คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 4 (100%)
“เชิญเลยครับคุณอัญนิกา”
โธมัสผายมือเชิญให้เข้าไปใกล้ๆ รถสปอร์ตสีแดงตัดกับเบาะหนังสีดำเป็นมันเลื่อม
อธิบายเกี่ยวกับระบบการทำงานคร่าวๆ พร้อมทั้งสาธิตการเปิดและพับหลังคารถ
โดยไม่ถามสักคำว่าเธอขับเป็นหรือไม่
“ขอบคุณค่ะโธมัส
มันสวยมาก คุณท่านส่งรถคันนี้มาให้ฉันหรือคะ”
“เปล่าครับ
เจ้านายเป็นคนสั่งให้ผมจัดหารถมาให้คุณ”
“บาสเตียนเหรอคะ
ทำไมคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้านายบอกว่าคุณมีความจำเป็นต้องออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต”
แม่เจ้า
ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยรถยนต์ราคาแพงระยับนี่นะ
ใจดีใจป้ำเกินไปหน่อยแล้วมั้ง เธอรู้ว่าเขาร่ำรวย เงินแค่นี้เล็กน้อยมากสำหรับเขา
แต่เธอยังเคืองเขาอยู่ เธอจะไม่ยอมรับของจากเขาง่ายๆ หรอก ต่อไปเขาจะต้องรู้ว่าเธอไม่ใช่ของแถมหรือเป็นสิ่งของที่ได้มาง่ายๆ
สำหรับเขา
“ขอบคุณมากนะคะโธมัสที่เป็นธุระในเรื่องนี้
แต่ฉันรับรถราคาแพงๆ แบบนี้ไว้ไม่ได้หรอก
ถ้าคุณลำบากใจฉันจะบอกบาสเตียนเองก็ได้ค่ะ”
“ก่อนที่คุณจะปฏิเสธ
กรุณาให้ผมได้ทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงก่อนเถอะครับ เจ้านายคงไม่พอใจแน่ ถ้าผมบกพร่องในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย”
โธมัสทำสีหน้าเหมือนลำบากใจสุดๆ
“ก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวถอนใจเบาๆ
ฟังผู้ช่วยของเขาอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถและระบบให้ฟังคร่าวๆ อีกรอบ
“คุณเคยขับรถมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ”
“ฉันเคยขับแต่รถพวงมาลัยขวาในเมืองไทยค่ะ
แต่ก็ไม่ได้ขับมาหลายปีแล้ว เกรงว่าทักษะการขับรถของฉันมันจะขึ้นสนิมไปแล้วด้วยค่ะ”
หญิงสาวยิ้มบอกเสียงละห้อย
ช่วงที่พรรณรายยังมีชีวิตอยู่
ป้าของเธอพาไปทำใบขับขี่ในเมืองไทยช่วงที่กลับไปต่อวีซ่า
ทำครั้งแรกได้ใบขับขี่ชั่วคราวมา
หลังจากหมดอายุเธอกลับไปต่อใหม่ได้ใบขับขี่ที่มีอายุห้าปี
และมันกำลังจะหมดอายุในไม่ช้า
พรรณรายเคยเคี่ยวเข็ญให้เธอไปเรียนขับรถในเยอรมนีเพื่อเตรียมตัวทำใบขับขี่สากล
ถ้าเธอไม่ดื้อรั้นถือทิฐิว่าต้องการซื้อรถด้วยเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง
ตอนนี้เธอคงมีใบขับขี่สากล และคงมีรถสักคันที่ป้าเป็นคนซื้อให้ไปแล้ว
แต่เธอก็ไม่เคยเสียใจเลย
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ
เจ้านายให้ผมติดต่อโรงเรียนสอบขับรถไว้ให้คุณแล้ว
การหัดขับรถจะเริ่มวันพรุ่งนี้ครับ”
ขณะนั้นมีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดต่อจากรถเบนซ์สปอร์ตสีแดง โธมัสแนะนำสั้นๆ
ว่าเป็นรถที่มารับเขากลับไป
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม
โธมัส” บาสเตียนถามหลังจากเดินออกมายืนข้างอัญนิกา
“เรียบร้อยครับ
เจ้านาย เอ่อ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณอัญนิกา หวังว่าคุณจะชอบรถคันนี้นะครับ
แล้วพบกันครับ” โธมัสตอบเจ้านายแล้วหันไปบอกลาหญิงสาว พลางโบกมือไหวๆ
“ค่ะ
แล้วพบกัน โธมัส” อัญนิกายิ้มกว้างโบกมือตอบ
“ยิ้มกว้างจัง
เดี๋ยวแมลงวันบินเข้าปากหรอก” เขาแกล้งว่าแดกดันดวงตามีแววล้อเล่น
“ฉันยิ้มตามมารยาทค่ะ”
เธอทำเสียงขึ้นจมูก
“เธอชอบรถคันนี้ไหม
สีถูกใจหรือเปล่า” เขามองรถพูดเอื่อยๆ ราวกับคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ
ขณะเปิดประตูค้างไว้และกำลังกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์
อัญนิกาลูบไล้เบาะหนังสีดำมันเลื่อม
หลังจากเขาเปิดหลังคาออกเปลี่ยนเป็นรถเปิดประทุน แน่นอนว่ามันสวยถูกใจมากเชียวละ
แต่ถ้าเธอยังมีสติดีอยู่ เธอไม่ควรรับของที่มีราคาแพงลิบจากเขา เพราะมันอาจนำมาซึ่งอะไรที่เธอก็ยังไม่รู้
“ชอบค่ะ
สีก็สวยถูกใจมาก ว่าแต่คุณซื้อให้ฉันทำไมคะ”
“โธมัสน่าจะบอกเหตุผลกับเธอแล้วนะ”
เขาพูดโดยไม่หันมามองหน้า
“เอาไว้ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ควรเป็นรถหรูขนาดนี้เลยค่ะ
รถญี่ปุ่นก็ได้ ฉันรับรถของคุณไว้ไม่ได้หรอก” หญิงสาวพูดจริงจัง เสียงเธอติดเกรงใจ
บาสเตียนหันมาตวัดตามองเธอ
ดวงตาสีฟ้าเข้มข้นเหมือนไม่ชอบการขัดใจหรืออะไรก็ตามที่เขาตัดสินใจไปแล้ว
“ยังไงเธอก็ต้องใช้มัน
ถือว่ามันเป็นรถประจำตำแหน่งแม่บ้านแล้วกัน หรือว่าเธอจะเดินไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ห่างจากที่นี่สองไมล์ล่ะ”
รถประจำตำแหน่งแม่บ้าน!
เธอสบตาเขาตรงๆ แล้วอดค้อนขวับพูดอย่างประชดประชันเขาไม่ได้ “ก็ได้ค่ะ
ฉันรู้ว่าคุณร่ำรวย คุณทำได้”
“ไปลองเครื่องกันไหม”
จู่ๆ
เขาถามขึ้น อัญนิกามองเขา ดวงตาสีฟ้ามีแววสับสนไม่มั่นใจ ยกมือลูบต้นคอตัวเอง
ทำท่าขัดเขินเหมือนเด็กหนุ่ม มันไม่น่าใช่กิริยาอาการของคนที่อยู่ในวัยใกล้เคียงหนุ่มใหญ่
รูปร่างแข็งแกร่งอายุสามสิบแปดปีอย่างเขาเลย เธออยากหัวเราะแต่เธอก็ไม่ได้หัวเราะแค่ยิ้ม
ยิ้มแบบมีเลศนัยเมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณต้องการให้ฉันไปกับคุณหรือคะ
บาสเตียน”
“ใช่
ไปกันเลยไหม เมื่อกี้ฉันเข้าไปปิดบ้านให้แล้ว”
ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้
เขาวางแผนไว้หมดแล้ว เขาอยากให้เธอไปทดลองเครื่องรถคันใหม่ ดังนั้น เงื่อนไขที่พนันไว้ยังเหลืออีกสองข้อ
วันนี้มันจะถูกลดเหลือลงหนึ่งข้อแล้วอัญนิกา ตกลงสิ เธอจะช้าอยู่ทำไมกัน
หญิงสาวกระซิบบอกตัวเอง
“ตกลงค่ะ
ถ้าเป็นความต้องการของคุณ” เธอพูดย้ำ ซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาไว้ภายใน
“ขึ้นมาสิ
ฉันจะพาเธอไปที่ถนนเลียบแม่น้ำฮาเฟล ถนนเส้นนั้นวิวสวย บรรยากาศดีมาก”
เขาก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ โดยไม่ได้ปิดหลังคา
“ความจริงคุณไม่น่าลำบากเลยนะคะ”
หญิงสาวเปิดประตูตามเข้าไป แล้วพูดน้ำเสียงติดเกรงใจอย่างเสแสร้ง
เพราะในใจเธอกำลังยิ้มเริงร่า
“ฉันอยากทำอะไรฉันก็ทำ
และสิ่งที่ฉันอยากทำไม่เคยทำให้ฉันลำบาก คุณย่าส่งเธอมาอยู่ในความดูแลของฉัน
แต่ท่านคงลืมไปว่าฉันก็ต้องมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง ฉันไม่ว่างมากพอที่จะขับรถบริการเธอทุกครั้งที่ต้องการไปโน่นไปนี่
ดังนั้นฉันจึงซื้อรถให้ และเธอควรหัดขับรถให้เป็นไวๆ จะได้ไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง
แต่... แค่ซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นนะเพราะเธอยังไม่มีใบขับขี่”
ความหมายของเขาก็คือ
เธอต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้เร็วๆ จะได้ไม่เป็นภาระกับเขา บาสเตียนพูดถูกทุกอย่างและมีเหตุผล
แม่บ้านอย่างเธอจะตอบอะไรได้อีกล่ะ นอกจากยอมรับ
“รับทราบค่ะ
เจ้านาย” เธอพูดลากเสียง
บาสเตียนหันมองคนนั่งข้างแวบหนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงประชด
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ขับรถต่อไปเรื่อยๆ ไม่นานนักเขาก็ขับรถคันใหม่มาถึงถนนเลียบแม่น้ำฮาเฟล
ซึ่งบางช่วงไหลผ่านด้านหลังบ้านที่ผู้เป็นย่ามอบให้
ต้นกำเนิดของแม่น้ำฮาเฟลอยู่นอกเขตตัวเมืองกรุงเบอร์ลิน เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยป่าไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี
เขานำรถมาจอดชิดริมฟุตปาธ มีจุดพักสายตาอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำที่เห็นอยู่ไกลๆ
แสงแดดอุ่นๆ
ในตอนสายกับอุณหภูมิเกือบยี่สิบองศาเซลเซียสในฤดู ใบไม้ร่วงถือว่าไม่หนาวไม่ร้อน
หกปีที่อยู่เยอรมนีทำให้เธอเริ่มชินกับอากาศหนาวเย็นของที่นี่ได้ดีพอสมควร
“ลมค่อนข้างแรง
เธอหนาวไหม หรือต้องการให้ฉันยกหลังคาขึ้นก็บอกได้เลยนะ” บาสเตียนหันมาถามยิ้มๆ
อารมณ์เขาดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาพาดแขนขวาไว้บนเบาะที่เธอนั่ง ยื่นมือซ้ายมาช่วยเก็บปอยผมไม่เป็นระเบียบไปทัดไว้ข้างหูของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ
ลมเย็นๆ อากาศกำลังสบาย”
อัญนิกาย่นคอหนีท่อนแขนของเขาที่พาดอยู่หลังต้นคอเธอพอดิบพอดี
ตอบพลางคอยลูบเรือนผมยาวสลวยที่ยุ่งเหยิงนิดๆ จากการปะทะกับแรงลมให้เข้ารูปเข้าทรง
และป้องกันไม่ให้เขามาวุ่นวายกับเส้นผมและใบหูที่ไวต่อสัมผัสของเธอ
เขาไม่คิดจริงจังกับเธอหรือผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น แต่แล้วทำไมต้องทำเหมือนแคร์เธอ
ต้องการเธอ
เขาจะแกล้งให้เธอไหวหวั่นถึงขั้นคลุ้มคลั่งเสน่ห์มากล้นที่มีอยู่ในตัวเขาใช่ไหม หญิงสาวคิดในใจ
“แต่ฉันคิดว่าควรปิดหลังคาแล้วเปิดกระจก”
เขาจัดการทำอย่างที่พูดทันที รู้สึกรำคาญที่เธอต้องคอยลูบผมแทนที่จะมีสมาธิพูดคุยกับเขา
“ดีกว่าเมื่อกี้ไหม” เขาถาม หลังระบบออโตเมติกในรถคลี่หลังคาออกมาคลุมตัวรถเสร็จแล้ว
“ดีค่ะ”
เธอตอบสั้นๆ มือที่ยกปกป้องใบหน้าลดมาวางบนตัก
“อาหารที่เธอเตรียมไว้คงใกล้หมดแล้วมั้ง
ขากลับเราจะแวะซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของกัน เธออยากได้อะไรเป็นพิเศษบ้างไหม”
บาสเตียนชวนคุย
“ถ้าไม่รบกวนคุณจนเกินไป
ฉันอยากให้คุณพาไปร้านหนังสือด้วยค่ะ”
“เธออยากได้หนังสืออะไร”
“คู่มือการทำอาหารค่ะ
ฉันรู้สึกละอายใจยังไงไม่รู้ที่ต้องให้คุณทำอาหารให้กิน” หญิงสาวสบตาเขาอย่างขัดเขินแกมขอร้อง
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
แค่นั้นใช่ไหมที่เธอต้องการ”
“ค่ะ
อ้อ มีอีกอย่างค่ะ” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์
“อะไร”
“ขอบคุณนะคะที่ขอร้อง...
ให้ฉันนั่งมาเป็นเพื่อนทดสอบเครื่องยนต์รถคันนี้” เธอฉีกยิ้มดวงตาใสซื่อ
บาสเตียนเลิกคิ้วสูง
“เธอพูดแปลกๆ ทำไมต้องเน้นคำว่าฉันขอร้องเธอล่ะ
ในเมื่อมันเป็นผลประโยชน์ของเธอเอง”
อัญนิกายิ้มแฉ่ง
“ใช่ค่ะ เพื่อผลประโยชน์ของฉันไงคะ ฉันถึงต้องขอบคุณ
ตอนนี้หนี้พนันที่ฉันติดค้างคุณเหลือเพียงแค่ข้อเดียวแล้วนะคะ”
ดวงตาสีฟ้าเข้มข้นของบาสเตียนตวัดมอง
“เธออย่าบอกนะว่า...”
อัญนิกายิ้มกว้าง
“ค่ะ ฉันจะทบทวนให้ฟังนะคะ ข้อที่หนึ่ง ฉันถูหลังให้คุณไปแล้ว
ข้อที่สองฉันนั่งมาเป็นเพื่อนคุณแล้ว ดังนั้นมันจึงเหลือเพียงข้อเดียว” เมื่อเธอพูดจบแล้วก็เห็นว่ามุมปากเขาหยักยิ้ม
แต่เป็นรอยยิ้มแฝงด้วยอันตรายจนเธอเริ่มหวั่นใจ
“โอเค
ไม่มีปัญหา” เขาเบ้ปากพร้อมทั้งหงายแขนข้างซ้ายขึ้น “งั้นฉันจะขอใช้สิทธิ์ข้อที่สามในตอนนี้
เอาให้จบๆ ไปเลย” ขณะที่พูดมือขวาของเขาที่พาดอยู่หลังเบาะที่อัญนิกานั่งเริ่มป้วนเปี้ยนอยู่ที่ต้นคอของเธอ
อัญนิกาหมุนตัวหนี
เอียงหน้ามองเขา กระนั้นมือเขาก็ยังตามมาม้วนเส้นผมนุ่มสลวยของเธอเข้ากับนิ้วมือของเขา
ลมหายใจหญิงสาวติดขัด เอ่ยถามเสียงสั่นนิดๆ
“คุณต้องการอะไรคะ”
“ฉันอยากจูบเธอ
การจูบที่สมบูรณ์” เขายิ้มอย่างมาดหมายดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายแพรวระยับ
อัญนิกากลืนน้ำลายเอื๊อก
“การจูบที่สมบูรณ์หมายความว่า...”
เขาพูดแทรกเสียงเซ็กซี่
“เปิดปากยอมให้ฉันสอดลิ้นเข้าไปในปากเธอ ดูดรัดลิ้นเธอ และฉันก็ต้องการให้เธอทำอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน”
อัญนิกาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
เขาพูดราวกับว่าการจูบมันง่ายเหมือนการปอกกล้วย แน่นอนว่าอยู่เยอรมนีเธอเคยเห็นคนจูบกันทั่วทุกหนแห่ง
เคยเห็นป้าจูบกับโฮลเกอร์ เอ็มมาลีนจูบกับสามี เดลมี่จูบกับแฟนของเธอ แต่เธอยัง...
หรือแค่เกือบในคืนวันนั้น
วันที่ถูหลังให้เขาและเป็นวันที่เธอนอนไม่หลับกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน
เธอเฝ้าแต่คิดถึงรสชาติบรั่นดีในปากเขา
กลิ่นครีมอาบน้ำคละเคล้ากับกลิ่นเพศชายที่หอมเย้ายวนชวนให้ใจสั่น คิดถึงลิ้นร้อนๆ
ของเขา ถ้าหากมันแทรกอยู่ระหว่างเรียวปากเธอพยายามจะหาทางเข้า
คิดถึงว่าจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าเธอเปิดปากรับเขา ยอมรับลิ้นร้อนของเขาเข้ามาในปากเธอ
อาการร้อนวูบวาบทั่วสรรพางค์กาย ที่พุ่งลงไปจุดศูนย์รวมของร่างกายมันจะรุนแรงมากแค่ไหน
ทรวงอกของเธอจะขยายเสียดสีเนื้อผ้า จะทำให้เธอรู้สึกเปียกชื้นทุกครั้งที่คิดถึงหรือไม่
หญิงสาวกลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึกแล้วพูดพึมพำ
“ฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรม
เรื่องแบบนี้ไม่ควรนำมาเกี่ยวข้องกับการพนัน”
“แค่จูบ
ไม่ได้ทำให้เธอเสียความบริสุทธิ์สักหน่อย
อย่าบอกนะว่าอายุขนาดเธอยังไม่เคยถูกผู้ชายจูบ” เขาหัวเราะเยาะ
“ฉันเคยจูบก็แล้วกันค่ะ”
เธอยอมไม่ได้ที่จะให้เขารู้ว่าเธอยังด้อยประสบการณ์ จากที่เห็นสายตาของเขาฟ้องว่ามันเชยมากถึงขั้นผิดปกติเชียวละ
ถ้าผู้หญิงอายุยี่สิบสี่ปีอย่างเธอยังไม่เคยจูบกับผู้ชาย
ดังนั้นเธอจะยอมให้เขาหัวเราะเยาะไม่ได้
“ถ้างั้นไม่น่ามีปัญหา”
นิ้วที่ม้วนผมเธอเล่นเริ่มคลายออก ดึงปอยผมนุ่มดุจแพรไหมกลุ่มนั้นเข้าไปจ่อจมูก
“เส้นผมเธอหอมมาก หวานใจ”
ตอนนั้นเองที่เขาเลื่อนมือไปอยู่หลังต้นคอระหง
ดึงเธอเข้าหาอย่างช้าๆ หน้าผากชนหน้าผาก จมูกชนจมูก
ริมฝีปากห่างกันไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร
ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้าจนได้กลิ่นยาสีฟันรสมินต์
อัญนิกาคิดว่าเธอกำลังเคลิ้มแล้วเชียว การควบคุมตัวเองเริ่มลดลง ถ้าไม่ได้ยินคำว่าหวานใจ
เช้าวันนี้เธอได้ยินเขาพูดกับผู้หญิงที่โทร.มาและจบประโยคสนทนาว่าหวานใจ
เธอไม่ชอบคำนี้และเธอต้องไม่ใช่หวานใจของเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น
“เอ่อ
ฉันมี... ฉันมีปัญหาค่ะ” หญิงสาวเอนตัวถอยหลัง ดันปลายคางเขาไว้
“อะไร”
คิ้วเข้มขมวดจนแทบชิดกัน
“ฉันคิดว่าฉันไม่ชอบจูบกับผู้ชาย”
เสียงเธอแหลมแทบบาดคอตัวเอง
“หืม...
อย่าบอกนะว่าเธอเป็นหญิงรักหญิง แต่เมื่อคืนเธอแทบวิงวอนขอให้ฉันจูบเธอ”
อัญนิกาสะดุ้งกับความคิดของเขา
แต่ยอมให้เขาเข้าใจผิดว่าเป็นเลสเบี้ยนน่าจะดีกว่าเธอต้องเสียจูบให้เขา
ผู้ชายเจ้าเล่ห์ที่มีหวานใจอยู่ทั่วทุกหนแห่งในเยอรมนี
แถมยังรู้ทันว่าเธอต้องการให้เขาจูบเสียอีก น่าอายชะมัด
“ใช่ๆ
ฉันเป็น... และฉันพยายามจะไม่เป็น
เมื่อคืนฉันอยากรู้ว่าถ้าจูบกับผู้ชายอีกสักครั้งความรู้สึกของฉันจะเปลี่ยนไปไหม
ฉันแค่อยากลอง”
เวร!
เสียของชะมัด บาสเตียนผงะเบนตัวออกและสบถในใจอย่างรุนแรง
ด้วยเสน่ห์บวกความช่ำชองในการโอ้โลม ให้ตายสิ ที่ผ่านมาเขาไม่พลาดเลยสักครั้ง
พระเจ้า เมื่อคืนเธอแทบวิงวอนขอให้เขาจูบ เพราะเธออยากลองนี่นะ
“งั้นที่เธอบอกว่าชอบเกิทเซ่
ชอบแกนดี้ก็เพื่อปกปิดธรรมชาติของตนเองล่ะสิ”
เขายังจ้องริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้นด้วยความเสียดาย
“สองคนนั้นฉันชอบผลงานของเขามากกว่า
ไม่ได้ชอบแบบผู้ชายผู้หญิง”
“เธอเคยจูบกับผู้ชายบ่อยแค่ไหน”
เขาถามต่อ ไม่รู้ว่าทำไมยังอยากให้เธอเปลี่ยนใจหันมาชอบผู้ชาย
“ก็ประมาณหนึ่งค่ะ
ถึงรู้ว่าไม่ได้เรื่อง มันไม่ใช่ทางของฉัน” เธอบอกเสียงละห้อย ยิ้มเขินและตีหน้าเศร้า
“ผู้ชายพวกคนนั้นคงห่วยแตกและบัดซบที่สุด”
บาสเตียนว่า พร้อมทั้งกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ เคลื่อนรถออกจากริมฟุตปาธมุ่งหน้ากลับบ้าน
เขาลืมซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านหนังสือของเธอไปเลย
โปรดติดตามต่อพรุ่งนี้ค่ะ
|
|
|
|
ความคิดเห็น