คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่3-ตอนที่3
7วันต่อมา ณ ห้องโถงกลางของพรรคลิขิตสวรรค์สาขาใหญ่ มีผู้คนมากมายมายืนชุมนุมกัน ผู้คนพวกนี้ก็คือบรรดาหัวหน้าสาขาที่จะไปร่วมดื่มเหล้ามงคลนั้นเอง
“หลินเอ๋อ น้องเจ้าละไปใหนทำไมยังไม่มาอีกจะได้ออกเดินทางกันซักที”จินเฉิงกล่าววาจาถามชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่รูปร่างสูงสง่า ทั้งกอปรด้วยบุคลิกที่บอกออกเป็นคำพูดนั้นยากนักแต่ดูโดยรวมแล้วถือว่าหล่อเหล่าเลยทีเดียว
“น้องเหยาหนิง มิอยากไปด้วยขอรับท่านพ่อ แต่ข้าว่าก็ดีเหมือนกันเพราะว่าพวกเราไปกันหมดก็จะไม่มีใครคอยดูแลพรรคทางนี้ นางมิอยากไปก็ให้นางอยู่ดูแลพรรคเถิดท่านพ่อ” จินหลินกล่าวตอบจินเฉิงผู้เป็นบิดาตนด้วยท่าทางนอบน้อม
“อืมงั้นก็ออกเดินทางกันได้เราจะออกเดินทางด้วยเรือเพื่อออกจากตัวเมืองกว่างโจวก่อนหลังจากออกจากตัวเมืองได้ก็จะเดินทางด้วยม้าเป็นระยะทาง500ลี้และหลังจากนั้นเราจะเช้าวิชาตัวเบาในการเดินทางเข้าในป่าอีกประมาณ100ลี้ก็จะถึงทางเข้าป่าไผ่หลงทาง เราจะช้าไม่ได้และต้องคอยตรวจสอบตลอดเวลาว่ามีคนติดตามรึไม่” จินเฉิงกล่าวอธิบายวิธีการเดินทางคร่าวๆให้บรรดาผู้ที่จะไปร่วมงานฟัง
เมื่อทั้งหมดออกเดินทางก็ใช้เวลาเพียงสองชั่วยามก็เดินทางถึงปากทางเข้าป่าไผ่หลงทางซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่ตึกลิขิตสวรรค์ ซึ่ง ณ ปากทางเข้าก็ยืนรอซึ่งด้วยบุรุษสองคนนั้นก็คือสองยอดยุทธ์นั้นเอง ซึ่งที่สองยอดยุทธ์มารอคอยพวกมันเพราะมีเหตผลสองประการหนึ่งคือมานำทางพวกมันเข้าไปในป่าไผ่หลงทาง ที่มีแต่พวกมันบรรดาฮูหยินและจินเสี้ยวเทียนเท่านั้นที่รู้วิธีเข้าออกป่าไผ่หลงทาง ซึ่งจินเฉิง จินหลง จินหู่ พวกมันสามคนแม้เคยเข้ามาอยู่ในตัวหมู่ตึกแล้วก็ไม่สามารถเดินเข้าออกได้ด้วยตนเอง ประการที่สองมันไม่ต้องการให้บรรดาพวกหัวหน้าสาขารู้วิธีเดินเข้าป่าไผ่หลงทางจึงนำผ้ามาปิดตาพวกมันและผูกเชือกไว้แต่ละคนเพื่อพาพวกมันเข้าไป ยกเว้น จินเฉิง จินหลง และจินหู่ที่ได้รับการยกเว้น เมื่อเดินทางมาถึงหมู่ตึกลิขิตสวรรค์ จินเฉิง จินหลงและจินหู่ ทั้ง3ก็ได้เปิดผ้าปิดตาให้แก่บรรดาหัวหน้าสาขาพรรคลิขิตสวรรค์ ทั้งหมดถูกนำผ้าปิดตาออกก็ต่างยินดีในใจที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นหมู่ตึกลิขิตสววรค์ หมู่ตึกที่รวบรวมคัมภีร์วิชายุทธ์ทั่วยุทธภพเอาไว้
“ท่านพ่อที่นี้ช่างสวยงามเหลือเกิน ดั่งคำที่ท่านพูดไว้ไม่มีผิด”จินหลินกล่าววาจากระซิบกับบิดาของมัน แต่ก็มิอาจรอดพ้นการได้ยินของจินเจิ้นเทียนและเหยาหมิงเต๋อไปได้
“ฮ่าๆๆ จะกล่าวชมเชยกันใยต้องกระซิบกระซาบ ทารกน้อยเอ๋ยที่นี้ใช่มีดีแต่ความสวยงามไม่ แต่ยังเป็นที่รวบรวมสรรพวิชายุทธ์ไว้มากมาย เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของจินหลินคงจะมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อยแต่ถ้าเจ้าอยากจะฝึกวิชายุทธ์ที่นอกเหนือจากพ่อเจ้าสอนให้ เจ้าก็จงขึ้นมาอยู่ที่นี้ฝึกวิชายุทธ์กับเราตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็หาเป็นไรไม่” จินเจิ้นเทียนกล่าว จินหลินได้ยินดังนั้นจึงรีบคุกเขาคารวะจินเจิ้นเทียนพร้อมกล่าวว่า
“ขอบคุณนายผู้เฒ่าใหญ่ที่เอ็นดูในตัวข้า ข้าจะตั้งใจฝึกยุทธ์ที่ท่า...” จินหลินกล่าวไม่ทันตบก็มีเสียงแทรกขึ้นมาจากด้านหลังของจินเจิ้นเทียน
“ท่านพ่อเหตใดท่านจึงจะสอนวิชายุทธ์ให้กับมัน แต่กับข้าที่เป็นบุตรีแท้ๆท่านกับไม่สอนให้ กลับให้ข้าไปเรียนกับท่านแม่” จินหลินได้ยินเสียงแทรกที่ดังขึ้นมาขัด มันจึงหันหน้าไปตามทางที่ต้นเสียงนั้นดังมา พอมันเห็นว่าต้นเสียงนั้นมาจากหญิงสาว มันถึงกับตะลึงและลอบร้องในใจถึงความสวยงามที่นับว่างดงามยิ่งเป็นความงามที่เกินคำบรรยาย งามสะคราญโฉมปานบุปผาก็มิปาน
“เจ้าจ้องมองอันใดกัน ไม่เคยเห็นสตรีมาก่อนรึยังไง” จินเหมยเห็นจินหลินจ้องมองมาที่มันจึงตวาดออกไปราวกับโมโหก็มิปาน แต่ใบหน้านางตอนนี้กับแดงเปล่งปลั่งที่หาใช่ความแดงที่เกิดจากความโกรธไม่แต่งเป็นความแดงที่เกินจากการเขินอายแบบบุรษสตรี
“เหมยเอ๋อเจ้าอย่าเสียมารยาท ที่พ่อบอกจักสอนวรยุทธ์ให้จินหลินพ่อก็จะสอนให้เจ้าและพี่ชายเจ้าด้วยเจ้าไม่ต้องวิตกกังวลไปว่าพ่อจะมิสอนให้เจ้า เจ้ายังดีกว่าพี่ชายเจ้ามากที่ตอนนี้อย่างน้อยก็เป็นวรยุทธ์ที่แม่เจ้าสอนให้ แต่พี่ชายเจ้าไม่รู้จักวรยุทธ์เลยยังไม่กล่าววาจาอันใดซักคำ” สิ้นเสียงของจินเจิ้นเทียนต่างทำให้บรรดาหัวหน้าสาขาที่มาร่วมงานแปลกใจที่ครุ่นคิดไปมาว่าลูกชายของจอมมารโลกาที่โตจนแต่งงานแล้วกับไม่รู้วรยุทธ์ มันเป็นได้อันใดกันทั้งๆที่บิดามันเป็นถึงหนึ่งในสองยอดยุทธ์
“ท่านพ่อ ท่านพี่ก็ส่วนท่านพี่สิมาเกี่ยวไรกับลูกด้วยละเจ้าคะ”
“เอาละลูกพ่อ พ่อก็บอกเจ้าแล้วว่าจักสอนให้กับเจ้าด้วยเจ้าก็อย่าโวยวายไป มาข้าจำแนะนำทุกคนให้เจ้ารู้จัก” จินเจิ้นกล่าวพลางผายมือไปยังจินเฉิง จินหลง และจินหู่ แล้วกล่าวสืบต่อว่า“เขาผู้นี้คือประมุขพรรคลิขิตสวรรค์นามจิงเฉิง ทูตขวาจินหลง ทูตซ้ายจินหู่”
“คารวะท่านอาทั้งสาม ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านจากท่านพ่อตั้งแต่เด็กๆ วันนี้ได้พบถือเป็นเกียรติแก่ข้ายิ่งนัก”จินเหมยกล่าวพลางยกมือคารวะ
“มิได้ คุณหนูท่านให้เกียรติแก่พวกเราทั้งสามมากเกินไปแล้ว” จินเฉิงกล่าวปฎิเสธน้ำใจไมตรีที่จินเหมยเรียกยกมันให้เป็นท่านอาพลางยกมือคารวะตอบ
“แล้วเจ้ามีนามว่าอันใดกัน”จินเหมยกล่าวพลางหันหน้าไปมองจินหลินที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าจินเจิ้นเทียน จินหลินได้ยินจินเหมยกล่าววาจาถามไถ่มัน จึงอดจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้พลางลุกขึ้นแล้วกล่าตอบจินเหมยว่า
“คุณหนูข้าน้อยมีนามว่าจินหลินขอรับ”
“เอาละเป็นว่ารู้จักกันแล้วก็เข้าไปในงานกันเถิด จะได้เริ่มพิธีไหว้ฟ้าดินกัน” เหยาหมิงเต๋อกลัวว่าทั้งหมดจะกล่าวความกันยืดยาวจึงกล่าวชักชวนทุกคนเข้าไปในตัวหมู่ตึกลิขิตสวรรค์
กล่าวถึงพิธีการเนื่องจากทั้งเจ้าบ่าว(จินเสี้ยวเทียน)และเจ้าสาว(เหยาไป๋หลิน)อยู่บ้านหลังเดียวกันพิธียกน้ำชาให้ทางพ่อแม่ทางฝ่ายเจ้าสาวและฝ่ายเจ้าบ่าวจึงจัดพร้อมกัน ดังนั้นห้องโถงกลางทั้งพ่อและแม่ของทั้งสองฝ่ายจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีโต๊ะตั้งกลางระหว่างพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวและฝ่ายเจ้าบ่าว พิธีเริ่มจากหนึ่ง....คำนับฟ้าดิน สอง.....คำนับพ่อแม่ สาม....คำนับกันและกัน เมื่อจินเสี้ยวเทียนและไป๋หลินคำนับซึ่งกันและกันเสร็จก็ถึงพิธียกน้ำชาโดยทั้งคู่ยกน้ำชาให้พ่อและแม่ของไป๋หลินก่อนตามด้วยพ่อและแม่ของจินเสี้ยวเทียน และตามด้วยจินเฉิง จินหลง จินหู่และบรรดาหัวหน้าสาขา
หลังจากเสร็จพิธียกน้ำชาก็ถึงเวลาเข้าห้องหอ ซึ่งห้องหอนั้นก็คือห้องของเสี้ยวเทียนนั้นเองที่ตอนนี้จัดแจงใหม่ โดยเพื่อนเจ้าสาวซึ่งจินเหมยเป็นคนรับหน้าที่นี้ เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ทั้งสองก็ต่างประคองกันไปยืนกันที่กลางห้องแล้วมองหน้าซึ่งกันและกัน
จินเสี้ยวเทียนค่อยๆยกมือของมันขึ้นประคองลูบแก้มเนียนๆของเหยาไป๋หลินอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวว่า
“ข้ารักเจ้ามากเลยรู้ไม่ไป่หลิน....วันเวลาที่ข้าได้ใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าตั้งแต่เยาว์วัยในแต่ละวันมันชั่งมีความสุขเหลือเกินและวันนี้ก็มาถึงวันที่เจ้าจักเป็นขอข้าและข้าก็จักเป็นของเจ้า”
“เสี้ยวเทียน...” ไป๋หลินกล่าวเสียงด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน พลางเอียงหน้าหลบ
“เจ้าจะหลบหน้าข้าไปใย” เสี้ยวเทียนกล่าวพลางไล้มือของมันลงเชยคางของนางขึ้นมาเล็กน้อย และมันก้ค่อยเอนตัวพร้อมก้มศรีษะลงไปที่ใบหน้าของไป่หลิน มันก้มหน้าจนจมูกของมันชนเข้ากับจมูกของไป๋หลินแล้วก็ชะงักหยุดลงพลันกล่าวว่า
“ไป๋หลินข้าบอกความในใจแก่เจ้าแล้ว แล้วเจ้าละไม่คิดจะบอกความในใจเจ้าให้ข้ารับรู้เลยรึ”
“ขะขะข้าก็รัก...” ไป๋หลินกล่าววาจามิทันจบเสี้ยวเทียนก็เสนอเรียวปากเข้าจูบนางอย่างเร้าร้อนพร้อมกับลูบไล้มือลงไปรัดเองของนางและดึงตัวนางให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม ทางด้านไป๋หลินเมื่อเสี้ยวเทียนเสนอจูบอันเร้าร้อนให้กับสาวเจ้า นางก็ใช้สองมือเข้าไปพัวพันรัดเกี่ยวคอของเสี้ยวเทียนพร้อมส่งลิ้นเข้าไปในปากอีกฝ่ายพัวพันกับลิ้นของเสี้ยวเทียนเป็นการตอบ เมื่อเป็นดังนี้ทั้งสองต่างปล่อยตัวปล่อยใจรวมร่างกายเลือดเนื้อและจิตใจกับอีกฝ่ายด้วยกันอย่างกลมกลืน
จินเสี้ยวเทียนตื่นเช้าขึ้นมาในใจครุ่นคิดถึงราตรีที่แสนจะมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราตรีที่ผ่านมาเมื่อคืนชั่งต่างจากราตรีในคืนอื่นที่ต้องนอนคนเดียว แต่ราตรีเมื่อคืนกับเป็นราตรีที่อบอุ่นอันเกิดจากความรักอันร้อนแรงที่ทั้งสองส่งผ่านกัน มันครุ่นคิดส่วนครุ่นคิดแต่สายตามันตอนนี้ก้มลงไปดูไป๋หลินที่กำลังนอนหลับอย่างสนิทอยู่ในอ้อมอกของมัน มันค่อยๆบรรจงยกศรีษะของนางออกจากอ้อมอกและค่อยลุกขึ้นมานั่งมองดูไป๋หลินที่ยังหลับใหลไม่รู้สึกตัว มันมองหน้านางอยู่เป็นพักใหญ่พลางครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เมือมันออกจากพวังการครุ่นคิดมันก็ค่อยๆโน้มหน้าลงจุมพิตที่เนินหน้าผากของไป๋หลินอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวจะให้นางตื่นจากการหลับใหล แต่ทางไป๋หลินเหมือนจะรู้สึกความรักที่เสี้ยวเทียนส่งผ่านไปได้จึงส่งเสียงดังอืมมมออกมาจากลำคออย่างแผ่วเบา แต่นางก็หาได้ตื่นขึ้นมาไม่นางก็ยังคงหลับใหลต่อไป เสี้ยวเทียนเห็นดังนั้นจึงตัดใจเดินจากห้องออกมา
ในทางส่วนพิธีการถ้าผิดพลาด จากพิธีรีตองจริงก็ขออภัยด้วยครับ เนื่องจากผมหาข้อมูลแล้วแต่ก็ยังหาไม่ได้มากพอ
ปล.ช่วงนี้ผมจะอัพตอนใหม่ให้ถี่ๆได้เพราะเป็นช่วงหยุดสงกรานต์ รร.พิเศษหยุด แต่หลังจากวันที่17เป็นต้นไปผมอาจหยุดลงยาวไปถึงปลายเดือนเมษายนเลยครับ เพราะต้องเรียนพิเศษทั้งวัน ไม่มีเวลาว่างเลยจริงๆ ต้องขออภัยไว้ณที่นี้ด้วยที่ต้องให้รอนาน แต่หลังจากวันที่29 เม.ย เรียนจบคอส แล้วจะ กลับมาอัพให้ถี่ๆแน่นอนครับ สุดท้ายนี้ขอฝากผลงานด้วยนะครับ ช่วยกันเม้นเยอะๆๆ เด้อ
ความคิดเห็น