NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Tale of dark knight summoned to defeat the hero] บทละครอัศวินดำ

    ลำดับตอนที่ #8 : โชคร้าย

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 66


     

    ตอนที่ 6 – โชคร้าย

     

    “เจ้ามีนามว่าอะไร?”

     

    ผมถามผู้หญิงผมเขียวคนนั้นที่ต้องนี้เธอกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่พร้อมจะปะทะได้ทุกเมื่อ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสายตาของเธอหรอกออกจะรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำ

     

    “ทำไมฉันจะต้องตอบแก”

     

    เธอคนนั้นไม่บอกชื่อแถมยังถุยน้ำลายลงพื้น ผมที่เห็นว่าเธอคงไม่ยอมบอกชื่อมาง่ายๆก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันหลังและเดินเข้าไปในกระท่อมที่พึ่งจะสร้างเสร็จพร้อมปืนของผู้หญิงคนนั้น

     

    “แกจะไปไหนน่ะ? คืนปืนของฉันมาเดี๋ยวนี้น่ะ!?”

     

    “อยากได้คืนเหรอ? เอานามของเจ้ามาแลกสิ”

     

    ผมพูดออกไปแบบนั้นและเดินเข้าไปในกระท่อมโดยไม่หันกลับมามองทิ้งให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้านนอกคนเดียว

     

    “นายท่านทิ้งมาเกน่าตัวนั้นไว้ด้านนอกจะดีเหรอ?”

     

    “เดี๋ยวเธอก็ยอมแพ้เองแหละ...ว่าแต่มาเกน่านี่คืออะไรชื่อของผู้หญิงคนนั้นงั้นหรอ?”(พระเอกจะพูดกับคนอื่นแบบโบราณ แต่จะพูดกับคนที่รู้จักหรือคนที่อยู่ที่นากอลแบบปกติ)

     

    “ไม่ใช้ชื่อค่ะ มาเกน่าคือเผ่าพันธุ์ชนิดหนึ่งบนดาวดวงนี้ที่มีร่างกายเป็นโลหะ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์และสามารถสืบพันธุ์ได้เหมือนกับมนุษย์ค่ะ”

     

    “งั้นหรอ”

     

    ดูเหมือนว่าจะมีเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้ปรากฏในนิยายด้วยสินะ แต่ว่าเธอตกลงมาจากฟ้าได้ยังไงกัน หรือเป็นเพราะการที่ผมมาอยู่ในร่างของคุโรกิที่เป้นพระเอกของนิยายจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก

     

    ก๊อกๆ

     

    เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจของผมและโคฮาคุ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมแพ้แล้ว 

     

    ผมลุกออกจากเก้าอี้ไม้ที่ทำขึ้นมาเองเพื่อไปเปิดประตู ทันทีที่ผมเปิดประตูก็ได้มีท่อนไม้ขนาดไม่ใหม่มากฟาดเข้าที่หมวกเกราะของผมจนเกิดเสียงดัง

     

    “เป็นยังไงล่ะ!”

     

    ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาด้วยความสะใจที่สามารถใช้ไม้ฟาดใส่ผมได้และเธอก็กำลังจะฟาดอีกครั้งแต่ผมก็ได้ใช้มือจับไปที่ไม้ในมือของเธอเอาไว้

     

    “เจ้าคิดว่าไม้ธรรมดาจะสามารถทำอะไรข้าที่สวมเกราะได้อย่างงั้นรึ?”

     

    ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่เต็มได้ด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่าจะสามารถจัดการกับผมด้วยไม้ในมือได้จริงๆ แต่ก็ขอยอมรับว่าการแรงของเธอเยอะมากถ้าเป็นคนอื่นคงจะมีอาการมึนงง 

     

    แต่มันใช้ไม่ได้กับผมที่ตอนนี้สวมสุดยอดชุดเกราะหรอก

     

    “เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษเจ้ายังไงดี?”

     

    ผมถามผู้หญิงคนนั้นด้วยเสียงที่ถูกดัดจนหน้ากลัวทำให้เธอปล่อยไม้และถอยหลังไปหลายก้าว

     

    “ขะ-ขอโทษ”

     

    ผู้หญิงคนนั้นกุมมือและก้มหน้าเหมือนกับเด็กที่ทำผิดและถูกผู้ใหญ่จับได้ และผมที่เป็นคนที่มีจิตใจที่เมตตาอารี

     

    “ไม่ยกโทษให้”

     

    “ปะ-ปล่อยฉันนะ! แกคิดจะทำอะไร!?”

     

    “ลงโทษเด็กดือ”

     

    ผมตอบกลับไปสั้นๆและเดินไปหาเชือกเพื่อมัดแขนและขาของเธอและเอาไว้ห่อยไว้ที่กลางบ้าน

     

    “เอาฉันลงไปน่ะได้บ้าเอ้ย!”

     

    ผู้หญิงคนนั้นพยายามดิ้นอย่างแรงแต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากการจับกุมของเธอที่มัดด้วยเงื่อนพิเศษอย่างเงื่อนกระดองได้หรอก ทำให้ทุกครั้งที่เธอขยับเชือกก็จะแกว่งไปมาทำให้เวียนหัวเปล่าๆ

     

    “เจ้าบอกนามของเจ้าก่อนสิ”

     

    ผมยืนกอดอกมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่กำลังห้อยอยู่กลางบ้าน

     

    “ก็ได้!ๆ ฉันจะบอกแล้ว! รีเบคก้าคือชื่อของฉัน”

     

    รีเบคก้าตะโกนชื่อของเธออกมาพร้อมกับใบหน้าที่แดงกำเพราะความอับอายถึงที่สุด ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยตกอยู่ในสถานะการณ์ที่น่าสมเพชแบบนี้มาก่อน

     

    “ก็แค่นั้น”

     

    ผมแก้มัดให้รีเบคก้าและนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ ตอนนี้ก็ถึงเวลาในการสอบสวนแล้ว

     

    “ทำไมเจ้าถึงได้ร่วงลงมาจากฟ้า”

     

    “ไม่รู้”

     

    “ไม่รู้?”

     

    ผมเองหัวเมื่อได้ยินคำตอบ บางทีเธออาจจะความจำเสื่อมเพราะการตกลงมาจากที่สูงก็ได้ยิ่งเธอเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีร่างกายเป็นเครื่องจักรอย่างมาเกน่า อาจจะมีอะไหล่บางอย่างหลุดหายไปก็ได้

     

    แต่ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งข้อสันนิษฐานนั้นรีเบคก้าก็ได้พูดต่อ

     

    “ความทรงจำล่าสุดของฉันก็คือถูอะไรบางอย่างสีดำทับ และเมื่อลืมตาก็มาโผล่ในโลกที่ไม่รู้จัก”

     

    “เจ้ามาจากต่างโลก?”

     

    ผมถามแกไปโดยพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ นี่ผมโชคดีมากจนถึงกับเธอคนจากต่างโลกเหมือนกันเลยเหรอเนี่ย

     

    “คิดว่านะ เพราะที่นี่ต่างจากเมืองที่ฉันเคยอยู่มาก เมืองที่ฉันเคยอยู่อย่าง“ไนท์ซิตี”นั่นแทบจะไม่มีต้นไม้เลย อากาศก็เต็มไปด้วยมลพิษ ส่วนคนในเมืองก็เต็มไปด้วยพวกบ้าที่หมกหมุ่นอยู่กับยา”

     

    รีเบคก้ามองไปที่นอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง

     

    จากที่ผมฟังมาดูเหมือนว่าที่ที่เธออยู่นะมีสภาพที่แย่เป็นอย่างมาก แต่เมืองไนท์ซิตีผมมายักกับเคยได้ยิน 

     

    ผมได้ใช้สมองเพื่อย่อยข้อมูลที่รีเบคก้าพูดออกมาทั้งหมดจนสรุปได้ว่าโลกที่เธอจากมาไม่ใช่โลกเดียวกันกับผม เพราะเธอบอกว่าปืนที่ติดตัวเธอมาด้วยเป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวิทยาการณ์ในเมืองของเธอ

     

    ซึ่งเมือผมได้ตรวจสอบดูก็พบว่าปืนกระบอกนี้มีหลายส่วนที่คล้ายกับปืนในโลกของผม แต่ก็มีสวนประกอบหลายอย่างที่ดูยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารุสร้างขึ้นได้จากวิทยาการณ์ในยุคของผม

     

    นั่นทำให้ผมสามารถฟันธงได้เลยว่ารีเบคก้าเป็นคนที่มาจากโลกที่ต่างจากโลกของผมหรือไม่ก็มาจากช่วงเวลาในอนาคตของโลกของผมซึ่งอันนี้มีความเป็นไปได้ที่น้อยมากแต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

     

    “นี่ฉันมาอยู่ที่ต่างโลกจริงๆเหรอเนี่ย..”

     

    รีเบคก้าพูดออกมาอย่างไม่เชื่อ เพราะหลังจากที่ผมได้ข้อมูลจากเธอมาแล้วผมก็ได้บอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับโลกนี้ใช้เธอฟังซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมรู้มาจากหนังสือที่นากอลนั่นแหละ

     

    หลังจากที่พวกเราได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเรียบร้อยแล้วความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุมเพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกันดี แต่ทันใดนั้นเองเสียงท้องของรีเบคก้าก็ได้ดังขึ้น ทำเอาผมแทบจะกลัวหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว

     

    โครก~

     

    “อุฟ-”

     

    “อย่าหัวเราะน่ะ!”

     

    เธอจ้องมาที่ผมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความเขินอาย ไอ้ท้องบ้านี่ร้องออกมาไม่ดูสถานการณ์เลย

     

    ผมยิ้มให้กับท่าทางที่น่ารักของเธอก่อนจะหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋าที่รูคัสเตรียมมาให้ เพราะตอนนี้ผมยังไม่สามารถใช้เวทย์ธาตุมืดได้ดีพอเลยไม่สามารถใช้“หลุมดำเก็บของ”ที่เป็นเวทย์สร้างหลุมดำขนาดเล็กที่เชื่อมไปยังห้องๆหนึ่ง

     

    ซึ่งผมก็ไม่รู้ขนาดของห้องหลังหลุมดำที่แน่นอนแต่จากข้อมูลในหนังสือมีคนที่ใช้เวทย์นี้เก็บซากของมังกรขนาดใหญ่กว่า15เมตรลงไปแล้วยังสามารถใส่ของอย่างอื่นได้ ซึ่งจากการคาดเดาของผมขนาดของห้องน่าจะประมาณโรงเก็บเครื่องบิน

     

    “กินนี่ลองท้องก่อน”

     

    “ขอบใจ..”

     

    ผมยื่นขนมปังให้รีเบคก้าซึ่งเธอก็รับไว้และทานมันอย่างช้าๆ ผมที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะเอาผ้าเก่าๆมาคลุมตัวเพื่อที่จะออกไปด้านนอกเพราะตอนนี้อาหารที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว และผมยังต้องเอาอัญมณีไปแลกเป็นเงินเพื่อความสะดวกในอนาคต

     

    “นายจะไปไหนน่ะ?”

     

    “ไปชื่อของ”

     

    “ฉันไปด้วย!”

     

    รีเบคก้ารีบกินขนมปังในมือจนหมดและกำลังจะลุกออกจากเก้าอี้ และผมก็ได้ห้ามเธอเอาไว้ซะก่อน

     

    “เจ้าอยู่ที่นี่แหละ”

     

    “ทำไมล่ะ?”

     

    “เจ้าเป็นคนจากต่างโลกคงจะยังไม่คุ้นชินกับที่แห่งนี้ เจ้าอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่า”

     

    “แต่ฉันดูแลตัวเองได้นะ!”

     

    รีเบคก้าพูดแย้งขึ้นมาเพระเธอสามารถดูแลตัวเองได้ซึ่งตรงนั้นผมก็รู้แต่ที่ผมไม่ให้เธอไปด้วยก็เป็นเพราะว่ามันจะเด่นเกินไป และผมก็กลัวว่าเธอจะเอาปืนไปเป่ากระบานคนที่มาลวนลามเธอ

     

    “โคฮาคุฝากด้วย”

     

    “รับทราบค่ะ”

     

    ทันทีที่ผมเดินออกจากอาณาเขตของบ้านโคฮาคุก็ได้สร้างบาเรียขึ้นมาล้อมรอบตัวบ้านเพื่อกันไม่ให้คนในออกคนนอกเข้า ทำให้รีเบคก้าไม่สามารถตามผมมาได้แม้ว่าเธอจะพยายามใช้ปืนยินเพื่อทำลายบาเรียแล้วก็ตาม เเต่เวทมนตร์ของมังกรไม่ใช่สิ่งที่กระจอกที่สามารถทำลายได้ง่าย

     

    “บ้าเอ้ย! นี่เจ้าจิ้งจกเอาไอ้นี่ออกเดี๋ยวนี่นะ!”

     

    “ขอปฏิเสธนี่เป็นคำสั่งของนายท่าน”

     

    รีเบคก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็อารมณ์เสียมากยิ่งกว่าเดิมและกระหน่ำยิงใส่บาเรียแม้ว่าเธอจะรู้ว่าไม่สามารถทำลายได้

     

    “หยุดพยายามซะเถอะมันเปล่าประโยชน์”

     

    โคฮาคุพูดออกมาด้วยความสมเพชเมื่อเห็นว่ารีเบคก้าโจมตีใส่บาเรียของเธอไม่หยุด แค่คาเกน่าที่ไม่รู้จักแม้กระทั้งเวทมนตร์ไม่สามารถทำลายบาเรียที่เคยกักขังราชามังกรเป็นเวลา1วินาทีได้หรอก

     

    “เวรเอ้ย! ก่อนจะไปก็บอกชื่อของมึงมาก่อนสิ!!!”

     

    เสียงตะโกนของรีเบคก้าดังลั่นป่า แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาเพราะตอนนี้ผมได้มาถึงเมืองส่วนนอกกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งอยู่ที่บาร์เหล้าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมในการหาข้อมูล

     

    “นี่ได้ยินว่าผู้กล้าเรย์จิล้มเหลวกับการปราบราชาปีศาจด้วยล่ะ”

     

    “เออ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บปางตายด้วยล่ะ”

     

    “ขนาดผู้กล้าที่แข็งแกร่งขนาดนั้นยังแพ้เลย พวกปีศาจคงเกินกำลังของมนุษย์อย่างเราจริงๆนั่นแหละ”

     

    ผมนั่งดื่มน้ำเปล่าที่สั่งมาอยู่เงียบๆเพราะข้อมูลที่ได้จากที่นี่แม้ว่ามันจะเป็นแค่การพูดแบบปากต่อปากแต่มันก็ยังเป็นข้อมูลฟังเอาไว้ก็ไม่เสียหาย

     

    ดูเหมือนว่าข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่เรย์จิแพ้ให้กับผมตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้จะรู้กันหมดแล้ว ซึ่งนั่นก็ถือเป็นข่าวดีเพราะมันจะทำให้มนุษย์ไม่กล้าไปบุกโมเดสและผมก็จะสามารถเที่ยวเล่นต่อไปได้เมื่อไม่ได้ถูกโมเดสเรียกตัวกลับ

     

    หลังจากที่ได้ข้อมูลมาจนพอใจแล้วผมก็ตัดสินใจเดินออกจากบาร์แห่งนั้น ซึ่งเป้าหมายต่อไปของผมก็คือตัวเมืองหลักของอาณาจักรนี้ เพราะจากที่สังเกตวัตถุดิบหรืออาหารที่วางขายอยู่ที่นอกเมืองหลักนั้นคุณภาพจัดได้ว่าห่วยสุดๆ

     

    มันทำให้ผมไม่มีทางเลือกเพราะถ้าอยากได้วัตถุดิบสำหรับทำอาการที่มีคุณภาพดีจะต้องเข้าไปซื้อที่ในตัวเมืองหลักเท่านั้น

     

    ซึ่งวิธีที่ผมจะใช้ในการแอบเข้าไปก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ก็แค่ใช้พลังเวทย์ในการปกปิดตัวตนหลังจากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงไป ถ้าถูกจับได้ก็แค่บอกว่าเป็นนักเดินทางแล้วค่อยหาจังหวะชิ่งออกมา ง่ายใช่มั้ยล่ะ

     

    “ฮึบ!...”

     

    ผมลงถึงพื้นได้อย่างนิ่มนวลและเดินเข้าไปปะปนกับฝูงชลเพื่อหลบสายตาของทการรักษาการที่กำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆ

     

    “ผู้หญิงคงจะชอบของหวานสินะ”

     

    ผมพูดขึ้นมาเบาๆเมื่อมองเห็นร้านเบเกอรี่ที่อยู่อีกฟากของถนน โคฮาคุแม้จะเป็นมังกรแต่เธอก็เป็นผู้หญิงแถมเธอก็ยังไม่ได้กินอะไรมากตั้งแต่ออกมาจากนากอลผมก็ควรจะชื่ออะไรไปตอบแทนเธอบ้าง

     

    ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเธอนั่นชอบหรือเกลียดอะไร แต่ถ้าพูดถึงผู้หญิงแล้วสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของผมก็คือของหวานนี่แหละ

     

    “ซื้อไปเผื่อรีเบคก้าด้วยก็แล้วกัน”

     

    เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เดินไปที่ร้านเบเกอรี่เพื่อซื่อของหวาน ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าของหวานที่โลกนี้ต่างจากโลกเดิมมากแค่ไหน

     

    “ขออันนี้1ชิ้น”

     

    ผมชี้ไปที่ขนมปังที่มีรูปร่างคล้ายกับเค้กที่โลกเดิมและจ่ายเงิน ซึ่งราคาของมันก็ไม่น่าจะแพงมากชิ้นล่ะ 3 เหรียญทองแดง

     

    “ไหนดูซิ งับ..”

     

    ทันทีที่ผมกัดลงไปคำแรกความรู้สึกแรกที่ได้มาก็คือสากและหวาน แทบจะไม่มีความนุ่มเลยซักนิด

     

    “นี่มันเลวร้ายสุดๆ”

     

    ผมพูดออกมาหลังจากที่ได้กินเค้กก้อนนี้ลงไปคำหนึ่งซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนกับการกินรังผึ้งที่ไม่มีน้ำหวานเลย

     

    ขืนเอาของแบบนี้ไปให้สองคนนั้นคงโดนเกลียดแน่ ยิ่งอีกคนเป็นคนที่มาจากโลกที่คล้ายกับผมด้วยคงไม่มีทางที่จะพอใจกับของหวานที่มีรสสัมผัสเหมือนทรายแน่

     

    ผมจึงได้ถามเจ้าของร้านเบเกอรี่ว่าจะสามารถซื้อวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานได้จากที่ไหนซึ่งเจ้าของร้านก็ตอบออกมาอย่างไม่ปิดบังว่าตัวเองขาย

     

    เมื่อรู้แบบนั้นผมก็ได้ควักเงินออกมาซื้ออย่างไม่ลังเลรู้ตัวอีกทีผมก็ผลาญเงินกับกับค่าวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานถึง 30 เหรียญเงิน ซึ่งมันเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับคนธรรมดา เพราะที่โลกนี้น้ำตาลและเกลือมีราคาที่สูงมาก

     

    ทันใดนั้นเองในระหว่างที่ผมกำลังตรวจเช็คดูว่าของที่ซื้อมานั้นครบหรือเปล่าเสียงพูดคุยของผู้คนรอบข้างก็ได้ดึงความสนใจของผม

     

    “อัศวินของวิหารมาทำอะไรที่นี่”

     

    “เห็นผู้หญิงที่ถูกห้อมล้อมด้วยอัศวินของวิหารหรือเปล่าโคตรสวยเลย!”

     

    “นั่นเจ้าหญิงระเบิดนี่ เธอมาทำอะไรที่นี่กัน?”

     

    เมื่อผมหันไปมองก็พบว่าตอนนี้ที่ถนนได้มีอัศวินที่สวมชุดเกราะเต็มยศจำนวนหลายสิบนายกำลังเดินอยู่โดยที่ตรงกลางของพวกเขามีผู้หญิงสองคนอยู่

     

    คนแรกเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าน่ารักผมสีทองหน้าหลงใหล ส่วนอีกคนหนึ่งผมสั้นและมีใบหน้าที่ไร้อารมณ์ แค่ดูก็สามารถรู้ได้ว่าพวกเธอต้องเป็นคนที่มีความสำคัญ

     

    แต่ทำไมพวกเธอถึงดูคุ้นนะ แต่ผมคงจะคิดไปเองเพราะไม่มีทางที่ผมจะไม่สามารถจำผู้หญิงที่สวยแบบนั้นไม่ได้แม้ว่าจะเป็นการพบกันแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม

     

    แต่ก่อนอื่นผมจะต้องหาที่หลบจากทหารพวกนั้นก่อนขืนถูกเจอตัวเข้าคงเคลื่อนไหวลำบากแน่ แถมของที่จะต้องซื้อยังไม่ครบด้วย

     

    “ร้านเบเกอรี่ล่ะ!”

     

    ทันใดนั้นเองในระหว่างที่ผมกำลังหาที่หลบนั้นผู้หญิงผมทองหนึ่งในผู้หญิงที่มากับทหารก็ได้วิ่งตรงเข้ามาที่ร้านเบเกอรี่ที่ผมอยู่ ผมที่เห็นแบบนั้นก็ได้กระชับผ้าคลุมให้ปิดหน้าและรีบเดินออกไปจากตรงนั้น

     

    !!!

     

    ตึง!

     

    ผมที่รู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากด้านหลังจึงได้รีบหันหลังกลับไปและใช้แขนป้องกันเอาไว้ ซึ่งคนที่เข้ามาโจมตีผมก็คือผู้หญิงผมสั่นที่มากับผู้หญิงผมทองคนนั้น

     

    เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองถูกป้องกันเอาไว้ได้เธอก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาและโจมตีใส่ผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็สามารถหลบได้อย่างง่ายดายแต่ดูเหมือนว่าผมจะกะระยะพลาดทำให้ลูกเตะของผู้หญิงคนนั้นโดนวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานของผมเต็มๆ

     

    แผละ

     

    “คุณหนูรีบออกไปให้ห่างจากตรงนี้ค่ะ มันอันตราย”

     

    ผู้หญิงคนนั้นกระโดดออกห่างจากตัวของผมและเอาตัวไปบังผู้หญิงผมทองคนนั้นเอาไว้ อัศวินที่คอยอารักขาผู้หญิงสองคนนั้นเมื่อเห็นว่ามีการปะทะกันเกินขึ้นก็ได้ชักอาวุธออกมาและเข้ามาล้อมผมเอาไว้

     

    ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆที่เห็นว่ามีการต่อสู้กันเกิดขึ้นก็ตื่นตระหนกและรีบพากันออกไปให้ห่างจากจุดที่เกิดการต่อสู้ ทำให้ตอนนี้จากตลาดที่เคยคึกคักได้กลลายเป็นตลาดที่ไร้ผู้คนในเวลาไม่ถึงนาที

     

    “ยอมแพ้ซะ!”

     

    อัศวินคนหนึ่งตะโกนออกมาบอกให้ผมยอมแพ้ แต่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกช็อกที่วัตถุดิบที่ซื้อมาไม่สามารถใช้งานได้เพราะถูกเตะทำให้ของที่ซื้อมากระจัดกระจาย

     

    “คายะเกิดอะไรขึ้น!?”

     

    “ไม่มีเวลาอธิบายค่ะคุณหนู”

     

    ผู้หญิงผมสั้นพูดกับผู้หญิงผมทองและจ้องมองมาที่ผมที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่นิ่งๆท่ามกลางวงล้อมของอัศวินของวิหาร

     

    “อัก!!”

     

    “คายะ!!”

     

    ผู้หญิงผมทองคนนั้นตะโกนออกมาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆผู้หญิงที่เธอเรียกว่าคายะก็ได้ตัวลอยขึ้นฟ้าโดยที่มีคนที่สวมผ้าคลุมเก่าๆจับคอของเธอแล้วยกขึ้น ซึ่งคนที่ทำก็คือผมนั่นเองที่ตอนนี้กำลังโกรธสุดๆเพราะของที่ซื้อมาถูกทำลาย

     

    คายะพยายามขัดขืนผมอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นการเตะการต่อย แต่การดิ้นรนแค่นั้นไม่สามารถทำให้ผมขยับได้หรอก แต่ดูเหมือนว่าผมจะบีบคอของเธอแรงไปหน่อยทำให้ตอนนี้หน้าของเธอซีดไปแล้ว

     

    ผมจึงได้ปล่อยเธอลง ถึงผมจะรู้สึกโกรธที่ของที่ซื้อมาถูกทำลายแต่ผมก็ยังไม่อยากฆ่าใครตอนนี้หรอกน่ะ

     

    “แฮกๆๆ”

     

    คายะที่ถูกผมปล่อยก็ได้รีบหายใจเพื่อเอาอากาศ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังอยากที่จะสู้อยู่เพราะหลังจากที่เธอฟื้นตัวเธอก็พุ่งเข้ามาโจมตีผมในทันที

     

    “งั้นข้าจะเล่นด้วยก็ได้”

     

    ผมปันป้องกันโจมตีของคายะได้อย่างง่ายดาย โดยที่ผมใช้แค่มือเพียงข้างเดียวเท่านั้นในการปัดป้องการโจมตีทั้งหมดของเธอ

     

    “การโจมตีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าใช้แค่พละกำลังไร้ซึ่งทักษะมันก็ไร้ค่า”

     

    ผมพูดถึงข้อผิดพลาดของเธอก่อนจะใช้ฝ่ามือรับหมัดและเตะตัดขาทำให้เธอล้มลง

     

    คายะที่ล้มลงก็ได้รีบลุกขึ้นและเข้ามาโจมตีใส่ผมอีกครั้ง ทุกกระบวนท่าที่เธอปล่อยออกมานั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและความเร็วถ้าเป็นคนอื่นคงจะรับมือได้ลำบาก แต่ในสายตาของผมแล้วมันเต็มไปด้วยช่องว่าง

     

    “ช่องว่าง”

     

    ผมเอี่ยวตัวหลบลูกเตะและใช้มือฟาดเข้าไปที่สีข้างที่เป็นช่องว่างทำให้เธอกระเด็น แต่ถึงแม้ว่าเธอจะถูกผมโจมตีใส่แค่ไหนก็ยังพุ่งเข้ามาหาผมไม่หยุด ผมคงต้องแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างสินะเธอถึงจะยอมหยุดน่ะ

     

    “ช่องว่าง”

     

    “อั๊กก”

     

    “ช่องว่าง”

     

    “ช่องว่าง”

     

    “ช่องว่าง”

     

    ผ่านไปหลายนาทีหลังจากที่ผมได้สู้กับผู้หญิงที่ชื่อคายะ ซึ่งตอนนี้ผมก็จำได้แล้วว่าเธอเป็นใคร เธอคือหนึ่งในกลุ่มของเจ้าเรย์จินั่นเองและตอนนี้ผมก็กำลังนั่งยองๆดูคายะที่กำลังนอนอย่างหมดสภาพอยู่ที่พื้นตรงหน้าของผม

     

    “ออกไปให้ห่างจากคายะนะ!”

     

    ปัก!

     

    “โอ๊ย!!”

     

    เคียวกะน้องของเจ้าเรย์จิพุ่งเข้ามาหาผมเพื่อที่จะช่วยคายะได้ถูกผมใช้นิ้วที่หุ้มไปด้วยเกราะดีดเข้าไปที่หน้าผากเบาๆ แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ผู้หญิงตัวเล็กอย่างเธอกระเด็น

     

    “ออกไปให้ห่างจากท่านคายะเดี๋ยวนี่นะ!”

     

    อัศวินที่เห็นว่าเคียวกะถูกโจมตีก็เข้ามาล้อมผมอีกครั้งหลังจากที่หลบออกไปเพราะไม่สามารถทำอะไรได้

     

    “ข้าเป็นฝ่ายผิดอย่างงั้นหรอ?”

     

    “แน่นอนอยู่แล้วสิ! ก็นายเป็นคนทำร้ายพวกเรานี่!”

     

    “ไม่ใช้ว่าผู้หญิงที่นอนอยู่ที่พื้นนี่เป็นฝ่ายเข้ามาโจมตีข้าก่อนไม่ใช่หรือไง สิ่งที่ข้าทำมันคือการป้องกันตัวไม่ใช่การทำร้าย”

     

    ผมอธิบายให้อัศวินและเคียวกะฟังแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เชื่อและพยายามจะเข้ามาจับกุมผม ผมที่เห็นว่าสถานการณ์มันเริ่มที่จะบานปลายก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ

     

    “หรือพวกเจ้าอยากให้ข้าเป็นฝ่ายโจมตีล่ะ”

     

    ผมพูดออกมาพร้อมปล่อยจิตคุกคามเข้มข้นจนทำให้อัศวินที่กำลังจะเข้ามาจับกุมผมไม่สามารถยืนได้ เคียวกะที่อยู่ใกล้ๆก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันเพราะตอนนี้เธอไม่สามารถขยับได้และนั่งตัวแข็งทื่อ

     

    “เห้อ~ วารีเอ๋ยจงรักษา อควาฮีล”

     

    ผมที่เห็นว่าทุกคนมาสามารถขยับตัวได้เพราะจิตคุกคามของผมก็ได้ถอนหายใจออกมาและร่ายเวทย์ธาตุน้ำรักษาอาการบาดเจ็บของคายะที่กำลังนอนเป็นผักอยู่ที่พื้น

     

    “บาดแผลมัน...”

     

    คายะขยับร่างกายด้วยความมึนงงเพราะความเจ็บปวดตามร่างกายของเธอได้หายดีเป็นปลิดทิ้ง ความสามารถในการรักษาของชายคนนี้เหนือกว่าท่านซาโฮโกะอีก

     

    “ขอบคุณค่ะ และก็ต้องขอโทษด้วย”

     

    คายะลุกขึ้นมาและก้มหัวขอโทษผมสร้างความตกใจให้กับผู้คนที่เห็น เพราะคนที่รู้จักคายะจะรู้ว่าเธอจะไม่ก้มหัวให้ใครยกเว้นแค่เคียวกะเท่านั้น

     

    “ไม่เป็นไรแต่ เห้อ~”

     

    ผมมองไปที่ของที่ซื้อมาที่กลายเป็นซากอยู่ที่พื้นและถอนหายใจออกมา 50 เหรียญเงินหายไปฟรีๆเลย

     

    “ฉันจะจ่ายค่าชดเชยให้ค่ะ”

     

    ซึ่งดูเหมือนว่าคายะจะสังเกตเห็นจึงได้พูดออกมาแบบนั้น ผมมองไปที่คายะและใช้ความคิด แต่ทันใดนั้นผมก็คิดอะไรบางอย่างออกถึงค่าชดเชยมันจะดีก็เถอะแต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินขนาดนั้น

     

    “ไม่เป็นไรเก็บค่าชดเชยของเจ้าเอาไว้เถอะ”

     

    “แต่ว่า-”

     

    “ไม่มีแต่ ข้าบอกว่าข้าไม่รับ”

     

    ผมพูดปฏิเสธเสียงแข็ง ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อให้เธอเก็บความรู้สึกผิดนี้ไว้ เพราะถ้าผมรับค่าชดเชยมามันก็จะทำให้ปัญหานี้จบลงไปเลย แต่ถ้าทำแบบนี้ในอนาคตผมจะสามารถเข้าหาพวกเธอได้ง่ายขึ้นโดยอาศัยความรู้สึกผิดที่อยู่ภายใจจิตใจของเธอ

     

    ฟังดูเหมือนผมเป็นคนเลวใช่มั้ยล่ะ แต่ช่วยไม่ได้ก็มันจำเป็นนี่

     

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัว”

     

    ผมเก็บของที่หล่นเสียหายลงถังขยะที่อยู่ใกล้และเดินจากพวกคายะอย่างไม่หันหลังกลับ ทิ้งให้พวกเธอที่ตอนนี้ภายในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดความตื่นเต้นของเคียวกะตอนแรกที่ได้ออกมาจากปราสาทตอนนี้ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

     

    “ขอโทษค่ะคุณหนู”

     

    “ขอโทษฉันทำไมคายะ?”

     

    “ฉันทำให้การออกมาเที่ยวของคุณหนูพังลง”

     

    “ไม่เป็นไรหรอกตอนนี้ฉันก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเที่ยวต่อเหมือนกัน”

     

    หลังจากที่ผมได้เดินออกมาจากตรงนั้นได้ไกลพอสมควรผมกได้แวะไปที่ร้านเบเกอรี่ที่บังเอิญเจอเพื่อซื่อของทำให้50เหรียญเงินของผมได้จากกระเป๋าไปอีกครั้ง

     

    “เอาล่ะที่นี้ก็เหลือแค่เนื้อและเครื่องปรุงสินะ”

     

    ผลัก!

     

    แผละ!

     

    แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินออกจากหน้าร้านเกินสองก้าวก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาชนผมอย่างแรงจนเธอล้มลงไปกับพื้นแถมยังพาของที่ผมพึ่งจะซื้อมาร่วงลงพื้นตามไปอีก

     

    ‘นี่มันเป็นวันโชคร้ายอะไรเนี่ย’

     

    +++

     

    เฉียดเวลาอ่านหนังสือมาเเต่ง เเล้วก็หายตัว~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×