คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1
Chapter
1
“พิ้งก์ ไม่มีใครบอกแกรึ
ว่าป้าเตรียมชุดสำหรับใส่ตอนกินอาหารค่ำไว้ให้” พรรณรายแต่งกายเนี้ยบเรียบหรู ยกมือขึ้นเท้าเอวข้างหนึ่งเลิกคิ้วมองหลานสาว
เมื่อทั้งสองลงมาเจอกันด้านล่างของอดอฟฟีน่าเฮาส์ก่อนมื้ออาหารค่ำ
สาวใช้วัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวที่ถูกดุ รีบหลุบตาลงประสานมือไว้ด้านหน้า
พรรณราย
วิเศษพงษ์ อดีตนักแสดงสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่เคยโด่งดังที่สุดของเมืองไทย หรือซาร่า
วี ชื่อที่ใช้ในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่เข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย
และเธอรับบทบาทเป็นนางร้ายสุดเซ็กซี่อยู่สองสามเรื่อง แต่ก็ทำให้คนทั้งโลกรู้จักเธอ
รวมทั้งมหาเศรษฐีม่ายชาวเยอรมันอย่าง โฮลเกอร์ อัลเบล-ลาร์ด
ที่บินไปชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ในฮอลลีวูดเพียงเพื่อจะได้กระทบไหล่ดาราหุ่นเซ็กซี่ และในที่สุดเขาก็ได้เธอมาเป็นภรรยา
“บอกค่ะป้าพรรณ แต่ชุดแบบนั้นมันไม่เหมาะกับพิ้งก์มากกว่า”
อัญนิกา
วิเศษพงษ์ หญิงสาวอายุสิบแปดปีบอกพลางทำหน้ามุ่ย
หลุบตามองสเวตเตอร์ไหมพรมสีชมพูกับกางเกงผ้ายืดพอดีตัว
เธอคิดว่ามันเหมาะสมกับสภาพอากาศในฤดูร้อน อุณหภูมิประมาณยี่สิบองศาเซลเซียสของประเทศเยอรมนีมากกว่า
ชุดกระโปรงฟูฟ่องราวกับคุณหนูที่พรรณรายเตรียมไว้ให้มันออกจะเกินฐานะ แม้ป้าของเธอจะได้สามีร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
แต่หญิงสาวตระหนักดีว่าเธอ เป็นเพียงเด็กกำพร้าและเป็นผู้อาศัย
แค่มีที่ให้ซุกหัวนอนมีข้าวให้กินก็มากเกินพอแล้ว
เธอเป็นแค่ลูกเป็ดขี้เหร่ต่อให้ถอนขนสวยๆ ของหงส์มาปักแซมจนทั่วตัว
ลูกเป็ดก็ไม่อาจเปลี่ยนเป็นหงส์ไปได้หรอกน่า
“คนที่จะบอกว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะสำหรับแกคือป้า ขึ้นไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้”
พรรณรายยกมือข้างที่เท้าเอวชี้ไปที่บันได บอกด้วยเสียงเฉียบขาด
“เอะอะอะไรกัน ถ้าเดาไม่ผิด คงเถียงกันเรื่องเสื้อผ้าอีกล่ะสิ
มันจะอะไรกันนักหนานะ ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่รู้จักเกรงใจคนอื่นด้วยเรื่องแค่นี้”
ผู้ที่พูดด้วยสุ้มเสียงบ่งบอกว่าน่ารำคาญเป็นภาษาอังกฤษคือ บาสเตียน อัลเบลลาร์ด
ลูกชายคนโตของโฮลเกอร์
ผู้ที่ไม่ค่อยลงรอยกับพ่อและไม่เคยกินเส้นกับผู้หญิงของพ่อแม้แต่คนเดียว
อัญนิกาหมุนตัวจะเดินขึ้นบันไดชะงักกึก
เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงบาสเตียนยืนกอดอกอยู่บนบันได
เสื้อยืดแขนยาวสีเทากับกางเกงยีนส์พอดีตัว เน้นช่วงขายาวแน่นตึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ
ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นหวีเสยขึ้นด้านบนเผยให้เห็นหน้าผากกว้างมีรอยลึกสองสามเส้น
เป็นผลพวงมาจากคิ้วเข้มเหนือดวงตาสีฟ้าขมวดชนกันยุ่ง ขณะกดสายตามองพรรณรายก่อนจะตวัดมาที่เธอ
แต่ก็หลังจากสายตาคมกล้าลดความดุดันลงไปแล้ว
“คุณควรปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเรา” พรรณรายเงยหน้าขึ้น
พูดเสียงเรียบติดเย็นชากับลูกชายของสามีที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอ “ไป ยัยพิ้งก์”
บอกพลางพยักหน้าสำทับด้วยสายตาดุๆ ใส่หลานสาว
บาสเตียนก้าวลงจากบันไดสามสี่ขั้นสุดท้าย
คว้าข้อมือหญิงสาววัยสิบแปดปีที่ยืนเงอะงะราวกับคนสับสนไว้ “ถ้าเธอไม่อยากทำตามคำสั่งงี่เง่านั่น
ไปกับฉัน เธอกำลังจะไปโต๊ะอาหารใช่ไหม ฉันจะพาเธอไปเอง”
“เอ่อ ค่ะ” อัญนิกามือสั่นอยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขา
ขานรับเสียงเขาด้วยความงงงัน สายตาของเขายามสบตาเธอทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัย
อีกครั้งสินะ ที่บาสเตียนช่วยเธอไว้ แน่นอนว่าป้าของเธอคงไม่พอใจที่เธอขัดใจท่าน
แต่สุดท้ายป้าก็ต้องยอม เพราะไม่อยากมีเรื่องกับลูกชายเจ้าของบ้าน ซึ่งนอกจากไม่เป็นผลดี
รังแต่จะทำให้สถานภาพระหว่างเธอกับสามีง่อนแง่น
แม้เธอเพิ่งมาอยู่ใหม่แต่ก็พอมีเซนส์
รู้ว่าป้าของเธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ถ้าเทียบกับสองปีแรกของการเป็นมาดามอัลเบลลาร์ดในบ้านหลังใหญ่
ราวกับคฤหาสน์แห่งนี้ พรรณรายเคยเปรยๆ ว่าสามีของเธอแอบไปมีความสัมพันธ์ลับๆ
กับผู้หญิงอื่นให้จับได้อยู่หลายครั้ง
แต่ด้วยความที่ตำแหน่งภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของมหาเศรษฐีค้ำคออยู่
ความต้องการรักษาสถานภาพมาดามอัลเบลลาร์ด ผู้หญิงสวย วาสนาดี
ได้สามีร่ำรวยที่สุดในสายตาคนไทยคือสิ่งที่พรรณรายแคร์มากกว่าความลำบากใจของตนเอง
ด้วยไม่อยากให้การแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์คนในวงการบันเทิงไทย ที่ดังไม่แพ้การได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลของนางสาวไทย
ซึ่งเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศต้องล้มเหลว
เหมือนกับการแต่งงานครั้งแรกของเธอกับสามีชาวไทย
พรรณรายต้องกลายเป็นคนหวานอมขมกลืนหน้าชื่นอกตรม ขณะเดียวกันกลายเป็นดื่มเหล้าจัด
ใช้เงินฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้ออยู่กับแฟชั่นแบรนด์ดังและจมไม่ลง
“เธอนี่ดื้อรั้นใช้ได้เลยนะ”
บาสเตียนหยักยิ้มน้อยๆ
ยังพูดเป็นภาษาอังกฤษ ขณะก้มมองหญิงสาวรูปร่างบอบบาง แต่ความสูงใช้ได้
เลยหัวไหล่เขาขึ้นมานิดๆ น่าจะสูงเกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร
ขณะกุมมือเย็นเฉียบพาเธอเดินเอื่อยๆ ไม่รีบเร่งไปที่โต๊ะอาหาร
อายุสิบแปดปีความจริงเธอไม่ใช่เด็กแล้วล่ะ ดวงตาโตฉายแววดื้อรั้นในบางครั้ง แต่ค่อนข้างขาดความมั่นใจ
ทำให้เธอแลดูไร้เดียงสาน่าปกป้อง
เมื่อเทียบกับเอ็มมาลีนน้องสาวของเขาในช่วงอายุเท่ากัน
ริมฝีปากอัญนิกาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
รอยยิ้มของคนดื้อรั้น
เธอเอียงใบหน้าขึ้นสบตาสีฟ้าของคนตัวสูงใหญ่กว่าที่ทำให้เธอตัวเล็กลงราวกับเป็นคนแคระ
ทั้งๆ ที่ เธอสูงร้อยเจ็บสิบห้าเซนติเมตร ดูเหมือนเขาเป็นคนใจดีแต่ชอบทำเฉยเมย
ค่อนข้างหงุดหงิดขี้รำคาญ ทำให้เธอไม่กล้าตอบเป็นคำพูด
แต่ว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเขา อาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น
มือเล็กของเธอเริ่มขยับในมือเขาและมันเริ่มผ่อนคลายอย่างประหลาด
“ว้าว บาสเตียน อะไรทำให้หลานของย่ามากินอาหารค่ำกับพวกเราได้ล่ะ”
อดอฟฟีน่า หญิงชรารูปร่างท้วมวัยเจ็ดสิบสี่ปี
ผู้ที่มีชื่อเดียวกับบ้านหลังนี้นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ขยับแว่นสายตาที่มีสายคล้องคอสีทองมองหลานชาย พลางกางมือสองข้างโอบกอด
เมื่อบาสเตียนก้มลงหอมแก้มเหี่ยวๆ ของนาง หลังจากเขาพาอัญนิกาไปนั่งที่นั่งประจำของเธอแล้ว
“บางครั้งผมก็อยากกลับมาเจอทุกคน” เขาพูดมีหางเสียงนิดๆ กับผู้เป็นย่า
“ดีมากจ้ะหลานรัก
วันนี้เราจะได้กินอาหารค่ำกันอย่างพร้อมหน้า”
หญิงชรานั่งยิ้มมองตามหลานชายไปที่เก้าอี้ประจำของเขา
ขณะนั้นพรรณรายเดินคล้องแขนสามีมานั่งเป็นสองคนสุดท้าย
คนรับใช้จึงเริ่มเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อย
บนโต๊ะอาหารของครอบครัวใหญ่มีสมาชิกทั้งหมดเก้าคน
อดอฟฟีน่า นั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ ขวามือของนางมีโฮลเกอร์ พรรณราย อัญนิกา
และอเซลีนลูกสาววัยสามขวบของเอ็มมาลีนกับสามีคนที่สอง ซ้ายมือเริ่มจากบาสเตียน
เอ็มมาลีน ฟิลิปป์สามีคนที่สามของเอ็มมาลีน
และแพทริคลูกชายวัยห้าขวบของเอ็มมาลีนกับสามีคนแรก
ทุกคนนั่งกินอาหารกันเงียบๆ
มีเสียงพูดคุยกันบ้าง ส่วนใหญ่เริ่มต้นจาก หญิงชราที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ คนอื่นๆ
เป็นฝ่ายตอบ โฮลเกอร์ทักทายลูกชายที่ไม่ค่อยกลับบ้านคำสองคำ เป็นการคุยกันแบบถามคำตอบคำเสียมากกว่า
ทว่าปกติทั้งสองเจอกันทุกวันในที่ทำงาน เอ็มมาลีนกับสามีคนใหม่นั่งกินอาหารอย่างมีชีวิตชีวา
กินกันไปมองตากันไปราวกับที่โต๊ะอาหารมีเธอกับสามีอยู่กันเพียงสองคน
ขณะที่เด็กชายหญิงสองคนกินอาหารกันอย่างมีรสชาติ มุมปากของอเซลีนเปรอะเต็มไปด้วยซอสสีแดงอมส้ม
อัญนิกาสังเกตว่าป้าของเธอเป็นคนมีมาด
พรรณรายวางมาดเป็นผู้ดีทุก กระเบียดนิ้ว เหมาะสมกับตำแหน่งมาดามอัลเบลลาร์ด
กิริยานุ่มนวลละเมียดละไม กลมกลืนกับสมาชิกคนอื่นๆ ต่างกับเธอที่มาอยู่หลายเดือนแล้ว
แม้ผู้เป็นป้าจะฝึกปรือให้รู้จักวิธีกินอาหารฟูลคอร์ส เธอก็ยังหยิบจับ ช้อน ส้อม
หรือมีดหันเนื้อด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ หลายครั้งที่อดอฟฟีน่าและโฮลเกอร์
มักปลอบใจยามเธอถูกป้าขึงตาดุใส่ เอ็มมาลีนกับสามีไม่ค่อยพูดกับเธอสักเท่าไร
ได้แต่ยิ้มให้ด้วยท่าทางเป็นมิตร
สำหรับบาสเตียนน่าจะเป็นครั้งที่สามที่เธอเจอเขาในบ้านหลังนี้
เขาแทบจะไม่พูดกับเธอเลย มีเพียงแค่มอง ดวงตาสีฟ้าค่อนข้างเฉยเมย
ทว่าก็ไม่ได้แปลว่าเขารังเกียจ และเธอไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแน่นอน
เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ช่วยเธอถึงสองครั้ง
หลังจากอาหารชุดสุดท้ายถูกยกออกไปจากโต๊ะ
อดอฟฟีน่ารูปร่างท้วม หากยังเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว
หยิบไม้เท้าช่วยพยุงลุกขึ้นยืนก่อนใครแล้วตามด้วยสมาชิกคนอื่นๆ
อัญนิกาตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะลุกขึ้นเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย
ไม่ลืมโผล่หน้าออกไปมองสำรวจก่อน ถ้าเห็นป้าของเธอยืนอยู่ตรงไหน
เธอจะเลี่ยงหลบไปในทิศทางตรงกันข้าม
“มาทางนี้สิ” บาสเตียนพูดเป็นภาษาเยอรมัน
“อุ๊ย! คุณจะพาฉันไปไหนคะ” อัญนิการีบยกมือขึ้นปิดกลั้นเสียงอุทาน ทันทีที่มองเห็นเจ้าของมือใหญ่
เขาดึงแขนเธออย่างนุ่มนวลพาเดินออกไปทางหนึ่ง ตรงข้ามกับด้านที่พรรณรายและโฮลเกอร์ยืนถกเถียงกันอยู่
เธอเพิ่งเริ่มเรียนภาษาเยอรมันยังไม่ชินกับสำเนียงของเขา จึงถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ บาสเตียนยกคิ้วสูงหันมองเธอแวบหนึ่ง
ทำท่าเหมือนเพิ่งคิดได้ จึงพูดเป็นภาษาอังกฤษ
“มาเถอะน่า
ฉันรู้ว่าเธอต้องการหลบป้ามหาภัยของเธอ” เขาเบ้ปากเมื่อพูดถึงพรรณราย โดยไม่แคร์ว่าหลานสาวจะรู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเขา
เขาพาหญิงสาวร่างบอบบางเดินต่อไปถึงสวนหลังบ้าน
แล้วจึงปล่อยมือจากแขนเรียวเล็กที่มือเขาแทบกำได้รอบให้เป็นอิสระ
กดตัวเธอให้นั่งบนม้านั่งทำด้วยเหล็กภายใต้ซุ้มโค้งสีขาว
ด้านบนมีกุหลาบสีชมพูอ่อนแข่งกันออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมยั่วยวนอบอวลอยู่ในอากาศ
“ขอบคุณนะคะ ที่พาฉันหลบออกมาอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าป้าต้องการตัว ยังไงท่านก็ต้องให้คนมาตามหาฉันอยู่ดี”
หญิงสาวทำปากงุ้มๆ
เหมือนเด็กงอแงคนหนึ่ง ทว่าพอเงยหน้าขึ้นสบตาสีฟ้าของผู้ที่ยืนกอดอก
พิงสะโพกไว้กับเสาต้นหนึ่งของซุ้มดอกกุหลาบหันหน้ามาหาเธอ
แม้มีเงามืดบดบังใบหน้าเขาไปครึ่งหนึ่ง แต่กระนั้นเขาก็ยังหล่อด้วยมาดเท่ๆ
จากท่ายืน ก็ไม่รู้ทำไมเธอจึงรู้สึกว่าไม่ควรทำกิริยาเป็นเด็กเวลาอยู่ต่อหน้าเขา
บาสเตียนอายุสามสิบสองปี เขาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หล่อ สง่า รูปร่าง
สูงใหญ่แข็งแรงมีเสน่ห์แบบผู้ชาย อัญนิกาตกใจความคิดของตนเอง
ตอนนี้เธอไม่อยากมีอายุแค่สิบแปดปี ให้ตายเถอะ เธอไม่อยากเป็นเด็กในสายตาของเขาเลย
“ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก ฉันคิดว่าตอนนี้ป้าของเธอมีเรื่องอยากคุยกับพ่อของฉันมากกว่า”
บาสเตียนยิ้มหยันพูดด้วยความมั่นใจ
ทุกครั้งที่มีข่าวพ่อเขากับผู้หญิงอื่น
ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มของพรรณรายต่อหน้าผู้เป็นย่าที่เธอเกรงใจ
แตกต่างจากเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อของเขาอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้พ่อของเขาคงถูกพรรณ-รายซักฟอก
เกี่ยวกับนางแบบโฆษณาที่กำลังเป็นข่าวโด่งดัง เขาค่อนข้างเข้าใจคนเพศเดียวกัน
ขณะเดียวกันก็คิดว่าคนในตระกูลของเขาสมควรถูกจับทำหมัน
และตัวเขาก็ไม่สมควรได้รับการยกเว้น
“อาจจะใช่ค่ะ” เธอยิ้มเศร้าๆ เข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องใด
“เรื่องของผู้ใหญ่น่ะ สนใจเรื่องตัวเองดีกว่า
เธอเรียนภาษาเยอรมันไปถึงไหนแล้ว ฟังรู้เรื่องบ้างหรือยัง” บาสเตียนชวนเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฉันยังต้องเรียนอีกเยอะค่ะ” เธอตอบเขินๆ พยายามพูดภาษาเยอรมัน
กับเขาเท่าที่พอนึกได้
“ใช่ เธอยังต้องเรียน ยังต้องฝึกอีกเยอะ
สำเนียงของเธอเหมือนเป็ดเจ็บคอยังไงไม่รู้ แล้วเจอกัน... เด็กน้อย”
บาสเตียนหัวเราะก๊าก ราวกับเขาเพิ่งเคยเจอเรื่องขบขันครั้งแรกในชีวิต
และเขาจะต้องจำมันไปอีกนาน
เด็กน้อยเหรอ อัญนิกาเม้มปากลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่น มองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินจากไป รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเยาะของเขาทำให้เธอขาดความมั่นใจอย่างแรง อายุสิบแปดปีเขาไม่เรียกเด็กแล้วย่ะ คอยดูนะ ต่อไปเธอจะไม่พูดกับเขาอีกแล้ว ไอ้ผู้ชายบ้า...
โปรดติดตามต่อพรุ่งนี้ค่ะ
ขอฝากนิยายเก่าหมดสัญญาจากสำนักพิมพ์ที่นำมาทำอีบุ๊ก
อีกเรื่องหนึ่งนะคะ
|
|
|
|
ความคิดเห็น