คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : โชคร้าย
ตอนที่ 6 – โชคร้าย
“เจ้ามีนามว่าอะไร?”
ผมถามผู้หญิงผมเขียวคนนั้นที่ต้องนี้เธอกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่พร้อมจะปะทะได้ทุกเมื่อ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสายตาของเธอหรอกออกจะรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำ
“ทำไมฉันจะต้องตอบแก”
เธอคนนั้นไม่บอกชื่อแถมยังถุยน้ำลายลงพื้น ผมที่เห็นว่าเธอคงไม่ยอมบอกชื่อมาง่ายๆก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหันหลังและเดินเข้าไปในกระท่อมที่พึ่งจะสร้างเสร็จพร้อมปืนของผู้หญิงคนนั้น
“แกจะไปไหนน่ะ? คืนปืนของฉันมาเดี๋ยวนี้น่ะ!?”
“อยากได้คืนเหรอ? เอานามของเจ้ามาแลกสิ”
ผมพูดออกไปแบบนั้นและเดินเข้าไปในกระท่อมโดยไม่หันกลับมามองทิ้งให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้านนอกคนเดียว
“นายท่านทิ้งมาเกน่าตัวนั้นไว้ด้านนอกจะดีเหรอ?”
“เดี๋ยวเธอก็ยอมแพ้เองแหละ...ว่าแต่มาเกน่านี่คืออะไรชื่อของผู้หญิงคนนั้นงั้นหรอ?”(พระเอกจะพูดกับคนอื่นแบบโบราณ แต่จะพูดกับคนที่รู้จักหรือคนที่อยู่ที่นากอลแบบปกติ)
“ไม่ใช้ชื่อค่ะ มาเกน่าคือเผ่าพันธุ์ชนิดหนึ่งบนดาวดวงนี้ที่มีร่างกายเป็นโลหะ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์และสามารถสืบพันธุ์ได้เหมือนกับมนุษย์ค่ะ”
“งั้นหรอ”
ดูเหมือนว่าจะมีเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้ปรากฏในนิยายด้วยสินะ แต่ว่าเธอตกลงมาจากฟ้าได้ยังไงกัน หรือเป็นเพราะการที่ผมมาอยู่ในร่างของคุโรกิที่เป้นพระเอกของนิยายจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจของผมและโคฮาคุ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมแพ้แล้ว
ผมลุกออกจากเก้าอี้ไม้ที่ทำขึ้นมาเองเพื่อไปเปิดประตู ทันทีที่ผมเปิดประตูก็ได้มีท่อนไม้ขนาดไม่ใหม่มากฟาดเข้าที่หมวกเกราะของผมจนเกิดเสียงดัง
“เป็นยังไงล่ะ!”
ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาด้วยความสะใจที่สามารถใช้ไม้ฟาดใส่ผมได้และเธอก็กำลังจะฟาดอีกครั้งแต่ผมก็ได้ใช้มือจับไปที่ไม้ในมือของเธอเอาไว้
“เจ้าคิดว่าไม้ธรรมดาจะสามารถทำอะไรข้าที่สวมเกราะได้อย่างงั้นรึ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่เต็มได้ด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่าจะสามารถจัดการกับผมด้วยไม้ในมือได้จริงๆ แต่ก็ขอยอมรับว่าการแรงของเธอเยอะมากถ้าเป็นคนอื่นคงจะมีอาการมึนงง
แต่มันใช้ไม่ได้กับผมที่ตอนนี้สวมสุดยอดชุดเกราะหรอก
“เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษเจ้ายังไงดี?”
ผมถามผู้หญิงคนนั้นด้วยเสียงที่ถูกดัดจนหน้ากลัวทำให้เธอปล่อยไม้และถอยหลังไปหลายก้าว
“ขะ-ขอโทษ”
ผู้หญิงคนนั้นกุมมือและก้มหน้าเหมือนกับเด็กที่ทำผิดและถูกผู้ใหญ่จับได้ และผมที่เป็นคนที่มีจิตใจที่เมตตาอารี
“ไม่ยกโทษให้”
“ปะ-ปล่อยฉันนะ! แกคิดจะทำอะไร!?”
“ลงโทษเด็กดือ”
ผมตอบกลับไปสั้นๆและเดินไปหาเชือกเพื่อมัดแขนและขาของเธอและเอาไว้ห่อยไว้ที่กลางบ้าน
“เอาฉันลงไปน่ะได้บ้าเอ้ย!”
ผู้หญิงคนนั้นพยายามดิ้นอย่างแรงแต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากการจับกุมของเธอที่มัดด้วยเงื่อนพิเศษอย่างเงื่อนกระดองได้หรอก ทำให้ทุกครั้งที่เธอขยับเชือกก็จะแกว่งไปมาทำให้เวียนหัวเปล่าๆ
“เจ้าบอกนามของเจ้าก่อนสิ”
ผมยืนกอดอกมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่กำลังห้อยอยู่กลางบ้าน
“ก็ได้!ๆ ฉันจะบอกแล้ว! รีเบคก้าคือชื่อของฉัน”
รีเบคก้าตะโกนชื่อของเธออกมาพร้อมกับใบหน้าที่แดงกำเพราะความอับอายถึงที่สุด ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยตกอยู่ในสถานะการณ์ที่น่าสมเพชแบบนี้มาก่อน
“ก็แค่นั้น”
ผมแก้มัดให้รีเบคก้าและนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ ตอนนี้ก็ถึงเวลาในการสอบสวนแล้ว
“ทำไมเจ้าถึงได้ร่วงลงมาจากฟ้า”
“ไม่รู้”
“ไม่รู้?”
ผมเองหัวเมื่อได้ยินคำตอบ บางทีเธออาจจะความจำเสื่อมเพราะการตกลงมาจากที่สูงก็ได้ยิ่งเธอเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีร่างกายเป็นเครื่องจักรอย่างมาเกน่า อาจจะมีอะไหล่บางอย่างหลุดหายไปก็ได้
แต่ในระหว่างที่ผมกำลังตั้งข้อสันนิษฐานนั้นรีเบคก้าก็ได้พูดต่อ
“ความทรงจำล่าสุดของฉันก็คือถูกอะไรบางอย่างสีดำทับ และเมื่อลืมตาก็มาโผล่ในโลกที่ไม่รู้จัก”
“เจ้ามาจากต่างโลก?”
ผมถามแกไปโดยพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ นี่ผมโชคดีมากจนถึงกับเธอคนจากต่างโลกเหมือนกันเลยเหรอเนี่ย
“คิดว่านะ เพราะที่นี่ต่างจากเมืองที่ฉันเคยอยู่มาก เมืองที่ฉันเคยอยู่อย่าง“ไนท์ซิตี”นั่นแทบจะไม่มีต้นไม้เลย อากาศก็เต็มไปด้วยมลพิษ ส่วนคนในเมืองก็เต็มไปด้วยพวกบ้าที่หมกหมุ่นอยู่กับยา”
รีเบคก้ามองไปที่นอกหน้าต่างด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง
จากที่ผมฟังมาดูเหมือนว่าที่ที่เธออยู่นะมีสภาพที่แย่เป็นอย่างมาก แต่เมืองไนท์ซิตีผมมายักกับเคยได้ยิน
ผมได้ใช้สมองเพื่อย่อยข้อมูลที่รีเบคก้าพูดออกมาทั้งหมดจนสรุปได้ว่าโลกที่เธอจากมาไม่ใช่โลกเดียวกันกับผม เพราะเธอบอกว่าปืนที่ติดตัวเธอมาด้วยเป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาจากวิทยาการณ์ในเมืองของเธอ
ซึ่งเมือผมได้ตรวจสอบดูก็พบว่าปืนกระบอกนี้มีหลายส่วนที่คล้ายกับปืนในโลกของผม แต่ก็มีสวนประกอบหลายอย่างที่ดูยังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารุสร้างขึ้นได้จากวิทยาการณ์ในยุคของผม
นั่นทำให้ผมสามารถฟันธงได้เลยว่ารีเบคก้าเป็นคนที่มาจากโลกที่ต่างจากโลกของผมหรือไม่ก็มาจากช่วงเวลาในอนาคตของโลกของผมซึ่งอันนี้มีความเป็นไปได้ที่น้อยมากแต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“นี่ฉันมาอยู่ที่ต่างโลกจริงๆเหรอเนี่ย..”
รีเบคก้าพูดออกมาอย่างไม่เชื่อ เพราะหลังจากที่ผมได้ข้อมูลจากเธอมาแล้วผมก็ได้บอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับโลกนี้ใช้เธอฟังซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมรู้มาจากหนังสือที่นากอลนั่นแหละ
หลังจากที่พวกเราได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันเรียบร้อยแล้วความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุมเพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรกันดี แต่ทันใดนั้นเองเสียงท้องของรีเบคก้าก็ได้ดังขึ้น ทำเอาผมแทบจะกลัวหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว
โครก~
“อุฟ-”
“อย่าหัวเราะน่ะ!”
เธอจ้องมาที่ผมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความเขินอาย ไอ้ท้องบ้านี่ร้องออกมาไม่ดูสถานการณ์เลย
ผมยิ้มให้กับท่าทางที่น่ารักของเธอก่อนจะหยิบขนมปังออกมาจากกระเป๋าที่รูคัสเตรียมมาให้ เพราะตอนนี้ผมยังไม่สามารถใช้เวทย์ธาตุมืดได้ดีพอเลยไม่สามารถใช้“หลุมดำเก็บของ”ที่เป็นเวทย์สร้างหลุมดำขนาดเล็กที่เชื่อมไปยังห้องๆหนึ่ง
ซึ่งผมก็ไม่รู้ขนาดของห้องหลังหลุมดำที่แน่นอนแต่จากข้อมูลในหนังสือมีคนที่ใช้เวทย์นี้เก็บซากของมังกรขนาดใหญ่กว่า15เมตรลงไปแล้วยังสามารถใส่ของอย่างอื่นได้ ซึ่งจากการคาดเดาของผมขนาดของห้องน่าจะประมาณโรงเก็บเครื่องบิน
“กินนี่ลองท้องก่อน”
“ขอบใจ..”
ผมยื่นขนมปังให้รีเบคก้าซึ่งเธอก็รับไว้และทานมันอย่างช้าๆ ผมที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะเอาผ้าเก่าๆมาคลุมตัวเพื่อที่จะออกไปด้านนอกเพราะตอนนี้อาหารที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว และผมยังต้องเอาอัญมณีไปแลกเป็นเงินเพื่อความสะดวกในอนาคต
“นายจะไปไหนน่ะ?”
“ไปชื่อของ”
“ฉันไปด้วย!”
รีเบคก้ารีบกินขนมปังในมือจนหมดและกำลังจะลุกออกจากเก้าอี้ และผมก็ได้ห้ามเธอเอาไว้ซะก่อน
“เจ้าอยู่ที่นี่แหละ”
“ทำไมล่ะ?”
“เจ้าเป็นคนจากต่างโลกคงจะยังไม่คุ้นชินกับที่แห่งนี้ เจ้าอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่า”
“แต่ฉันดูแลตัวเองได้นะ!”
รีเบคก้าพูดแย้งขึ้นมาเพระเธอสามารถดูแลตัวเองได้ซึ่งตรงนั้นผมก็รู้แต่ที่ผมไม่ให้เธอไปด้วยก็เป็นเพราะว่ามันจะเด่นเกินไป และผมก็กลัวว่าเธอจะเอาปืนไปเป่ากระบานคนที่มาลวนลามเธอ
“โคฮาคุฝากด้วย”
“รับทราบค่ะ”
ทันทีที่ผมเดินออกจากอาณาเขตของบ้านโคฮาคุก็ได้สร้างบาเรียขึ้นมาล้อมรอบตัวบ้านเพื่อกันไม่ให้คนในออกคนนอกเข้า ทำให้รีเบคก้าไม่สามารถตามผมมาได้แม้ว่าเธอจะพยายามใช้ปืนยินเพื่อทำลายบาเรียแล้วก็ตาม เเต่เวทมนตร์ของมังกรไม่ใช่สิ่งที่กระจอกที่สามารถทำลายได้ง่าย
“บ้าเอ้ย! นี่เจ้าจิ้งจกเอาไอ้นี่ออกเดี๋ยวนี่นะ!”
“ขอปฏิเสธนี่เป็นคำสั่งของนายท่าน”
รีเบคก้าที่ได้ยินแบบนั้นก็อารมณ์เสียมากยิ่งกว่าเดิมและกระหน่ำยิงใส่บาเรียแม้ว่าเธอจะรู้ว่าไม่สามารถทำลายได้
“หยุดพยายามซะเถอะมันเปล่าประโยชน์”
โคฮาคุพูดออกมาด้วยความสมเพชเมื่อเห็นว่ารีเบคก้าโจมตีใส่บาเรียของเธอไม่หยุด แค่คาเกน่าที่ไม่รู้จักแม้กระทั้งเวทมนตร์ไม่สามารถทำลายบาเรียที่เคยกักขังราชามังกรเป็นเวลา1วินาทีได้หรอก
“เวรเอ้ย! ก่อนจะไปก็บอกชื่อของมึงมาก่อนสิ!!!”
เสียงตะโกนของรีเบคก้าดังลั่นป่า แต่ก็ไม่มีการตอบกลับมาเพราะตอนนี้ผมได้มาถึงเมืองส่วนนอกกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังนั่งอยู่ที่บาร์เหล้าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมในการหาข้อมูล
“นี่ได้ยินว่าผู้กล้าเรย์จิล้มเหลวกับการปราบราชาปีศาจด้วยล่ะ”
“เออ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บปางตายด้วยล่ะ”
“ขนาดผู้กล้าที่แข็งแกร่งขนาดนั้นยังแพ้เลย พวกปีศาจคงเกินกำลังของมนุษย์อย่างเราจริงๆนั่นแหละ”
ผมนั่งดื่มน้ำเปล่าที่สั่งมาอยู่เงียบๆเพราะข้อมูลที่ได้จากที่นี่แม้ว่ามันจะเป็นแค่การพูดแบบปากต่อปากแต่มันก็ยังเป็นข้อมูลฟังเอาไว้ก็ไม่เสียหาย
ดูเหมือนว่าข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่เรย์จิแพ้ให้กับผมตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้จะรู้กันหมดแล้ว ซึ่งนั่นก็ถือเป็นข่าวดีเพราะมันจะทำให้มนุษย์ไม่กล้าไปบุกโมเดสและผมก็จะสามารถเที่ยวเล่นต่อไปได้เมื่อไม่ได้ถูกโมเดสเรียกตัวกลับ
หลังจากที่ได้ข้อมูลมาจนพอใจแล้วผมก็ตัดสินใจเดินออกจากบาร์แห่งนั้น ซึ่งเป้าหมายต่อไปของผมก็คือตัวเมืองหลักของอาณาจักรนี้ เพราะจากที่สังเกตวัตถุดิบหรืออาหารที่วางขายอยู่ที่นอกเมืองหลักนั้นคุณภาพจัดได้ว่าห่วยสุดๆ
มันทำให้ผมไม่มีทางเลือกเพราะถ้าอยากได้วัตถุดิบสำหรับทำอาการที่มีคุณภาพดีจะต้องเข้าไปซื้อที่ในตัวเมืองหลักเท่านั้น
ซึ่งวิธีที่ผมจะใช้ในการแอบเข้าไปก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ก็แค่ใช้พลังเวทย์ในการปกปิดตัวตนหลังจากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงไป ถ้าถูกจับได้ก็แค่บอกว่าเป็นนักเดินทางแล้วค่อยหาจังหวะชิ่งออกมา ง่ายใช่มั้ยล่ะ
“ฮึบ!...”
ผมลงถึงพื้นได้อย่างนิ่มนวลและเดินเข้าไปปะปนกับฝูงชลเพื่อหลบสายตาของทการรักษาการที่กำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆ
“ผู้หญิงคงจะชอบของหวานสินะ”
ผมพูดขึ้นมาเบาๆเมื่อมองเห็นร้านเบเกอรี่ที่อยู่อีกฟากของถนน โคฮาคุแม้จะเป็นมังกรแต่เธอก็เป็นผู้หญิงแถมเธอก็ยังไม่ได้กินอะไรมากตั้งแต่ออกมาจากนากอลผมก็ควรจะชื่ออะไรไปตอบแทนเธอบ้าง
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเธอนั่นชอบหรือเกลียดอะไร แต่ถ้าพูดถึงผู้หญิงแล้วสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวของผมก็คือของหวานนี่แหละ
“ซื้อไปเผื่อรีเบคก้าด้วยก็แล้วกัน”
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เดินไปที่ร้านเบเกอรี่เพื่อซื่อของหวาน ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าของหวานที่โลกนี้ต่างจากโลกเดิมมากแค่ไหน
“ขออันนี้1ชิ้น”
ผมชี้ไปที่ขนมปังที่มีรูปร่างคล้ายกับเค้กที่โลกเดิมและจ่ายเงิน ซึ่งราคาของมันก็ไม่น่าจะแพงมากชิ้นล่ะ 3 เหรียญทองแดง
“ไหนดูซิ งับ..”
ทันทีที่ผมกัดลงไปคำแรกความรู้สึกแรกที่ได้มาก็คือสากและหวาน แทบจะไม่มีความนุ่มเลยซักนิด
“นี่มันเลวร้ายสุดๆ”
ผมพูดออกมาหลังจากที่ได้กินเค้กก้อนนี้ลงไปคำหนึ่งซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนกับการกินรังผึ้งที่ไม่มีน้ำหวานเลย
ขืนเอาของแบบนี้ไปให้สองคนนั้นคงโดนเกลียดแน่ ยิ่งอีกคนเป็นคนที่มาจากโลกที่คล้ายกับผมด้วยคงไม่มีทางที่จะพอใจกับของหวานที่มีรสสัมผัสเหมือนทรายแน่
ผมจึงได้ถามเจ้าของร้านเบเกอรี่ว่าจะสามารถซื้อวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานได้จากที่ไหนซึ่งเจ้าของร้านก็ตอบออกมาอย่างไม่ปิดบังว่าตัวเองขาย
เมื่อรู้แบบนั้นผมก็ได้ควักเงินออกมาซื้ออย่างไม่ลังเลรู้ตัวอีกทีผมก็ผลาญเงินกับกับค่าวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานถึง 30 เหรียญเงิน ซึ่งมันเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับคนธรรมดา เพราะที่โลกนี้น้ำตาลและเกลือมีราคาที่สูงมาก
ทันใดนั้นเองในระหว่างที่ผมกำลังตรวจเช็คดูว่าของที่ซื้อมานั้นครบหรือเปล่าเสียงพูดคุยของผู้คนรอบข้างก็ได้ดึงความสนใจของผม
“อัศวินของวิหารมาทำอะไรที่นี่”
“เห็นผู้หญิงที่ถูกห้อมล้อมด้วยอัศวินของวิหารหรือเปล่าโคตรสวยเลย!”
“นั่นเจ้าหญิงระเบิดนี่ เธอมาทำอะไรที่นี่กัน?”
เมื่อผมหันไปมองก็พบว่าตอนนี้ที่ถนนได้มีอัศวินที่สวมชุดเกราะเต็มยศจำนวนหลายสิบนายกำลังเดินอยู่โดยที่ตรงกลางของพวกเขามีผู้หญิงสองคนอยู่
คนแรกเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าน่ารักผมสีทองหน้าหลงใหล ส่วนอีกคนหนึ่งผมสั้นและมีใบหน้าที่ไร้อารมณ์ แค่ดูก็สามารถรู้ได้ว่าพวกเธอต้องเป็นคนที่มีความสำคัญ
แต่ทำไมพวกเธอถึงดูคุ้นนะ แต่ผมคงจะคิดไปเองเพราะไม่มีทางที่ผมจะไม่สามารถจำผู้หญิงที่สวยแบบนั้นไม่ได้แม้ว่าจะเป็นการพบกันแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม
แต่ก่อนอื่นผมจะต้องหาที่หลบจากทหารพวกนั้นก่อนขืนถูกเจอตัวเข้าคงเคลื่อนไหวลำบากแน่ แถมของที่จะต้องซื้อยังไม่ครบด้วย
“ร้านเบเกอรี่ล่ะ!”
ทันใดนั้นเองในระหว่างที่ผมกำลังหาที่หลบนั้นผู้หญิงผมทองหนึ่งในผู้หญิงที่มากับทหารก็ได้วิ่งตรงเข้ามาที่ร้านเบเกอรี่ที่ผมอยู่ ผมที่เห็นแบบนั้นก็ได้กระชับผ้าคลุมให้ปิดหน้าและรีบเดินออกไปจากตรงนั้น
!!!
ตึง!
ผมที่รู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากด้านหลังจึงได้รีบหันหลังกลับไปและใช้แขนป้องกันเอาไว้ ซึ่งคนที่เข้ามาโจมตีผมก็คือผู้หญิงผมสั่นที่มากับผู้หญิงผมทองคนนั้น
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตัวเองถูกป้องกันเอาไว้ได้เธอก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาและโจมตีใส่ผมอีกครั้ง ซึ่งผมก็สามารถหลบได้อย่างง่ายดายแต่ดูเหมือนว่าผมจะกะระยะพลาดทำให้ลูกเตะของผู้หญิงคนนั้นโดนวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานของผมเต็มๆ
แผละ
“คุณหนูรีบออกไปให้ห่างจากตรงนี้ค่ะ มันอันตราย”
ผู้หญิงคนนั้นกระโดดออกห่างจากตัวของผมและเอาตัวไปบังผู้หญิงผมทองคนนั้นเอาไว้ อัศวินที่คอยอารักขาผู้หญิงสองคนนั้นเมื่อเห็นว่ามีการปะทะกันเกินขึ้นก็ได้ชักอาวุธออกมาและเข้ามาล้อมผมเอาไว้
ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆที่เห็นว่ามีการต่อสู้กันเกิดขึ้นก็ตื่นตระหนกและรีบพากันออกไปให้ห่างจากจุดที่เกิดการต่อสู้ ทำให้ตอนนี้จากตลาดที่เคยคึกคักได้กลลายเป็นตลาดที่ไร้ผู้คนในเวลาไม่ถึงนาที
“ยอมแพ้ซะ!”
อัศวินคนหนึ่งตะโกนออกมาบอกให้ผมยอมแพ้ แต่ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกช็อกที่วัตถุดิบที่ซื้อมาไม่สามารถใช้งานได้เพราะถูกเตะทำให้ของที่ซื้อมากระจัดกระจาย
“คายะเกิดอะไรขึ้น!?”
“ไม่มีเวลาอธิบายค่ะคุณหนู”
ผู้หญิงผมสั้นพูดกับผู้หญิงผมทองและจ้องมองมาที่ผมที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่นิ่งๆท่ามกลางวงล้อมของอัศวินของวิหาร
“อัก!!”
“คายะ!!”
ผู้หญิงผมทองคนนั้นตะโกนออกมาด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆผู้หญิงที่เธอเรียกว่าคายะก็ได้ตัวลอยขึ้นฟ้าโดยที่มีคนที่สวมผ้าคลุมเก่าๆจับคอของเธอแล้วยกขึ้น ซึ่งคนที่ทำก็คือผมนั่นเองที่ตอนนี้กำลังโกรธสุดๆเพราะของที่ซื้อมาถูกทำลาย
คายะพยายามขัดขืนผมอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นการเตะการต่อย แต่การดิ้นรนแค่นั้นไม่สามารถทำให้ผมขยับได้หรอก แต่ดูเหมือนว่าผมจะบีบคอของเธอแรงไปหน่อยทำให้ตอนนี้หน้าของเธอซีดไปแล้ว
ผมจึงได้ปล่อยเธอลง ถึงผมจะรู้สึกโกรธที่ของที่ซื้อมาถูกทำลายแต่ผมก็ยังไม่อยากฆ่าใครตอนนี้หรอกน่ะ
“แฮกๆๆ”
คายะที่ถูกผมปล่อยก็ได้รีบหายใจเพื่อเอาอากาศ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังอยากที่จะสู้อยู่เพราะหลังจากที่เธอฟื้นตัวเธอก็พุ่งเข้ามาโจมตีผมในทันที
“งั้นข้าจะเล่นด้วยก็ได้”
ผมปันป้องกันโจมตีของคายะได้อย่างง่ายดาย โดยที่ผมใช้แค่มือเพียงข้างเดียวเท่านั้นในการปัดป้องการโจมตีทั้งหมดของเธอ
“การโจมตีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าใช้แค่พละกำลังไร้ซึ่งทักษะมันก็ไร้ค่า”
ผมพูดถึงข้อผิดพลาดของเธอก่อนจะใช้ฝ่ามือรับหมัดและเตะตัดขาทำให้เธอล้มลง
คายะที่ล้มลงก็ได้รีบลุกขึ้นและเข้ามาโจมตีใส่ผมอีกครั้ง ทุกกระบวนท่าที่เธอปล่อยออกมานั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและความเร็วถ้าเป็นคนอื่นคงจะรับมือได้ลำบาก แต่ในสายตาของผมแล้วมันเต็มไปด้วยช่องว่าง
“ช่องว่าง”
ผมเอี่ยวตัวหลบลูกเตะและใช้มือฟาดเข้าไปที่สีข้างที่เป็นช่องว่างทำให้เธอกระเด็น แต่ถึงแม้ว่าเธอจะถูกผมโจมตีใส่แค่ไหนก็ยังพุ่งเข้ามาหาผมไม่หยุด ผมคงต้องแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างสินะเธอถึงจะยอมหยุดน่ะ
“ช่องว่าง”
“อั๊กก”
“ช่องว่าง”
“ช่องว่าง”
“ช่องว่าง”
ผ่านไปหลายนาทีหลังจากที่ผมได้สู้กับผู้หญิงที่ชื่อคายะ ซึ่งตอนนี้ผมก็จำได้แล้วว่าเธอเป็นใคร เธอคือหนึ่งในกลุ่มของเจ้าเรย์จินั่นเองและตอนนี้ผมก็กำลังนั่งยองๆดูคายะที่กำลังนอนอย่างหมดสภาพอยู่ที่พื้นตรงหน้าของผม
“ออกไปให้ห่างจากคายะนะ!”
ปัก!
“โอ๊ย!!”
เคียวกะน้องของเจ้าเรย์จิพุ่งเข้ามาหาผมเพื่อที่จะช่วยคายะได้ถูกผมใช้นิ้วที่หุ้มไปด้วยเกราะดีดเข้าไปที่หน้าผากเบาๆ แต่แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ผู้หญิงตัวเล็กอย่างเธอกระเด็น
“ออกไปให้ห่างจากท่านคายะเดี๋ยวนี่นะ!”
อัศวินที่เห็นว่าเคียวกะถูกโจมตีก็เข้ามาล้อมผมอีกครั้งหลังจากที่หลบออกไปเพราะไม่สามารถทำอะไรได้
“ข้าเป็นฝ่ายผิดอย่างงั้นหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ! ก็นายเป็นคนทำร้ายพวกเรานี่!”
“ไม่ใช้ว่าผู้หญิงที่นอนอยู่ที่พื้นนี่เป็นฝ่ายเข้ามาโจมตีข้าก่อนไม่ใช่หรือไง สิ่งที่ข้าทำมันคือการป้องกันตัวไม่ใช่การทำร้าย”
ผมอธิบายให้อัศวินและเคียวกะฟังแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เชื่อและพยายามจะเข้ามาจับกุมผม ผมที่เห็นว่าสถานการณ์มันเริ่มที่จะบานปลายก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
“หรือพวกเจ้าอยากให้ข้าเป็นฝ่ายโจมตีล่ะ”
ผมพูดออกมาพร้อมปล่อยจิตคุกคามเข้มข้นจนทำให้อัศวินที่กำลังจะเข้ามาจับกุมผมไม่สามารถยืนได้ เคียวกะที่อยู่ใกล้ๆก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันเพราะตอนนี้เธอไม่สามารถขยับได้และนั่งตัวแข็งทื่อ
“เห้อ~ วารีเอ๋ยจงรักษา อควาฮีล”
ผมที่เห็นว่าทุกคนมาสามารถขยับตัวได้เพราะจิตคุกคามของผมก็ได้ถอนหายใจออกมาและร่ายเวทย์ธาตุน้ำรักษาอาการบาดเจ็บของคายะที่กำลังนอนเป็นผักอยู่ที่พื้น
“บาดแผลมัน...”
คายะขยับร่างกายด้วยความมึนงงเพราะความเจ็บปวดตามร่างกายของเธอได้หายดีเป็นปลิดทิ้ง ความสามารถในการรักษาของชายคนนี้เหนือกว่าท่านซาโฮโกะอีก
“ขอบคุณค่ะ และก็ต้องขอโทษด้วย”
คายะลุกขึ้นมาและก้มหัวขอโทษผมสร้างความตกใจให้กับผู้คนที่เห็น เพราะคนที่รู้จักคายะจะรู้ว่าเธอจะไม่ก้มหัวให้ใครยกเว้นแค่เคียวกะเท่านั้น
“ไม่เป็นไรแต่ เห้อ~”
ผมมองไปที่ของที่ซื้อมาที่กลายเป็นซากอยู่ที่พื้นและถอนหายใจออกมา 50 เหรียญเงินหายไปฟรีๆเลย
“ฉันจะจ่ายค่าชดเชยให้ค่ะ”
ซึ่งดูเหมือนว่าคายะจะสังเกตเห็นจึงได้พูดออกมาแบบนั้น ผมมองไปที่คายะและใช้ความคิด แต่ทันใดนั้นผมก็คิดอะไรบางอย่างออกถึงค่าชดเชยมันจะดีก็เถอะแต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรเก็บค่าชดเชยของเจ้าเอาไว้เถอะ”
“แต่ว่า-”
“ไม่มีแต่ ข้าบอกว่าข้าไม่รับ”
ผมพูดปฏิเสธเสียงแข็ง ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อให้เธอเก็บความรู้สึกผิดนี้ไว้ เพราะถ้าผมรับค่าชดเชยมามันก็จะทำให้ปัญหานี้จบลงไปเลย แต่ถ้าทำแบบนี้ในอนาคตผมจะสามารถเข้าหาพวกเธอได้ง่ายขึ้นโดยอาศัยความรู้สึกผิดที่อยู่ภายใจจิตใจของเธอ
ฟังดูเหมือนผมเป็นคนเลวใช่มั้ยล่ะ แต่ช่วยไม่ได้ก็มันจำเป็นนี่
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัว”
ผมเก็บของที่หล่นเสียหายลงถังขยะที่อยู่ใกล้และเดินจากพวกคายะอย่างไม่หันหลังกลับ ทิ้งให้พวกเธอที่ตอนนี้ภายในอกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดความตื่นเต้นของเคียวกะตอนแรกที่ได้ออกมาจากปราสาทตอนนี้ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
“ขอโทษค่ะคุณหนู”
“ขอโทษฉันทำไมคายะ?”
“ฉันทำให้การออกมาเที่ยวของคุณหนูพังลง”
“ไม่เป็นไรหรอกตอนนี้ฉันก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเที่ยวต่อเหมือนกัน”
หลังจากที่ผมได้เดินออกมาจากตรงนั้นได้ไกลพอสมควรผมกได้แวะไปที่ร้านเบเกอรี่ที่บังเอิญเจอเพื่อซื่อของทำให้50เหรียญเงินของผมได้จากกระเป๋าไปอีกครั้ง
“เอาล่ะที่นี้ก็เหลือแค่เนื้อและเครื่องปรุงสินะ”
ผลัก!
แผละ!
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินออกจากหน้าร้านเกินสองก้าวก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาชนผมอย่างแรงจนเธอล้มลงไปกับพื้นแถมยังพาของที่ผมพึ่งจะซื้อมาร่วงลงพื้นตามไปอีก
‘นี่มันเป็นวันโชคร้ายอะไรเนี่ย’
+++
เฉียดเวลาอ่านหนังสือมาเเต่ง เเล้วก็หายตัว~
ความคิดเห็น