คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จูบแรก---100%
ตอนที่
2 จูบแรก
เช้าวันหนึ่งหลังจากเลิกคุยโทรศัพท์กับหัวหน้าช่าง
ที่โทรมารายงานว่าเครื่องบรรจุขัดข้องทำให้ต้องหยุดไลน์บรรจุเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อหนึ่ง
ประวิทย์ดื่มกาแฟไม่ทันหมดแก้วก็ต้องรีบผุดลุกขึ้นยืนสีหน้ามีความกังวล เด็กรับใช้รีบถือสูทเข้ามาส่งให้เจ้านายอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะถือกระเป๋าเอกสารเดินนำไปที่รถซึ่งถูกนำมาจอดรอไว้หน้าบ้าน
“อ้าว
จะไปเลยหรือคุณ ไม่รอยายนินาก่อนหรือคะ” ศศิมาวัยสี่สิบปีเศษวางถ้วยกาแฟลงพลางย่นคิ้วเอ่ยถามสามี
เมื่อเห็นว่าเขาลุกขึ้นเตรียมจะไปทำงานทั้งๆ ที่กรกมลลูกสาวคนเดียวของเธอขอติดรถไปกับพ่อด้วย
เพราะว่ารถยังซ่อมไม่เสร็จ
“งานมีปัญหาผมรอไม่ได้แล้ว”
คนถูกถามถอนหายใจดังเฮือกแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลาแล้วทำหน้ายุ่งยากใจ
ใช่ว่าไม่อยากรอหรือไม่อยากให้ลูกสาวติดรถไปด้วย
แต่รอจนเกือบหกโมงครึ่งแล้วป่านนี้กรกมลยังแต่งตัวไม่เสร็จจะต้องรออีกนานแค่ไหนกัน
อีกอย่างเขาต้องไปรับชญานินที่คอนโดฯ
แล้วพาเธอไปส่งที่ทำงานและมันก็คนละเส้นทางกับมหาวิทยาลัยของลูกสาวคนเล็ก
“แล้วยายนินาล่ะคะ” ภรรยาถามเสียงสูง
“ให้ยายนินาเอารถคุณไปใช้ก็แล้วกัน
วันนี้คุณไม่ได้ไปไหนไม่ใช่เหรอ
ผมจะต้องรีบไปแล้วกว่าจะไปรับเจสซี่แล้วพาไปส่งที่ทำงาน ไหนจะต้องขับรถย้อนไปโรงงานที่ปทุมฯ
กว่าจะถึงก็สายกันพอดี”
คนเป็นสามีพูดอย่างตัดสินใจว่าความคิดถูกต้องแล้วเพราะรถของภรรยาว่างอยู่
แต่ว่ามันไม่ถูกใจทั้งภรรยาและลูกสาวคนเล็กที่เดินลงมาได้ยินเข้า
“ประเด็นมันไม่ใช่อยู่ที่รถของฉันว่างหรือไม่ว่างนะคะคุณ
แต่มันอยู่ที่ยายนินาอยากจะนั่งรถไปกับพ่อต่างหาก
ถ้าคุณไปรับลูกสาวคุณได้แล้วทำไมคะ
กะอีแค่จะรอลูกสาวฉันสักนิดสักหน่อยทำไมต้องทำรีบร้อนด้วย” ศศิมาพูดเสียงสูงต่อว่าสามีอย่างไม่พอใจ
ยิ่งรู้ว่าเขาไม่กล้าหือเพราะเกรงใจพ่อตาและแม่ยายที่เคยอุปการะส่งเสียให้ประวิทย์เรียนจนได้ดิบได้ดีมาถึงทุกวันนี้ก็ยิ่งได้ใจและเอาแต่ใจตัวเอง
“นั่นสิคะคุณพ่อ
ทำไมคะนินาไม่ใช่ลูกพ่อเหมือนพี่เจสซี่หรือคะ?”
กรกมลลูกสาววัยยี่สิบปีทำหน้ากระเง้ากระงอดอย่างตัดพ้อผู้เป็นพ่อ
“คุณศศิ ยายนินา มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
ประวิทย์พูดยานคางพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็นทั้งที่ภายในใจกำลังหงุดหงิด ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรโทรศัพท์มือถือที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตก็ดังขึ้นเสียก่อน
เขาจึงล้วงออกมากดรับสายทันทีเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏขึ้นหน้าจอ
“สวัสดีภูบดินทร์ มีอะไรหรือเปล่าโทรมาหาลุงแต่เช้า”
“คุณลุงทราบปัญหาที่โรงงานแล้วใช่ไหมครับ”
“ลุงเพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองกำลังจะรีบไปอยู่พอดี
ฝากเรียนคุณดวงแขด้วยว่าลุงได้ให้คำแนะนำการแก้ไขไปแล้ว
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงคิดว่าคงเดินไลน์บรรจุได้ตามปกติ แต่ลุงคงไปถึงโรงงานช้าหน่อยนะภูบดินทร์
รถยายนินายังซ่อมไม่เสร็จ ลุงต้องแวะไปส่งแกที่มหาวิทยาลัยก่อน ส่วนเจสซี่เดี๋ยวจะโทรไปบอกให้นั่งแท็กซี่ไปเอง”
“ครับ ผมจะเรียนคุณอาให้ตามนั้น ส่วนเจสซี่...
เดี๋ยวผมจะแวะไปรับให้ก็ได้ครับเพราะว่าผมผ่านเส้นทางนั้นอยู่แล้ว”
“อืม เอาตามนั้นก็ได้
ลุงจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ขอบใจมากภูบดินทร์” ประวิทย์จบการสนทนากับคนต้นสายด้วยความโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
ทีนี้ก็เหลือแต่ลูกสาวคนเล็กถึงรีบอย่างไรก็คงต้องไปส่งไม่งั้นภรรยาคงทำหน้าบึ้งตึงไม่เลิกสักที
“ใครโทรมาคะคุณพ่อ?”
กรกมลเอ่ยถามบิดาสีหน้าของเธอไม่สู้จะดีนัก
การสนทนาของคนที่เธอเรียกว่าพ่อกับต้นสายที่เพิ่งจบไปทำให้เธอถึงกับนิ่วหน้าเพราะได้ยินทุกคำพูด
เธอกำลังอิจฉาพี่สาวต่างมารดาที่จะได้นั่งรถไปทำงานพร้อม ภูบดินทร์ชายหนุ่มรูปหล่อที่เธอแอบปลื้มมานานตั้งแต่อายุสิบห้าปี
หลังจากเคยติดตามพ่อไปงานเลี้ยงฉลองบริษัทครบรอบสิบห้าปีที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
“ถ้าพร้อมแล้วก็ตามไปที่รถนะนินา เร็วๆ ด้วยล่ะ
เดี๋ยวจะสายมากไปกว่านี้”
ประวิทย์ไม่มีเวลาตอบคำถามเรื่องที่ลูกสาวสนใจ
เขาพูดเร่งรัดลูกสาวคนเล็กให้รีบเดินตามไปที่รถ โดยมีสายตาของภรรยามองค้อนจนตาคว่ำ
เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบจนภรรยาได้ใจ นั่นเป็นเพราะรู้สึกสำนึกบุญคุณพ่อตาแม่ยายที่ช่วยให้ทุนการศึกษาระหว่างที่เขาอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรม
และท่านยังไว้วางใจยกลูกสาวให้เขามาดูแลอีกด้วยเพราะเชื่อในความสามารถ
ลูกเขยอย่างประวิทย์ก็ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เขาเป็นคนมีความสามารถสูง
เริ่มทำงานตำแหน่งวิศวกรไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นผู้จัดการโรงงานในปัจจุบัน
การนั่งรออยู่ในรถนานราวสิบนาทีไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ภูบดินทร์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ
แต่เป็นเพราะทรงศักดิ์ก้าวขึ้นมานั่งประจำที่คนขับพร้อมทั้งปิดประตูเตรียมจะเคลื่อนรถออกไปโดยไม่มีชญานินเลขานุการสาวผู้ที่เขาโทรศัพท์ไปบอกด้วยตัวเอง
ว่าจะมารับเธอไปทำงานพร้อมกันและยังบอกเหตุผลด้วยว่าเพราะอะไร แต่เธอตั้งใจขัดขืนคำสั่งและเขาก็ไม่ชอบเสียด้วยสิคนที่ชอบขัดใจ
“ผมต้องขอโทษนะครับนายที่ทำให้รอนาน”
ไม่มีเสียงตอบจากคนนั่งข้างหลังมีเพียงเสียงถอนหายใจดังเฮือกออกมา
รถยนต์คันหรูจึงเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ เพราะข้างหน้ารถติดค่อนข้างมากแล้วไหนจะมีพวกเปิดไฟขอทางเพื่อหลบเลี่ยงเลนที่รถติดหนาแน่น
ทรงศักดิ์คนขับรถให้เจ้านายก็ใจดีชะลอให้คันอื่นแทรกเข้ามาได้ทุกครั้ง
กระทั่งได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะจากภูบดินทร์ก่อนคนขับรถวัยกลางคนจะถูกเขาพูดประชดประชันใส่
“ถ้าใจดีนักลงไปเป็นอาสาสมัครจราจรเลยดีไหม
เดี๋ยวผมจะลงไปขับเอง”
สิ้นคำนั้นต่อให้มีใครเปิดไฟขอทางทรงศักดิ์ก็ไม่สน
และขอให้มีช่องว่างเถอะจะเล็กแค่ไหนคนขับรถวัยกลางคนก็ไม่หวั่นเปิดไฟเลี้ยวเสร็จก็แทรกเข้าไปทันที
นาทีนี้ไม่สนแล้วว่ารถจะเฉี่ยวชนกันหรือไม่ ขอให้ไปไวๆ ถูกใจเจ้านายก็พอและก็ไปถึงบริษัทได้ในเวลาไม่ช้าไม่นานและปลอดภัย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณภูบดินทร์”
ชญานินเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเคยชินและติดปากมากกว่าจะพูดภาษาไทย
เธอโปรยยิ้มหวานจนเกินเหตุทั้งที่เห็นแล้วว่าเจ้านายเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดใกล้เข้ามา
และเพียงแค่ปรายตามองเธอเท่านั้น
ทว่าก่อนจะเดินเลยโต๊ะทำงานของเธอที่อยู่หน้าห้องเจ้านาย
เสียงห้วนจัดที่เธอประเมินไว้แล้วว่าจะต้องได้ยิน หลังจากหนีขึ้นแท็กซี่มาก่อนที่เขาจะส่งรถไปรับก็ดังขึ้นจริงๆ
เสียด้วย
“ชงกาแฟแล้วเอาเข้าไปให้ด้วย”
“ได้ค่ะ”
เธอขานรับเสียงดังฟังชัดสีหน้าเจือรอยยิ้ม ก่อนที่ประตูห้องเจ้านายจะถูกปิดดังปังตามมาติดๆ
จากนั้นไม่นานนักกาแฟร้อนหอมกรุ่นฝีมือการชงของเลขาฯ
คนใหม่ก็ถูกยกเข้าไปวางให้เจ้านายที่โต๊ะทำงาน
“กาแฟมาแล้วค่ะ แต่ยังร้อนอยู่นะคะ”
สาวสวยลูกครึ่งพูดกลั้วหัวเราะอย่างอดไม่ไหวจริงๆ
หลายนาทีผ่านไปแล้วเจ้านายหนุ่มหล่อของเธอยังแบกหน้าบึ้งตึงได้คงเส้นคงวาไม่เมื่อยบ้างหรือไงก็ไม่รู้
คงโกรธที่เธอขัดคำสั่งล่ะสิ แต่มันช่วยไม่ได้เธอคิดอยู่ในใจพลางยักไหล่
เธอก็มีแขนมีขาสามารถไปไหนมาไหนเองได้ทำไมต้องมาวุ่นวายกับความเป็นส่วนตัวของเธอด้วย
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง
เมื่อเห็นชญานินหมุนตัวเตรียมจะผละออกไป เขามองเธอแบบผาดๆ
ไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าและเท้าจรดหัวสองสามรอบ ไม่กล้ามองเต็มตาเกรงจะเสียมารยาท
แต่ละชุดที่เธอเลือกมาใส่ทำงานมันทำให้เขาไม่มีสมาธิ
และเขาก็ไม่ใช่คนกามตายด้านเธอจะรู้ตัวบ้างไหมว่าการแต่งกายของเธอมันยั่วยวนกิเลสผู้ชาย
และเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ชายอันตรายพวกนั้นเสียด้วย
“มีอะไรเหรอคะคุณภูบดินทร์”
ชญานินเอ่ยถามพลางก้มมองสำรวจตัวเองแล้วแกล้งตีสีหน้างุนงง
เธออ่านสายตาคมกล้าคู่นั้นออกว่าเขากำลังตำหนิ แต่มันช่วยไม่ได้เพราะเธอคุ้นเคยกับเสื้อผ้าพวกนี้
อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่พวกแม่ชีจะได้แต่งเสียมิดชิดโผล่ออกมาแค่ใบหน้า
“เดี๋ยวออกไปนี่ ไปพบคุณจิตราแผนกบุคคล
ผมจะสั่งให้เขาดูแลชุดยูนิฟอร์มให้คุณใหม่”
“ขอเหตุผลด้วยค่ะว่าทำไม ชุดของเจสซี่ไม่ดีตรงไหน คนอื่นก็เห็นใส่ยังไงก็ได้นี่คะ”
เธอเลิกคิ้วถาม
เพราะเธอเติบโตมาในสังคมประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมให้มีอะไรติดค้างในใจเด็ดขาด
ส่วนภูบดินทร์ก็ไม่ชอบคนเรื่องเยอะที่ผ่านมาเขาสั่งอะไรมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น
แต่เลขาฯ คนนี้มักทำให้เขาหงุดหงิดด้วยคำถามที่ว่าอะไร ทำไม ยังไง
เขาจึงโพล่งขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม
“ผมต้องการคนมาทำหน้าที่เลขาฯ
ไม่ได้ต้องการนางยั่ว... คุณเข้าใจใช่ไหม”
“อ๊ายย... หยาบคายมาก คุณภูบดินทร์พูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไงคะ”
ชญานินหน้าแดงจัดด้วยความโกรธที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกชอบยั่วยวน
เธอเม้มปากจนเป็นเส้นตรงพลางก้มสำรวจตัวเองอีกรอบมันก็แค่เสื้อผ้ารัดรูปที่บังเอิญดุนดันส่วนที่อวบอูมจนล้นออกมา
และกระโปรงก็เน้นสะโพกกลมกลึงให้โดดเด่นออกมาบ้างเท่านั้นเอง
มันผิดด้วยหรือที่คนหุ่นดีอย่างเธอจะใส่เสื้อผ้าพวกนี้
อยู่เดนมาร์กเธอโนบราเดินโทงๆ หรือเวลาไปเที่ยวทะเลเธอใส่แค่บิกินีตัวเดียวเท่านั้นไม่เห็นมีใครมาสนใจมาจ้องจับผิดเหมือนคนที่นี่เลย
‘พวกคนหัวเก่าตกยุคเหมือนพ่อไม่มีผิด’ เธอนึกค่อนขอดเขาอยู่ในใจ
“ใช่ มันหยาบคาย
แต่ถ้าคุณยังใส่เสื้อผ้าแบบนี้คุณอาจเจอยิ่งกว่าคำว่าหยาบคาย
หรือว่าเคยเจอมาแล้วแต่เมาจนจำอะไรไม่ได้ล่ะ ออกไปได้แล้วผมจะทำงาน”
ภูบดินทร์ยอมรับว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด
แค่เธอขัดใจไม่ยอมมาด้วยไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะอารมณ์เสียอะไรนักหนา
เขาออกปากไล่แล้วลดตัวลงบนเก้าอี้ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจ่อปาก ทว่าเมื่อจิบกาแฟเข้าไปหนึ่งอึกเขาแทบจะต้องพ่นทิ้งไม่ใช่เพราะมันร้อน
แต่เป็นเพราะว่ารสชาติมันห่วยแตกมากตั้งแต่เคยดื่มมา รองเท้าส้นเข็มของชญานินกระแทกพื้นเสียงดังกึกๆ
ออกไปยังไม่พ้นห้องก็ถูกเจ้านายหัวเสียเรียกกลับมาอีกครั้ง
“กลับมาก่อนเจสซี่”
“นอกจากเป็นพวกชอบยั่วยวน
ยังมีอะไรจะต่อว่าอีกหรือคะ?”
เธอหันขวับกลับมาพูดน้ำเสียงสูงอย่างไม่สบอารมณ์
“แน่ใจหรือว่านี่เป็นกาแฟรสชาติที่ผมดื่ม” เขาว่าเสียงเข้มแล้วกระแทกถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะดังกึก
“แน่ใจค่ะ เจสซี่ชงตามสูตรที่พี่สุให้ไว้เป๊ะ
กาแฟหนึ่ง น้ำตาลสอง ครีมเทียมสอง”
เธอยิ้มแล้วยืดอกตอบอย่างมั่นใจ
ทว่ามันเหมือนท่ายั่วยวนเสียมากกว่า เพราะอกอิ่มที่เบียดชิดกันแทบล้นออกมาจากเสื้อคอเว้าลึกมันดีดดันขึ้นมาจากการยืดอก
ภูบดินทร์ตาพร่าพรายหายใจติดขัดไปชั่วขณะที่เผลอมองเข้าไป
ก่อนจะกดเสียงต่ำลงเพื่อข่มอารมณ์บางอย่าง
“ไปเปิดตำราที่จดไว้ดูให้ดีแล้วชงมาให้ผมใหม่จะได้รู้ว่าที่ทำมาเนี่ย
มันสูตรชงกาแฟหรือชงนม... กันแน่!” สายตาคร้ามคมที่จ้องหน้าเธออยู่ลดต่ำลงมาบริเวณหน้าอกอวบของเธออย่างไม่ตั้งใจ
แต่มันก็ทำให้ชญานินตัวร้อนผ่าวทั้งโกรธทั้งอับอายจนใบหน้าขาวอมชมพูสีเข้มมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
รีบคว้าแก้วกาแฟมาใส่ถาดแล้วเดินผลุนผลันออกไป
“ฮึ ทำนิสัยเหมือนเด็ก ใครพูดไม่ถูกหูหรือขัดใจหน่อยก็งอนตุ๊บป่องๆ
มิน่าเข้ากับแม่เลี้ยงไม่ได้”
เขาเบ้ปากพูดพึมพำพลางส่ายหน้า
เท่าที่ดูจากแฟ้มประวัติลูกสาวผู้จัดการโรงงานคนนี้เธออายุยี่สิบสี่ปี
อายุน้อยกว่าเขาถึงหกปีความจริงเธอไม่ใช่เด็กแล้ว
เธอเรียนจบปริญญาตรีด้านการออกแบบแฟชั่นสตรีมาจากเดนมาร์ก
และเธอก็รักอาชีพนางแบบเป็นชีวิตจิตใจ ครั้นไม่ได้รับการสนับสนุบและถูกพ่อบังคับให้มาเป็นเลขานุการส่วนตัวของเขา
เธอจึงต่อต้านเขาทุกเรื่อง
ขณะนั้นด้านนอกเลขานุการคนใหม่หยิบตำราออกมากางบนโต๊ะอย่างมั่นใจ
เธอไล่นิ้วเรียวตรวจทุกตัวอักษรที่จดไว้ก่อนจะรู้สึกหน้าแตกยับเยิน กาแฟสอง
น้ำตาลหนึ่ง ครีมเทียมหนึ่งต่างหากคือสูตรกาแฟสำหรับเจ้านาย ไม่ใช่กาแฟหนึ่ง
น้ำตาลสอง ครีมเทียมสองอย่างที่ชงไปให้
มิน่าเขาถึงถามว่ามันสูตรชงกาแฟหรือชงนมกันแน่ กระนั้นเธอก็ยังอดพูดกระแนะกระแหนเสียมิได้
“ดื่มซะขมปี๋ มิน่าถึงได้เป็นคนหัวเก่าคร่ำครึ”
ไม่สิ อาจจะแค่หัวเก่าแต่คงไม่คร่ำครึหรอกมั้ง พอพูดคำว่า ‘ชงนม’ สายตาประหลาดของเขาจ้องมองหน้าอกเรา อี๊...
มันเกี่ยวกันไหมน่ะ เธอยืนบริภาษเจ้านายอยู่ในใจหลายนาที จากนั้นกาแฟแก้วใหม่ถูกยกเข้ามาให้เจ้านายอีกครั้ง
ก่อนชญานินจะเดินออกไปอย่างโปร่งโล่งไม่ถูกตำหนิอีก
เพราะว่าเจ้านายของเธอไม่ได้สนใจแก้วกาแฟที่วางไว้ให้
เขากำลังสนทนาทางโทรศัพท์กับใครคนหนึ่ง ทว่าดูจากสีหน้าและรอยยิ้มบางๆ ตลอดการพูดคุยคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญและคนสำคัญด้วยเช่นกัน
“ผมคิดถึงคุณพ่อ คุณแม่ คิดถึงภูริชมากที่สุดเลยครับ
คุณแม่จะเข้ามากรุงเทพฯ อีกเมื่อไหร่ครับ”
ภูบดินทร์พูดออดอ้อนมารดาข้ามจังหวัดไปเชียงใหม่ด้วยความรักและคิดถึงครอบครัวของเขา
ภาคภูมิพ่อของเขาเป็นชาวเชียงใหม่เป็นเจ้าของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง
ส่วนปารดาแม่ของเขาเป็นชาวกรุงเทพฯ หลังจากพ่อและแม่แต่งงานกันแม่ก็ย้ายไปช่วยพ่อดูแลกิจการโรงแรมที่จังหวัดเชียงใหม่
“เอาไว้ถ้ารู้วันแน่นอนเมื่อไหร่แม่จะโทรมาคอนเฟิร์มอีกทีดีไหม”
ปารดาเอ่ยกับลูกชายฝาแฝดผู้พี่คนนี้อย่างแสนรัก นานหลายเดือนแล้วที่นางไม่เจอหน้ากัน
ปกติเขาจะบินไปเยี่ยมครอบครัวอยู่บ่อยๆ แต่เห็นว่าช่วงนี้ยุ่งๆ นางจึงเป็นฝ่ายจะมาเยี่ยมลูกชายกับน้องสาวของสามี
และจะถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมครอบครัวของเพื่อนเก่าที่กรุงเทพฯ ด้วย
“คุณพ่อกับภูริชสบายดีใช่ไหมครับคุณแม่”
“คุณพ่อสบายดี แต่ภูริชบินไปอังกฤษ เอ...
นี่น้องไม่ได้บอกภูเหรอลูก”
“เปล่าครับ แล้วภูริชไปทำอะไรที่อังกฤษอีกครับ เมื่อสามเดือนก่อนก็ไปมาแล้วครั้งหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ๆ
ตอนนั้นเพื่อนนักเรียนอังกฤษนัดไปพบปะสังสรรค์กันที่โน่น
แต่ไปคราวนี้เห็นบอกว่าไปงานศพอาจารย์น่ะ”
“เหรอครับ”
“ใช่จ้ะ ภูสบายดีไหมลูกเห็นอาแขบอกว่าช่วงนี้ลูกยุ่งๆ
งานมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ผมสบายดีครับคุณแม่ เรื่องงาน...
ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ”
แรกทีเดียวภูบดินทร์ขมวดคิ้วจนเกือบชนกันนึกไม่ออกว่ายุ่งเรื่องอะไร
พลันนั้นเขาก็คิดได้ว่าคงเป็นเรื่องของเลขานุการจอมดื้อรั้นล่ะมั้ง
ที่เผลอไปบ่นให้ผู้เป็นอาฟัง และอาคงเล่าให้มารดาฟังอีกต่อหนึ่ง
เขาจึงรีบแก้ต่างแล้วอมยิ้มอย่างนึกขำตัวเอง
ชญานินกำลังนั่งทำงานเพลินๆ
เสียงสปีกเกอร์โฟนดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งตกใจอีกครั้ง
จากนั้นจึงรวบรวมสติตั้งใจฟังว่าเจ้านายจะสั่งให้ทำอะไร
“เจสซี่ขอกาแฟอีกแก้วนึง”
“ได้ค่ะ รอสักครู่”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาแบบโล่งๆ น้ำเสียงปกติของคนที่ขอกาแฟเพิ่มแสดงว่ากาแฟแก้วที่สองผ่านแล้ว
เพราะเธอท่องสูตรชงกาแฟได้อย่างขึ้นใจทีเดียว
“กาแฟได้แล้วค่ะ”
กาแฟถ้วยเดิมที่ยังไม่พร่องเลยสักนิดถูกมือเรียวยกมาใส่ถาด
หลังจากวางถ้วยใหม่ให้เขา
คิ้วโก่งสวยขมวดจนหน้ายุ่งฝีมือการชงกาแฟของเธอมันห่วยอยู่อีกหรือ
ทั้งที่เธอมั่นใจว่าเธอชงตามสูตรเป๊ะ หรือจะเป็นเพราะเขากลั่นแกล้งเธอกันแน่
คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าสวยก็เชิดขึ้นยืนคอแข็งริมฝีปากถูกเม้มจนเป็นเส้นตรง
“ขอบใจ ไม่ต้องเสียความมั่นใจขนาดนั้นหรอก ถ้วยนั้นผมยังไม่ได้ดื่ม
พอดีคุยโทรศัพท์เพลินไปหน่อยมันเย็นไปเสียก่อนก็เลยไม่ได้ดื่ม”
น้ำเสียงทุ้มและใบหน้าอ่อนโยนของเขาที่ติดพันมาจากการคุยโทรศัพท์กับมารดาทำให้ชญานินผ่อนคลายจากท่ายืนเมื่อสักครู่
นึกขอบคุณคนสำคัญที่ไม่รู้ว่าเป็นใครแต่มันทำให้เจ้านายอารมณ์ดีแบบนี้
จะได้ไม่มีเวลามาจ้องจับผิดหรือคิดทดสอบความสามารถของเธออีก
เสียงฝีเท้ากุบๆ จากผู้ที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงดังเข้ามาใกล้จนมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
ชญานินละสายตาจากตารางนัดหมายของเจ้านายที่บันทึกลงไอแพดเธอกำลังสไลด์ไปมาอย่างเซ็งๆ
เงยหน้าขึ้นมอง ผู้หญิงหน้าตาสวยรูปร่างอ้วนแต่งหน้าเข้มจัดยืนเชิดขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะทักทาย
เธอจึงทักทายแขกตามมารยาท
“สวัสดีค่ะไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“คุณภูอยู่ข้างในใช่ไหม”
เสียงห้วนถามกลับเหมือนคนอารมณ์เสียมาแต่ชาติปางก่อน
“อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรและนัดไว้หรือเปล่าคะ”
ชญานินข่มความหงุดหงิดเอาไว้แล้วสอบถามอย่างใจเย็น
“แค่ตอบว่าอยู่หรือไม่อยู่ก็พอแล้ว ถามเซ้าซี้อยู่ได้” คนอารมณ์เสียว่าพลางสะบัดหน้าพรืด ก้าวขาฉับๆ ตรงรี่จะเข้าไปในห้องของคนที่เจ้าหล่อนต้องการจะพบ
ครั้นถูกขัดขวางจากเลขานุการหน้าห้องที่เข้าไปยืนขวางไว้ได้ทัน เสียงตวาดแหวจึงดังลั่นเข้าไปถึงข้างใน
“มีอะไรกันเจสซี่... อ้าว! เม
คุณมาที่นี่อีกทำไม?”
ภูบดินทร์ได้ยินเสียงเอะอะรีบเปิดประตูออกมาถาม
ทว่าพอเห็นคู่ควงที่เขาปลดประจำการไปนานแล้ว
จึงรู้ว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นสีหน้าเขาตึงจัด เสียงที่ถามผู้มาเยือนจึงเย็นชาเพราะเขาไม่ชอบผู้หญิงที่คอยตามตื๊อคนอย่างเขาจบแล้วจบเลย
เมธินีพริตตี้สาวสวยเมื่อก่อนเธอเป็นผู้หญิงสวยเซ็กซี่รูปร่างเล็กควงไปไหนมีแต่คนอิจฉา
เขาใช้บริการเธออยู่เกือบปีพอเบื่อๆ ก็เลิกรากันไปโดยไม่มีข้อผูกมัด แต่เขาก็จ่ายเงินให้เธอไปจำนวนไม่น้อย
ผ่านไปเกือบปีเขาพบเธออีกครั้งด้วยความบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้
ร่างกายของเธอเปลี่ยนไปมากจากสาวสวยรูปร่างเซ็กซี่เปลี่ยนเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วน
จึงทราบว่าเธอมีโรคประจำตัวต้องกินฮอร์โมนควบคุม และมีผลข้างเคียงทำให้ร่างกายเธออ้วนขึ้นเรื่อยๆ
จนไม่เหลือหุ่นสวยๆ ของพริตตี้เหมือนเมื่อก่อน
“คุณภูขา... เมมีธุระจะเข้าไปพบคุณค่ะ แต่เลขาฯ
ของคุณขวางไว้ไม่ให้เมเข้าไป” สาวสวยรูปร่างอ้วนถลาเข้าไปกอดแขนล่ำแล้วจีบปากจีบคอรายงาน
แม้คนที่ถูกกอดจะทำหน้าเย็นชาใส่ให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เจ้าหล่อนก็ไม่สน
“เจสซี่ เดี๋ยวเอาเครื่องดื่มตามเข้าไปสองที่” สิ้นคำนั้นเจ้าหล่อนก็หันไปยิ้มเย้ยชญานิน
ก่อนสะบัดหน้าพรืดโยกย้ายสะโพกเด้งดึ๋งดั๋งเดินตาม ภูบดินทร์เข้าไปภายในห้องอย่างมีความหวังอีกครั้งหนึ่ง
พอคล้อยหลังเจ้านาย เลขานุการเปิดปากยิ้มเยาะพลางยักไหล่ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายหล่อ
รวย เพอร์เฟกต์ อย่างเขาจะมีรสนิยมชอบผู้หญิงอ้วน เธอจึงพูดติดตลกแล้วหัวเราะเบาๆ
อย่างรู้สึกขบขันอยู่คนเดียว
“สงสัยว่าเธอคงต้องไปฟิตร่างกายให้อ้วนกว่านี้แล้วมั้ง...
ยายเจสซี่”
ชญานินรินน้ำส้มใส่แก้วเตรียมไปให้ภูบดินทร์กับผู้หญิงของเขา
หลังจากยืนตั้งสติอยู่ชั่วอึดใจควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้หลุดขำรสนิยมการเลือกผู้หญิงของเขา
เธอจึงเคาะเบาๆ แล้วผลักประตูเข้าไป ทว่าภาพที่เห็นนั้นทำให้เธอขำไม่ออก
“ปล่อย เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว... เม ปล่อยผม”
“ว้าย!”
ชญานินยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกมือที่จับขอบถาดน้ำส้มเกร็งแน่น
รู้สึกสงสารผู้หญิงที่ถูกสะบัดล้มไปกระแทกโซฟา
ก่อนคนผลักจะเดินหนีไปนั่งกอดอกที่โต๊ะทำงานสีหน้าของเขาไม่อินังขังขอบผู้หญิงเพศเดียวกับเธอเลยสักนิด
เธอเกลียดเขาเกลียดผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงจากที่ยืนอึ้งกลายเป็นยืนหน้าบึ้งตึงใส่เขาอย่างลืมตัว
“คุณภูอย่าผลักไสเมเลยนะคะ เมรักคุณค่ะ
ตอนนี้เมไม่มีใครและเมก็ไม่มีงานทำ สงสารเมเถอะนะคะ”
เมธินีคร่ำครวญพลางตะเกียกตะกายลุกขึ้นพาร่างอวบอ้วนของเธอไปยืนเกาะโต๊ะทำงานของผู้ที่เธอกำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“เม ผมเห็นใจคุณ แต่ผมช่วยคุณได้แค่เรื่องเงินจริงๆ
หรือคุณจะไม่เอา”
“อะ เอาค่ะ”
ไม่ทันสิ้นคำมืออวบหนาของเธอก็ยื่นไปคว้าเช็คที่เขาเพิ่งกรอกตัวเลขลงไปแล้ววางบนโต๊ะ
เพราะถ้าช้ากว่านั้นเกรงว่าเจ้าของเช็คใบนั้นจะเปลี่ยนใจ
และทันทีเมื่อได้เห็นตัวเลขน้ำหูน้ำตาที่ไหลพรากๆ เหือดแห้งไปในบัดดล ชญานินยืนอึ้งตะลึงงันไปอีกรอบเธอไม่รู้ว่ามันเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่
แต่มันเหมือนของวิเศษทำให้ผู้หญิงคนนั้นหายเศร้า
แถมก่อนออกจากห้องไปเจ้าหล่อนยังหันมายิ้มเย้ยอีกต่างหาก ถึงกระนั้นเธอก็ไม่พอใจความรุนแรงที่เขาทำกับผู้หญิง
ครั้นวางแก้วน้ำส้มลงบนโต๊ะแล้วเธอจึงพูดตำหนิอย่างตรงไปตรงมา
“เมื่อสักครู่คุณภูบดินทร์ทำเกินไปนะคะ”
“อะไรที่ว่าเกินไป”
เขาพูดสวนกลับเสียงเข้มจ้องดวงตาสีน้ำตาลเขม็งอย่างไม่พอใจ
เธอไม่ชอบให้เขาวุ่นวายล้ำเส้นกับเรื่องส่วนตัว
แต่เธอกำลังทำให้เขาโมโหด้วยเรื่องนั้นอยู่เหมือนกันในเวลานี้
“ทำร้ายผู้หญิง ใช้เงินฟาดหัว
แบบนี้ไม่เรียกว่าเกินไปแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะคะ”
“คุณไม่รู้เรื่องอย่าพูดดีกว่าเจสซี่”
“เฮอะ เจสซี่อาจจะไม่รู้แต่ก็เดาไม่ยากหรอกค่ะ
เมื่อก่อนเธอเป็นคนรักของคุณแต่พอเธออ้วนขึ้นคุณก็เลยทิ้งเธอ
ทำไมผู้ชายไทยถึงเป็นแบบนี้คะ”
ปมในอดีตเรื่องแม่ถูกพ่อทอดทิ้งทำให้ชญานินขึ้นเสียง
ตอนนี้เธอสวมวิญญาณผู้พิทักษ์สิทธิสตรีไปโดยไม่รู้ตัว
และมันก็ทำให้ภูบดินทร์โกรธมากเขาเดินอาดๆ
ออกมากระชากถาดน้ำส้มที่ยังเหลืออีกหนึ่งแก้ววางโครมลงบนโต๊ะ ชญานินเริ่มได้สติหวาดหวั่นว่าภัยจะมาถึงตัวแต่เธอคิดช้าไป
เพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นหัวไหล่มนของเธอก็ถูกบีบตรึงด้วยมือหนาแข็งแกร่งราวปลอกเหล็กกล้า
แววตาแข็งกร้าวของเขาจิกจ้องเธออย่างน่าสะพรึงกลัว
“ปากดีนักใช่ไหม” เขาครางฮึ่มๆ
ในลำคอ
“คะ คุณภูบดินทร์จะทำอะไรคะ?”
คนเสียงสั่นๆ เอ่ยถามพลางเอนตัวออกห่างใบหน้าคมที่ก้มต่ำลงมาเรื่อยๆ
ดวงตาลุกโชนไปด้วยแววบางอย่าง ทำให้ร่างกายชญานินร้อนขึ้นมาดื้อๆ
เธอยืนใจเต้นโครมครามเหมือนเริ่มรู้ชะตากรรม
“ผมก็จะสั่งสอนคนปากดีไง”
“อย่านะคะ... อุ๊บ!”
จังหวะที่หญิงสาวกำลังลนลาน
เขาก็ฉกลงมาประกบริมฝีปากบางใช้ลิ้นร้อนชำแรกเรียวปากบางที่เม้มแน่นไม่ให้เขาสอดลิ้นเข้าไปได้
การดิ้นรนทำให้เขาขัดใจบีบแก้มทั้งสองข้างของเธอแรงๆ จนเรียวปากบางเผยอขึ้นจนได้
เป็นผลให้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาสำรวจอุ้งปากเล็กได้สำเร็จ
ความพึงพอใจความหอมหวานในรสจูบ
ริมฝีปากที่บดจูบเธอนั้นก็ยิ่งเพิ่มความหนักหน่วงประกบแน่น จนแม้แต่อากาศยังไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้
เรียวลิ้นสากระคายสำรวจชอนไช ไล่ตามลิ้นเล็กที่ดิ้นหนี
แต่ด้วยชั้นเชิงที่มีมากกว่าก็ทำให้หญิงสาวต้องจนมุม
ถูกลิ้นหนากระหวัดเกี่ยวลิ้นบอบบางเข้าสู่อุ้งปากร้อนฉ่ำ
แล้วดูดรัดพัลวันได้ในที่สุด
‘จูบ’ ที่ชญานินคุ้นเคยไม่ใช่แบบนี้
มันแค่การเอาริมฝีปากไปชนแก้มหรือไม่ก็ริมฝีปากของอีกฝ่ายแค่ผิวเผินมันไม่มีความรู้สึก
และไม่ได้จูบเอาเป็นเอาตายเหมือนที่เขากำลังทำกับเธออยู่ในตอนนี้
มันทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังสะท้านสั่นยะเยือกกับ ‘จูบแรก’
แต่แล้วชญานินที่อยู่ในภาวะมึนงงก็ได้สติ ผลักไสใบหน้าคมออกห่างแล้วตามติดมาด้วยเสียงฝ่ามือเรียวที่ฟาดลงบนใบหน้าชายหนุ่มจนหน้าหัน
และดูเหมือนว่ามันจะเรียกสติเขากลับคืนมาได้เช่นกัน
เพียะ!
“นี่ สำหรับความหยาบคายที่คุณทำกับเจสซี่”
“เจสซี่ผม...”
ภูบดินทร์อยากจะเอ่ยคำว่าขอโทษที่ล่วงเกินเธอ ไม่รู้เขาทำไปได้ยังไงเหมือนกัน
แต่เขาถูกเธอพูดตัดหน้าไปเสียก่อน
“ถ้าจะขอโทษที่จูบเจสซี่ มันก็สมควรอยู่หรอกค่ะ
เพราะมันเป็นการจูบที่ห่วยแตกที่สุด ตั้งแต่เจสซี่เคยจูบกับผู้ชายมา”
คำพูดเย้ยหยันก่อนที่ร่างงามสะพรั่งของเธอจะสะบัดหน้าเดินหนีไปแล้วปิดประตูดังโครม
สร้างความเจ็บใจให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ยืนกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ ให้ตายสิ นักรักบันลือโลกอย่างเขาไม่เคยถูกสบประมาทให้เจ็บใจแบบนี้มาก่อนเลย
‘ฮึ คงจูบกับไอ้ฝรั่งหัวแดงมาจนนับครั้งไม่ถ้วนน่ะสิ
ฝากไว้ก่อนเถอะยายตัวดีแล้วฉันจะทำให้เธอรู้ว่ารสจูบของฉันมันไม่ได้ห่วยแตก
แต่มันเสียวซ่านสะท้านทรวงจนเธอลืมไม่ลงเชียวแหละ’ ชายหนุ่มคำรามในใจอย่างแค้นเคือง
โปรดติดตามต่อพรุ่งนี้ค่ะ
สาวๆ ที่รัก ระบำอารมณ์-อีบุ๊ก วางจำหน่ายในเว็บเมพ แล้วนะคะ ตามไปโหลดได้เลยค่ะ วันนี้ถึง 28 ก.พ. 60 ราคา 199 บาทค่ะ จากนั้นจะเป็นราคาปกติ 209 บาทนะคะ... กดตามลิงค์ไปได้เลยค่ะ
|
ความคิดเห็น