทียน แต่กล่าวไม่ทันไรเสี่ยวเทียนก็ยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน
“พี่ท่านทั้งสามข้าเป็นคนต่างถิ่นอย่างทีท่านกล่าวจริงๆ เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองกว่างโจว มีสิ่งใดขอพวกพี่ทั้งสามแนะนำด้วย ส่วนเรื่องจะของนั่งที่พวกเราสองคนนั้นตามใจพี่ท่านเลย” เสี่ยวเทียนกล่าวกับหัวหน้าของคนทั้งสามแล้วหันหน้ากลับมากล่าวกับเสี่ยวหม่าให้ลุกขึ้นลงไปนั่งชั้นล่างเสี้ยวเทียนกับเสี่ยวหม่า กำลังจะยกขึ้นออกจากโต๊ะ ก็มีสุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากชั้นล่าง “พวกเจ้าทั้งสองคนไม่ต้องลุกขึ้น นั่งให้เรียบๆร้อยๆอยู่กับที่ของเจ้านั้นละ” เสี้ยวเทียนหันหน้ามองไปทางต้นเสียงเห็นดรุณีสาวนางหนึ่งกำลังเดินขึ้นมาที่ชั้นสอง ดรุณีสาวนางนี้มีความงามที่น่าหลงใหลมองครั้งแรก็พอจะรู้ว่าต้องเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นหลักเป็นแน่แท้ เสี่ยวหม่าเห็นเสี้ยวเทียนตะลึงในความงามของนางก็รีบสะกิดพร้อมกระซิบบอกว่า “คุณชายแม่นางท่านนี้คือแม่นางจินเหยาหนิงคุณหนูแห่งพรรคลิขิตสวรรค์ที่ท่านต้องการจะไปนั้นละ” เสี้ยวเทียนผงกศรีษะตอบเสี่ยวหม่าว่าเป็นอันเข้าใจ
จินเหยาหนิงเดินขึ้นมาชั้นสองเข้าไปกล่าววาจากับอันธพาลสามคน “พวกเจ้าที่น่ารังเกียจทั้งสามถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็ไสหัวไปให้กับข้าซะ” อันธพาลเจ้าถิ่นเมื่อเห็นคุณหนูแห่งพรรคลิขิตสวรรค์ออกหน้าถึงเพียงนี้ก็รีบเดินออกจากร้านไปทันที
“ขอบคุณแม่นางที่ออกหน้าช่วยพวกเราไว้” เสี่ยวเทียนยกมือคารวะขอบคุณด้วยใบหน้าถ่อมตน
“เฮอะพวกเจ้าสองคนเป็นถึงชายชาตรี แต่กลับให้สตรีอย่างข้าปกป้อง ชั่งไม่ละอายแกใจเลย” จินเหยากล่าววาจากระแทกแดกดันเสี้ยวเทียน เสี่ยวหม่าเห็นดังนั้นดึงกล่าววาจารับแทน “คุณหนูจินเหยาหนิงคุณชายของข้าเพียงไม่อยากมีเรื่องราวใหญ่โตตั้งแต่วันแรกที่มาเมืองนี้เลยยอมพวกมันอย่างง่ายดาว จริงสิแม่นางคุณชายของข้าต้องการไปพรรคลิขิตสวรรค์ของแม่นางอยู่พอดี”
“จะไปพรรคลิขิตสวรรค์ของข้า ดูแล้วคงจะไปสมัครเป็นศิษย์พรรคข้าละสิ แต่พรรคข้าไม่รับคุณชายอ๊อนแอ๊นหรอกน่า เอาละเห็นที่เจ้ามีใจอยากเข้าพรรคข้าจริงๆ ข้าจะช่วยพูดกับท่านพ่อให้เจ้าจะได้มีวิชาติดตัวไว้ป้องกันตัวกับคนอื่นได้ ตามข้ามาละกัน” จินเหยาหนิงกล่าววาจาแผงแนวแดกดันเหมือนเดิม กล่าวจบก็เดินนำลงจากชั้นสองไม่ให้เสี้ยวเทียนได้ตอบโต้แม้ซักคำเดียว เสี้ยวเทียนเห็นดั่งนั้นจึงจีดแจงจ่ายค่าอาหารแล้วรีบตามจินเหยาหนิงไปพรรคลิขิตสวรรค์ทันที ระหว่างทางเสี่ยวหม่าแอบกระซิบวีรกรรมต่างของจินเหยาหนิงให้เสี้ยวเทียนได้ฟัง เดินทางได้สักพักก็มาถึงพรรคลิขิตสวรรค์ จินเหยาหนิงหยุดยืนอยู่หน้าประตูหันกลับมาหาคนทั้งสอง
“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์แค่ไหนถ้าจะเป็นศิษย์ของพรรคลิขิตสวรรค์ต่อไปให้เรียกข้าว่าคุณหนูเข้าใจไม่” จินเหยาหนิงกล่าววาจาอย่างแย้มยิ้มที่จะได้เห็นเสี้ยวเทียนที่มีท่าทางคุณชายต้องเรียกตัวเองว่าคุณหนู
“ขอรับคุณหนู” เสี้ยวเทียนก้มหน้ากล่าววจาอย่ามีเลสนัย
จินเหยาหนิงได้ยินเสี้ยวเทียนรับคำก็หมุนตัวเดินเข้าพรรคลิขิตสวรรค์อย่างสบายอารมณ์
-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-
100%แล้วครับ ขอโทษ(อีกแล้ว)ที่ลงช้ามากๆ ผมขอโทษ ผู้อ่านที่ติดตามผลงานผมทุกคนครับ แต่เวลาว่างมีน้อยจริงกว่าจะได้ซักตอนผมต้องใช้สมองอันจินตนการน้อยของผมคิดเปนวันๆ ซึ่งเวลาว่างขนาดนั้นของผมไม่ค่อยมี จึงอัพให้ช้า แต่ต่อไปผมจะพยายามลงให้เดือนละสอนตอนให้ได้ครับ อ้ะถ้าอ่านแล้วอย่าลืมเม้นนะครับสนับสนุนนักเขียนให้มีกำลังใจเขียนต่อหน่อยครับ
ความคิดเห็น