NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Tale of dark knight summoned to defeat the hero] บทละครอัศวินดำ

    ลำดับตอนที่ #6 : เตรียมความพร้อมเเละการออกเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ค. 66


     

    ตอนที่ 4 – การเตรียมความพร้อมเเละการออกเดินทาง

     

    อัศวินดำคุโรกิบรรยาย

     

    หลังจากที่ผมได้ทำการกระทืบพวกเรย์จิจนพวกนั้นได้หนีกลับไปอย่างไร้ทางสู้ ถึงผมจะเป็นคนที่ปล่อยให้พวกนั้นกลับไปเองก็เถอะ

     

    และตอนนี้ผมก็กำลังหมกตัวอยู่ในห้องสมุดในปราสาทของโมเดสซึ่งมันเป็นสถานะที่ที่เงียบสงบเป็นอย่างมากเพราะปีศาจส่วนมากนั้นมักจะใช้เวลาว่างไปกับการฝึกซ้อมหรือสังสรรค์ การที่จะเห็นปีศาจคนไหนเข้ามาในห้องสมุดนั้นเป็นสิ่งที่หาชมได้ยาก

     

    ซึ่งการที่ผมนั้นต้องมาหมกตัวอยู่ในนี้ก็เพื่อหาข้อมูล ใช่ผมมาที่นี่เพื่อหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป้นความเป็นมาของโลกนี้และดินแดนต่างๆ เผ่าพันธุ์ต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ก็คือหนังสือเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้และการควบคุมพลังเวทย์

     

    ซึ่งตั้งแต่ที่ผมได้ขอให้รูคัสลูกน้องคนสนิทของโมเดสพามาที่นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ทำให้ตอนนี้มีหนังสือกองใหญ่วางอยู่ด้านหลังของผม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหนังสือที่ผมอ่านแล้วทั้งสิ้น

     

    “ศิลปะการต่อสู้ของโลกนี้มันจะอ่อนแอไปไหนเนี่ย เห้อ~”

     

    “อาหารว่างขอรับท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ท”

     

    “ขอบคุณมากรูคัส”

     

    ผมกล่าวขอบคุณรูคัสที่อุตสาห์เอาอาหารมาให้ถึงที่ เพราะตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ก็ได้รูคัสนี่แหละที่เป็นคนเอาอาหารมากให้

     

    “เป็นหน้าที่ของกระผมอยู่แล้วขอรับ... ดูเหมือนว่าตอนนี้ท่านจะมีเรื่องกลุ้มใจสินะขอรับ?”

     

    “ก็คงจะใช่แหละ”

     

    ผมตอบรูคัสที่กำลังเก็บถ้วยชามของของว่าครั้งก่อน

     

    เพราะที่ผมมาที่ห้องสมุดแห่งนี้ก็เพื่อหาสิ่งที่ทำให้ผมสามารถมีชีวิตรอดในโลกแห่งนี้ได้ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือศิลปะการต่อสู้และเวทมนตร์

     

    แต่เมื่อผมได้ลองศึกษาศิลปะการต่อสู้ของโลกนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง เพราะศิลปะการต่อสู้ที่โลกนี้นั้นอ่อนแอกว่าโลกเดิมของผมเป็นอย่างมาก มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นมากเกินไป เหมือนสร้างมาเพื่อให้มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเท่านั้นไม่ได้สนใจถึงเรื่องเอาไปใช้ได้จริงหรือเปล่า

     

    ต่างจากศิลปะการต่อสู้ของโลกเดิมที่เป็นการตกตะกอนของสิ่งที่ดีที่สุดจนออกมาเป็นกระบวนท่าต่างๆของศิลปะการต่อสู้แต่ละแขนงที่ใช้เทคนิคมากกว่ากำลังในการต่อสู้

     

    ยกตัวอย่างเช่นวิชาดาบพายุพลิวไหวของโลกนี้ที่ทุกครั้งก่อนที่จะโจมตีจะต้องเอาดาบไปไขว้ที่หลัง ซึ่งจากที่อ่านมาคนที่ใช้วิชาดาบนี้ร้อยทั้งร้อยจะเป็นแบบนั้นทั้งหมด

     

    เพื่อ!!

     

    เสียทั้งเวลาและยังเป็นการเปิดการป้องกันด้านหน้า แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ใช้วิชาดาบนี้ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกไว้นั้นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการสังหารไวเวิร์นเผ่าพันธุ์มังกรชั้นสองได้ ก่อนที่จะตายลงเพราะเสียแขนข้างที่ถนัดไป

     

    ทำเอาผมที่หลังจากได้อ่านรู้สึกปวดหัว คนบนโลกนี้มันเป็นอะไรกันเวทมนตร์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆแต่ศิลปะการต่อสู้กลับถดถอยลง

     

    และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือนั้นเกินจริงผมจึงได้ไปขอท้าปะลองกับรันฟิวที่เป็นอัศวินดำคนก่อนด้วยศิลปะการต่อสู้อย่างเดียว

     

    ซึ่งผลที่ออกมานั้นเป็นผมที่ชนะอย่างขาดลอย ซึ่งสำหรับผมแล้ววิชาดาบของงรันฟิวก็ไม่ได้แย่อะไร และเมื่อผมเข้าไปถามถึงวิชาดาบที่เขาใช้คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น

     

    “วิชาดาบ? ข้าไม่เคยเรียนนะขอรับที่ข้าทำก็แค่เหวี่ยงดาบตามสถานการณ์โดยใช้ประสบการณ์เข้าช่วยเท่านั้น”

     

    เจริญ ศิลปะการต่อสู้ของโลกนี้มันถูกละเลยไปขนาดไหนกันเนี่ย!

     

    หลังจากนั้นผมก็ได้กลับมานั่งกลุ้มคนเดียวที่ห้องสมุด และทำให้ผมได้รู้อะไรที่สำคัญเพิ่มมาอีกอย่าง นั้นก็คือคนบนโลกนี้นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเลยซักนิด

     

    อย่างรันฟิวที่ผมปะลองด้วยหลังจากที่เขาได้เสียดาบไปการเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดชะงัก และเมื่อผมบอกไปว่าจะสู้ด้วยมือเปล่าเขาก็ทำได้แค่พุ่งเข้ามาโจมตีผมตรงๆเท่านั้น

     

    ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม เพราะงี้ไงถึงไม่สามารถสู้กับเจ้าพวกเรย์จิที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ที่โลกเดิมได้น่ะ

     

    คงจะมีแค่เวทมนตร์ล่ะมั้งที่ดีหรือเป็นเพราะว่าผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ ซึ่งมันก็น่าจะใช่เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวกับเวทมนตร์สำหรับผมแล้วล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก

     

    ทำให้ผมต้องเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่พื้นฐาน ซึ่งอาจารย์ที่สอนเวทมนตร์ของผมก็คือรูคัสทำให้ตอนนี้ผมสามารถควบคุมพลังเวทย์ที่อยู่ภายในร่างกายได้ดั่งใจนึกแล้วจากพรสวรรค์ของร่างกายนี้

     

    แต่แค่นั้นมันยังไม่พอเพราะในอนาคตผมจะต้องเจออะไรอีกบ้างก็ไม่รู้ทำให้ผมต้องทำให้ตัวเองเก่งมากยิ่งกว่านี้

     

    หลังจากนั้นการฝึกนรกของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น ช่วงเช้าฝึกเวทมนตร์กับรูคัสเพื่อทำความคุ้นชินกับพลังเวทย์ให้สามารถควบคุมมันได้โดยไม่ใช้ความนึกคิด เพราะการที่ผมได้มาที่โลกนี้ทีหลังพวกเรย์จิทำให้เรื่องเวทมนตร์ผมด้อยกว่าพวกนั้นมาก

     

    ช่วงบ่ายถึงช่วงเป็นของโลกนี้หรือโลกก่อนมารวมกันเพื่อสร้างเป็นศิลปะการต่อสู้ใหม่ที่รวบรวมทุกอย่างที่เป็นข้อดีเข้าศิลปะการต่อสู้แต่ละชนิดเข้าด้วยกัน ไม่ว่าเป็นวิชาหมัด ดาบ หอก หรือแม้กระทั้งธนูผมก็เอามันมาทั้งหมด

     

    และถ้าถามหลังจากที่ผมได้คิดค้นจนได้ศิลปะการต่อสู้ที่คิดว่าสมบูรณ์ที่สุดแล้วจะเอาไปทดสอบกับใคร เพราะที่นากอลแห่งนี้คนที่มีความสามารถมากพอที่จะสู้กับผมได้อย่างสูสีนั้นแทบไม่มีเลยถ้าไม่นับโมเดส

     

    ซึ่งคำตอบนั้นก็คือผมเอง ด้วยเวทมนตร์ที่อ่านเจอในหนังสือ “แบ่งร่าง” เป็นการสร้างร่างโคลนของตัวเองโดยการแบ่งพลังทั้งหมดไปให้ร่างโคลนครึ่งหนึ่ง

     

    หลังจากนั้นผมก็ใช้เวลาส่วนมากไปกับการต่อสู้กับตัวเองเพื่อหาจุดบกพร่องของศิลปะการต่อสู้และจุดอ่อนของตัวเองไปในตัวและหาวิธีแก้ไข้

     

    และโชคดีที่หลังจากที่ยกเลิกการใช้สกิลแบ่งร่างแล้วความทรงจำแบประสบการณ์ทั้งหมดที่ร่างโคลนได้รับนั้นผมจะได้รับด้วยทำให้การฝึกฝนของผมนั้นรวดเร็วขึ้นเป็นสองเท่า

     

    แต่ใช่ว่าวิธีนี้จะไม่มีข้อเสียเพราะทุกครั้งที่ร่างโคลนถูกยกเลิกความทรงจำทั้งหมดนั้นถึงอาการบาดเจ็บทั้งหมดที่ร่างโคลนได้รับนั้นจะถูกส่งมาหาผมรวดเดียวในเสี่ยววิ

     

    ซึ่งครั้งแรกของผมหลังจากที่ได้รับความทรงจำของร่างแยกนั้นหัวของผมนั้นปวดเหมือนกับกำลังจะระเบิด และความเหนื่อยล้าที่มากจนไม่สามารถขยับร่างกายได้หลายชั่วโมง

     

    แต่มันก็คุ้มเพราะตอนนี้ศิลปะการต่อสู้ของผมนั้นเรียกได้ว่าเกือบที่จะสมบูรณ์แบบแล้ว สามารถรับมือได้เกือบทุกสถานการณ์ ไม่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น เน้นการสวนกลับมากกว่าเป็นฝ่ายโจมตีก่อน

     

    ซึ่งหลังจากความพยายามของผมตลอดหลายวันที่คูณสองเข้าไปเพราะสกิลแบ่งร่างทำให้ตอนนี้ผมได้มีศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ร่างกายและประสาทสัมผัสทุกอย่างของผมดีขึ้นจากการเสริมพลังและซ่อมแซมด้วยพลังเวทย์ทุกๆวัน

     

    จนตอนนี้ร่างกายเปล่าๆของผมมีความทนทานถึงขั้นสามารถทนรับดาบของรันฟิวที่ฟันเต็มแรงโดยไม่เสริมพลังเวทย์ได้

     

    “ทีนี้ก็เรื่องอาวุธสินะ”

     

    ที่ผมพูดออกมาแบบนั้นก็เป็นเพราะว่าอาวุธของโลกนี้ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถที่ดีแต่สิ่งที่ผมมองไม่ใช่ส่วนนั้น แต่เป็นความสามารถในการนำพลังเวทย์ของอาวุธต่างหาก

     

    เพราะทุกครั้งที่ซ้อมต่อสู้กับร่างโคลนของตัวเองผมจะรู้สึกว่าพลังเวทย์ที่ผมได้ใส่ลงไปในอาวุธนั้นไม่เต็มที่ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ผมคิดเพราะหลังจากที่ผมได้ลองตรวจสอบดู ดูเหมือนว่าพลังเวทย์ที่ถูกใส่ลงไปยังอาวุธนั้นไม่สามารถส่งผ่านไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    ยกตัวอย่างเช่นดาบปกติที่ผมใช้ฝึกซ้อมที่ถ้าสมมุติว่าใส่พลังเวทย์ลงไปร้อย พลังเวทย์ที่ถูกส่งไปจริงจะมีแค่สิบซึ่งหายไปตั้งเก้าสิบ

     

    ด้วยความสงสัยว่าอาวุธระดับอื่นนั้นมีความสามารถในการส่งผ่านพลังเวทย์แตกต่างกันหรือไม่ผมจึงได้เข้าไปที่คลังเก็บอาวุธอีกครั้งเพื่อทดสอบ

     

    ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นก็ไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้ อาวุธที่ต่างระดับกันจะมีความสามารถในการส่งผ่านพลังเวทย์ที่แตกต่างกัน ซึ่งเริ่มต้นจากสิบที่ระดับปกติ ไปจนถึงสี่สิบที่ระดับตำนาน

     

    ซึ่งความสามารถในการส่งผ่านพลังเวทย์ของอาวุธนี้มันก็สำคัญมาก เพราะมันเป็นการบอกถึงความคงทนและความคมของอาวุธชิ้นนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นอาวุธระดับปกติและระดับหายากถ้าอัดพลังเวทย์เข้าไปในปริมาณที่เท่าๆกันและเอามาฟันใส่กันแล้วล่ะก็..

     

    ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาวุธระดับปกตินั้นถูกทำลายลงอย่างง่ายดาบโดยที่อาวุธระดับหายากไม่มีแม้แต่รอดขีดข่วนเห็นด้วยซ้ำ

     

    และยิ่งที่โลกนี้นั้นให้ความสำคัญกับการเสริมพลังให้อาวุธเพราะการที่จะปล่อยพลังเวทย์ออกไปนอกร่างกายนั้นจะกินพลังเวทย์มากกว่าปกติถึงสองเท่า ยกเว้นจะมีตัวช่วยอย่างคทาที่มีความสามารถในการนำพลังเวทย์และควบแน่นพลังเวทย์ได้ดีกว่าอาวุธระยะประชิด

     

    ทำให้ที่โลกนี้นั้นนิยมที่จะใช้อาวุธระยะใกล้มากกว่าอาวุธระยะไกลเพราะคทาหรืออุปกรณ์ที่ช่วยในการปลดปล่อยพลังเวทย์นั้นมีราคาแพงด้วยเหตุนี้ทำให้คนที่ต้องการจะปล่อยพลังเวทย์แบบตูมตามจึงมีแค่พวกที่มีพลังเวทย์มหาศาลอย่างจิยูกิที่ถูกอัญเชิญมาก หรือไม่ก็พวกมีเงินที่สามารถหาซื้อคทาและอุปกรณ์ดีดีมาใช้ได้

     

    แต่ทันใดนั้นเองความทรงจำในในโลกก่อนที่เคยลืมเลือนก็ได้แล่นเข้ามาในหัวของผมทำให้ผมลุกขึ้นพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดัง ทำเอารูฟัสที่กำลังจะออกไปจากห้องสะดุ้ง

     

    “ท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”

     

    “ไม่มีอะไรหรอก รูคัสคุณรู้หรือเปล่าว่าจะสามารถหาสไลม์จำนวนมากๆได้จากที่ไหนบ้าง?”

     

    “สไลม์? ท่านอยากรู้ไปทำไมงั้นเหรอครับ?”

     

    “เถอะน่า! สรุปมีหรือไม่มี?”

     

    ผมเข้าไปเขย่าตัวของรูคัสเพื่อเร่งเร้าให้เขาตอบ เพราะเจ้าสไลม์นี่แหละเป็นสิ่งที่จะพริกโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ของโลกนี้”

     

    “ถ้าที่นากอลก็ล่ะก็ที่ตีนเขาทางทิศใต้-”

     

    “ขอบคุณมาก!”

     

    ยังไม่ทันที่จะพูดจบผมก็รีบวิ่งออกไปทางทิศใต้ทันที ในเมื่อรู้สถานที่แล้วก็ไม่ต้องฟังอะไรเพิ่ม

     

    สไลม์คืออสูรเวทย์ที่เรียกได้ว่าอ่อนแอที่สุด ร่างกายที่เป็นขอเหลวทั้งหมดทำให้ยากต่อการสังหารด้วยของมีคม แต่วิธีการจัดการมันก็ช่างง่ายแสนง่ายแค่ทำลายแกนกลางของมันที่อยู่ตรงกลางร่างกายที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนหัวใจของมันแล้วมันก็จะตายลงในทันที

     

    ตามที่ท่านผู้นั้นได้กล่าวไว้สไลม์คืออสูรเวทย์ที่ทั่วทั้งร่างกายเป็นของเหลว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่สไลม์นั้นแท้จริงเป็นแค่แก่นที่อยู่ตรงกลางเท่านั้น โดยที่มันจะคอยดักจับความชื่นในอากาศเพื่อเปลี่ยนเป็นเมือกเหนี่ยวๆที่มีความเป็นกรดอ่อนๆที่สามารถละลายเสื้อผ้าได้ใช้สำหรับการป้องกับร่างจริงของมัน

     

    ด้วยเหตุนั้นสไลม์จึงได้เป็นเป้าหมายของผมเพราะการที่มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างของเหลวได้ดังใจโดยใช้พลังเวทย์ในการควบคุมนั้น นั่นแปลว่าการนำพลังเวทย์ของเมือเหนียวนั้นต้องไม่ไม่ธรรมดา

     

    ถ้าผมสามารถเอาเมือกนั้นมาขึ้นรูปหรือสร้างเป็นอาวุธและชุดเกราะได้ ผมก็จะมรอาวุธและชุดเกราะที่มีความสามรถในการนำหลังเวทย์ที่ดีเยี่ยมเหมือนกับท่านผู้นั้น

     

    “ฮ่าๆๆๆ สไลม์จ๋าพี่กำลังจะไปหาแล้ว~”

     

    ลูกน้องคนสนิทของราชาปีศาจรูคัส บรรยาย

     

    หลังจากที่ข้าไปบอกถึงที่อยู่ของสไลม์ให้กับท่าไดร์ฮาร์ดรู้แล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปทันดี ซึ่งข้านั้นไม่เข้าใดเหตุใดคนที่แข็งแกร่งเช่นเขาจะต้องดีใจกับอีกแค่สไลม์ด้วย

     

    เรื่องที่แปลกเช่นนี้ทำให้ข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกให้ท่านโมน่าและท่านโมเดสรู้

     

    “น่าสงสัยจริงๆด้วย”

     

    ท่านโมเดสพูดพร้อมกับกุมคางด้วยความสงสัย

     

    แต่ทันใดนั้นเองในระหว่างที่พวกเรากำลังคิดหาเหตุผลนั้นประตูของห้องโถงก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของลอร์ดไดร์ฮาร์ดที่เดินเข้ามาพร้อมกับกระสอบขนาดใหญ่ที่แบกอยู่ที่หลัง

     

    “ท่านไดร์ฮาร์ดนั่นคือ?..”

     

    ท่านโมเดสเอ่ยถาม เพราะการที่ลอร์ดไดร์ฮาร์ดที่ไม่เคยแม้แต่มาที่ห้องโถงแม้แต่ครั้งเดียว และยังเอาแต่ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่เป็นครั้งที่สองนักตั้งแต่ที่ถูกอัญเชิญมาที่เขามาที่นี่

     

    “โมเดส ไม่สิท่านโมเดสพอจะมีห้องไหนในปราสาทนี่ว่างหรือไม่?”

     

    ลอร์ดไดร์ฮาร์ดพูดด้วยความนอบน้อมและคุกเข่าให้กับท่าโมเดส ข้าและท่านโมน่าที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้หลังจากที่ได้เห็นการแสดงความเคารพของลอร์ดไดร์ฮาร์ทความกังวลที่ว่าเขาจะทรยศนากอลนั้นก็ได้ลดน้อยลง

     

    “ข้าจะไม่ถามก็แล้วกันว่าทำไมเจ้าถึงได้ถามถึงห้องว่า รูคัส”

     

    “ขอรับ! ท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดโปรดตามข้ามาทางนี้”

     

    ข้านำทางเขาไปยังห้องว่างตาทคำสั่งของท่าโมเดส ซึ่งห้องๆนั้นเคยเป็นห้องพักเดิมของราชาแห่งโทรลแต่ตอนนี้เจ้านั้นได้กลายเป็นคนทรยศต่อนากอลแล้ว ห้องนั้นจึงไม่ได้เป็นของมันอีกต่อไป

     

    “ข้าขอเสียมารยาท ข้างถุงกระสอบนั่นคืออะไรงั้นเหรอครับ?”

     

    “นี่น่ะหรอ?..”

     

    เขาเปิดปากถุงให้ข้าดู และพบว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยเมือกเหนวของสไลม์จำนวนมาก ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกสงสัยมากยิ่งกว่าเดิมว่าเขาต้องการที่จะทำอะไรกับเมือกพวกนี้

     

    แต่การที่ข้าถามออกไปตรงๆจะเป็นการล่วงเกินมากเกินไป

     

    “ห้องนี้แหละขอรับ”

     

    “ขอบคุณมาก”

     

    หลังจากที่พาท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดมาถึงห้องที่ว่าข้าก็แยกตัวออกมาเพื่อไปรายงานให้นายทั้งสองคนทราบเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในกระสอบ

     

    อัศวินดำคุโรกิ บรรยาย

     

    หลังจากที่ผมได้ห้องส่วนตัวมาจากโมเดสแล้วผมก็ได้เตรียมของทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการสร้างศัสตราวุธสไลม์ทันทีเหมือนในนิยายเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่าน

     

    “ขั้นตอนแรกก็ต้องดูความสามารถในการนำพลังเวทย์ก่อนสินะ”

     

    ผมปล่อยพลังเวทย์ลงไปในเมือกเหนียวของสไลม์เพื่อเปลี่ยนให้มันเป็นรูปร่างตามใจนึก ซึ่งมันก็ยากกว่าที่ผมคิดไว้เพราะแต่ที่แน่ๆคือความสามารถในการนำพลังเวทย์ของสไลม์นั้นเหนือว่าดาบบลัดมุงก์ที่อยู่ในระดับตำนานซะอีก

     

    แบบนี้สิค่อยคุ้มค่าที่เสียเวลา 

     

    ผมได้ทดลองไปเรื่อยๆวันแล้ววันเล่าโดยที่ไม่หยุดพักเพราะการข้ามโลกทำให้ผมสามารถอดนอนได้ติดต่อกันหลายวัน

     

    แต่ถึงอย่างนั้นปัจจัยอย่างอาหารและน้ำก็ยังจำเป็น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรูฟัสเหมือนเดิมที่ต้องเอาอาหารมาให้ผมโดยวางไว้ที่หน้าห้อง เพราะผมได้ขอไว้ว่าไม่ให้ใครเข้ามาในห้องนี้เป็นอันขาด

     

    เวลาได้ร่วงเลยไปเรื่อยๆยิ่งผมทดลองมาเท่าไหร่ความสามารถในการควบคุมพลังเวทย์ของผมก็ยิ่งละเอียดอ่อนมากขึ้น เพราะการที่จะควบคุมเมือกของสไลม์ให้ก่อตัวเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นต้องใช้การควบคุมพลังเวทย์ที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก

     

    เพราะเพียงแค่พลาดนิดเดียวสไลม์ตรงส่วนที่มีพลังเวทย์น้อยกว่าที่อ่อนก็จะเกิดการผิดรูปและเหลวแหลก ซึ่งมันถือว่าเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของผม การที่ต้องควบคุมอะไรบางอย่างและรู้ถึงส่วนประกอบของมันจนถึงระดับอะตอม

     

    จนเวลาได้ร่วงเลยไปหลายวัน

     

    “สำเร็จ!!”

     

    ผมตะโกนลั่นห้องออกมาด้วยความดีใจ เพราะตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของผมกำลังสวมเกราะสีดำตัดสีทองที่เป็นลวดลายซึ่งทั้งชุดล้วนถูกสร้างขึ้นมาจากสไลม์

     

    ผ่านไปหลายวันในที่สุดผมก็สามารถก่อรูปสไลม์ให้กลายเป็นชุดเกราะเหมือนที่โมเดสมอบให้ได้สำเร็จ ทำให้ตอนนี้ผมล้มลงไปนอนกับฟื้นด้วยความชื้นใจโดยไม่สนคลสบสกปรกเลยแม้แต่น้อย

     

    ชุดเกราะสไลม์ - ปกติ

     

    มีความยืดหยุ่นและความสามารถในการนำพลังเวทย์ในระดับสูง

     

    คำอธิบายสั่นๆที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจ แม้ว่าคำอธิบายของมันจิมีแค่นั้นแต่ความสามารถจริงของมันมีดีกว่านั้นเยอะ

     

    ด้วยความสามารถในการนำพลังเวทย์ที่สูงทำให้เมื่อผมได้อัดพลังเวทย์ลงไปผมจะสามารถควบคุมความสามารถของมันได้ว่าจะให้ความความแข็งในระดับไหน ซึ่งด้วยพลังเวทย์ของผมในตอนนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการที่ใช้พลังเวทย์จนพลังเวทย์เหือดแห้งอยู่หลายครั้ง ทำให้ตอนนี้พลังเวทย์ของผมมากกว่าเดิมถึงสามเท่า

     

    ทำให้ผมมั่นใจว่าถ้าผมอัดพลังเวทย์ลงไปในชุดเกราะนี้แบบสุดๆน่าจะสามารถป้องกันการโจมตีของอาวุธระดับตำนานได้อย่างไม่ยากเย็น

     

    “หืม? ผมของเราเปลี่ยนเป็นสีนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?”

     

    ผมจับไปที่เส้นผมของตัวเองที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสีขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากเดิมที่เป็นสีดำ คงเป็นเพราะการที่ผมพลังเวทย์เหือดแห้งเลยทำให้มันเป็นแบบนี้

     

    “อา~ไม่ได้ออกมาข้างนอกซะนาน”

     

    ผมเดินออกมาจากห้องที่อยู่มาตลอดหลายวันและสูดหายใจเมื่อรับอากาศบริสุทธิ์ ก่อนจะเดินไปที่ห้องโถงเพื่อไปหาโมเดสที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวัน ซึ่งตอนนี้ชุดที่ผมสวมอยู่ก็คือชุดธรรมดาที่สร้างขึ้นมาจากสไลม์

     

    ซึ่งก็ไม่ต้องห่วงว่ามันจะทำให้ผมล่อนจ้อนเมื่อควบคุมพลังเวทย์ไม่ดี เพราะหลังจากที่ผมได้ทดลองอะไรมาหลายอย่างทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า“สลักพลังเวทย์”

     

    มันคือการใส่พลังเวทย์ลงไปในสิ่งๆหนึ่งโดยไม่มีการปลดปล่อยออก ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับระเบิดในโลกนี้ซึ่งจะเป็นการสลักพลังเวทย์จำนวนมากลงไปในสิ่งๆหนึ่งและทำการปลดปล่อยและปาออกไป

     

    หลังจากนั้นพลังเวทย์จำนวนมากที่อยู่ในสิ่งนั้นที่ถูกปลดปล่อยก็จะไหลออกมาพร้อมกันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการระเบิดเกิดขึ้น

     

    ซึ่งผมก็ได้ใช้หลักการที่ว่านั้นมาปรับใช้กับสไลม์ทำให้สามารถคงสภาพชุดได้แม้จะไม่ควบคุมก็ตาม และการที่ทำแบบนั้นมันก็ทำให้ผมไม่ต้องพวงว่าเสื้อผ่าจะหลุดออกตอนที่กำลังต่อสู้

     

    “ท่านคุโรกิเป็นยังไงบ้างไม่ได้เจอกันเสียนานท่านดูเปลี่ยนไปเยอะ”

     

    โมเดสกล่าวทักทายผมทันทีหลังจากที่เห็นผมเดินเข้ามาในห้องโถง ซึ่งผมก็ทักทายเขากลับตามมารยาท

     

    “ท่านมาหาพวกเราเช่นนี้ท่านธุระอะไรงั้นรึ”

     

    โมเดสกล่าวเข้าประเด็น เพราะทุกครั้งที่ท่านคุโรกิมาหาเขาจะต้องมีธุระทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน

     

    “ผมแค่ต้องการที่จะออกไปสำรวจโลกและไปดูพวกผู้กล้าน่ะจึงมาแจ้ง”

     

    “งั้นรึ”

     

    โมเดสไม่ได้ตกใจในคำพูดของผมดูเหมือนว่าเขาจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว ก่อนที่เขาจะบอกให้รูคัสไปเตรียมของสำหรับการเดินทางให้ผมซึ่งก็เป็นพวกสัมพาระที่จำเป็นและอัญมณีที่เอาไว้แลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา

     

    ซึ่งการที่ผมได้มาบอกกับโมเดสอย่างกะทันหันแบบนี้โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเหมือนในนิยายทำให้นัคตัวละครที่เป็นคนที่ต้องเป็นคนนำทางให้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องดีเพราะผมไปคนเดียวมันจะเคลื่อนไหวสะดวกกว่าสำหรับบทละครในอนาคต

     

    “ขอบคุณมาก”

     

    ผมเดินออกมาจากห้องโถงและไปหยุดที่ลานกว้างของปราสาทโดยที่มีพวกโมเดสเดินตามออกมาเพื่อมาส่งผม

     

    “เอาล่ะหวังว่ามันจะได้ผลนะ”

     

    เพราะตอนนี้ผมไม่มียานพาหนะในการเดินทางซึ่งผมก็ไม่อยากที่จะรบกวนโมเดสมากกว่านี้ด้วย เพราะอย่างนั้นผมจึงได้คิดที่จะใช้เวทย์อัญเชิญที่เคยอ่านเจอในหนังสือลองเสี่ยงดวงดู

     

    ผมวาดวงเวทย์ลงบนพื้นตามในหนังสือท่ามกลางความสงสัยของทุกคนที่มาส่งผม

     

    “ท่านคุโกริกำลังทำอะไรน่ะ?”

     

    “ดูเหมือนว่าท่านลอร์ดไดร์ฮาร์ดกำลังวาดวงเวทย์อัญเชิญนะขอรับท่าโมเดส”

     

    รูคัสตอบความสงสัยของโมเดส จนในที่สุดผมก็วาดวงเวทย์อัญเชิญจนเสร็จและปล่อยพลังเวทย์ลงไปในวงเวทย์ ซึ่งตามที่เขียนในหนังสือเวทย์อัญเชิญบทนี้จะเป็นการอัญเชิญสัตว์เวทย์ที่ตอบรับผู้อัญเชิญ นั่นก็หมายความว่าโอกาสการทำสัญญาหลังจากที่อัญเชิญสัตว์เวทย์ออกมานั้นก็คือร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    เปรี้ยง!

     

    ทันใดนั้นเองหลังจากที่ผมปล่อยพลังเวทย์ลงไปในวงเวทย์จนวงเวทย์ส่องแสงสว่างสีแดงออกมา ท้องฟ้าที่เคยปรอดโปร่งตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเมฆฝนพร้อมกับสายฟ้าสีแดงผ่าลงมาภายใรบริเวณลานกว้าง

     

    “เป็นพลังเวทย์ที่รุนแรงมาก!”

     

    โมเดสพูดออกมาด้วยความตื่นตระหนกในขณะที่กำลังปกป้องโมน่า พลังเวทย์ที่เขาสัมผัสได้บางทีมันอาจจะมากว่าเทพสูงสุดซะอีก

     

    ทันใดนั้นก็ได้เกิดพายุสีดำขึ้นตรงหน้าของผม แต่ความรู้สึกของผมกลับบอกว่าพายุตรงหน้านั้นไม่อันตราย แม้จะมีเสียงร้องเตือนของพวกโมเดสให้ผมถอยออกมาก็ตาม

     

    พายุสีดำสนิทได้ค่อยขยายใหญ่ขึ้นก่อนที่มันจะหยุดขยายและแตกออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

     

    มังกรตัวสีดำที่มีมีเส้นสีแดงตามตัว ใบหน้าที่ดุดันพร้อมกับปีกขนาดใหญ่หนึ่งคู่ที่ราวกับสามารถบดบังโลกจากแสงอาทิตย์ได้ เสียงคำรามอันน่าเกรงขามพร้อมกับพลังเวทย์ที่แผ่ออกไปทำให้แม้แต่เทพที่อยู่ในเอลีอัสอันห่างไกลยังสามารถสัมผัสได้

     

     

    มังกรตัวนั้นก้มมองมาที่พวกผมราวกับราชาก่อนที่มันจะค่อยๆบินต่ำลงมาที่พื้นตรงหน้าของผม สร้างความตื่นตระหนกให้แก่พวกโมเดสและคนอื่นๆ 

     

    พลังเวทย์ที่มังกรตัวนั้นปล่อยออกมานั้นสามารถทำให้คนอ่อนแอที่อยู่ใกล้ๆตานได้ในทันที แม้แต่โมเดสที่เป็นถึงราชาปีศาจก็ไม่มีความมั่นใจที่จะสามารถเอาชนะมังกรตัวนั้นได้

     

    ในขณะที่คนอื่นๆกำลังทั้งท่าระวังกันอย่างเต็มที่นั้น ทันใดนั้นเองมังกรสีดำอันน่าสะพรึงกลัวก็ได้ก้มหัวลงตรงหน้าของผม สร้างความตกใจให้กับคนอื่นที่เห็น

     

    “งั้นหรออยากไปกับผมสินะ งั้นต่อจากนี้เธอมีชื่อว่าโคฮาคุ”

     

    ผมได้ตั้งชื่อให้กับมังกรตัวนั้นเสร็จมันก็ได้เงยหน้าขึ้นเต็มความสูงและคำรามออกมาเสียงดัง

     

    โฮกกกก!!!

     

    หลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติแต่กว่าที่คนอื่นๆจะกลับมาได้สติก็ผ่านไปหลายนาที ทำให้ผมที่ไม่อยากที่จะเสียเวลาจึงได้ขึ้นไปนั่งบนหัวของโคฮาคุและออกเดินทาง

     

    พวกเราได้ยินด้วยความเร็วที่ไม่มากนักเพราะผมต้องการที่จะรับลมและชมความสวยงามของธรรมชาติ แต่เนื่องจากโคฮาคุที่ตัวใหญ่เกินไป ก็นะสูงตั้ง10เมตรเลยหนิ

     

    ทำให้พวกเราไม่มีทางเลือกจึงต้องบินสูงเพื่อหลีกเรี่ยงความวุ่นวาย

     

    “เย็นสบายจังเลยน่า~”

     

    ผมที่ตอนนี้ที่อยู่ในชุดเกราะของอัศวินดำที่สร้างขึ้นจากสไลม์แต่ไม่ได้สวมหมวก ลมตอนที่เย็นๆที่เข้าปะทะหน้านี่มันทำให้ผมรู้สึกสบายเหมือนตอนที่อยู่ที่บ้านที่โลกเดิม

     

    แต่ทันใดนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจึงได้เรียกสไลม์มาก่อตัวเป็นหมวกเกราะ และเมื่อมองไปยังทางที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารก็พบว่าเหนือหัวของเขาตอนนี้กำลังมีนางฟ้าเพศหญิงกว่าสิบคนที่สวมเกราะสีทองและกำลังเล็งธนูมาที่ผม

     

    ‘นายท่าน’

     

    “ผมจัดการเองเธอโคฮาคุเธอบินตอ่ไปอย่างสบายใจเถอะ”

     

    ผมลูบหัวขนาดใหญ่ของโคฮาคุเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจ ทั้งที่ความจริงผมแค่ห้ามไม่ให้เธอเผ่านางฟ้าพวกนั้นเท่านั้นเพราะไม่งั้นจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา

     

    ไม่มีการเตือนใดใดทางฟ้าเหล่านั้นได้ยิงธนูใส่ผมพร้อมกัน แต่สำหรับผมธนูเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากใบไม้ 

     

    ผมชักดาบบลัดมุงก์ออกมาและเปิดใช้ความสามารถของมัน

     

    “ถึงเวลาดื่มเลือดแล้วบลัดมุงก์”

     

    ดวงตาที่เคยปิดสนิทของดาบไปลืมตามขึ้นพร้อมกับออร่าสีแดงเลือดจำนวนมาที่พวยพุ่งออกมาจากใบดาบ ซึ่งเลือดที่ผมใช้ในการเปิดใช้ความสามารถก็คือเลือดของเรย์จินั้นเอง

     

    ผมสะบัดดาบเพียงครั้งเดียวลูกศรจำนวนมากที่กำลังพุ่งมากก็ได้ถูกเปลวไฟสีเลือดเผาไหม้ไปจนหมดรวมถึงธนูที่นาวฟ้าเหล่านั้นกำลังถืออยู่ด้วย

     

    “ไม่จริง!!”

     

    นางฟ้าที่เห็นว่าการโจมตีและอาวุธของพวกเธอถูกทำลายก็ร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง แต่ผมไม่ปล่อยให้พวกเธอตั้งตัวหรอกนะ

     

    ผมได้ดีดตัวออกจาโคฮาคุและเข้าไปต่อยพวกเธอที่ท้องคนละหมัดทำให้พวกเธอร่วงลงไปข้างล่างไปทีละคนจนตอนนี้เหลือแค่นางฟ้าแค่คนเดียว

     

    “ขะ-ขอร้องปล่อยข้าไปเถอะ”

     

    นางฟ้าที่ที่เหลืออยู่คนนั้นขอร้องให้ผมปล่อยไปด้วยร่างกายที่สั่งเทาดูเหมือนว่าในสายตาของเธอผมนั้นจะน่ากลัวพอดู

     

    ใช่ในสายตาของนางฟ้าคนนั้นคุโรกิไม่ต่างจากเทพแห่งความตายที่กำลังจะมาเด็ดดวงวิญญาณของเธอ

     

    “ถ้าอย่างนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ข้าจะปล่อยเธอไป ช่วยบอกได้หรือเปล่าว่าตอนนี้ผู้กล้าอยู่ที่ไหน”

     

    ผะ-ผู้กล้า? ฮี๊!! บอกแล้วค่ะ! ตอนนี้ผู้กล้ากำลังพักอยู่ที่วิหารของท่าเรน่า! ที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้เพราะงั้นปล่อยข้าไปเถอะ”

     

    “งั้นหรอขอบคุณ”

     

    ผมกล่าวขอบคุณและกำลังจะกลับไปหายโคฮาคุ จริงสิลืมอธิบายตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่บนอากาศที่ทำให้แข็งด้วยพลังเวทย์จึงทำให้เดิมว่าผมสามารถเหาะได้

     

    และทันใดนั้นเองก็ได้มีลำแสงสีทองพุ่งมาทางผม ด้วยประสาทสัมผัสอันดีเลิศผมได้ยกดาบขึ้นมาปัดลำแสงนั้นออกไป

     

    “ปล่อยลูกน้องของข้าซะอัศวินดำ!”

     

    หญิงสาวผู้มีเส้นผมสีทอง ใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ในมือของเขากำลังถือหอกเล่มหนึ่งที่กำลังส่องแสงสีทอง

     

     

    “ท่านบรุนฮิวด์!!”

     

    ทางฟ้าคนที่ผมปล่อยไปนั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่ชื่อบรุนฮิวด์คนนี้จะเก่งน่าดู

     

    “เจ้ากล้ามากที่ยังอาจมาทำร้ายลูกน้องของข้าเช่นนี้!”

     

    นางคนนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและพุ่งเข้าหาผมพร้อมกับหอกที่กำลังส่องแสงสีทองในมือของเธอ

     

    ผมที่เห็นใดนั้นด้วยความที่ไม่อยากที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่จึงได้พุ่งเข้าไปประชิดตัวของเธอและทำการปลดอาวุธของเธอออกและล็อกร่างกายของเธอเอาไว้

     

    “ปล่อยข้านะเจ้าคนถ่อย!”

     

    “อย่างใจร้อนสิแม่สิงโตสาว”

     

    ผมกระซิบข้างหูของเธอและปล่อยเธอไป

     

    “นี่ลูกน้องของเธอทีนี่จะปล่อยข้าไปได้หรือยัง”

     

    ผมส่งลูกน้องของเธอหรือนางฟ้าที่ผมทำให้สลบไปก่อนหน้าที่ตอนนี้กำลังถูกมัดรวมกันด้วยเชือกสีดำที่สร้างขึ้นจากสไลม์

     

    “เจ้า!!”

     

    เธอคนนั้นพูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ แต่ผมก็ไม่ได้รอให้เธอพูดอะไรเพิ่มและโยนลูกน้องให้เธอและนั่งโคฮาคุบินจากไปจนแน่ใจว่าไม่ใครตามมาแล้วจึงบอกให้โคฮาคุลดความเร็วลง

     

    “ดูเหมือนว่าพวกเรย์จิจะกำลังพักอยู่ที่ประเทศแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าอาณาจักศักดิ์สิทธิ์ลีนาเลียสินะ”

     

    ผมกางแผนที่ออกมาดูเพื่อหารสถานที่ตามที่นางฟ้าคนนั้นบอก ซึ่งหลังจากที่รู้เป้าหมายผมก็บอกให้โคฮาคุบินไปทางนั้นทันที

     

    “ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มปลอมตัวกันเลยดีกว่า”

     

    เกราะของอัศวินดำได้มีการเปลี่ยนแปลงเกราะสีดำตัดทองที่เคยดูน่ากลัวและยำเกรงได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเงินพร้อมกับรูปร่างของชุดเกราะที่ทำให้ดูองอาจและสูงส่ง

     

    อัศวินศักดิ์สิทธิ์ ทัชมี

     

     

    แต่ทันใดนั้นเองหลังจากที่ผมได้ทำกายปลอมตัวเสร็จสิ้นเสียงขอโคฮาคุก็ได้พูดขึ้นมาในหัวของผม

     

    ‘นายท่านมีอะไรบางอย่างอยู่บนฟ้าเหนือพวกเรา’

     

    เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็ได้เงยหน้าขึ้นตามที่เธอบอกและพบว่ามีอะไรเป็นเงาดำดำกำลังร่วงลงมาจากฟ้า

     

    และเมื่อผมได้เพ่งสายตาดูให้ดีดีก็พบว่าเงาสีดำนั้นก็คือคน! มีคนกำลังร่วงลงมาจากฟ้า

     

    “แย่แล้ว!”

     

    ผมที่เห็นดังนั้นก็รีบดีดตัวออกจากโคฮาคุอีกครั้งเพื่อไปช่วยคนคนนั้น เมื่อผมกระโดดขึ้นไปถึงความสูงที่คนคนนั้นอยู่ผมก็ใช้มือช้อนร่างกายอย่างนิ่มนวลเพราะกลัวคนคนั้นจะได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่ผมสามารถรับตัวได้แล้วจึงได้ใช้เวทย์ทำให้อากาศแข็งตัวเพราะกลับไปหาโคฮาคุ

     

    “เด็กผู้หญิงงั้นหรอ?”

     

    หลังจากที่กลับมาหาโคฮาคุผมจึงได้มีโอกาสที่จะดูหน้าตาของคนที่ผมช่วยเอาไว้ และพบกับความจริงที่น่าตกใจว่าคนที่ผมพึ่งจะช่วยมานั้นเป็นเด็ก?ผู้หญิงที่มีเส้นผมสีเขียวที่มัดเป็นทรงทวินเทล

     

    ตามร่างกายของเธอมีรอยสักสีชมพูและรอยขีดสีดำ แต่ที่น่าตกใจมากกว่าก็คือเด็กผู้หญิงคนนี้นั้นสวมแค่ชุดชั้นในและเสื้อคลุมแค่นั้น

     

    “ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ตกลงมาจากฟ้าได้ล่ะ?”

     

    เป็นคำถามที่ไม่ได้คำตอบ คงมีแต่ต้องรอให้เธอคนนี้ฟื้นเท่านั้น

     

     

    +++

     

    ทำไมตอนนี้ตัวละครใหม่เยอะจังว่ะ เอาเถอะยังก็ไม่มีผลอยู่เเล้วถ้าขี้เกียจก็เเค่ตัดบทก็จบ อาจจะมีคำผิดบ้างเพราะไรต์อาจจะไม่เห็นเเต่ยังไงก็ขอให้อ่านให้สนุก

     

    เเค่นี้เเหละไปนอนเเล้ว นอนในห้องเรียนมันนี้เเหละ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×