NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Tale of dark knight summoned to defeat the hero] บทละครอัศวินดำ

    ลำดับตอนที่ #9 : ลูกศิษย์

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 66


     

    ตอนที่ 7 – ลูกศิษย์

     

    “ขอโทษค่ะ! ขอโทษค่ะ! ขอโทษค่ะ!!”

     

    ตอนนี้ตรงหน้าของผมกำลังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนกับแม่มดพื้นฐานซึ่งเธอก็ได้ทำแบบนี้มาเกือบจะหนึ่งนาทีแล้ว สาเหตุที่เธอก้มหัวและกล่าวขอโทษผมนั่นก็เป็นเพราะว่าเธอได้ทำของที่ผมพึ่งชื่อมาร่วงลงพื้นเสียหาย

     

    หลังจากที่เธอลุกขึ้นเพราะการวิ่งชนผมอย่างแรงและรู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ของของของคนอื่นร่วงลงไปแนบชิดกับพื้นเธอก็รีบก้มหัวกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิด

     

    แต่ตอนนี้ผมคงต้องบอกให้เธอหยุดก่อนเพราะตอนนี้ผู้คนเริ่มที่จะมองมาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว และเพราะขนาดหน้าอกของผู้หญิงคนนั้นที่ค่อนข้างใหญ่ทำให้ทุกครั้งที่เธอก้มสิ่งนั้นก็จะกระเพื่อมตามซึ่งสามารถดึงดูสายตาของชายโสดได้อย่างดี

     

    “ข้าว่าเจ้าหยุดทำเช่นนั้นก่อนดีกว่า”

     

    “แต่ว่าเป็นเพราะฉันของของคุณถึงได้...”

     

    “ข้ามาถือ แต่ตอนนี้คนเริ่มมองมาที่พวกเราเยอะแล้วข้าไม่ชอบเวลาที่ตัวเองถูกจับจ้อง”

     

    “งั้นหรอค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณลำบาก”

     

    “เห้อ~เอาเถอะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย”

     

    รู้สึกเหมือเดจาวูเลยแฮะ ผมเก็บข้าวของที่ตอนนี้ได้กลายเป็นยะทิ้งลงที่ถังขยะใกล้ๆและกำลังจะเดินจากไป แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ได้เรียกผมเอาไว้ซะก่อน

     

    “เดี๋ยวก่อนค่ะ!”

     

    “มีอะไรรึ?”

     

    “ฉันจะจ่ายค่าชดใช้ให้ค่ะ!”

     

    ผู้หญิงคนนั้นพูดดด้วยเสียงที่จริงจังและเงยหน้าขึ้นทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน

     

    ‘ทำไมจิยูกิถึงมาอยู่ที่นี่กัน?’

     

    หลังจากที่ผมได้เห็นหน้าตาของของผู้หญิงคนนั้นชัดๆและพบว่าเป็นคนที่ผมคุ้นเคย เธอมีชื่อว่ามิซุโอจิ จิยูกิ หนึ่งในฮาเร็มของเรย์จินั่นเอง แต่ถึงผมจะรู้สึกแปลกใจที่ได้เจอเธอที่นี่แต่ผมก็เก็บอาการเอาไว้

     

    ซึ่งผมก็กำลังที่จะปฏิเสธเธอเหมือนกับที่ทำกับพวกคายะแต่จิยูกิก็ได้ลากผมเข้าไปในร้านเบเกอรี่ที่อยู่ด้านหลังของผมและจ่ายเงินซื้อของทั้งหมดของผมที่เธอเป็นคนทำเสียหาย

     

    รู้ตัวอีกทีวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานก็เต็มมือของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แล้วจะปฏิเสธยังไงดีล่ะทีนี้

     

    “นั่นภรรยาของผู้กล้าท่านจิยูกินี่!”

     

    ทันใดนั่นเองในระหว่างที่ผมกำลังคิดหาวิธีที่จะปฏิเสธของในมือนี้ยังไงดีก็ได้มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ทำให้คนอื่นๆที่อยู่รอบๆเริ่มหันมาสนใจ

     

    จิยูกิที่เห็นว่าสถานการณ์มันเริ่มที่จะวุ่นวายเพราะตัวตนของเธอได้ถูกเปิดเผยก็ได้รีบออกไปจากตรงนั้นพร้อมกับลากผมตามไปด้วย

     

    “พวกเราหนีพ้นแล้วใช่หรือเปล่า?”

     

    “ไม่มีใครตามมา... แต่เหตุใดเจ้าถึงต้องลากข้ามาด้วย?”

     

    “อ่ะ! ขอโทษค่ะ!!”

     

    จิยูกิที่เห็นว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจับมือชายอื่นที่ไม่ใช่เรย์จิก็รีบปล่อยมือและรีบถ่อยออกห่างจากคผมไปหลายก้าวทำเอาผมที่เห็นแบบนั้นทำอะไรไม่ถูก

     

    นี่หรือว่าผมจะถูกเธอรังเกียจ

     

    “เออ...ขอโทษค่ะพอดีว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยจับมือของเพศตรงข้ามน่ะค่ะ...”

     

    สิ่งที่จิยูกิพูดมานั้นคือเรื่องจริงแม้ว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นที่โลกนี้หรือว่าโลกก่อนแม้ว่าตัวของเธอจะตัวติดกับเรย์จิตลอด เรียกได้ว่ามีเรย์จิที่ไหนมีเธอที่นั่น

     

    จนมีข่าวลือว่าทั้งสองเป็นแฟนกันด้วยซ้ำ ทั้งที่ความเป็นจริงแม้แต่การจับมือเธอก็ยังไม่เคยทำด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะความอาดของเธอและความไม่แน่ใจว่าเรย์จิจะมองเธอแบบที่เธอมองเขาหรือเปล่า เพราะรอบตัวของเรย์จิมีผู้หญิงอยู่หลายคนที่มีความรู้สึกดีดีให้กับเขา 

     

    เธอกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วกลัวจะถูกปฏิเสธซึ่งนั่นคงทำให้เธอเสียใจเป็นอย่างมาก ทำให้เธอไม่กล้าทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น จึงทำได้แค่การคอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆด้วยความหลงใหลเท่านั้น

     

    “เจ้ากำลังมีเรื่องกลุ้มใจอะไรงั้นรึ?”

     

    ผมที่เห็นว่าจิยูกิกำลังยืนเหมอเหมือนกำลังมีเรื่องที่กลุ้มใจ ด้วยนิสัยของผมที่ไม่สามารถอยู่เฉยได้เมื่อเห็นใครเดือดร้อนจะต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ถึงแม้ว่าคนที่ผมจะช่วยนั้นจะเป็นศัตรูก็ตาม

     

    “สังเกตง่ายขนาดนั่นเลยหรอค่ะ?”

     

    ผมพยักหน้าและเดินไปนั่งที่ม้านั่งที่อยู่ไม่ไกล

     

    “บางทีข้าอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้ เจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังได้รึไม่”

     

    จิยูกิที่ได้ยินแบบนั้นก็มีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะตัดสินใจและมานั่งที่ม้านั่นตัวเดียวกับผม แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้เช่นเดิม

     

    “เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณฟังต่อจากนี้อาจจะดูหน้าเหลือเชื่อ หลังจากที่ฟังแล้วคุณอาจจะคิดว่าฉันเพ้อเจ้อก็ได้ ฉันเป็นคนที่มาจากต่างโลกค่ะ”

     

    จิยูกิตัดสินใจเล่าความลับของเธอให้คนในผ้าคลุมเก่าๆที่ดูยังไงก็น่าสงสัยสุดๆฟัง แต่ความรู้สึกของเธอกลับบอกว่าคนคนนี้ไว้ใจได้ 

     

    หลังจากที่เธอได้บอกความลับของเธอไปก็ได้มองไปที่ชายในผ้าคลุมคนนั้นว่าจะมีปฏิกิริยายังไงแต่ที่เธอเห็นก็คือเขายังคงนิ่งอยู่เหมือนเดิม

     

    “งั้นหรอ...”

     

    ชายคนนั้นพูดออกมาสั่นๆ ซึ่งเธอก็คิดไว้แล้วว่าคงไม่มีใครเชื่อเรื่องไร้สาระพันธ์นี้หรอก เพราะเรื่องที่ผู้กล้านั่นเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาจากโลกอื่นนั้นมีแค่ทวยเทพจากเอลีอัส คนที่มีความเกี่ยวข้องกับโบสถ์ และจอมมารเท่านั้นที่รู้

     

    หมับ

     

    “คงจะลำบากมากเลยสินะ”

     

    ชายคนนั้นเอามือมาลูบที่หัวของเธออย่างกะทันหันแม้ว่าตอนแรกเธอจะรู้สึกตกใจแต่ความอบอุ่นเธอสัมผัสได้จากมือของเขานั้นทำให้เธอรู้สึกสบายใจและเลิกต่อต้าน

     

    “ค่ะ...ลำบากมากเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องมาต่อสู้กับปีศาจทั้งๆที่ฉันไม่เคยต่อสู้มาก่อน หรือจะเป็นเรื่องที่ว่าหลังจากที่ปราบราชาปีศาจแล้วพวกเราจะได้กลับบ้าน เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”

     

    คุโรกิลูบหัวของจิยูกิไปเรื่อยๆเพื่อปลอบใจเธอ ซึ่งความรู้สึกที่จิยูกิได้ระบายออกมานั้นเขาก็พอที่จะเข้าใจเพราะว่าเขาเป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาเหมือนกันกับเธอ แต่เพราะบทบาทที่แตกต่างกันทำให้แรงกดดันที่จิยูกิมีนั้นมีมากกว่าเขามาก

     

    เธอเป็นแค่เด็กที่มีอายุแค่17ปีที่กำลังจะมีอนาคตอันสดใสรออยู่แต่อนาคตเหล่านั้นกลับต้องมาสะดุดเพราะการถูกเรียกมาที่โลกนี้อย่างไม่สมัครใจจากเทพที่ไร้ความสามารถจึงได้โยนปัญหาของตัวเองให้คนอื่น ซึ่งก็คือพวกจิยูกิที่ถูกอัญเชิญมา

     

    “แล้วเจ้าจะทำยังไงต่อล่ะ จะสู้หรือจะยอมแพ้แค่นี้”

     

    จิยูกิที่ถูกถามแบบนั้นก็นิ่งไปพักหนึ่ง เพราะตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้นั่นมันจะทำให้เธอสามารถหลับบ้านได้จริงหรือเปล่า แล้วครอบครัวของเธอที่รู้ว่าเธอได้หายตัวไปตอนนี้จะเป็นยังไง

     

    เป้าหมายสุดท้ายก่อนที่จะสามารถกลับบ้านได้อย่างการปราบราชาปีศาจก็ไม่สามารถทำได้เพราะมีอัศวินดำที่แข็งแกร่งมากซะจนสามารถเอาชนะพวกเธอทุกคนพร้อมๆกันได้

     

    “เห้อ~เจ้านี่มันช่างซื่อตรงเสียจริงนะเป็นถึงผู้กล้าแท้ๆ”

     

    “คุณหมายความว่ายังไงกันค่ะ?”

     

    จิยูกิรู้สึกสงสัยทำไมชายคนนั้นถึงได้พูดแบบนั้นออกมากัน

     

    “เป็นถึงผู้กล้าแท้ๆเจ้าคิดว่าถ้าไม่สามารถปราบราชาปีศาจลงได้เจ้าก็จะไม่สามารถกลับไปยังโลกเดิมที่พวกเจ้ากลับมาได้สินะ”

     

    “ค่ะเพราะว่าเรน่าบอกมาแบบนั้น”

     

    “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเรน่าที่เจ้าพูดถึงจะเป็นใคร แต่ว่าเจ้าเคยคิดถึงวิธีอื่นนอกจากการปราบราชาปีศาจหรือยัง?”

     

    “วิธีอื่น? คุณหมายความว่ายังไงกัน?”

     

    คุโรกิที่เห็นว่าจิยูกิถามออกมาแบบนั้นก็ถึงกับเอามือก่ายหน้าผาก นี่เธอไม่เคยคิดถึงวิธีอื่นนอกจากวิธีที่เทพธิดาเรน่าบอกเลยหรือยังไงกัน

     

    “ข้าถึงได้บอกไงว่าเจ้านั่นช่างซื่อตรง จากการเครื่องแต่งกายแล้วเจ้าคงจะเป้นผู้กล้าที่เน้นการใช้เวทมนตร์สินะ มีเวทย์อยู่หลายร้อยบทที่มีความสามารถในการเปิดช่องว่างระหว่างมิติขอแค่เจ้าใช้เวลาในการศึกษาเกี่ยวกับเวทยมนตร์พวกนั้นการเปิดทางเชื่อมเพื่อกลับโลกเดิมคงจะไม่ยากเกินผู้กล้าเช่นเจ้าหรอกจริงมั้ยล่ะ?”

     

    จูยูกิที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ทำไมเธอถึงไม่เคยคิดถึงวิธีกันน่ะ ในหนังสือเวทมนตร์ที่เรน่าเอามาให้อ่านก็มีเวทย์ที่สามารถเปิดช่องมิติได้แต่ตอนนี้เธอไม่ได้สนใจเวทมนตร์พวกนั้นเลยเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น

     

    แต่ตอนนี้เวทมนตร์เหล่านั้นได้กลายเป็นความหวังสุดท้ายในการกลับบ้านของเธอ

     

    ด้วยความตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าการกลับโลกเดิมของเธอยังเป็นไปได้ จิยูกิได้เข้าไปสวมกอดคุโรกิด้วยความดีใจ ซึ่งคุโรกิที่โดนกอดอย่ากะทันหันก็ถึงกับเกร็งเพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองถูกถูกจิยูกิกอดแบบนี้

     

    “คุณจิยูกิ?”

     

    ทันใดนั้นเองในระหว่างที่จิยูกิกำลังกอดผมอยู่นั้นก็ได้มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา และเมื่อผมหันกลับไปมองก็เห็นว่าเคียวกะและคายะที่ผมเคยมีเรื่องด้วยที่ตลาดกำลังยืนนิ่งพร้อมกับหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ

     

    “คุณเคียวกะคุณคายะฟังนะคะ! ฉันรู้วีธีที่จะทำให้พวกเรากลับไปยังโลกเดิมนอกจากการปราบราชาปีศาจได้แล้วล่ะค่ะ!!”

     

    “จริงหรือคุณจิยูกิ!”

     

    เคียวกะที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเธอก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกคิดถึงบ้านเป็นอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าหลังจากครึ่งปีที่เธอหายตัวไปพ่อและแม่ของเธอจะเป็นยังไงบ้าง

     

    “ใช่ค่ะ! แต่นี้เป็นแค่ทฤษฎีแต่มันมีความเป็นไปได้ต้องขอบคุณ... เออ...”

     

    “จิยูกิอธิบายเกี่ยวกับวิธีการกลับโลกเดิมให้พวกเคียวกะฟังก่อนที่เธอจะผายมือมาหาผมและหยุดพูด จริงสิผมยังไม่ได้บอกชื่อเธอเลยนี่นะ

     

    “ทัชมี”

     

    “ค่ะ! เป็นเพราะคุณทัชมีทำให้ฉันรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง!”

     

    เคียวกะและคายะมองตามมือของจิยูกิและพบว่าคนที่ชื่อทัชมีที่จิยูกิพูดถึงนั้นก็คือคนในผ้าคลุมที่พวกเธอพึ่งจะมีเรื่องด้วยเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

     

    ทั้งสองที่เห็นแบบนั้นความตื่นเต้นที่เคยมีก็หายไปในพริบตาและถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด

     

    “ไม่คิดว่าข้าจะได้เจอพวกเจ้าอีกครั้ง”

     

    “ทางนี้ก็เช่นกันค่ะ ต้องขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดด้วย”

     

    “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ถือ”

     

    ผมตอบคายะไปอย่างไม่คิดอะไร โดยหารู้ไม่ว่าการที่ผมทำแบบนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดมากยิ่งกว่าเดิม

     

    “เอ๊ะ? พวกคุณรู้จักกันอย่างงั้นหรอค่ะ?”

     

    จิยูกิได้ยินการพูดคุณของทั้งสองถามออกมาด้วยความสงสัย แต่ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมาจากคายะหรือเคียวกะ

     

    “พวกเราบังเอิญเจอกันที่ตลาดก่อนที่เจ้าจะสิ่งมาชนข้าน่ะ”

     

    “เอ๊ะ! คุณทัชมีอยากพูดเรื่องนั้นสิค่ะ!”

     

    จิยูกิหน้าขึ้นสีเพราะความเขินอายก่อนที่เธอจะพึ่งนึกขึ้นได้ที่เธอรีบร้อนจนวิ่งมาชนกับคุณทัชมีก็เพราะตอนนั้นเธอกำลังออกตามหาพวกเคียวกะที่ออกมาด้านนอกโดยพลการ ซึ่งเธอกลัวว่าเคียวกะจะไประเบิดคนอื่นเพราะการใช้เวทย์ที่ไม่คิดหน้าคิดหลังของเธอ

     

    “จริงด้วยคุณเคียวกะทำไมถึงได้ออกมาโดยไม่บอกคนอื่นล่ะค่ะ!”

     

    “จึ๋ย!”

     

    “คุณคายะด้วยทำไมถึงไม่ห้ามคุณเคียวกะ คุณรู้มั้ยว่าการที่พวกคุณทำแบบนี้ทำให้พวกเราวุ่นวายมากแค่ไหนเมื่อรู้ว่าพวกคุณหายตัวไปจากปราสาทพร้อมกับอัศวินจำนวนหนึ่งน่ะ!”

     

    เคียวกที่ถูกจิยูกิต่อว่าก็คอตกและน้อมรับแต่โดยดี ซึ่งคายะที่เห็นเจ้านายของเธอเป็นแบบนั้นก็พูดห้าม ขืนถูกต่อว่ามากกว่านี้เคียวกะได้ร้องไห้แน่

     

    “ท่านจิยูกิดิฉันว่าพอแค่นี้เถอะค่ะ คุณหนูเองก็รู้สึกผิดแล้วด้วย”

     

    “คุณคายะตามใจคุณเคียวกะมากเกินไปแล้วนะคะ เพราะอย่างนี้ไงเธอถึงได้เอาแต่ใจน่ะ”

     

    ซึ่งการพูดคุยของทั้งสามที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเหมือนการที่แม่(จิยูกิ)กำลังดุลูก(เคียวกะ)โดยที่มีพ่อ(คายะ)คอยห้ามแต่ก็โดนหางเลขไปด้วย

     

    “ถ้าไม่ว่าอะไรข้าก็ขอตัวกลับก่อนล่ะ เพราะตอนนี้คนที่บ้านคงจะกำลังรอข้านานแล้ว”

     

    ผมพูดออกแบบนั้นก่อจะลุกออกจากม้านั่นและกำลังจะเดินออกจากที่ตรงนี้กลับไปที่กระท่อมเพราะตอนนี้รีเบคก้าและโคฮาคุคงจะหิวกันมากแล้ว เพราะผมก็ออกมาหลายชั่วโมงแล้วด้วยทั้งๆที่คิดว่าจะออกมาแค่ครึ่งชั่วโมงแท้

     

    หมับ!

     

    แต่ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงแรงถึงของอะไรบางอย่างที่กำลังดึงผ้าคลุมของผมเอาไว้ และเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเคียวกะกำลังจับผ้าคลุมของผมเอาไว้

     

    “มีอะไรงั้นรึ?”

     

    “คือว่า...”

     

    “เดี๋ยวเถอะคุณเคียวกะมันเสียมารยาทนะไปดึงผ้าคลุมของคุณทัชมีแบบนั้นได้ยังไงกัน”

     

    จิยูกิรีบบอกให้เคียวกะปล่อยมือออกจากผ้าคลุมของผมแต่ว่ามันก็สายเกินไปซะแล้ว เพราะและดึงทำให้ตอนนี้ผ้าคลุมที่เคยปกปิดชุดเกราะสีเงินได้หลุดออกเผยให้ชุดเกราะสีเงินเงาวับอยู่ข้างใน

     

    ซึ่งเกราะสีเงินของผมนั้นเงาถึงขนาดที่ทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆหลับตาเพราะแสงของดวงอาทิตย์ที่ถูกสะท้อนจากความเงาของชุดเกราะ

     

    พวกจิยูกิหลังจากที่ได้เห็นชุดเกราะของผมก็ถึงกับเอามือมาบังตาเพราะแสงของดวงอาทิตย์ที่ถูกชุดเกราะสะท้อน ก่อนที่ดวงตาของพวกเธอจะเริ่มคุ้นชินทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

     

    ชุดเกราะสีเงินที่ตรงหน้าอกประดับด้วยอัญมณีสีน้ำเงินพร้อมกับผ้าคลุมสีแดงที่มีเส้นสีทองลากผ่านติดอยู่ที่ไหล่ซ้ายทำให้ดูสง่างามและองอาจ พวกเธอยอมรับเลยว่าคุณทัชมีที่เธอกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้หลังจากที่ผ้าคลุมหลุดออกราวกับอัศวินที่หลุดออกมาจากนิยาย

     

    อัศวินผู้ที่คอยปกป้องเจ้าหญิงจากภัยร้ายทั้งปวง

     

    ‘เท่กว่าพี่ชาย/เรย์จิคุงซะอีก’

     

    เคียวกะและจิยูกิพูดในใจ รวมถึงคายะแม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษแต่ภายในใจของเธอก็มีสิ่งที่เรียกว่าความฝันของหญิงสาวอยู่เหมือนกันนั่นก็คือการได้รับการปกป้องโดยอัศวินขี่ม้าขาวเหมือนในนิทานที่เคยฟังตอนเด็ก

     

    ผมที่เห็นว่าทั้งสามคนกำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ก็ได้เอาผ้าคลุมกลับมาคลุมตัวอีกครั้งเพราะการที่จะเดินออกไปจากเมืองชั้นในในสภาพแบบนี้มันจะเด่นเกินไป แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินคายะก็ได้มาขวางทางผมไว้พร้อมกับก้มหัว

     

    “ได้โปรดรับดิฉันและคุณหนูเป็นลูกศิษย์ด้วยค่ะ!”

     

    “ห๊ะ!?”

     

    “คายะ!!”

     

    เคียวกะตะโกนออกมาและเข้าไปเขย่าตัวของคายะรัวๆ

     

    “ก็คุณหนูพูดเองนี่คะว่าอยากให้เขาสอนเวทมนตร์ให้ ซึ่งดิฉันก็อยากให้ท่านทัชมีสอนศิลปะการต่อสู้ให้เหมือนกัน แต่เพราะคุณหนูมัวแต่อ้ำอึ่งดิฉันจึงตัดสินใจพูดเอง”

     

    “ตะ-แต่ว่านี่มันกะทันหันเกินไปนะ!”

     

    ผมที่ได้ยินที่ทั้งสองพูดก็เอามือทาบหน้า ทำไมมันถึงได้ต่างจากต้นฉบับแบบนี้นะ เคียวกะไม่ใช่ว่าเธอเกลียดผู้ชายไม่ใช่หรือไง ส่วนคายะรายนั้นก็เย็นชาแทบจะไม่พูดกับคนอื่นนอกจากเคียวกะ แต่ตอนนี้สองคนนั้นกำลังมาขอให้ผมที่พึ่งเจอกันสอนเนี่ยนะ

     

    การที่ผมเข้ามาอยู่ในร่างนี้นั้นทำให้เนื้อเรื่องรวนไปหมด ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง หรือบางทีผมควรจะชั่งหัวเนื้อเรื่องแล้วใช้ชีวิตอย่างที่อยากดี

     

    “ข้าขอถามทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้าที่พึ่งเคยเจอกันสอนให้ล่ะไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเป็นผู้กล้าไม่ใช่รึ?”

     

    “เออคือว่า ฉันไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้น่ะค่ะ เมื่อเห็นว่าคุณสามารถร่ายเวทย์ได้อย่างรวดเร็วและเวทย์ที่ร่ายก็มีความทรงพลังจนสามารถรักษาคายะให้หายดีได้แทบจะทันที เพราะอย่างนั้นช่วยสอนฉันด้วยค่ะ!”

     

    “แต่ไม่ใช่ว่าเจ้ามีคนที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์อย่างท่านจิยูกิอยู่แล้วไม่ใช่รึไง ทำไมถึงไม่ให้เธอล่ะ?”

     

    “ไม่ไหวหรอกค่ะคุณทัชมีฉันเคยลองแล้ว พลังเวทย์ของคุณเคียวกะนั้นบ้าคลั่งเกินไป มันเกิดความสามารถที่ฉันมีอยู่ในตอนนี้”

     

    จิยูกิกล่าวปฏิเสธเพราะเธอเคยลองแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ

     

    “งั้นรึอืม...ก็ได้แต่บอกไว้ก่อนข้าสอนคนอื่นไม่เก่งหรอกนะคุณหนูผมเหลือง”

     

    ผมคิดอยู่ซักพักก่อนที่จะตอบตกลงแม้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อจากนี้เป็นการสร้างปัญหาให้กับตัวเองแต่หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งผมก็คิดว่ามันน่าสนุกดี หลังจากที่พวกเธอรู้ว่าคนที่คอยสอนเธอตลอดเป็นคนที่เธอต้องจัดการจะมีท่าทีเป็นยังไงกันนะ

     

    “ทำไมถึงไม่เรียกชื่อฉันล่ะ! ทีคุณจิยูกิยังเรียกชื่อเลย”

     

    “เจ้าเคยบอกให้ข้ารู้งั้นรึ?”

     

    “จริงด้วย! ขอโทษที่ไม่ได้แนะนำตัวค่ะ ฉันชื่อเคียวกะ มิโด เคียวกะ ส่วนคนที่อยู่ข้างๆชื่อคายะ!”

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักท่านเคียวกะ”

     

    “เรียกแค่เคียวกะเฉยๆก็ได้ค่ะ เพราะการที่คนที่เป็นอาจารย์มาเรียกลูกศิษย์ว่าท่านแล้วมันฟังดูแปลกๆ”

     

    “ได้งั้นเคียวกะ แล้วเจ้าล่ะชื่อคายะสินะเจ้าต้องการให้ข้าสอนเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้สินะ”

     

    “ค่ะ หลังจากที่ฉันได้สู้กับท่านในตอนนั้นฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าความสามารถที่มีอยู่ในตอนนี้ช่างอ่อนแอ และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปฉันคงไม่สามารถปกป้องคุณหนูได้”

     

    คายะพูดออกมาด้วยความแน่วแน่ซึ่งผมสามารถสัมผัสได้จากคำพูดและสายตาของเธอ

     

    “งั้นหรอ สิ่งที่เจ้าขาดไม่ใช่กระบวนท่าหรอกแต่เป็นประสบการณ์และการปรับใช้ แม้ว่าข้าจะไม่เก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้เท่าสหาย(?)ของข้า แต่ข้าก็จะพยายามสอนเจ้าก็แล้วกัน แล้วพวกเจ้าจะเริ่มฝึกตอนไหนล่ะ?”

     

     

    “ตอนนี้เลยค่ะ”

     

    “เอ๋!!? เดี๋ยวสิคายะตอนนี้เลยหรอ!?”

     

    “ค่ะ เพราะว่าฉันอยากแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นให้เร็วที่สุด คุณหนูจะเริ่มทีหลังก็ได้นะคะ” 

     

    “ชิ พูดแบบนี้มีหรอที่ฉันจะยอม คุณทัชมีค่ะช่วยเริ่มตอนนี้ได้เลยหรือเปล่าคะ!”

     

    “ไม่มีปัญหาแต่ว่าข้าจะต้องไปซื้อพวกวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารเสียก่อนพวกเจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”

     

    “ได้อยู่แล้วค่ะ บอกมาเลยว่าคุณต้องการอะไรบ้างเดี๋ยวฉันและคายะจะเป็นคนไปซื้อมาให้เอง”

     

    หลังจากนั้นผมก็ได้บอกรายการของที่ต้องการที่จะซื้อให้เคียวกะก่อนที่เธอจะพาคายะออกไปซื้อด้วยความกระตือรือร้น ทำให้ที่ตรงนี้เหลือเพียงแค่ผมและจิยูจิเท่านั้น

     

    “คุณทัชมีทำอาหารเป็นด้วยอย่างงั้นหรือค่ะ?”

     

    “ข้าเคยอาศัยอยู่คนเกราะงั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้าจะสามารถทำอาหารได้”

     

    “งั้นหรอค่ะ...คือว่าคุณทัชมีค่ะ คือว่าคุณสามารถสอนเวทมนตร์ให้ฉันด้วยได้หรือเปล่าค่ะ?”

     

    จิยูกิรวบรวมความกล้าและถามออกไป เพราะจากที่ได้ยินที่เคียวกะพูดว่าคุณทัชมีสามารถร่ายเวทย์ได้อย่างรวดเร็วแสดงว่าเขามีความสามารถด้านเวทมนตร์ที่เหนือกว่าเธอ และการที่ได้รับการสั่งสอนจากเอานั้นน่าจะทำให้เป้าหมายอย่างการกลับบ้านของเธอสำเร็จเร็วมายิ่งขึ้น

     

    “ไม่มีปัญหา”

     

    ผมตอบไปอย่างไม่คิดอะไรแม้ว่าตอนนี้ภายในใจจะจินตนาการไปถึงตอนที่พวกเธอรู้ความจริงแล้วอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา แต่โชคดีที่ตอนนี้เขาสวมหมวกเกราะอยู่ทำให้ไม่มีใครเห็น

     

    อา...ผมนี่มันเลวจริงๆ 

     

    ผ่านไปไม่นานเคียวกะและคายะที่ออกไปซื้อของก็ได้กลับมาพร้อมกับหอบของที่ผมให้ไปซื้อกลับมาด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับไปที่บ้านของผม

     

    ซึ่งมีพวกจิยูกิเดินตามหลังมาซึ่งเรียกสายตาของคนอื่นๆได้เป็นอย่างดีเพราะความสวยของพวกเธอ ทำให้มีบางครั้งที่มีพวกสมองน้อยพุ่งเข้ามาหาพวกเธอหวังจะทำมิดีมิร้าย แต่คนพวกนั้นถูกถูกผมต่อยสวนไปแค่หวัดเดี๋ยวก็เดี้ยงแล้ว

     

    จนในที่สุดพวกเราก็เดินมาจนถึงบ้านของผมที่เคยเป็นกระท่อมโทรมๆ

     

    “ว้าวนี่น่ะหรอบ้านของอาจารย์”

     

    เคียวกะพูดออกมาหลังจากที่เห็นบ้านหลังเล็กที่สร้างจากไม้ทั้งหลัง ซึ่งผมก็ยืดอกด้วยความภูมิใจที่มีคนชมบ้านที่ผมสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

     

    “ข้าจะเอาของไปเก็บพวกเจ้ารออยู่ตรงนี้”

     

    “ค่ะx3”

     

    ผมเดินไปหยุดที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่ แต่ทันใดนั้นเองหูของผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งมาที่ประตูอย่างรวดเร็วซึ่งผมก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าใครกำลังวิ่งมา

     

    ปัง!!

     

    “กลับมาแล้วอย่างงั้นหรอไอ้เวร! กล้าดียังไงถึงขังฉันไว้ในบ้านกับเจ้าจิ่งจกเวรนั่น!”

     

    รีเบคก้าเปิดประตูอย่างแรงพร้อมกับสาดคำด่าใส่ผมซึ่งผมไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดพวกนั้นหรอกแต่ที่ผมสนใจตอนนี้ก็คือ ทำไมรีเบคก้าถึงได้ใส่แค่ชุดชั้นในแล้วออกมาข้างนอกกัน

     

    ก่อนที่ผมจะส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดชั่วๆออกไปและเดินเอาของไปเก็บไว้ในบ้าน ซึ่งรีเบคก้าที่เห็นว่าตัวเองถูกเมินก็อารมณ์เสียมากยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่สายตาของเธอจะไปเห็นผู้หญิงสามคนที่กำลังยืนมองมาที่เธอ

     

    “ผู้หญิงสามคนนั้นคือxxหรี่ที่แกไปซื้อมาหรือไง?”

     

    พรูด!!!

     

    “นี่เจ้าพูดอะไรออกมาเนี่ย!”

     

    ผมที่ได้ยินที่รีเบคก้าพูดก็ถึงกับพ้นน้ำที่กำลังดื่มอยู่(สวมหมวกอยู่จ้า)และเข้าไปเขย่าตัวเขารีเบคก้า ก่อนที่จะมองไปที่พวกจิยูกิและพบว่าพวกเธอแค่เอียงหัวด้วยความสงสัยเท่านั้น

     

    โชคดีที่พวกเธอไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบแค่นี้แน่ๆ

     

    “พวกเธอเป็นลูกศิษย์ของข้าไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่เจ้าพูด ต่อไปจะพูดอะไรก็ระวังด้วย เด็กเช่นเจ้าไม่ควรพูดอะไรเช่นนั้นออกมามันไม่งาม”

     

    “หาาา!!! แกว่าใครเป็นเด็กกัน! เห็นอย่างนี้แน่ว่าฉันอายุมากกว่า20แล้วนะ”

     

    ไม่จริงน่า ทั้งที่รูปร่างเหมือนกับเด็กชั้นประถมแท้ๆแต่บอกว่าอายุมากกว่า20 นั้นมันมากกว่าผมอีกนะนั่น อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์น่ะ

     

    ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้เจอโลลิถูกกฎหมาย ถ้าพวกพี่หมีรู้เข้าคงได้คลั่งตายแน่ ไม่สิคงได้ถูกยิงพลุนแน่ต่างหากถ้าขืนไปทำอะไรที่ไม่เข้าท่ากับเธอ

     

    +++

     

    คนเรานี่เเปลกเนอะยิ่งใกล้สอบยิ่งมีไฟในการทำสิ่งต่างๆ เเต่สิ่งต่างๆที่ว่ากลับไม่มีการอ่านหนังสือเนี่ยสิ น่าเเปลกใจจริงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×