[Song Fic] Oasis (Song Joongki x Lee Jinki) Yaoi - [Song Fic] Oasis (Song Joongki x Lee Jinki) Yaoi นิยาย [Song Fic] Oasis (Song Joongki x Lee Jinki) Yaoi : Dek-D.com - Writer

    [Song Fic] Oasis (Song Joongki x Lee Jinki) Yaoi

    โดย alohapsyche

    ผู้เข้าชมรวม

    1,428

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.42K

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ธ.ค. 53 / 14:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    Title : Oasis
    Couple : [Song Joongki x Lee Jinki]
    Rate : PG

    Talk's : ถ้ามีเวลาว่างๆจะลากมันไปรีไรท์ใหม่นะจ๊ะ แบบว่ารีบแต่งจัด มีอะไรก็ยัดๆไป มันก็เลยออกมามึนๆอึนๆแบบนี้
    แบบว่ายังสอบไม่เสร็จ แต่ดันมาแต่งฟิค เหอๆ โบกตัวเองแรงๆสักที
    แต่งสนอง Need ตัวเอง JK จงเจริญ ฮี่ๆๆๆ


    ซงจุงกิ (สูง 178) และ อีจินกิ (สูง 177) ต่างกันมว๊ากกก

    จิ้มโหลดเพลงโล้ด ชอบเพลงนี้ อุอุ
    비스트-오아시스

    =======================================================


    Oasis - BEAST

    세상에 끝에 섰을 때 길이 보이지가 않을 때
    เซ-ซา-เง กือ-เท ซอ-ซึล-แต คี-รี โพ-อี-จี-กา อา-นึล แต
    ตอนที่ผมยืนอยู่ที่จุดจบของโลก ตอนที่ผมมองไม่เห็นทาง

    누군가 필요했었죠
    นู-กุน-กา พี-รโย-แฮ-ซอด-จโย
    ผมเคยต้องการใครสักคน


    어둠에 갇혀있을 때 빛이 보이지가 않을 때
    ออ-ดู-เม กา-ทยอ-อี-ซึล แต พี-ชี โพ-อี-จี-กา อา-นึล แต
    เมื่อผมติดอยู่ในความมืดจนมองไม่เห็นแสงสว่าง

    손길을 기다렸었죠
    ซน-กี-รึล คี-ดา-รยอ-ซอด-จโย
    ผมเคยรอมือใครสักคนเข้ามาช่วย


    그대는 모르죠 세상에 단 하나
    คือ-แด-นึน โม-รือ-จโย เซ-ซา-เง ทัน ฮา-นา
    คุณจะรู้บ้างไหม ว่าหนึ่งเดียวในโลก

    그대가 only one more than better world
    คือ-แด-กา only one more than better world
    คุณคือคนเดียวที่ดีมากกว่าอะไรในโลกนี้



    *I believe dream for you and me

    메마른 나의 하루에 단비로 내려 내 마음에 내려 용기를 줘
    เม-มา-รึน นา-เอ ฮา-รุ-เอ ทัน-บี-โร แน-รยอ แน มา-อือ-เม แน-รยอ ยง-กี-รึล จวอ
    หนึ่งวันที่แห้งแล้งของผม คุณเป็นฝนที่ตกลงมาที่หัวใจ และให้ความกล้าหาญกับผม

    you make me fly and smile again

    비온 뒤 무지개처럼 소리 없이 나의 품에 안겨 행복을 줘
    พี-อน ทวี มู-จี-แก-ชอ-รอม โซ-รี ออบ-ชี นา-เอ พู-เม อัน-กยอ แฮง-โบ-กึล จวอ
    ไร้ซึ่งเสียงใดๆในอ้อมแขนของผม คุณมอบความสุขให้ผมเหมือนกับสายรุ้งหลังฝนตก

    I wanna make a love



    현실에 도망쳤었던 나의 모습을 보았을 때
    ฮยอน-ชี-เร โท-มัง-ชยอ-ซอด-ตอน นา-เอ โม-ซือ-บึล โพ-อา-ซึล แต
    ผมเคยหนีความจริง ตอนที่เห็นท่าทางของผม

    혹시나 실망했나요
    ฮก-ชี-นา ชิล-มัง-แฮด-นา-โย
    บางทีผมอาจจะสิ้นหวังแล้ว


    그대가 있기에 돌아올 용기를 내었죠
    คือแดกา อิดกีเอ โทราโอล ยงกีรึล แนออดจโย
    การที่มีคุณอยู่ ทำให้ผมได้ความกล้าหาญกลับคืนมา

    you`re the one always in my heart


    ซ้ำ *

    oh lonely night 지겹고 숨막히는 어둠의 밤
    oh lonely night จี-กยอบ-โก ซุม-มัก-คี-นึน ออ-ดู-เม พัม
    ค่ำคืนมืดมิดที่น่าเบื่อหน่ายและหายใจลำบาก

    그 속에서 매일 밤을 눈물로 혼자 울던 날
    คือ โซ-เก-ซอ แม-อิล พา-มึล นุน-มุ-โร ฮน-จา อุล-ดอน นัล
    วันที่ฉันร้องไห้อย่างเดียวดายในคืนที่มืดมน

    아직은 여리기만 한 가슴에 상처를 줬던 많은 사람들 대신 (thanks a lot)
    อา-จี-กึน ยอ-รี-กี-มัน ฮัน คา-ซือ-เม ซัง-ชอ-รึล จวอซ-ดอน มา-นึน ซา-รัม-ดึล แท-ชิน (thanks a lot)
    มีคนมากมายที่เคยทำให้หัวใจของผมเจ็บปวด

    내 맘이 메마를 때
    แน มา-มี เม-มา-รึล แต
    ตอนที่หัวใจของผมแห้งผาก

    but that`s okay you make a way
    언제나 빛이 되는 you you you
    ออน-เจ-นา พี-ชี นา-นึน you you you
    คุณคือคนที่เป็นแสงสว่างให้ผมเสมอมา คุณ คุณ คุณ

    삶의 이유 only you
    ซัล-เม อี-ยู only you
    เหตุผลของการมีชีวิตคือคุณคนเดียว

    넌 사막의 오아시스 제일 달콤한 초콜릿
    นอน ซา-มา-เก โอ-อา-ซี-ซือ เช-อิล ทัล-คม-ฮัน โช-โค-ริซ
    เธอเป็นช็อกโกแลตที่แสนหวานที่สุดในโอเอซิสแห่งทะเลทราย

    ซ้ำ *


    เครดิต : sungmee @ pinkbook, panza, aloha



    ร่างบางวิ่งเข้าไปกระชากร่างของคนที่ยืนอยู่อย่างหมื่นเหม่บริเวณหน้าผาอย่างแรง จนเสียหลักล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ หน้าเนียนปะทะกับอกแกร่งเต็มแรง จนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวขณะถูจมูกไปมาเบาๆ

    กลิ่นที่คุ้นเคยและหอมหวานที่ปะปนออกมากับลมหายใจของคนตรงหน้า ทำเอาร่างบางเผลอสูดดมเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว ก็กลิ่นนี้มันเป็นกลิ่นนมรสกล้วยที่เขาชอบรองจากไก่ทอดเลยน่ะสิ

    ร่างบางรีบยันตัวเองขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าตนนอนทับร่างคนข้างล่างนานเกินไป พลางพยายามตรวจหาว่าคนตรงหน้ามีบาดแผลตรงไหนบ้างไหม

    “นี่คุณ!! คุณเป็นอะไรไหม แล้วไปยืนตรงนั้นทำไมมันอันตรายนะรู้ไหม นี่คุณ คูณณณณ!!!!!” เด็กหนุ่มหน้าหวานออกแรงตบหน้าคนตรงหน้าเบาๆเมื่อเห็นว่าคนที่นอนนิ่งอยู่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา นอกจากดวงตาที่ยังคงกระพริบ และหน้าอกที่กำลังขยับขึ้นลง บ่งบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่

    เมื่อเห็นว่าทำยังไงคนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมพูดหรือขยับตัวเสียที คนที่มีความอดทนเป็นเลิศก็แทบจะหมดความอดทนเอาง่ายๆ นึกอยากจะเตะร่างที่นอนอยู่ดูสักทีสองที

    ร่างบางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ก่อนจะหันไปมองคนที่ยังคงนอนนิ่งอยู่อีกครั้ง

    “นี่คุณ ผมต้องกลับแล้วนะ คุณไม่คิดจะขยับเขยื้อนเลยสักนิดใช่ไหมเนี่ย เอ่อ... คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ งั้น...ผมไปก่อนนะ” ว่าแล้วร่างบางก็จัดกระเป๋าเป้ให้เข้าที่แล้วติดสปีดตีนหมาโกยแนบลงจากเขาไป



    --------------------------------------------------------------------



    ยังไม่ทันที่ร่างบางจะจัดเสื้อฮูดสีม่วงตัวโตที่หยิบออกมาจากกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทาง ลูกเป็ดหลงทางก็เดินผ่านมาพอดี

    “เฮ้ย!! เต้าหู้ นี่พี่ชายแกเหรอว่ะ!” มนุษย์เป็ดแหกปากเสียงดังจนเพื่อนๆของเขาแห่กันมาดู

    “แต่ฉันจำได้ว่าแกไม่มีพี่น้องนี่หว่า” มินโฮเอ่ยขึ้นบ้าง

    “นี่เขายังไม่ตายใช่ไหมฮะ” แทมินถามด้วยท่าทีหวาดกลัว

    “อย่าบอกนะว่าแกไปลักพาตัวเขามาอ่ะ ติดคุกนะเว้ย!” คีย์เอ่ยสำทับ พลางชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้

    “พวกแกรีบๆกลับไปนั่งที่ของพวกแกได้แล้วไป ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง แล้วอย่าบอกอาจารย์นะเว้ย”

    ทันทีที่ 4 สหายสลายตัวกลับไป เสียงอาจารย์สุดสวยประจำรถก็ดังขึ้น

    “เอ้าๆๆ มากันครบแล้วใช่ไหมจ๊ะ เราจะกลับม.กันแล้วนะ”

    “ครับ” “ค่ะ” เสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษาตอบรับกันอย่างพร้อมเพียงก่อนจะหันไปคุยกัน เป็นนกกระจอกแตกรังเหมือนเดิม จินกินึกขอบคุณเสียงนกกระจอกพวกนี้ที่สามารถกลบเสียงไอ้เป็ดร่างสั้นตะโกน เมื่อกี้เอาไว้ได้

    จินกิเหลือบไปมองคนที่ถูกอยู่ในเสื้อกันหนาวสีม่วงตัวโตที่ตอนนี้เหลือแค่ลูกตากับจมูกที่โผล่พ้นออกมา พลางถอนหายใจออกมาอย่างหนัก

    จะว่าไปเขาก็ไม่ได้สังเกตุเลยแหะว่าหน้าของผู้ชายคนนี้คล้ายกับเขามากแค่ไหน หวังว่าคงจะไม่ใช่พี่น้องที่พลัดพรากกันไปเหมือนในหนังหรอกนะ




    แล้วการที่ผู้ชายคนนี้มานั่งอยู่ข้างๆเขาได้คงต้องโทษความใจอ่อนแล้วก็ความเป็น เทพบุตรของเขา ที่ไม่อาจตัดใจทิ้งคนๆนี้เอาไว้บนภูเขานั้นได้ เพราะเขามันเป็นคนดีเกินไปจริงๆ

    “เฮ้อ เรานี่มันเทพบุตรมาจุติจริงๆเลย” จินกิพึมพำออกมาพลางกุมมือเย็นเฉียบของคนข้างกายเอาไว้ราวกับให้กำลังใจ เพราะเขาเองก็ ไม่รู้ว่าคนข้างๆเขาเจออะไรมาถึงมีสภาพแบบนี้ได้ ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบ

    “นี่คุณ ถ้าคุณไม่ตอบอะไร ผมจะพาคุณไปอยู่หอผมล่ะนะ อ่อ เกือบลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อ อีจินกิ แต่จะเรียกผมว่าจินกิก็ได้นะ เพื่อนๆก็เรียกผมอย่างนั้นแหละ” หลังจากจับมือและเออออกับคนข้างกายด้วยตัวเองเสร็จสรรพ จินกิก็จัดแจงยัดหูฟังใส่หูตัวเองข้างนึง ก่อนอีกข้างจะถูกยัดเข้าไปในหูของคนข้างกายอย่างไม่ต้องถามความสมัครใจ แล้วใช้มือข้างขวากุมมือของคนที่ยังนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นไปตลอดทาง





    ว่าแต่ ข้อหาลักพาตัวคนแก่นี่จะติดคุกสักกี่ปีกันนะ...




    --------------------------------------------------------------------



    “คุณนี่นะ จะให้ความร่วมมือกับผมหน่อยก็ไม่ได้หรือไง ตัวคุณก็ไม่ใช่เบาๆเลยนะ” จินกิบ่นกระปอดกระแปดเมื่อต้องลากซอมบี้กลับมาที่หอ ด้วยขนาดตัวและความสูงไม่ต่างจากตัวเองซักเท่าไหร่ แถมดูจะหนักมากกว่าตัวเขาเองซะอีก

    ไม่รู้ว่าเขาสูงเกินไป หรือตานี่มันเตี้ยเกินไปก็ไม่รู้



    จินกิโยนกระเป๋าลงบนเตียงอย่างลวกๆ เปิดโทรทัศน์ให้คนที่ลากกลับหอมาได้ดู แล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไป

    30 นาทีผ่านไป จินกิก็เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนลายลูกหมี พร้อมกับผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเล็กที่ยังแปะอยู่บนหัว แต่ทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำได้ ความรู้สึกของเขาก็บอกให้รู้ว่ามันมีบางอย่างที่แปลกไป

    “เฮ้ย!! ไฟดับเหรอ!?” จินกิตะโกนออกมาเสียงดังอย่างตกใจ เพราะเขาเองไม่ชอบความมืดมิดอย่างนี้สักเท่าไหร่

    แต่เมื่อหันกลับไปดูก็พบว่าไฟห้องน้ำของตัวเองก็ยังเปิดอยู่ จินกิจึงรีบเดินไปเปิดไฟแทบจะทุกดวงในห้อง พลางกวาดสายตามองหาคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายตน แล้วก็พบเข้ากับร่างๆหนึ่ง กำลังนั่งกอดเขาอยู่ตรงมุมห้อง

    จินกิเดินรี่ตรงเข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง

    “นี่คุณเป็นแดร็กคูล่าหรือไงกันถึงชอบอยู่ในที่มืดๆแบบนี้ หรือว่าเป็นแบบซูนาโกะล่ะที่เห็นความเจิดจ้าแล้วจะละลายน่ะห่ะ!!” จินกิว่าเสียงดังจนแทบจะกลายเป็นการตะโกนอยู่รอมร่อ

    แต่ทันทีที่คนที่นั่งกอดเขาเงยหน้าขึ้นมา จินกิก็แทบอยากจะกลืนคำพูดมะกี้ทั้งหมดลงคอ

    หยาดน้ำตาจำนวนมากกำลังไหลออกมาจากดวงตาเรียวคู่นั้นอย่างต่อเนื่อง

    “คุณๆ นี่คุณเป็นอะไรไป เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไปหาหมอไหม!?” จินกิเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง พลางกวาดสายตามองร่างกายของชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง

    ชายหนุ่มราวกับจะรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากคนตรงหน้าจึงสายหน้าตอบกลับไปช้าๆ แต่ถ้าไม่สังเกตุดีๆก็แทบจะไม่รู้เลยว่าคนๆนั้นกำลังส่ายหน้าอยู่

    “งั้น… คุณไปอาบน้ำนะ นี่ผ้าเช็ดตัว แล้วเดี๋ยวผมจะเตรียมชุดให้” จินกิยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มตอบสนองตนบ้างแล้ว

    ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดตัวผืนโตไปถือเอาไว้ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนร่างกายไปไหน จนจินกิต้องฉุดกระชากลากถูร่างนั้นเข้าห้องน้ำไปในที่สุดแล้วปิดประตูให้ อย่างเบามือ

    1 ชั่วโมงผ่านไป แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากห้องน้ำแม้แต่น้อย


    ‘ก๊อกๆๆ’


    “นี่คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า...”

    “ถ้าคุณไม่ตอบผมจะเปิดประตูเข้าไปแล้วนะ” ทันทีที่ประตูเปิดออก จินกิก็พบกับภาพเดิมๆอีกครั้ง ผู้ชายคนเดิมในชุดๆเดิม ยังคงยืนอยู่ตรงจุดที่จินกิลากเขาเข้าไป



    จินกิถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าตานี่สติไม่ดีอยู่แล้ว หรือว่าสมองได้รับความกระทบกระเทือนตอนเขากระชากบนหน้าผากันแน่ แต่ที่แน่ๆเขาจะไม่ให้คนสกปรกมาอยู่ในห้องเขาเด็ดขาด!!!

    จินกิดันร่างสูงลงไปในอ่างน้ำที่แห้งผาก ก่อนจะจับให้นอนหงาย โดยเอาศีรษะยื่นออกมาด้านนอก ถกชุดนอนลายน้องหมีขึ้น แล้วเปิดน้ำอุ่นๆจากฝักบัวไล่ไปตามผมสีดำสนิทอย่างช้าๆ

    มือนุ่มสระผมไปด้วยนวดศีรษะคนตรงหน้าไปด้วยเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ขณะที่คนที่นอนอยู่ในอ่างก็นอนก็แอบเหล่ตาขึ้นมามองเขาอยู่บ่อยๆ แต่พอเขามองกลับไปเท่านั่นแหละ ก็รีบหลบสายตาเขาแทบไม่ทัน

    “หน้าผมมันมีอะไรติดอยู่เหรอครับ” จินกิว่าขณะล้างครีมนวดผมออกเมื่อโดนเหล่มองอีกครั้ง

    “ถามจริงเหอะ นี่คุณเป็นใบ้หรือเปล่าเนี่ย พูดไม่ได้อย่างนั้นเหรอ” แต่คนที่นอนอยู่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาจนกระทั่งจินกิสระผมเสร็จ

    “เอ่อ... ผมรบกวนอะไรคุณอย่างนึงนะ คุณอาบน้ำเองได้ใช่ไหม ผมไหว้ล่ะ ช่วยอาบน้ำหน่อยเถอะนะ ผมทนไม่ได้จริงๆถ้ามีคนไม่อาบน้ำมานอนด้วยเนี่ย” คนที่อยู่ในอ่างพยักหน้าช้าๆก่อนที่จินกิจะปิดประตูกลับไปอีกรอบ


    ใช้เวลาไม่นานนัก ร่างสูงก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ถูกเปลี่ยนหน้าที่จากใช้เช็ดหัว มาเป็นปกปิดบริเวณช่วงล่างแทน

    “เฮ้ย!! คุณจะบ้าเหรอ!!!” จินกิตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อไม่เว้นแม้กระทั่งใบหู ขณะที่รีบวิ่งสุดชีวิตไปหยิบชุดนอนที่เตรียมเอาไว้แล้ววิ่งไปหาคนร่างสูง หมายจะดันเข้าห้องน้ำไป แต่ทันใดนั้นจินกิก็เสียหลักล้มลงตรงหน้าร่างสูงพอดี

    จินกิไล่สายตาขึ้นไปด้านบนตามสัญชาตญาณ ทันทีที่เห็นคนด้านบนกำลังมองลงมาจินกิก็หน้าแดงก่ำ รีบยันตัวลุกขึ้นแล้วดันคนหน้าหนาเข้าห้องน้ำไป

    “สาบาญได้นะว่ามะกี้ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นจริงๆ” เสียงหวานๆดังลัดลอดเข้ามาในห้องน้ำ จนคนที่ยืนแต่งตัวอยู่เผลอยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ พลางไล่สายตาไปยังผ้าเช็ดตัวผืนโตที่แขวนไว้บนราว



    จินกิที่ยืนดูดนมรสกล้วยในขวด เหล่มองคนตัวโตที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยหน้าซึมๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มือเรียวยื่นนมรสกล้วยอีกขวดที่ถูกเจาะเอาไว้ไปให้ตรงหน้า

    “กินซะสิ นมรสกล้วยเนี่ยผมหวงมากเลยนะรู้ไหม ถ้าคุณไม่กินมันผมจะถือว่าคุณดูถูกผม” ตาเรียวเหล่มองนมรสกล้วยในมือที่กำลังถูกหยิบออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวร

    จินกิทำหน้าสงสัยขณะที่นมกล้วยที่ถูกดูดจนเหลือเพียงครึ่งนึงถูกยื่นมาตรงหน้า

    “มันไม่อร่อยเหรอ” จินกิเอ่ยถาม แต่คนข้างกายก็ไม่ตอบอีกเช่นเดิม แต่กลับยื่นนมเข้าไปใกล้จนหลอนแทบจะทิ่มหน้าแทน

    “คุณจะให้ผมกินงั้นเหรอ” จินกิเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง ทันทีที่คนตัวโตพยักหน้า จินกิก็เผลอกอดขอบคุณอย่างลืมตัว แล้วก้มหน้าก้มตาดูดนมกล้วยที่เหลือในขวดจนหมด


    จินกิจัดแจงคุ้ยหาแปรงสีฟันที่เพิ่งซื้อมาเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนจะเอื้อมมือไปตรงหน้าคนที่ยังนั่งซึมกะทืออยู่บนเตียง

    “ป่ะ ไปแปรงฟันกัน” จินกิขยับมืออีกสองสามที แต่เมื่อเห็นว่าคนตัวโตไม่ยอมจับมือตนสักที จังจัดการจับมือคนตัวโตขึ้นมาซะเอง แล้วจูงมือเข้าห้องน้ำไป

    จินกิแปรงฟันอย่างลวกๆ ก่อนจะหันมาหาคนที่ยังยืนอมแปรงสีฟันอยู่ นี่ถ้ามีคนบอกว่าตานี่ปัญญาอ่อนเนี่ย เขาคนแรกเลยล่ะที่จะเชื่อสนิทใจ

    “มานี่ เดี๋ยวผมแปรงให้” จินกิกวักมือเรียกหลังจากขึ้นไปนั่งบนเค้าท์เตอร์ในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว

    “ถ้าขืนรอคุณอมแปรงสีฟันจนฟันมันสะอาดไปเอง คืนนี้ผมคงไม่ได้นอนกันพอดี” จินกิบ่นงุ้งงิ้งพลางสั่งให้คนตรงหน้าอ้าปากกว้างๆแล้วเริ่มแปรงฟันให้อย่าง เบามือ


    จินกิห่มผ้าให้คนตัวโตที่นอนอยู่ข้างๆก่อนจะค่อยๆหลับตาลง แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นน้อยๆจึงลืมตาขึ้นมาดู คนตัวโตกำลังนอนร้องไห้อยู่ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด แต่เมื่อเห็นว่าจินกิมองอยู่จึงคิดจะพลิกตัวไปอีกข้าง แต่ก็โดนจินกิจับเอาไว้ซะก่อน

    จินกิดึงคนตัวโตเข้ามาไว้ในอ้อมกอดพลางลูบหลังไปมาเบาๆ

    “นอนเถอะครับ ถ้าคุณตื่นขึ้นมา เรื่องร้ายๆจะได้ผ่านไปไงล่ะ แถมคืนนี้คุณอาจจะฝันดีก็ได้นะ นอนนะครับ” จินกิว่าเสียงอ่อนโยนพลางใช้มือลูบลงเบาๆบริเวณเปลือกตาเพื่อให้คนในอ้อมกอด หลับเสียที

    “ฝันดีนะครับ” จินกิส่งเสียงพึมพำออกมา ขณะที่กำลังใกล้จะหลับเต็มที จินกิก็ได้ยินเสียงนุ่มๆเสียงหนึ่ง








    ขอบคุณนะ จินกิ...




    --------------------------------------------------------------------



    รุ่งเช้าทันทีที่จินกิลืมตาขึ้น แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายกอดคนตรงหน้าเอาไว้ แต่เขาดันพบว่าเขากลับถูกอ้อมแขนแกร่งรวบตัวเอาไว้ในอ้อมกอดซะอย่างนั้น แถมหน้าของเขาก็ยังอยู่ห่างจากคนที่นอนหลับตาพริ้มเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น จินกิใช้เวลาเพ่งพินิตดวงหน้าตรงหน้าอย่างช้าๆ ริมฝีปากเป็นกระจับ จมูกโด่งได้รูป กับคิ้วสีเข้มที่กำลังขมวดเข้าหากัน

    มือเรียวใช้มือข้างที่พอขยับได้เอื้อมไปไล้ตรงบริเวณหัวคิ้วทั้งสองข้างอย่างเบามือ จนมันค่อยๆคลายตัวออกจากกัน ก่อนจะค่อยๆดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแกร่งเมื่อเห็นนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถออกจากอ้อมกอดนี้ไปได้เลย

    “นี่คุณณณณ!!” จินกิตะโกนเต็มเสียงใส่หูคนที่นอนอยู่ แต่แทนที่จะตื่น เจ้าตัวกลับลากเขาเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิมซะนี่

    จินกิมองคนที่กอดตัวเองอยู่อย่างเคืองๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา มือเรียวเอื้อมมือไปบีบจมูกคนตรงหน้าไว้แน่น แต่คนที่โดนบีบจมูกก็เลือกที่จะหายในทางปากแทน ราวกับจะแกล้งคนไร้ทางสู้ในอ้อมกอด

    “ได้ จะเอาแบบนี้ใช่ไหม... จะเอาให้หายใจไม่ออก เอาให้ตายไปเลย หึหึ” จินกิเค้นเสียงรอดไรฟันออกมา พลางคิดหาวิธีเพราะมืออีกข้างของเขาถูกทับเอาไว้ ก่อนจะประกบปากลงบนริมฝีปากของคนที่นอนอ้าปากหายใจอยู่ตรงหน้า

    จินกิคิดอยู่ในใจว่าคราวนี้เขาคงชนะแน่แล้ว แต่แค่ชั่วพริบตา คนที่หายใจไม่ออก คนที่จะตายกลับกลายเป็นเขา!!!

    มือแกร่งช้อนท้ายทอยของจินกิเอาไว้แน่น ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยเพื่อปรับมุมให้สามารถจูบได้ลึกซึ้งมากขึ้น จนจินกิถึงกับครางอื้อในลำคอ

    ทันทีที่ปากเป็นอิสระ จินกิก็ตะโกนเสียงดังลั่นใส่คนตัวโตที่นอนอย่างไม่รู้สึกรู้สาอยู่บนเตียง

    “นั่นน่ะ... มันจูบแรกของผมนะ!!”

    “งั้นเหรอ? วันหลังก็ปลุกฉับแบบนี้อีกนะ ฉันชอบ แล้วมันก็จะได้ไม่กลายเป็นจูบแรกของนายด้วยไง แต่มันจะกลายเป็นจูบต่อๆไปของนายด้วย อีจินกิ”

    “บ้าเอ้ย!! คุณมัน ฮึ้ย... เฮ้ย สายแล้วๆ ฝากไว้ก่อนเถอะ” จินกิชี้หน้าอย่างคาดโทษก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป

    พระเจ้า!! ไอ้บ้าคนที่นั่งอยู่บนเตียงผมตอนนี้เป็นคนเดียวกับที่นอนร้องไห้จนตัวสั่นเมื่อคืนนี้จริงๆน่ะเหรอ?




    --------------------------------------------------------------------



    “กลับมาแล้วครับพี่จุงกิ” คนตัวโตรีบวิ่งออกมาเขาที่บ้านหน้าทันที ไอ้คำว่า “พี่จุงกิ” ก็ใช่ว่าเขาอยากจะเรียกซะเมื่อไหร่ ถ้าไม่ติดที่ว่าไม่เรียกเมื่อไหร่โดนจูบเมื่อนั้น ให้ตายเขาก็ไม่ยอมเรียกไอ้บ้านี่ว่าพี่แน่นอน

    “ไหนๆๆ นายซื้ออะไรมาเนี่ย... ไก่ทอด!! นี่ใจคอนายกะจะกินให้ไก่มันสูญพันธ์ไปจากโลกใบนี้เลยหรือไงจินกิ” จุงกิบ่นกระปอดกระแปดขณะเดินหิ้วกระเป๋าจินกิพร้อมไก่ทอดเข้าไปเก็บ

    “ทำไมครับ พี่ไม่ชอบเหรอ ถ้าพี่ไม่ชอบ... พี่ก็ไปซื้อกินเอาเองเถอะครับ” กล่องไก่ทอดถูกกระชากกลับมาอยู่ในมือเจ้าของห้องที่นั่งกร่างอยู่บนเก้าอี้ พลางกระดิกขาไปมาอย่างสบายใจ

    “เรื่องสิ ภรรยาซื้อมาให้สามีกินทั้งที สามีที่ดีอย่างพี่ก็ต้องเต็มใจอยู่แล้ว” จุงกิฉีกยิ้มกว้าง พลางกระโดดเข้าแย่งน่องไก่ในมือมาเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

    “ใครภรรยาพี่กัน พี่ดูตัวเองหน่อยเถอะ คนที่อยู่บ้าน คอยทำความสะอาด คอยเก็บกระเป๋า แล้วก็คอยผมกลับมาน่ะมันใครกันแน่ แล้วพี่คิดดูสิ ใครควรจะเป็นภรรยาใครควรจะเป็นสามี” จินกิพูดจบก็เดินหนีไปนั่งหน้าโทรทัศน์แล้วเปิดทีวีช่องโปรดดู

    “งั้นคืนนี้ เรามาลองดูกันไหมล่ะ ว่าใครจะเป็นภรรยา ใครจะเป็นสามี” จุงกิเดินหมุนตัวเข้าไปหาอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วยื่นกล่องไก่ไปไว้ตรงหน้า

    “ไม่ต้องเลย ถ้าคืนนี้พี่เอามื้อเลื้อยเข้ามาในเสื้อผมอีกนะ ผมจะถีบพี่ให้ตกเตียงเลยคอยดู” จินกิ ดึงกล่องไก่ทอดเข้ามา แล้วพูดขู่พลางถลึงตาอย่างเอาเรื่อง

    “นี่จินกิ นายชอบไก่ทอดมากเลยเหรอ” จินกิพยักหน้ารับ

    “แต่ฉันชอบเต้าหู้มากกว่าไก่ทอดนี่อีกนะ พรุ่งนี้ให้ฉันกินเต้าหู้ได้ไหม” คำพูดและเสียงกระซิบเบาๆข้างๆหูทำเอาเขาแทบจะมุดโซฟาหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป



    --------------------------------------------------------------------



    “นี่ๆๆ จินกิ พรุ่งนี้ฉันว่าจะลองไปสมัครงานที่ร้านกาแฟดู นายว่าดีไหม?” จุงกิที่นอนหนุนตักนุ่นๆอยู่เอ่ยถามขึ้น

    “ก็ดีนะครับ คราวนี้พี่อยากทานอะไรพี่ก็จะได้ซื้อทานเองได้ด้วยไงล่ะครับ แล้วผมก็เชื่อด้วยนะว่าคนอย่างพี่ต้องทำได้ดีอยู่แล้วล่ะ พี่จุงกิ สู้ๆ” จินกิว่าพลางทำท่ากำหมัดทั้งสองข้าง

    “นี่จินกิ มีอะไรติดหน้านายด้วย ก้มหน้าลงมาสิ เดี๋ยวฉันเอาออกให้นะ” จินกิก้มหน้าลงไปหาอย่างว่าง่าย แต่พอเห็นสายตาวิบวับคู๋นั้นแล้ว จินกิก็แทบอยากจะลุกหนีออกจากโซฟานี้ไปซะเลย

    แต่ความคิดของเขาก็ยังช้ากว่าการกระทำของจุงกิอยู่เสมอ จุงกิยกตัวขึ้นมาขโมยจูบจากริมฝีปากนุ่มนิ่มของเขาไปจนได้




    --------------------------------------------------------------------



    “จินกิ ฉันซื้อไก่ทอดมาฝากนายละ อ้าว...” จินกิหันมามองคนที่หอบกล่องไก่ทอดเข้ามาเต็มสองมือแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

    “พี่จุงกิ พี่จะซื้อไก่ทอดมาทำไมเยอะแยะเนี่ย”

    “แล้วนายล่ะซื้อมาทำไมเยอะแยะ” จุงกิว่าพลางวางกล่องไก่ทอดลงบนโต๊ะ

    “ก็ผมเห็นว่าพี่จะได้เงินเดือน เดือนแรกผมก็เลยตั้งใจจะฉลองไง” จุงกิฉีกยิ้มกว้าง เต้าหู้น้อยของเขาถึงจะขี้บ่นไปหน่อย แต่ก็คิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเขา จินกิมองหน้าเขาเป็นเชิงถามว่าแล้วพี่ล่ะซื้อไก่ทอดมาทำไม

    “ฉันตั้งใจจะใช้เงินเดือน เดือนแรกของฉัน ซื้อของมาให้คนที่ฉันรักน่ะสิ”

    “คนที่พี่รัก” จินกิขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด

    ตอนเข้ามาพี่จุงกิบอกว่าซื้อไก่ทอดมาฝากเขา แล้วมะกี้...พี่จุงกิก็บอกว่า ซื้อของมาให้คนที่เขารัก ของนั่นคือไก่ทอดงั้นเหรอ ไก่ทอด... คนที่รัก... ไก่ทอด... คนที่รัก... คนทอด... ไก่ที่รัก...

    “คิดอะไรนานนักฮะ คนที่ฉันรักก็คือนายไงล่ะ อีจินกิ” จุงกิรวบตัวคนที่ทำตาโตเข้ามาไว้ในอ้อมแขน

    “ผะ...ผมงั้นเหรอ” จุงกิส่งเสียงตอบในลำคอ ก่อนจะจับมือเรียวขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วบรรจงสวมแหวนเงินเกลี้ยงลงไปบนนิ้วนางข้างซ้าย

    “พี่รู้ว่านายยังไม่มีแฟน งั้นนายคบกับพี่นะ” จินกิพยักหน้าหงึกหงักตามแรงกดของจุงกิ

    “พี่จุงกิบ้า” จินกิผลักคนตรงหน้าออกแล้ววิ่งหนีเข้าไปในห้องนอน




    “ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า ฮึ้ย ปล่อยให้เราบ้าคนเดียวอยู่ได้ตั้งนาน” จินกิบ่นออกมาเบาๆ

    “ก็ฉันไม่กล้าพอนี่ เราไปกินไก่กันเถอะ หรือนายอยากให้กินนายแทนไก่ก็ได้นะ” จุงกิว่าพลางกดร่างของจินกิลงบนเตียงนุ่ม

    “เอ่อ... ผมว่าเราไปกิน...อื้อ” จินกิถูกครอบครองริมฝีปากจากผู้ที่อยู่ด้านบนของตัวเองอย่างรวดเร็ว

    “แต่ตอนนี้ฉันอยากกินนายมากกว่าไก่ซะแล้วสิ” จุงกิกระซิบข้างหูนุ่มนิ่มด้วยเสียงแหบพร่า ก่อนจะโน้มตัวลงไปชิมริมฝีปากที่หอมและหวานมากกว่านมรสกล้วยที่เขาชอบหลาย เท่านัก



    --------------------------------------------------------------------



    เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ที่เขามีคนที่ชื่อว่า ซงจุงกิอยู่เคียงข้างกาย

    เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ที่เขาเรียกคำว่า พี่จุงกิ จนติดปาก

    เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ที่เขาได้นอนหลับในอ้อมกอดแกร่ง

    เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ที่เขามักจะถูกปลุกขึ้นมาด้วยจูบอรุณสวัสดิ์ในยามเช้า และได้รับจูบราตรีสวัสดิ์ก่อนหลับไหล

    เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ที่เขาได้เอื้อนเอ่ยคำว่ารัก และได้รับฟังคำว่ารักไปพร้อมๆกัน

    แต่วันนี้... ไม่มีคนๆนั้นอีกแล้ว



    ห้องที่เขาเคยอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เขากลับรู้สึกราวกับว่าเขาไม่สามารถจะอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้อีก

    เพียงแค่คนๆนั้นจากไป ก็ราวกับว่าห้องทั้งห้องไม่มีคนอาศัยอยู่

    ห้องของเขาทั้งดูน่าหวาดกลัวและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน

    เตียงที่เขาเคยนอนคนเดียว เขาก็กลับรู้สึกว่ามันกว้างใหญ่เกินไป ทุกอย่างในห้องดูเหมือนจะไม่ใช่ของๆเขาอีกต่อไป...



    ช่วงที่พี่จุงกิ ไม่สิ ซงจุงกิ จากเขาไปช่วงแรกๆ เขาแทบจะเป็นบ้า เขาได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วร้องไห้ออกมาเงียบๆวันแล้ววันเล่า

    ซงจุงกิ ไม่ได้เอาของมีค่าหรือเสื้อผ้าใดๆติดตัวไปนอกจากกระเป๋าเงินเพียงใบเดียว

    ซงจุงกิ ทิ้งข้อความเอาไว้บนโพสอิดเพียงแค่ข้อความเดียว

    “รอพี่นะ”



    เขาตัดสินใจถอดแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายออก ด้านในตัวแหวนมีชื่อของคนของคนถูกสลักเอาไว้ ตรงกลางถูกคั้นด้วยรูปหัวใจเล็กๆ

    จุงกิ ♥ จินกิ

    ถ้าไม่ถอดเขาก็ไม่รู้เลยว่ามีข้อความพวกนี้ถูกสลักเอาไว้ด้วย เขาเก็บมันเอาไว้ในกล่องตรงหัวเตียง แม้ว่าเขาจะอยากเขวี้ยงมันทิ้งไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลยจริงๆสักครั้ง


    2 ปีที่ไม่มีการติดต่อ 2 ปีที่ไม่มีแต่คำบอกลา 2 ปีที่ไม่ได้เจอหน้ากัน 2 ปีที่ไม่ได้ยินเสียงกัน

    ซงจุงกิ จากไปแล้ว เขาได้แต่พร่ำบอกตัวเองแบบนั้น...



    ตอนนี้เขาได้งานทำในร้านออกแบบจิวเวอร์รี่เล็กๆร้านนึงในเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ บ่อยครั้งที่เขามักจะคิดถึงคนๆนั้นขณะออกแบบเครื่องประดับ



    “เฮ้ย อนยู เมื่อเช้าแกได้ดูข่าวเปล่าว่ะ” เสียงของคิบอมเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังออกมาจากปลายสาย

    “เปล่า ทำไมว่ะ” เขาตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ

    “ฉันเห็นคู่แท้แก!!”

    “คู่แท้ฉัน ใครว่ะ?”

    “อ้าว ก็คนที่แกพากลับมาตอนเราไปทัศนศึกษากันไง คนที่เขาหน้าตาคล้ายๆแก แม่ฉันบอกว่าคนที่หน้าคล้ายกัน แสดงว่าคนทั้งคู่น่ะเป็นคู่แท้กันนะเว้ย คนที่ชื่อ...”

    “ซงจุงกิ” จินกิเอ่ยชื่อนั่นออกมา

    “เออใช่ ซงจุงกิ เดี๋ยวฉันส่งคลิปไปให้แกดูนะ” พูดจบคิบอมก็กดตัดสายทิ้งไป




    อีจินกิวิ่งเต็มฝีเท้าพลางยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาเป็นระยะๆ ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลา 5 ทุ่มแล้ว หัวใจของเขากำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง



    ซงจุงกิ ฉันจะไม่ให้อภัยนาย!!








    เสียงและภาพจากคลิปที่คิบอมส่งมาให้เมื่อกลางวันยังวนอยู่ในหัวของเขาราวกับมีคนกรอมันกลับไปกลับมา


    “คุณทำยังไงถึงประสบความสำเร็จได้เร็วขนาดนี้คะ?”


    “คงเพราะเต้าหู้น้อยของผมมั้งครับ ผมจะมองรูปเขาในกระเป๋าเงินของผมทุกวัน ผมบอกกับตัวเองเอาไว้ว่าผมต้องทำให้ได้ ผมจะต้องประสบความสำเร็จแล้วกลับไปหาเต้าหู้น้อยของผมให้เร็วที่สุด”

    “ขอดูรูป เต้าหู้น้อย ของคุณซงจุงกิ หน่อยได้ไหมคะ?”


    “คงไม่ได้หรอกครับ เต้าหู้น้อยของผมเขาไม่ค่อยชอบออกสื่อหรือตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่ ถ้าเขาโกรธเพราะผมเอารูปเขามาเผยแพร่ไม่แย่เหรอครับ”

    “งั้น… สิ่งที่ทำให้คุณเสียใจที่สุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาคืออะไรคะ?”


    “คือการที่ผมทิ้งคนที่รักผม แล้วผมเองก็รักเขาเอาไว้คนเดียวครับ ผมไม่ได้บอกลาเขาเลยสักคำ... ป่านนี้เต้าหู้น้อยของผมคงลับมีดรอผมแล้วมั้งครับ ถ้าเขาได้ดูทีวีอยู่ตอนนี้ล่ะนะ”

    “แล้วแบบนี้ถ้าเต้าหู้น้อยของคุณมีแฟนใหม่ไปแล้วจะทำยังไงล่ะคะ?”


    “อืม... ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงฆ่าแฟนใหม่เขาทิ้งล่ะมั้งครับ”

    “ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่นครับ ถ้าเขามีความสุขผมก็คงอวยพรให้เขาล่ะมั้งครับ เพราะผมเองที่เป็นฝ่ายผิดที่ทิ้งเขามาแบบนี้”

    “ดูเหมือนว่าคุณจะรักเต้าหู้น้อยของคุณมากเลยนะค่ะ ทำไมคุณถึงรักเต้าหู้น้อยของคุณขนาดนั้นล่ะคะ?”


    “เพราะเขาเป็นคนผมรักครับ... เขาเป็นคนที่น่ารักมากที่สุดที่ผมเคยเจอ เขาเป็นคนดีเอามากๆ ขนาดคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างผมเขายังยอมให้ผมเข้าไปอยู่ในห้องของเขา ถ้าเป็นคุณ คุณจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้าไปอยู่ในห้องของคุณไหมล่ะครับ?”

    “คงยากล่ะค่ะ สมัยนี้คนเราไว้ใจกันได้ซะที่ไหน”

    “นั่นแหละครับ เต้าหู้น้อยของผมเขามองโลกในแง่ดี แล้วก็คอยดูแลผมตอนที่ผมรู้สึกว่ามันคือจุดจบของชีวิตผม เขาช่วยชีวิตผมเอาไว้ เขาช่วยผมออกมาจากความมืดมืดที่สุดในชีวิตของผม ที่ผมมีวันนี้ได้ก็เพราะเขาเนี่ยล่ะครับ”

    “สุดท้ายแล้วค่ะ คุณซงจุงกิอยากจะบอกอะไรถึงเต้าหู้น้อยของคุณหน่อยไหมคะ?”

    “ถ้านายได้ดูรายการนี้ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายมากมายเลย แต่ฉันไม่รู้ว่านายอยากจะเห็นหน้าฉันอีกไหม ยังไงฉันจะไปรอตรงนาย 4 โมงเย็น ตรงที่เราพบกันครั้งแรกนะ ฉันรักนายนะ”



    เจ้าของบริษัท JK ไอ้บริษัทที่เขาทำงานให้อยู่เนี่ยอ่ะนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ


    ตอนนี้เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น

    เขาไม่รู้ว่าคนๆนั้นจะยังรอเขาอยู่ไหม

    เขาไม่รู้ว่าเขาจะวิ่งขึ้นภูเขามาทำไมตอน 5 ทุ่มแบบนี้

    เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเคยเลิกรัก ซงจุงกิ ได้สักวินาทีหรือเปล่า









    ร่างบางวิ่งเข้าไปกระชากร่างในชุดสูทดูภูมิฐาน ที่กำลังยืนอยู่ริมหน้าผา

    “ไอ้บ้าซงจุงกิ!!” ร่างบางไม่รู้จะเอ่ยคำไหนที่แทนความรู้สึกของเขาได้ดีเท่านี้อีกแล้ว เขาทั้งดีใจที่ได้เห็นคนตรงหน้าอีกครั้ง ทั้งเสียใจที่คนตรงหน้าทิ้งเขาไปโดยไม่แม้แต่ละบอกลา ทั้งโกรธ ทั้งหงุดหงิด ทั้งเกลียด แล้วก็รักอย่างสุดหัวใจ

    “นายนี่พูดไม่เพราะเอาซะเลยนะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ก็ฉันรักนายไปแล้วนี่นะ อีจินกิ” จุงกิยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

    “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย อยากตายมากนักหรือไงถึงไปยืนริมผาแบบนั้นน่ะห่ะ!!”

    “ก็ไม่แน่นะ ถ้านายไม่มา… ฉันอาจจะโดดลงไปจริงๆก็ได้”

    “ไอ้บ้า!! แล้วถ้าผมไม่ได้ดูรายการนั้นล่ะ!” จินกิว่าน้ำเสียงตัดพ้อก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง แค่คิดว่าคนตรงหน้าเขาจะโดดลงไปเขาก็ทนไม่ได้แล้ว

    จุงกิรวบตัวคนรักเข้ามาในอ้อมกอดพลางลูบหัวกลมๆนั้นอย่างอ่อนโยน

    “ฉันขอโทษนะที่ฉันไม่ได้บอกลา แต่ถ้าฉันรอบอกลานาย ฉันว่าฉันคงทำไม่ได้แน่ๆ ฉันเลยต้องใช้นายเป็นแรงผลักดัน ถ้าไม่ประสบความสำเร็จฉันจะไม่มาเจอหน้านาย”

    “แต่นายรู้ไหม ฉันทรมานแทบตายแหนะ ถึงยังไงฉันก็ยังอยากเป็นคนที่คู่ควรกับนายนะ”

    “ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทิ้งนายไปไหนอีก” แล้วจุงกิก็คุกเข่าลงกับพื้น แล้วยื่นถุงที่มีกล่องไก่ทอดกับนมรสกล้วยไปตรงหน้าจินกิ

    “อะไรเหรอ?” จินกิเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง

    “ยกโทษให้ฉัน แล้วก็... แต่งงานกับฉันนะ อีจินกิ”






    “ครับ พี่จุงกิ”



    -END-
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×