NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Tale of dark knight summoned to defeat the hero] บทละครอัศวินดำ

    ลำดับตอนที่ #4 : ผู้กล้าเเตกพ่าย อัศวินดำที่เเข็งเเกร่งเกินไป

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 66


     

    ตอนที่ 2 – ผู้กล้าเเตกพ่าย อัศวินดำที่เเข็งเเกร่งเกินไป

     

    หนึ่งในกลุ่มผู้กล้า มิซุโอจิ จิยูกิบรรยาย

     

    สวัสดีฉันชื่อมิซุโอจิ จิยูจิ เป็นหนึ่งในคนที่ถูกอัญเชิญมาต่างโลกโดยท่านเทพธิดาเรน่าพร้อมกับพวกเรย์จิคุง และตอนนี้พวกเรากำลังหยุดพักเพื่อเก็บแรงไปสู้กับราชาปีศาจโมเดส

     

    “ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วค่ะรุ่นพี่จิยูจิ”

     

    ซาซากิ ริโนะผู้หญิงที่มีเส้นผมสีทำทรงทวินเทลกำลังเต้นรำไปรอบๆในระหว่างที่คนอื่นกำลังพักผ่อน

     

    ที่เธอทำแบบนี้ก็เพราะว่าเธอนั้นชอบการเต้นและการร้องเพลงมาก เดิมทีถ้าไม่ถูกอัญเชิญมาที่โลกนี้ความฝันของเธอคือการเป็นไอดอล 

     

    เพราะการที่เธอชอบเต้นในทุกๆที่นั้นทำให้พอรู้สึกตัวอีกทีก็โดนเรียกว่าเทพแห่งการเต้นรำไปซะแล้ว ขนาดอยู่กลางเมืองเธอก็ยังเต้นเลย

     

    แต่ในความมีชื่อเสียงก็ย่อมชื่อเสียเป็นธรรมดา เพราะเธอนั้นชอบสวมกระโปงที่สั้นมากๆทำให้เธอถูกมองว่ากำลังยั่วผู้ชาย แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจสิ่งที่คนรอบข้างพูดเลย ขนาดฉันเคยเตือนเธอเรื่องนี้แล้วเธอก็ยังไม่ปรับปรุงจนฉันเองก็จนปัญญาที่จะบอกเธอแล้ว

     

    “งั้นหรอคะ คุณริโนะ”

     

    ฉันพยักหน้าในริโนะและมองตรงไปข้างหน้า

     

    ปราสาทของราชาปีศาจอยู่ข้างหน้าของพวกเราแล้วอีกแค่นิดเดียวพวกเราก็จะสามารถกลับบ้านได้

     

    ถ้าเราสามารถปราบราชาปีศาจที่อยู่ในปราสาทนั้นได้เรน่าหรือเทพธิดาที่อัญเชิญพวกเรามาสัญญาว่าจะส่งพวกเรากลับไปที่โลกเดิม และจะได้ยุติการเดินทางอันยาวนานนี้ลงซักที

     

    “ใช่แล้ว การเดินทางอันแสนเจ็บปวดที่ยาวนานนี้จะจบลงซักที”

     

    เสียงทุ้มๆของผู้ชายพูดขึ้น นั้นก็คือเรย์จิ

     

    “โกหกล่ะสิ ก็เห็นอยู่ว่าเรย์จิดูสนุกกับการเดินทางมากเลยนี่นา”

     

    “ดูเป็นแบบนั้นหรอ?”

     

    เขาตอบกลับฉันด้วยเสียงหัวเราะ

     

    สำหรับเขาที่ได้รับฉายาว่าผู้กล้าแห่งแสงการเดินทางครั้งนี้คงจะเป็นเรื่องสนุก แต่ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่รู้สึกแบบนั้น ริโนะ นาโอมิหรือแม้แต่ฉันก็รู้สึกสนุกเหมือนกัน

     

    ตั้งแต่ที่พวกเรามาที่โลกนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้วตั้งแต่ที่เราถูกผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าเราน่าหรือที่เธออ้างว่าตัวเองเป็นเทพธิดาอัญเชิญมากและขอร้องให้พวกเราช่วยปราบราชาปีศาจให้

     

    เหมือนกันในมังงะเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ก็นะถ้าให้พูดตามความรู้สึกคือไม่สบอารมณ์เอาซะเลย เพราะการที่อัญเชิญพวกเรามาโดยไม่ถามอะไรนี่มันเป็นการลักพาตัวชัดๆ

     

    ซึ่งในตอนแรกฉันก็ต่อต้านเธออย่างหนัก แต่เพราะเธอบอกว่าถ้าไม่ยอมทำตามก็ไม่อาจที่จะกลับไปโลกเดิมได้ ทำให้สุดท้ายพวกเราก็ต้องรับคำขอของสาวสวยที่ชื่อเรน่าและช่วยเธอจัดการกับพวกปีศาจ

     

    แต่จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์กับสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าเรย์จิ นาโอมิ ริโนะ จะสนุกกับการผจญภัยที่โลกนี้ราวกับกำลังเล่นเกมอยู่อย่างไงอย่างงั้น

     

    และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยของพวกเรา

     

    แต่ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าจะต้องสู้กับพวกปีศาจนั้นฉันก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก แต่ความกังวลเหล่านั้นก็หายไปในแทบจะทันที เพราะพวกเราในโลกนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

     

    ตั้งแต่มาที่โลกนี้พลังกายของพวกเราก็ได้ก้าวกระโดดไปมากกว่าเดิมหลายเท่าอย่างไร้เหตุผล

     

    จากการสังเกตของฉันดูเหมือนพลังของพวกเราจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนความสามารถดั้งเดิมของเรา

     

    เพราะเดิมทีเรย์จิและนาโอมิที่โลกเดิมก็มีความสามารถทางกายที่สูงที่สุดในหมู่พวกเรา ทำให้เมื่อมาที่โลกนี้ความแข็งแกร่งของพวกเราก็เพิ่มขึ้นไปด้วย

     

    แม้แต่ซาโฮโกะที่แต่เดิมมีร่างกายที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ของพวกเรา แต่ตอนนี้เธอสามารถมทุ่มพวกผู้ชายตัวโตๆในโลกนี้ได้อย่างสบาย

     

    และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สุดยอดดูเหมือนว่าพวกเราทุกคนหลังจากที่ถูกอัญเชิญมากที่โลกนี้จะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ และยังสามารถควบคุมได้ดั่งใจนึกทั้งๆที่เป็นการใช้เวทมนตร์ครั้งแรกของพวกเรา

     

    และถ้าจัดอันดับคนที่มีพลังเวทย์มากที่สุดอันดับแรกก็คือเรย์จิ ตามด้วยฉัน ซาโฮโกะ โดยที่คนที่มีพลังเวทย์น้อยที่สุดก็คือนาโอมิ ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมในโลกเดิมพวกเราถึงไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ 

     

    แต่ถึงพวกเราจะมีพลังเวทย์ที่เยอะมากๆเมื่อเทียบกับนักเวทย์ปกติที่โลกนี้แต่ใช่ว่าพวกเราจะสามารถใช้ได้ทุกธาตุ อย่างฉันที่ใช้ได้เกือบทุกธาตุยกเว้นไฟฟ้าและไฟที่ใช้ไม่เก่ง 

     

    นาโอมิไม่สามารถใช้เวทย์ฮีลได้ต่างจากซาโฮโกะที่สามารถใช้เวทย์ฮีลได้แต่ไม่เก่งเรื่องเวทย์โจมตีและเคลื่อนย้าย

     

    และริโนะที่เก่งเรื่องการใช้เวทย์สายวิญญาณที่สามารถอัญเชิญสปิริตมากช่วยในการต่อสู้ได้ทีละหลายตัว

     

    ส่วนเรย์จิที่ได้รับฉายาว่าเป็นผู้กล้าแห่งแสงนั้นพลังเขาเขาเรน่าได้บอกว่าเขามีความสามารถเทียบเทพโอดิน เขาสามารถใช้เวทย์ได้ทุกธาตุและมีพลังเวทย์อันมหาศาล แม้ว่าพวกเรา5คนจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้

     

    ทำให้ในต่างโลกที่อันตรายแบบนี้การมีคนที่แข็งแกร่งอย่างเรย์จินั้นช่วยให้พวกเราที่เป็นผู้หญิง5คนปลอดภัยต้องขอบคุณเขามากๆ

     

    แต่การเดินทางของพวกเราก็กำลังจะจบลงในอีกไม่ช้า

     

    แม้ว่านี่จะเป็นสถานการณ์ที่ผิดแปลกไปบ้าง แต่ของแค่ส่งพวกเรากลับไปยังโลกเดิมได้ฉันก็ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนแล้ว(หรอ~)

     

    เรย์จิเองก็คงไม่เรียกร้องขออะไรเป็นสิ่งตอบแทนหรอก เพราะเขายอมรับคำขอของเรน่าด้วยตัวเอง แต่ว่านะจะไปเรียกร้องค่าตอบแทนทีหลังก็ไม่เสียหาย

     

    บางทีความอ่อนหัดของเขาอาจจะเข้าทำร้ายเขาในซักวันไม่ช้าก็เร็วเพราะความใจดีกับผู้หญิง

     

    และฉันก็เคยคิดว่าเขาก็คงจะใจดีแบบนี้ก็ผู้ชายด้วย แต่กลายเป็นว่าถ้าเป็นผู้ชายเขาจะไม่สนใจใยดีเลย 

     

    เขาเคยพูดว่า ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เพราะเหตุนั้นเขาจึงช่วยแต่ผู้หญิงเท่านั้น แต่จากที่ฉันเห็นเรย์จิจะช่วยแค่ผู้หญิงท่าน่ารักเท่านั้น แต่ดูท่าฉันคงแค่คิดไปเองเรย์จิไม่ใช่คนที่เลือดปฏิบัติแบบนั้นซะหน่อย

     

    “เห็นปราสาทราชาปีศาจแล้ว”

     

    นาโอมิที่เพิ่มกลับมาจากการไปสอดแนมรายงานสถานการณ์

     

    เธอเป็นเอซของชมรมกีฑา ในหมู่ของพวกเราคนที่มีความสามารถทางกายสูงพอๆกับเรย์จิก็เธอนี่แหละ

     

    แม้ว่าในโรงเรียนเธอจะถูกเรียกว่าคนป่าเถื่อน แต่พอได้รู้จักกันแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่ง ซึ่งความสามารถของเธอถ้าเรียกตามในเกมแนวmmorpgก็คงจะเป็นโจรหรือเรนเจอร์นั่นแหละ ซึ่งอาชีพนี้ก็ดูเข้ากับเธออย่างหน้าประหลาด

     

    “สถานะการณ์เป็นยังไงบ้างคุณนาโอมิ?”

     

    “อืม.. ไม่มีกับดักเลยล่ะ เหมือนจะไม่มีทหารคอยป้องกันด้วยซ้ำ คิดว่าสามารถผ่านไปได้สบายๆเลย”

     

    “นี่มันเป็นที่มั่นสุดท้ายของศัตรูเชียวนะมันจะไม่แปลกเกินไปหน่อยหรอ?”

     

    “หรือว่าพวกมันกำลังกลัวเราอยู่กันแน่”

     

    ริโนะพูดในแง่ดี

     

    “บางทีเรื่องมันอาจจะง่ายกว่าที่คิดก็ได้ไม่มีทหารคอยปกป้องราชาปีศาจใช่มั้ยล่ะ หมายความว่าเราไม่ต้องจัดการชายที่เรียกตัวเองว่าอัศวินดำเมื่อวันก่อนแล้วแม้จะมีรูปร่างแบบนั้นแต่อัศวินดำคนนั้นอาจจะเป็นปราการด่านสุดท้ายของพวกเขาเลยก็ได้”

     

    ชิโรเนะพูดขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าอาคามิโนะ ชิโรเนะ ทางบ้านของเธอเปิดโรงฝึกเค้นโด้ ดังนั้นเธอเลยพอรู้วิชาเคนโด้อยู่บ้าง 

     

    ในโลกนี้เธอถือว่าเป็นนักดาบระดับโลกเลยล่ะ คนที่แข็งแกร่งรองจากเรย์จิก็คือเธอนี่แหละ ถ้าสู้กันโดยไม่ใช้เวทมนตร์อ่ะนะ

     

    พอพูดถึงเรื่องอัศวินดำที่เราสู้ด้วยเมื่อสี่สันก่อน ตอนนั้นเพราะเรย์จิกำลังต่อสู้อยู่อีกด้านโดยเหลือเพียงพวกเราจึงเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราสู้โดยที่ไม่มีเรย์จิ

     

    อัศวินดำคนนั้นมีชื่อว่ารันฟิวล่ะมั้ง เขาเป็นหัวหน้าของพวกมอนสเตอร์แล้วก็มีพลังมหาศาล ซึ่งฝีมือการใช้ดาบของเขานั้นพอๆกับชิโรเนะและพลังต้านทางเวทมนตร์ของเขานั้นสูงมาก จนทำให้พวกเรานั้นเข้าตาจน

     

    แต่ในตอนนี้เองเรย์จิที่เห็นว่าพวกเรากำลังแย่ก็รีบตรงดิ่งเข้ามาช่วยพวกเราเอาไว้ทัน ทำให้รันฟิวหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เพราะทุกการโจมตีของเขาถูกเรย์จิทำลายลงทั้งหมด

     

    “ทั้งที่พวกเราติดว่าตัวเองเก่งพอตัวแล้ว แต่ว่า...”

     

    ซาโฮโกะพูดออกมา เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดนักแต่ก็เป็นเด็กที่ใจดีและอ่อนโยน เมื่อมีใครในกลุ่มของพวกเราได้รับบาดเจ็บเธอก็จะรักษาให้ เพราะเธอคือคนที่ถูกผู้คนเรียกขานว่า “เซนต์แห่งการรักษา”

     

    “น่า เดี๋ยวเราก็รู้วิธีรับมือกับเขาเอง ไปกันเถอะทุกคน!!”

     

    ““โอ้!!!””

     

    ริโนะและนามิพูดเสียงดังตอบรับคำพูดของเรย์จิ ตอนนี้พวกเรากำลังก้าวเข้าไปในปราสาทของราชาปีศาจ

     

    ไม่กี่นาทีต่อมา

     

    ตอนนี้พวกเราก็มาถึงที่ประตูหลักของปราสาทโดยที่ไม่พบอุปสรรค์อะไรเลย

     

    ไม่มีทหารคอยปกป้อง มีเพียงแค่ชายที่สวมเกราะสีดำอยู่เพียงคนเดียว

     

    “อัศวิน...ดำ?”

     

    แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขาแต่ก็ยังมองเห็นเส้นผมสีดำที่โผล่ออกมาจากหมวกเกราะ ดูเหมือนว่าอัศวินดำคนนี้จะไม่ใช่รันฟิว

     

    ราชาปีศาจคิดอะไรอยู่ถึงได้ให้อัศวินดำคนนี้มาแค่คนเดียว หรือว่าราชาปีศาจจะยอมแพ้แล้ว?

     

    ฉันที่กำลังสงสัยว่าทำไมราชาปีศาจถึงส่งอัศวินดำคนนี้มาแค่คนเดียว เพราะราชาปีศาจก็น่าจะรู้ว่าอัศวินดำแค่คนเดียวไม่ใช่คู่มือของพวกเราหรอก 

     

    กริ่งๆ

     

    แต่ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งที่ไม่รู้ที่มาก็ดังขึ้นพร้อมกับคำพูดของอัศวินดำคนนั้นที่มากพร้อมกับแรงกดดันอันน่าขนลุกที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา

     

    “ชื่อของข้าคืออัศวินดำไดร์ฮาร์ด! ผู้กล้าเอ๋ยข้าขอท้าดวลกับพวกเจ้า!!”

     

    ยูคิซากิ คุโรกิ หรืออัศวินดำบรรยาย

     

    “ชื่อของข้าคืออัศวินดำไดร์ฮาร์ด! ผู้กล้าเอ๋ยข้าขอท้าดวลกับพวกเจ้า!!”

     

    ใช่อย่างที่เห็นตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของพวกผู้กล้า โดยที่ตอนนี้ผมกำลังสวมชุดเกราะที่โมเดสมอบให้ หลังจากที่ผมได้เข้าไปเลือกอาวุธที่คลังเก็บอาวะของปราสาทของโมเดส

     

    เรียกได้ว่าตอนนี้ผมได้กลายเป็นนักรบที่มีอาวุธติดอยู่ทั่วทั้งร่างกาย ดาบขนาดเล็กสองเล่มที่ไหล่ซ้าย หอกยาวสองด้ามไขว้กันไว้ที่หลัง และที่ขาทั้งสองข้างของผมยังมีโล่ขนาดเล็กห้อยเอาไว้

     

    ซึ่งอาวุธทุกชิ้นผมนั้นได้ใช้ความสามารถในการมองเห็นค่าสถานะของอาวุธคัดมาอย่างดีว่าสามารถกระทืบพวกนี้ได้จนไม่มีทางสู้

     

    ผมตวัดดาบใหญ่ที่อยู่ในมือชี้ไปที่พวกเรย์จิเพื่อท้าทาย

     

    และอาวุธที่ดีที่สุดก็คือดาบเล่มนี้ มันเป็นดาบต้องสาปที่โมเดสมอบให้ผม ถึงมันจะถูกเรียกว่าดาบต้องสาปก็เถอะแต่ความสามารถของมันดีมากพอที่จะให้มองข้ามไปได้

     

    ดาบบลัดมุงก์ - ตำนาน

     

    ความคมของดาบเล่มนี้ขึ้นอยู่กับพลังเวทย์ที่ใส่ลงไป และพลังโจมตีจะแรงขึ้นตามเลือดที่ได้กลืนกิน

     

    ถึงชื่อของดาบเล่มนี้จะคล้ายกับดาบของตำนานนักฆ่ามังกรซีกฟรีดแต่บอกเลยว่ารูปร่างของมันไม่มีความคล้ายเลย ด้ามจับสีดำที่ถูกสร้างขึ้นมาจากแร่ที่ไม่รู้จัก ที่ตรงกลางระหว่างด้ามจับกับใบดาบมีดวงตาดวงหนึ่งที่กำลังหลับใหลอยู่และจะลืมตาทุกครั้งที่ได้ดื่มเลือด และใบดาบที่เป็นสีแดงแซมดำทำให้ดาบเล่มนี้แค่ดูด้วยตาเปล่าก็รู้สึกได้ถึงความอันตราย

     

    แถมความสามารถในการดื่มเลือดแล้วจะเพิ่มพลังทำลายนั้นไม่ได้จำกัดไว้แค่เลือดของผู้ใช้ นั่นแปลว่าผมสามารถใช้เลือดของอะไรก็ได้ขอแค่เป็นเลือด

     

    แต่จะว่าก็ว่าเถอะความรู้สึกที่ได้จับดาบที่สร้างขึ้นมาในโลกแฟนตาซีนั้นต่างจากดาบที่ถูกสร้างขึ้นที่โลกเดิมจริงๆนั้นแหละ ที่โลกเดิมผมเคยจับแค่ดาบคาตานะที่สั่งทำแถมคุณภาพมันยังแย่สุดๆ ความสมดุลไม่มีแถมน้ำหนักยังเยอะสุดๆ

     

    แต่มันก็สามารถเอามาเหวี่ยงเพื่อเพิ่มความสามารถในการคุมดาบได้ ทำให้ผมไม่ได้โวยวายอะไร แค่ให้1ดาวโรงงานที่ทำดาบเล่มนั้นเท่านั้น

     

    แต่เมื่อได้จับดาบที่ไม่ใช้คาตานะแต่เป็นดาบใหญ่สองมือที่เคยเห็นบ่อยๆให้เกมที่พวกอาชีพนักรบชอบให้กันมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยชิน

     

    แต่ก็เอาเถอะเพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ผมไม่คิดว่าจะถึงขั้นต้องใช้ดาบเล่มนี้หรอก

     

    ซึ่งหลังจากผมได้เตรียมการทุกอย่างเสร็จก็ออกมาเผชิญหน้ากับพวกนี้เลย และเมื่อได้เห็นว่ามีคนที่คุ้นเคยอย่างชิโรเนะที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเรย์จิความรู้สึกเจ็บแปล๊บๆที่หน้าอกของผมก็กลับมาอีกครั้ง

     

    เอาจริงๆน่ะคุโรกิคนเดิมนายควรตัดใจได้แล้วนะ นายก็เห็นอยู่ว่าตอนนี้เธอนั้นชอบเจ้าเรย์จิ มีผู้หญิงที่กำลังรอนายอยู่ตั้งเยอะทำไมต้องยึดติดขนาดนั้นด้วย 

     

    ซึ่งผมก็ได้แต่บ่นในใจเท่านั้นแหละคนที่มาสิ่งร่างคนอื่นอย่างผมคงไม่มีสิทธิไปว่าอะไรเขา แต่ความรู้สึกนี้มันน่าจะเป็นปัญหาในอนาคตหรือผมควรไปของให้โมเดสช่วยลบความทรงจำที่เกี่ยวชิโรเนะดีจะได้จบๆไป

     

    และชื่อของอัศวินดำผมก็ใช้ชื่อว่าไดร์ฮาร์ดตามต้นฉบับเลย ไม่ใช่ว่าผมคิดชื่ออื่นไม่ออกหรอกนะชื่อน่ะผมคิดไว้เยอะไม่ว่าจะเป็น แลนสล็อต โมมอนกะ และอีกหลายชื่อ แต่ที่ผมใช้ชื่อว่าไดร์ฮาร์ดนั้นก็เพื่อเป็นการลำลึกไว้ถึงคุโรกิคนก่อนเท่านั้น

     

    “ทุกคนหลบไปก่อน”

     

    หลังจากที่เห็นว่าผมได้ท้าทายเรย์จิก็บอกให้สาวๆถอยไปก่อน ดูเหมือนว่าหมอนั้นอยากที่จะสู้กับผมแบบหนึ่งต่อหนึ่ง

     

    จะบอกว่าเป็นคนที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองหรือจะบอกว่าโง่เง่าดี ดูจากปฏิกิริยาของสาวๆรอบตัวที่กำลังหน้าซีดเพราะแรงออร่าที่ผมปล่อยออกไปแล้วยังไม่รู้สึกตัว

     

    ทั้งๆที่ผมก็บอกไปว่าของท้าทายทุกคนแท้ๆ เห้อ~

     

    เรย์จิตวัดดาบ ใบดาบของเขาเกิดประกายแสง ก็นะผู้กล้าก็ต้องคู่กับดาบที่สามารถส่องแสงได้อยู่แล้ว เหมือนอนิเมะบางเรื่องที่นักดาบสามารถยิงบีมได้ หรือนักธนูที่ไม่ใช้ธนู

     

    “ฉันจะจบการต่อสู้นี้ด้วยดาบเดียว”

     

    เรย์จิยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้เลยซักนิด

     

    นี่เป็นครั้งแรกสินะที่ผมได้ดวลดาบกับหมอนี่ ไม่สิถ้ารวมกับคุโรกิคนเดิมก็เป็นครั้งที่สองสินะ

     

    ผมที่เห็นว่าเรย์จิจะสู้คนเดียวจึงปักดาบบลัดมุงก์ไว้ที่พื้นและหยิบหอกสีทองและแดงที่หลังออกมา สร้างความสงสัยให้กับพวกเรย์จิ

     

    “นายไม่ใช้ดาบเล่มนั้นหรือไง?”

     

    เรย์จิถามผม ซึ่งผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ตอบกลับด้วยเสียงที่ถูกดัดให้ดูหน้ากลัวด้วยเวทมนตร์ที่ลงไว้ที่ชุดเกราะ

     

    “ในเมื่อเจ้าสู้แค่คนเดียวมันคงเป็นการเอาเปรียบถ้าข้าใช้ดาบเล่มนี้”

     

    คำตอบที่ดูเหมือนเป็นการดูถูก ก็ดูถูกนั่นแหละทำให้เรย์จิจากที่เคยยิ้มอย่างสดใจเปลี่ยนเป็นใบหน้าบูดเบี้ยวเพราะความโกรธ

     

    “นี่แกดูถูกชั้นอยู่หรือไงกัน!?”

     

    “ถ้าเจ้าได้ยินอย่างนั้นก็คงจะใช่แหละ”

     

    ทันใดนั้นเรย์จิที่ดูเหมือนจะโกรธสุดๆก็เตะพื้นเพื่อให้ระยะห่างระหว่างเราใกล้ขึ้น ซึ่งมันเป็นความเร็วที่มากกว่ารันฟิวอยู่มากแต่มันก็ช้าในสายตาของผมที่เป็นถึงเอซของชมรมยิงธนู

     

    ผมไขว้หอกรับการโจมตีของเรย์จิเอาไว้อย่างง่ายดายจนเกิดคลื่นกระเทก ก่อนที่จะใช้หอกเพื่อเปลี่ยนทิศทางของดาบเพื่อให้เสียการทรงตัวและกระทุ้งหอกด้านที่ไม่มีคมไปที่ท้องของเรย์จิ

     

    “อุ๊กก!!”

     

    ท่าทีมั่นใจของเขาหายไปในทันทีหลังจากที่โดนการโจมตีเพียงครั้งเดียว เรย์รีบกระโดดถอยออกไปและทรุดตัวลงกับพื้นเพราะความจุกจากการโดนกระทุ้งด้วยด้ามหอก

     

    ซึ่งการเคลื่อนไหวของเรย์จินั้นสร้างความไม่พอใจให้ผมเป็นอย่างมาก วิชาดาบไม่มีเข้ามาฟันซึ่งๆหน้าด้วยแรงอย่างเดียว สมดุลของร่างกายก็โคตรแย่ เป็นถึงผู้กล้าแต่มีความสามารถแค่นี้ ถามจริงสามารถอยู่รอดในโลกนี้มาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงหรือเป็นเพราะคนบนโลกนี้อ่อนแอ...

     

    ผมที่เห็นว่าเรย์จิยังไม่สามารถสู้ต่อได้เพราะอาการจุกก็ไม่ได้ทำอะไรและยืนรอจนอาการของหมอนั่นดีขึ้น

     

    ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกสงสารหรืออะไรหรอกนะเป็นเพราะว่าผมต้องการให้หมอนั่นรู้สึกสิ้นหวังแบบสุดๆต่างหาก ความรู้สึกสิ้นหวังที่ได้จากการต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าราวฟ้ากับเหวน่ะ

     

    หลังจากที่หายจากอาการจุกเพราะได้รับการรักษาจากซาโฮโกะที่เป็นนักบวชเรย์จิก็เข้ามาโจมตีผมอีกครั้งจากด้านหน้าโดยไม่มีการหลอกล่อใดใด

     

    ซึ่งผมก็สามารถสกัดการโจมตีสุดเถรตรงของเรย์จิได้อย่างง่ายดายโดยการวาดหอกในมือซ้ายและใช้หอกในมือขวาแทงเข้าไปที่แขนของเรย์จิจนกลายเป็นแผลลึก

     

    “อ๊ากกก!!”

     

    เรย์จิร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขากำลังบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น

     

    แต่ผมก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้น เมื่อเห็นว่ามีช่องว่างผมก็ได้ใช้หอกอันเดิมที่ดึงออกมาจากร่างกายของเรย์จิแทงเข้าไปอีกครั้งซึ่งรอบนี้เป็นไหล่ซ้าย

     

    ทำให้เรย์จิจากที่เจ็บปวดอยู่แล้วก็กรีดร้องออกมามากกว่าเดิมและทรุดลงไปที่พื้น

     

    ช่างอ่อนแอ...

     

    ““เรย์คุง!!/เรย์จิ!!/เรย์จิคุง!!/รุ่นพี่เรย์จิ!!””

     

    สาวๆทั้ง5คนกรีดร้องออกมาในเวลาเดียวกันเมื่อเห็นว่าเรย์จิที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเธอนั้นเสียท่า ก่อนพวกเธอจะเริ่มเคลื่อนไหว

     

    “ไปจัดการมันเลยเปลวไฟแห่งราชา!!”

     

    ซาซากิ ริโนะเป็นคนแรกที่เริ่มลงมือ เธอร่ายคาถาจากนั้นลูกไปยักษ์ก็พุ่งเข้ามาทางผม ผมที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ร้อนรนใช้หอกสีแดงในมือขวาแทงสวนลูกไฟนั่นทำให้ลูกไฟขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งมาได้หายไปอย่างไร้ล่องลอย

     

    ที่ลูกไฟยักษ์ได้หายไปหลังจากที่ถูกแทงด้วยหอกสีแดงอันนี้ก็เป็นเพราะหอกอันนี้มีความสามารถในการสลายพลังเวทย์นั่นเอง

     

    หอกคริสตัลจอมตะกละ - หนึ่งเดียว

     

    หอกที่สามารถดูดกลืนพลังเวทย์ได้และเปลี่ยนเป็นพลังเวทย์ของผู้ใช้

     

    อาวุธในคลังของโมเดสนี่มีแต่ของดีดีทั้งนั้นเลยนะ โชคดีที่ผมสามารถมองเห็นความสามารถของไอเทมได้มาอย่างนั้นผมคงได้พลาดของดีแบบนี้ไปแน่ๆ และต้องขอบคุณที่โมเดสสามารถให้ผมเอาอาวุธมาได้มากกว่าหนึ่งชิ้นขอแค่ผมสามารถเอาชนะพวกเรย์จิได้

     

    “เรย์คุง! รอก่อนนะฉันจะรักษาให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”

     

    โยชิโนะ ซาโฮโกะรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของเรย์จิ ถามจริงเธอไม่เห็นผมที่กำลังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้หรือไงกัน

     

    ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษผมก็ไม่อยากที่จะทำร้ายผู้หญิงมากนักจึงได้ทำการเตะเข้าไปที่ซาโฮโกะที่กำลังวิ่งเข้ามาหายอดรักอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือจนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตรและสลบไป

     

    “อ่อนแอนี่น่ะหรือผู้กล้า”

     

    ผมพูดออกออกมาอย่างดูถูกและแทงหอกใส่เรย์จิที่นอนอยู่บนพื้นอีกครั้งซึ่งแน่นอนว่าใช้หอกสีทองหรือหอกมังกรต้องสาปเพื่อไม่ให้บาดแผลรักษาได้ด้วยโพชัน จะต้องรักษาด้วยเวทย์แห่งแสงเท่านั้น แต่ตอนนี้คนที่สามารถใช้เวทย์รักษาที่ดีที่สุดได้สลบไปแล้วทำให้เรย์จิที่โดนหอกแทงคาไว้แบบนั้นทำได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

     

    “ออกไปจากเรย์จิคุงนะ!!”

     

    เคร๊ง!!

     

    ผมใช้หอกในมือขวาที่เหลือป้องกันการโจมตีของชิโรเนะที่เข้ามาโจมตีใส่ผมด้วยความโกรธหลังจากที่เห็นเรย์จิถูกทำแบบนั้น

     

    ซึ่งอารมณ์ที่ไม่คงที่สำหรับนักดาบนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นักดาบนั้นอ่อนอาลงซึ่งตอนนี้เธอก็เป็นแบบนั้น ความโกรธได้ครอบงำเธอเพราะเห็นคนที่ชอบบาดเจ็บ ผมปัดการโจมตีของชิโรเนะออกและเตะเธอออกไปไกล

     

    แต่ชิโรเนะก็สามารถหมุนตัวลงพื้นได้อย่างดงามและพุ่งเข้ามาหาผมอีกครั้งพร้อมกับการโจมตีจากเวทมนตร์ของจิยูจิและนาโอมิที่ลอบโจมตีจากด้านหลัง

     

    ตู้ม!!

     

    “สำเร็จมั้ย?”

     

    ริโนะพูดออกมาอย่างไม่แน่ใจแต่หลังจากที่กลุ่มควันได้หายไปความมั่นใจที่เคยน้อยอยู่แล้วก็น้อยลงยิ่งกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เธอเห็นก็คือการลอบโจมตีของนาโอมิได้ถูกป้องกันเอาไว้ด้วยโล่ขนาดเล็กที่มีแขนสีม่วงโปร่งแสงถือไว้ ส่วนการโจมตีของจิยูกิที่เห็นเวทมนตร์ก็ถูกโล่ป้องกันเอาไว้เหมือนกัน

     

    ซึ่งโล่ทั้งสองที่ถูกถือเอาไว้ด้วยมือโปร่งแสงหรือมือพลังเวทย์ที่ผมเป็นคนคิดขึ้นมาเองจากภูมิความรู้จากอนิเมะ ซึ่งโล่ทั้งสองมีความสามารถที่ต่างกัน ที่ป้องกันการโจมตีของนาโอมิมีความสามารถในการดูดซักแรงกระแทกจากการโจมตีกายภาพ ส่วนโล่ที่ป้องกันการโจมตีของจิยูกินั้นมีความสามารถแบบเดียวกับหอกคริสตัลจอมตะกละนั้นก็คือดูดกลืนเวทย์และเอามาเพิ่มให้ผู้ใช้

     

    ทำให้ตอนนี้ตัวของผมนั้นได้กลายตัวแทงที่สามารถป้องกันการโจมตีได้ทุกรูปแบบและมีพลังโจมตีที่มาก เรียกง่ายๆว่าตัวบัคนั่นเอง

     

    ผมหมุนตัวตะนาโอมิที่อยู่ใกล้ๆจนสลบและพุ่งเข้าไปหายจิยูกิที่กำลังจะร่ายเวทย์บทต่อไปด้วยความรอดเร็ว แต่ผมก็ถูกชิโรเนะเข้ามาขวางเอาไว้ซะก่อนจึงได้ถอยกลับไปตั้งหลักนั่นก็คือข้างตัวของเรย์จิที่พยายามจะดึงหอกสีทองที่ผมปักคาไว้ออก

     

    ฉึก!!

     

    “อ๊ากก!!”

     

    ผมที่เห็นแบบนั้นก็ได้แทงหอกสีแดงไปที่ขาของเรย์จิทำให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งการกระทำของผมนั้นทำให้สาวๆทั้ง3ที่ยังไม่ได้ถูกจัดการนั้นโกรธยิ่งกว่าเดิม

     

    “ปล่อยรุ่นพี่เรย์จินะเจ้าคนขี้ขลาด!!”

     

    “ในสงครามไม่มีคำพวกนั้นหรอกน่ะ มันมีแค่คำว่าแพ้กับชนะเท่านั้น”

     

    ริโนะที่ได้ยินที่ผมพูดถึงกับพูดไม่ออก แต่ทันใดนั้นเองชิโรเนะที่ยังไม่ยอมแพ้ก็ได้เข้ามาโจมตีใส่ผมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมได้ชักดาบที่มีรูปร้างคล้ายดาบคาตานาออกมาป้องกันเอาไว้

     

    “ออกไปให้ห่างๆจากเรย์จิคุงเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

     

    ผมไม่พูดอะไรแต่ได้ใช้ดาบอีกเล่มหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ป้องกันการโจมตีของชิโรเนะแทงเข้าไปที่ไหล่ขวาที่ยังว่างอยู่ของเรย์จิ

     

    “อ๊ากก!!”

     

    “เรย์จิคุง! หนอยแน่แก!!”

     

    ชิโรเนะกระหน่ำฟันใส่ผมด้วยความโกรธ แต่ทุกการโจมตีของเธอก็ถูกผมสกัดเอาไว้ได้ 

     

    มันก็แน่อยู่แล้วตัวผมที่ได้รับการฝึกฝนจากตาแก่จอมโหดอย่างสม่ำเสมอกับเธอที่ว่างเว้นจากการฝึกเพราะมัวแต่ไล่ตามผู้ชายผลมันก็ออกมาแน่ชัดอยู่แล้ว ขืนผมแพ้ขึ้นมาผมคงได้โดนตาแกจอมโหดนั่นให้ฝึกเพิ่มอีก10เท่าแน่ คิดถึงการฝึกที่ผ่านมาก็เริ่มรู้สึกร้อนที่หลังแล้วแฮะรีบจบดีกว่า

     

    ฉึบ!

     

    “กรี๊ดด!!”

     

    “คุณชิโรเนะ!!”

     

    จิยูกิร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังเมื่อเห็นว่าชิโรเนะนั้นได้พ่ายแพ้แถมยังเป็นการแพ้ด้วยวิชาดาบที่เธอถนัดมากที่สุดอีกด้วย

     

    เธอรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก เรย์จิคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะถูกตรึงอยู่ที่พื้น นาโอมิและชิโรเนะที่สามารถเข้าไปโจมตีในระยะประชิดเพื่อถ่วงเวลาให้เธอใช้เวทมนตร์ก็พลาดท่าไปแล้ว ซาโฮโกะที่สามารถใช้เวทย์รักษาได้ดีที่สุดในกลุ่มก็วสลบไปคนแรก 

     

    เหลือแค่เธอและริโนะเท่านั้น สถานการณ์เข้าขั้นเลวร้ายขั้นสุด เวทมนตร์ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะโล่ที่อยู่ในมือโปร่งใส

     

    “พวกเจ้าเป็นผู้กล้าจริงๆหรือเปล่าทำไมถึงได้อ่อนแอเยี่ยงนี้ หรือพวกเจ้าเป็นพวกแอบอ้างกัน?”

     

    ผมได้พูดใส่ไฟออกไปอีกครั้งแม้ว่าจะมีคนที่ไม่พอใจกับคำที่ผมพูดแต่เมื่อเห็นช่องว่างของพลังแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไร

     

    “คะ-คืนรุ่นพี่มานะ”

     

    “ริโนะ!”

     

    จิยูกิหันขวับไปหาริโนะที่พูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆด้วยความกลัว ในสายตาของผมแล้วการที่เธอทำแบบนั้นก็ไม่ต่างจากลูกแมวที่กำลังพยายามขู่หรอก ไม่มีความน่ากลัวหรือสงสารทั้งนั้นมีแค่ความรู้สึกสมเพชและเวทนาเท่านั้น

     

    ดูเหมือนว่าพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาตลอดจนกระทั่งมาเจอผมที่เป็นกำแพงที่ไม่อาจก้าวข้ามได้เลยทำอะไรไม่เป็น ถ้าไม่ใช่ผมแต่เป็นรันฟิวที่อยู่ตรงนี่พวกนี้คงได้ตายไปนานแล้ว

     

    ผมไม่พูดอะไรและเดินไปหาดาบบลัดมุงก์ที่ปักไว้ที่พื้นซึ่งมันอยู่ห่างจากจุดที่เจ้าเรย์จิอยู่ประมาณ20เมตร

     

    จิยูกิที่เห็นว่าตอนนี้แหละเป็นโอกาสที่ดีที่จะสามารถพาทุกคนหนีออกไปจากที่นี่ได้จึงให้ริโนะช่วยพาทุกคนที่สลบอยู่ไปรวมไว้ที่ข้างๆเรย์จิแต่ในระหว่างที่เธอกำลังจะดึงอาวุธที่ปักคาไว้ออกนั้นผมที่อยู่ห่างไป20เมตรก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเธอพร้อมกับดาบบลัดมุงก์ที่แทงลงไปกลางหลังของเรย์จิ

     

    “อ๊ากก!!”

     

    “อัศวินดำ?!!”

     

    จิยูกินั่นร้องออกมาด้วยความสงสัยและหวาดกลัวทำไมอัศวินดำที่อยู่ห่างตั้งหลายสิบเมตรถึงได้มาอยู่ตรงนี้ ความรวดเร็วนี่มันอะไรกัน

     

    “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

     

    จิยูกิที่ถูกผมถามในระยะใกล้พร้อมกับออร่ากดดันที่ผมปล่อยออกมาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังติดอยู่ที่คอของเธอ

     

    “ทะ-ทำไมต้องทำแบบนี้..”

     

    ริโนะที่เป็นผู้กล้าตายอดกลั้นต่อความหวาดกลัวและถามออกมาด้วยเสียงสั่น ทำไมต้องทรมานรุ่นพี่ของเธอด้วย

     

    “เจ้าถามว่าทำไมงั้นรึ? งั้นข้าของถามกลับบ้างทำไมพวกเจ้าถึงสังหารปีศาจ?”

     

    “นะ-นั่นก็เป็นเพราะปะ-ปีศาจทำร้ายมะ-มนุษย์มะ-ไม่ใช่หรือไง?!”

     

    ริโนะตอบออกมาด้วยความมั่นใจแม้ว่าเธอนั้นจะพูดเสียงสั่นเพราะความหวาดกลัวต่อตัวของผม

     

    “นั่นเป็นคำตอบที่สมองของเจ้าสามารถคิดได้สินะ”

     

    ทั้งๆที่มนุษย์เป็นฝ่ายมาบุกก่อนแท้ๆแต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียหายช่างน่ารังเกียจ

     

    แต่ผมจะฆ่าพวกเธอตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะถ้าฆ่าตอนนี้ผมก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเนื้อเรื่องนั้นไปถึงตอนไหนแล้ว แค่การที่ผมมากระทืบพวกนี้แบบนี้ก็ต่างจากนิยายต้นฉบับมากพอแล้ว

     

    “อ๊ากก!!”

     

    เรย์จิร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะผมได้ดึงอาวุธทุกชิ้นที่ปักคาอยู่บนร่างกายของเขาออกอย่างช้าๆ ทำให้เขาที่กำลังจะหมดสติเพราะอาการเสียเลือดมากเกินไปต้องตาสว่างเพราะความเจ็บปวดที่มากเกินบรรยาย

     

    “เห็นแก่ความใจกล้าของพวกเจ้าครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิต แต่แค่ครั้งนี้ครั้งหน้าที่พวกเราเผชิญหน้ากันจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง”

     

    ผมพูดพร้อมกับปล่อยแรงกดดันอัดหน้าของพวกจิยูกิจังๆจนเธอแทบจะหมดสติ ก่อนที่ผมจะหันหลังและเดินออกไปยืนดูอยู่ห่างๆ

     

    “ไม่กลับหรือไงหรืออยากที่จะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของผมจิยูกิที่เหมือนจะสติหลุดลอยก็สติกลับมาและรีบร่ายคาถาเพื่อวาร์ปตัวเธอและคนอื่นๆกลับไปที่เมือง

     

    “อดทนไว้นะเรย์จิคุงกลับไปถึงเมืองแล้วจะรีบรักษาให้เดี๋ยวนี้แหละ”

     

    จิยูกิพูดออกมาด้วยความลนลานเมื่อเห็นว่าหน้าเรย์จินั้นเริ่มซีดเซียวเพราะเสียเลือดมากเกินไป และเธอยังรู้สึกระแวงตัวของผมที่กำลังยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล

     

    “ระลึกไว้ด้วยว่าครั้งนี้พวกเจ้ารอดชีวิตเป็นเพราะใคร”

     

    นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดก่อนที่พวกนั้นจะถูกวาร์ปไปด้วยเวทมนตร์ของจิยูกิ เมื่อไม่มีอะไรให้ทำแล้วผมก็กำลังที่จะเดินกลับเข้าไปในปราสาทแต่ก็ต้องหยุกชงักเมื่อนึกถึงทุกคำพูดที่ตัวเองพูดออกไป

     

    “แม่งโคตรเบียวเลย! อ๊ากก!!”

     

    บอกได้คำเดียวเลยว่าตอนนี้ผมนั้นอายมาก ถ้าคนที่โลกเดิมของผมรู้ว่าผมพูดอะไรออกไปคงโดนล้อยันลูกบวชแน่ 

     

    ผ่านไปซักพักผมก็กลับมาเป็นปกติก่อนที่ใบหน้าของผมจะบิดเบี้ยวเมื่อคิดถึงภาพที่สาวๆแสดงท่าทีเป็นห่วงเจ้าเรย์จิ ผมเองก็อยากที่จะมีโมเม้นแบบนั้นบ้าง

     

    “อิจฉาโว้ยยย!!”

     

    +++

    ตอนที่กำลังเเต่งช่วงผู้กล้าไรต์ยอมรับเลยว่าเกือบหลับไปต้องหลายรอบ เอาเถอะยังไงผู้กล้าของเรื่องนี้ก็เกิดมาเพื่อเป็นกระสอบทรายให้พระเอกอยู่เเล้ว

     

    เเละก็ขอเเจ้งเวลาที่จะลงตอนใหม่ก็คือทุกวันวันเสาร์เเละวันอาทิตย์(ก็บอกอยู่ว่าอาจจะลงสัปดาห์ละตอน)อาจจะมีวันที่ไม่ได้ลงบ้างเพราะความขี้เกียจเเละงานของมหาลัย ถ้าจะหายไปเพราะงานของมหาลัยไรต์ก็จะเเจ้งให้ทราบกัน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×