NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Tale of dark knight summoned to defeat the hero] บทละครอัศวินดำ

    ลำดับตอนที่ #3 : กำเนิดอัศวินดำ

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 67


     

    ตอนที่ 1 – กำเนิดอัศวินดำ

     

    “3เดือนแล้วสินะ”

     

    คำพูดของชายรูปงามหน้าตาหล่อเหลาพร้อมกับเส้นผมสีดำเป็นประกายดังขึ้น ใช่ผู้ชายคนนั้นก็คือผมเองคาโดยะ สึคาสะ ไม่สิตอนนี้ต้องเป็นยูคิซากิ คุโรกิ

     

    หลังจากที่ผมได้โดนเจ้ารถบรรทุกที่เหมือนกับหลุดมาจากหนังแนวหุ่นยนต์เรื่องหนึ่งที่ดีแค่3ภาคต่อยจนตาย น่าจะตายแหละเพราะหลังจากที่โดนต่อยภาพทุกอย่างมันก็ดับลงไปเลยนี่นะ

     

    หลังจากนั้นผมก็ได้ลืมตาขึ้นมาอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่ายูคิซากิ คุโรกิ ซึ่งความจำแรกที่ผมยังจำได้ดีเลยก็คือความรู้สึกการที่มีอะไรบางอย่างกำลังรัดคอ

     

    ทำเอาผมแทบจะขาดอากาศหายใจ เเละเกือบที่จะตายอีกรอบในเวลาไม่ถึงสองนาที โชคดีที่เชือกที่กำลังรัดคอของผมขาดซะก่อนไม่อย่างนั้นผมคงได้ลาโลกเป็นครั้งที่สองในเวลาไล่เลี่ยกับครั้งแรกแน่

     

    ซึ่งหลังจากที่พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในร่างของคนอื่นก็คงจะสติแตกกันใช่มั้ยล่ะ ใช่ผมก็คือหนึ่งในนั้น หลังจากที่ผมรู้ว่าผมได้มาอยู่ในร่างของใครที่ไหนก็ไม่รู้แถมยังเข้ามาอยู่ในรูปแบบการสิงร่างของคนตายด้วย

     

    น่าจะตายแหละเพราะใช้เชือกผูกคอขนาดนั้นโชคดีที่เชือกขาดไม่อย่างงั้นผมคงจะไปด้วยอีกคน เเละโชคดีอีกที่คอไม่หักตายเเต่เป็นขาดอากาศหายใจไม่อย่างนั้นถึงเชือกจะขากผมก็ตายอยู่ดี

     

    หลังจากที่ผมได้ทำใจซักพักก็เริ่มออกหาข้อมูลว่าผมได้มาอยู่ในร่างของใครกันแน่แล้วที่นี่คือที่ไหน ซึ่งตามปกติของคนที่ได้เกิดใหม่จากการถูกรถบรรทุกชนก็จะไปต่างโลกกันใช่มั้ยล่ะ แต่เสียใจด้วยที่ผมได้เกิดใหม่ที่โลกเดิมแถมยังเป็นประเทศเดิมด้วย

     

    นั่นแหละหลังจากที่ผมรู้ว่าตัวเองได้เกิดใหม่ที่โลกเดิมแถมยังเป็นประเทศเดิมอีกทำให้ผมอยากที่จะตะโกนออกมาดังๆเลยว่า เพื่อ!!!

     

    ถ้าจะให้มาเกิดใหม่แบบนี้ให้ผมอยู่แบบสงบสุขเหมือนเดิมดีกว่า

     

    นั่นแหละคือเรื่องราวทั้งหมดของผมหลังจากที่ได้เกิดใหม่ แต่ยังไงตอนนี้ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงจะเป็นร่างกายของคนอื่นก็เถอะแต่ก็ขอใช้ชีวิตให้คุ้ม

     

    ผมได้เริ่มค้นของทุกอย่างภายในห้องพักของเจ้าของร่างคนเดิมและพบว่าเจ้าของร่างคนเดิมชื่อยูคิซากิ คุโรกิอาศัยอยู่คนเดียวเพราะพ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สามารถอยู่ได้ด้วยเงินประกันของพ่อแม่ก่อนจะย้ายออกมาอาศัยอยู่ในห้องพักคนเดียว 

     

    ซึ่งข้อมูลพวกนี้คือทั้งหมดที่ผมสามารถหาได้เพราะเด็กคนนี้ไม่ได้เขียนพวกบรรทึกประจำวันหรือไดแอรี่เทือกนั้นทำให้ข้อมูลที่ได้มีแค่นี้

     

    แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผมแค่การใช้ชีวิตเป็นคนอื่นมันจะยากอะไร เพราะยังไงผมก็ยังมีความทรงจำบางส่วนของเจ้าของร่างคนก่อนอยู่

    .

    .

    .

    โอเคขอเปลี่ยนคำพูดที่ว่าไม่ยาก แม่มโคตรยากเลยเจ้าของร่างคนเก่ามันทำไปได้ยังไงว่ะ!

     

    ช่วงนี้เป้นช่วงปิดเทอมเตรียมขึ้นม.ปลายทำให้ไม่ได้ไปโรงเรียนแต่ความทรงจำที่มีทำให้ผมต้องไปทำตามที่เจ้าของร่างคนก่อนทำเอาไว้เพื่อไม่ให้คนใกล้ตัวสงสัย

     

    ซึ่งสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันก็มีดังนี้ ตื่นแต่เช้ามืดออกไปวิ่งพอแดดเริ่มออกก็กลับมาทำอาหารและอาบน้ำและใช้เวลาส่วนตัวไปจนถึงเที่ยงและทำอาหารกินเองอีกครั้ง

     

    ช่วงบ่ายไปที่โรงฝึกเคนโด้ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าของร่างคนก่อนคิดอะไรถึงมาสมัครที่โรงฝึกนี้เพราะมันฝึกโคตรหนักเลย ยิ่งตาแกนั่นไม่รู้ว่าจะโหดไปไหนฟาดผมซะอ่วมเลย ถ้าไม่ใช่เพราะมีความทรงจำและร่างกายคุ้นชินผมคงโดนหนักกว่านี้

     

    ซึ่งนั่นเป็นแค่สิ่งที่ต้องทำช่วงบ่ายนะเพราะตกดึกก็ต้องทำอาหารกินเองและออกไปทำงานพิเศษ พ่อคุณ~จะขยันไปไหนที่กะจะไม่ให้พักเลยหรือไง

     

    ซึ่งงานพิเศษก็เป็นแค่พนักงานทำความสะอาดในร้านอาหารที่ทำตั้งแต่เวลา19.00-21.00 ก็เป็นงานที่เหมาะสำหรับเด็กม.ต้นนั่นแหละ

     

    หลังจากกลับมาถึงห้องพักบอกตามตรงว่าผมปวดร่างกายมากจนแทบจะขยับไปอาบน้ำไม่ได้เลย แต่ทำยังไงได้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบให้ร่างกายของตัวเองสกปรกหนิก็ต้องฝืนทน

     

    ซึ่งแต่ละวันของผมก็วนอยู่แบบนี้เช้าไปวิ่ง บ่ายฝึกเคนโด้ และช่วงเย็นก็ทำงานพิเศษ จนเวลาได้ร่วงเลยไป1เดือนที่ผมได้มาอยู่ในร่างนี้ ทำให้ตอนนี้ผมเริ่มที่จะชินกับวังวนชีวิตพวกนี้แล้ว

     

    และหลังจากผ่านไป1เดือนความทรงจำของร่างนี้ที่ขาดหายไปก็กลับมาทั้งหมดทำให้ผมได้รู้ความจริงว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

     

    ตอนนี้ผมได้มาอยู่ในร่างของพระเอกในนิยายเรื่อง tale of dark knight summoned to defeat the hero หรือเรียกสั้นๆว่า อัศวินดำ 

     

    มันเป็นนิยายที่ผมเคยอ่านเมื่อประมาณ3ปีก่อนช่วงที่ผมอยู่ม.ต้น ทำให้เนื้อหาบางส่วนในนั้นผมก็จำไม่ได้แล้ว แถมตอนที่ผมอ่านนิยายเรื่องนั้นก็ยังไม่จบซะด้วย

     

    ถ้าถามว่าผมแน่ใจได้ยังไงว่าตัวเองได้มาเกิดใหม่ในนิยายเพราะในความทรงจำเพื่อนสมัยเด็กของร่างนี้มีชื่อว่าอาคามิโนะ ชิโรเนะ ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่วันหนึ่งผมบังเอิญไปเจอชิโรเนะเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าของร่างคนก่อนกำลังพูดคุยอยู่กับเจ้าหน้าหล่อหัวทองหรือมิโด เรย์จิ อนาคตผู้กล้าหรือลูกรักลูกชังของนักอ่านหลายๆคน

     

    ซึ่งหลังจากที่ผมได้เห็นภาพที่ชิโรเนะกำลังพูดคุยกับเรย์จิด้วยลอยยิ้มมันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บที่หน้าอกแปลกๆทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์อะไรกับเธอแท้ๆ

     

    ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความรู้สึกของคุโรกิคนเก่าที่ยังอาลัยอาวรณ์กับชิโรเนะอยู่ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกสงสัยขึ้นมาอีกอย่างว่าทำไมเจ้าคุโรกิคนเก่าถึงได้ตัดสินใจคิดสั้นแล้วฆ่าตัวตาย เพราะไม่ว่าผมจะพยายามหาความทรงจำส่วนนั้นมันกลับว่างเปล่าเหมือนถูกลบออกไป

     

    ซึ่งถ้าถามว่าหลังจากที่รู้ว่าตัวเองได้มาเกิดในนิยายนั้นตกใจมั้ย ก็ต้องขอยอมรับตามจริงว่าตกใจมาก แต่ก็ตกใจแค่แป๊ปเดียวเพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็รอดได้มาอยู่ในร่างของพระเอกทั้งทีคงจะมีดีอะไรอยู่บ้าง

     

    ซึ่งมันก็เกิดความคาดหมายของผมไปมากเพราะร่างกายที่ผมอยู่ในตอนนี้มันบ้ามาก การฟื้นฟูที่เร็วกว่าคนปกติ สามารถเรียนรู้หรือขยับร่างกายตามในสิ่งที่ตัวเองเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

     

    ทั้งๆที่มีพรสวรรค์มากขนาดนี้ทำไมเจ้าคุโรกิคนเก่าถึงได้คิดสั้นแบบนี้นะ ผู้หญิงไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลกซักหน่อยแค่ลองเปิดใจให้คนอื่นบ้างเดี๋ยวความสุขก็จะมาหาเอง

     

    ไม่ต้องห่วงหลังจากนี้เดียวผมจะดูแลร่างกายของนายเป็นอย่างดีเลย

     

    ผ่านไป3เดือนถึงเวลาเปิดภาคเรียนซึ่งผมก็เรียนอยู่โรงเรียนที่เจ้าที่คุโรกิคนเก่าสอบเข้าไว้ซึ่งมันก็เป็นโรงเรียนเดียวกันกับชิโรเนะนั่นแหละอะไรจะยึดติดขนาดนั้น

     

    แต่หลังจากที่ผมได้พบกับเธอครั้งล่าสุดเมื่อ2เดือนที่แล้วผมก็ยังไม่เห็นเธอเลยอีกซักครั้งเดียว แถมเธอยังไม่ได้มาโรงเรียนด้วยดูเหมือนว่าเนื้อเรื่องจะเดินมาถึงช่วงที่พวกเรย์จิถูกอัญเชิญไปเป็นผู้กล้าแล้วสินะ 

     

    ซึ่งการหายไปของพวกนั้นก็ทำให้ทางครอบครัวเป็นห่วงและออกตามหากันยกใหญ่จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหลายสัปดาห์แล้วทำให้พวกเขาเริ่มที่จะหมดหวังที่จะตามหาแล้ว

     

    เพราะตามเนื้อเริ่มคิโรกินั้นได้ถูกอัญเชิญไปหลังจากที่พวกนั้นไปต่างโลกซักระยะแล้ว ซึ่งก็คงอีกไม่นานหรอกก่อนที่ผมจะถูกอัญเชิญไป

     

    ระหว่างนั้นผมก็ได้ฟาร์มอย่างเต็มที่ ผมได้ลาออกจากงานพิเศษเพื่อที่จะเพิ่มเวลาให้กับการฝึกซ้อมของตัวเอง 

     

    เช้าถึงเย็นไปโรงเรียนตามปกติ ส่วนช่วงเย็นนั้นผมได้ทุมเวลาให้กับการฝึกร่างกายและศิลปะการใช้อาวุธทุกรูปแบบเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นต่างจากในนิยาย

     

    ส่วนวันหยุดนั้นผมก็ไปฝึกเคนโดที่โรงฝึกของชิโรเนะกับตาแก่จอมโหดเหมือนเดิม และช่วงเย็นก็ฝึกร่างกายและอาวุธอีกครั้ง 

     

    จนตอนนี้ผมมีร่างกายที่เหนือกว่าเด็กม.ปลายปี1ทั่วไปมากๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูงที่สูงถึง187เซนติเมตร กล้ามเนื้อที่เหมือนกับพวกนักกีฬาที่ทุกสวนสามารถใช้งานได้จริงไม่ใช่เพื่อความสวยงามหรือประกวด

     

    ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของผมก็ทำให้อาจารย์เคนโด้ของผมหรือตาแก่โจมโหดนั้นแปลกใจถึงกับถามเลยว่าไปทำอะไรมาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

     

    ซึ่งผมก็ตอบตามจริงเพราะยังไงซะอีกไม่นานผมก็จะไม่ได้อยู่ที่โลกนี้อยู่แล้ว ซึ่งการบอกความจริงมันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่ตาแก่นั้นรู้ว่าผมแอบซุ่มฝึกก็ได้เพิ่มความโหดของการฝึกขึ้นอีก5เท่าทำเอาผมเกือบตายคาโรงฝึกเลยล่ะถ้าไม่ใช่เพราะกระดูกหลังของตาแก่นั้นเดาะซะก่อนผมคงได้ตายจริงๆแน่

     

    เอาล่ะเล่าความหลังไปซะนานตอนนี้กลับมาที่ปัจจุบันกันดีกว่า หลังจากที่ผมได้มีรูปร่างแบบหุ่นนักกีฬาบวกกับหน้าตาที่จัดได้ว่าดีทำให้ผมนั้นเนื้อหอมเป็นอย่างมาก บวกกับที่ผมได้เลียนแบบนิสัยของตัวละครตัวหนึ่งในอนิมะเพราะความเบียวในวัยเด็กจนทำให้ติดเป็นนิสัย ทำให้เมื่อเห็นใครเดือดร้อนผมก็มักที่จะเข้าไปช่วยเสมอจนบางทีร่างกายก็ขยับไปเองเมื่อได้ยินเสียงร้องของคนเดือดร้อน

     

    อยากจะบ้าตาย

     

    ซึ่งผมก็ได้พยายามแก้นิสัยชอบเข้าไปช่วยทุกคนที่เดือดร้อนอยู่หลายครั้งแต่ดูเหมือนว่ามันจะฝังรากลึกลงไปจนเป็นสันดานซะแล้ว ทำให้ผมก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

     

    “เอาไว้ตรงนี้สินะ”

     

    “ใช่จ่ะ ขอบคุณมากคุโรกิคุง”

     

    “ไม่เป็นไร”

     

    ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มและเดินจากไป โดยที่มีเสียงของผู้หญิงพูดคุยกันอย่างออกรดเกี่ยวกับรอยยิ้มของผม ซึ่งผมก็เริ่มที่จะชินกับมันแล้ว

     

    ผมเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆก่อนที่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งเดิมมาดักหน้าของเขาไว้ เธอเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าที่สวยงาม เส้นผมสีดำเป็นประกายแล้วดวงตาสีแดงที่ส่องแสงเมื่อต้องแสงอาทิตย์ราวกับอัญมณี

     

    “วันนี้ไม่ไปที่ชมรมงั้นหรอคุโรกิคุง”

     

    “ไม่ล่ะวันนี้มีธุระนิดหน่อยน่ะ ฝากเธอด้วยก็แล้วกันชิโนมิยะ”

     

    เอาจริงๆผมก็แค่ขี้เกียจแหละแต่จะบอกออกไปตรงๆก็ไม่ได้ ซึ่งชมรมที่ผมอยู่ก็เป็นชมรมยิงธนูเหมือนกับตอนโลกเก่า 

     

    ทำไงได้ล่ะก็ในเมื่อคนมันชอบไปแล้ว ไม่ได้อยากโม้นะแต่ในโลกเดิมผมเคยเป็นตัวแทนระดับประเทศด้วยนะขอบอก

     

    “งั้นหรอน่าเสียดายจังคิดว่าจะได้แข่งกับคุณอีกแท้ๆ”

     

    “ฮ่าๆ ไม่ครั้งหน้าก็แล้วกัน ไปก่อนนะ”

     

    ผมโบกมือลาชิโนมิยะและเดินออกจากโรงเรียน พูดถึงการแข่งระหว่างผมกับชิโนมิยะซึ่งพวกเราแข่งกันมาตั้งแต่เข้าชมรมจนถึงตอนนี้ ผลการแข่งก็คือไม่มีใครชนะ เพราะไม่ว่าผมหรือชิโนมิยะจะยิงกี่ครั้งก็เข้ากลางเป้าตลอดเรียกง่ายๆว่าไม่เคยพลาด

     

    ซึ่งตอนแรกที่ผมเห็นแบบนั้นยอมรับเลยว่าอึ้ง ไม่คิดว่าผู้หญิงที่ใช้ธนูน้ำหนักของผู้ชายจะทำได้ขนาดนั้น ทำเอาตอนนั้นผมเครื่องติดเลยทีเดียว

     

    “เอาล่ะมาพยายามอีกวันเพื่ออนาคต”

     

    เมื่อกลับถึงหอพักผมก็ทำเหมือนที่เคยทำทุกวัน หลังจากที่ถอดเสื้อออกเพราะไม่อยากให้กลิ่นของเหงื่อติดเสื้อผมก็ได้เริ่มวอร์มร่างกายซึ่งท่าแรกก็คือท่าหกสูง

     

    “1..2..3...”

     

    ผมทำอย่างไม่รีบร้อนเพราะมันเป็นแค่ท่าวอร์มเพื่อเตรียมความพร้อมให้ร่างกายเท่านั้น แต่ทันใดนั้นเองก็ได้มีแสงสว่างสีม่วงปรากฎขึ้นใต้ร่างของผมให้ให้ผมหลับตาลงเพราะแสงที่สว่างมากเกินไป

     

    เมื่อลืมตาขึ้นผมก็พบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในห้องโถงที่รอบข้างเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิดที่สามารถยืนสองขาได้ ดูเหมือนว่าผมจะถูกอัญเชิญแล้วสินะช้ากว่าพวกชิโรเนะ2สัปดาห์สินะเร็วกว่าที่คิด

     

    ผมเลิกทำท่าหกสูงและมองไปรอบๆอย่างใจเย็นเพราะรู้ว่าไม่มีใครมาทำอันตราย และผมก็ไม่คิดว่าพวกเขาสามารถทำอะไรผมได้เพราะคำสั่งของคนที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่นั้น

     

    “สวัสดี”

     

    ผมกล่าวคำทักทายออกไปสั้นๆพอเป็นพิธี 

     

    “ในที่สุดเขาก็มาถึงแล้ว! ผู้กอบกู้ของพวกเรา”

     

    เสียงของคนๆหนึ่งดังขึ้นจากมุมทแยงของผม ซึ่งคนที่พูดก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นมอนสเตอร์ร่างใหญ่ที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ ที่มีรูปร่างคล้ายกับหมูตัวใหญ่มีสองขา มีเขี้ยวที่ด้านล่างของปากและมีเขาขนาดใหญ่อยู่ที่กลางหัว จมูกของมันพุ่มลมหายใจออกมาเป็นเปลวเพลิงสีดำ 

     

    มอนสเตอร์ตัวนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทและกำลังเดินลงมาจากบัลลังก์เข้ามาใกล้ผมเรื่อยโดยไม่ปกปิดจิตอันรุนแรง ก่อนที่จะมาหยุดตรงหน้าของผมและก้มหัวให้

     

    “ชื่อของเราคือโมเดส ผู้ที่ถูกเรียกว่าราชาปีศาจและดินแดนที่เราปกครองนี้ถูกเรียกว่านากอล ท่าผู้กอบกู้แห่งเราโปรดเอ่ยนามของท่านได้รึไม่?”

     

    โมเดสได้พูดกับผมด้วยความนอบน้อมและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆทำให้ผมต้องพยายามถอยหนี

     

    “ยาคิซากิ คุโรกิครับ”

     

    “โอ้ ท่านคุโรกิงั้นหรอครับ ได้โปรดเถอะครับท่านคุโรกิได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

     

    โมเดสก้มหัวให้ผมอีกครั้งซึ่งผมก็รู้จากการอ่านนิยายมาแล้วแต่พอมาเจอกับตัวเองแบบนี้แล้วรู้สึกแย่แปลก การที่ถูกคนอื่นมาก้มหัวให้แบบนี้เนี่ย

     

    “เงยหน้าขึ้นเถอะครับ ก่อนอื่นช่วยหาอะไรมาให้ผมใส่ก่อนได้หรือเปล่าแล้วค่อยคุยกัน คือตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกหนาวแล้ว”

     

    ผมลูบไปที่แขนของตัวเองอย่างสั่นๆเพราะที่นากอลอากาศโคตรหนาวยิ่งตอนนี้ผมไม่ได้สวมเสื้อด้วย

     

    “จริงด้วยเราต้องขออภัย ทหารไปหาเสื้อชั้นดีมาให้ท่านคุโรกิสวมซะ! ส่วนท่านได้โปรดตามข้ามาทางนี้”

     

    ผมเดินตามโมเดสไปนั่งที่โต๊ะและรับเสื้อที่ทำจากขนมอนสเตอร์ชั้นดีมาสวมซึ่งมันอุ่นมากๆ

     

    “ความจริงคือตอนนี้นากอลของพวกเรากำลังถูกรุนรานอยู่ครับ”

     

    “ขอเดานะว่ามนุษย์ใช่มั้ยที่รุกรานน่ะ”

     

    “ใช่ครับ ท่านรู้ได้ยังไง?”

     

    ก็นะอ่านนิยายมาก็คงจะไม่รู้แหละ เอาเป็นว่าตอนนี้ตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน

     

    “แค่เดาน่ะ แต่พวกนายก็ดูแข็งแกร่งกันทั้งนั้นหนิทำไมถึงถูกรุกรานได้ล่ะ?”

     

    “เป็นเพราะฝ่ายนั้นได้อัญเชิญผู้กล้าจากต่างโลกมาด้วยฝีมือของเทพธิดาเรน่าแห่งดินแดนเอลีอัส เธอไม่สบอารมณ์เราถึงขนาดไล่ข้ามาจากดินแดนแห่งเอลีอัส ยังไม่พอเธอยังต้องการทรัพย์สมบัติของข้าอีก”

     

    ผมทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ถึงจะรู้ว่าทำไมเทพธิดาเรน่านั้นถึงได้โกรธโมเดสนัก แต่ที่ผมอยากรู้จริงก็คือที่โลกนี้เอาอะไรมาวัดเกณฑ์การเป็นเทพธิดากันเพราะดูจากนิสัยของเรน่าแล้วน่าจะเป็นที่เลื่องลือในหมู่เทพธิดาแต่เธอยังไม่ถูกขับไล่ออกมา คงเป็นเพราะเส้นสายมั้ง?

     

    โมเดสพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย จากนั้นรอยยิ้มอันน่าขนลุกก็ปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าของเขา 

     

    “เราจึงอยากให้ท่านคุโรกิต่อสู้แล้วจัดการกับพวกผู้กล้าให้ครับ”

     

    “รู้หรือเปล่าว่าที่คุณพึ่งพูดมามันเป็นการโยนปัญหาให้คนอื่นน่ะ”

     

    “ข้ารู้ครับ แต่ว่าข้าไม่มีทางเลือก”

     

    โมเดสแสงสีหน้าที่เศร้าสร้อยออกมา เอาจริงๆผมสามารถปฏิเสธคำขอของโมเดสได้น่ะถ้าไม่ติดที่ว่าผมก็เป็นหนึ่งในนักอ่านที่เป็นพ่อชังของเจ้าเรย์จิ

     

    ในเมื่อมีโอกาสที่จะแก้ไขส่วนที่รู้สึกขัดใจในนิยายด้วยตัวเองมีหรือที่ผมจะไม่ทำ

     

    “ก็ได้ผมยอมรับคำขอ แล้วผู้กล้าที่ว่านั่นมีหน้าตาเป็นยังไงล่ะ”

     

    “ขอบพระคุณมากครับท่านคุโรกิ เดี๋ยวข้าจะให้ท่านดูว่าผู้กล้ามีหน้าตาเป็นยังไง โมน่า!!”

     

    สิ้นเสียงเรียกของโมเดสก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเดิมออกมาจากดงมอนสเตอร์ ถึงผมจะเคยจินตนาการตอนที่ได้อ่านคำอธิบายรูปร่างหน้าของของเธอจากนิยายมากแล้วก็เถอะ

     

    โมเดสแกมันน่าอิจฉา!!!

     

    “คิดว่ายังไงท่าคุโรกิ เธอสวยใช่มั้ย ชื่อของเธอคือโมน่า เธอเป็นภรรยาของข้าเอง โมน่าทักทายท่านคุโรกิหน่อยสิ”

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะท่านคุโรกิ ดิฉันชื่อโมน่า จากนี้ไปขอฝากตัวด้วยค่ะ”

     

    “ครับของฝากตัวด้วยครับ”

     

    ผมตอบรับด้วยความสุภาพ ก็นะดอกไม้งามก็ต้องทะนุถนอมมันเป็นเรื่องธรรมดา 

     

    ซึ่งผมของยอมรับตามตรงว่าผมตกหลุมรักโมน่าแต่ในเมื่อเธอมีเจ้าของแล้วผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง

     

    “โมน่าช่วยให้ท่าคุโรกิดูโฉมหน้าของพวกผู้กล้าด้วยเวทมนตร์ของเจ้าหน่อยสิ”

     

    “ได้เลยค่ะที่รัก”

     

    โมน่าพึมพำอะไรบางอย่างออกมาและกางมืออกทั้งสองข้าง ด้านหน้าปรากฎหน้าจอที่มีภาพขึ้นบนอากาศ 

     

    ในภาพที่แสดงอยู่นั้นมีมอนสเตอร์จำนวนมหาศาลกำลังวิ่งเข้าไปโจมตีมนุษย์ที่มีเพียงไม่กี่คน

     

     ซึ่งมนุษย์กลุ่มนั้นดูจากอายุแล้วไม่น่าจะเกิน20 ในกลุ่มของพวกเขาประกอบไปด้วยผู้ชายหนึ่งคนที่ถูกรายล้อมไปด้วยสาวๆอีก5คน

     

    ชายคนนั้นกำลังกวัดแกว่งดาบที่ส่องแสงสังหารพวกมอนสเตอร์ ราวกับอัศวินที่หลุดออกมาจากจินตนาการ ซึ่งสาวๆรอบตัวของผู้ชายคนนั้นก็ดูแฟนตาซีเหมือนกัน 

     

    คนหนึ่งเหมือนนักดาบ คนหนึ่งก็เหมือนกับนักเวท และยังมีนินจาอีก นี่มันปาร์ตี้ที่โคตรจะไม่สมดุล ตัวแท้งล่ะหายไปไหน?!!

     

    “ท่านคุโรกิ ชายผู้ที่อยู่ท่ามกลางหญิงสาวเหล่านั้นคือผู้กล้า มีชื่อว่าเรย์จิครับ หืม? ท่านคุโรกิ?”

     

    “มีความสุขน่าดูเลยนะเอ็งน่ะ”

     

    ทั้งๆที่ทำให้คนที่อยู่ฝั่งนู้นเป็นห่วงและตามหาตัวกันให้ควัก แต่ตัวเองกลับมามีความสุขดีที่ต่างโลกกับฮาเร็มสาวๆ แม่ม...

     

    อิจฉาเว้ย!!!

     

    “ท่านคุโรกิท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

     

    “ผมไม่เป็นอะไรพูดต่อเถอะ”

     

    “ครับ ข้าขอเล่าต่อเลยก็แล้วกันพวกผู้กล้าปรากฎตัวขึ้นที่นี่เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน”

     

    โมเดสเริ่มอธิบาย ถึงแม้ว่าผมจะพอรู้มาคร่าวแล้วแต่เพราะอ่านครั้งล่าสุดก็3ปีที่แล้วมันก็มีลืมกับบ้าง ฟังไว้เป็นข้อมูลก็ไม่เสียหายอะไร

     

    “จู่ๆพวกเขามาก็เริ่มรุกรานดินแดนนากอลของพวกเรา แต่กองทัพของเทพธิดาก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้สบายๆ ข้าได้ส่งลูกสมุนและสัตว์อัญเชิญที่แข็งแกร่งไปรับมือ แต่ตอนนี้เหมือนกับยืนอยู่บนคนดาบ จนกระทั่งเมื่อ5วันก่อนพวกเขาสามารถเอาชนะลูกน้องที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าอัศวินแห่งความมืดลงได้ ขืนเป็นแบบนี้อีกไม่นานพวกเขาจะต้องมาถึงปราสาทแห่งนี้ในวันพรุ่งนี้แน่ครับ”

     

    โมเดสพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด

     

    “หลังจากที่ข้าลองสืบดูก็รู้มาว่าพวกเขาถูกอัญเชิญมาจากต่างโลกเพื่อมาปราบข้า ดังนั้นข้าจึงอัญเชิญคนจากต่างโลกมาเพื่อปราบผู้กล้าครับ”

     

    โมเดสจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

     

    “ซึ่งคนๆนั้นก็คือท่านครับ ท่านคุโรกิ!!”

     

    “สรุปคือต้องการให้ผมออกไปสู้กับผู้กล้าเหมือนกับว่าเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่จะมาถึงปราสาทหลังนี้สินะ”

     

    “ประมาณนั้นครับ”

     

    โมเดสพูดออกมาด้วยน้ำเสียอันแผ่วเบา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องมาขอร้องให้คนที่พึ่งเจอกับแบบผมช่วย

     

    “เห้อ~ ก็ได้ครับ”

     

    ผมตอบรับคำของของโมเดส ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นคนดีหรืออะไรหรอกนะแค่รู้สึกว่าผมปฏิเสธมันจะเป็นตราบาปที่ติดตัวไปตลอดชีวิต

     

    ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือผมอยากไปกระทืบเจ้าพวกนั้น แต่ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรอกนะเพื่อตัวคุโรกิต่างห่าง จริงๆนะ

     

    “รอก่อนครับฝ่าบาท!!!”

     

    ทันใดนั้นเองก็มีคนบางคนตะโกนขึ้นมาและกำลังเดินฝ่าฝูงชนเหล่ามอนสเตอร์ออกมา

     

    เขามีผิวสีคล้ำและมีผมสีทองคล้ายกับพวกแยงกี้ที่ชอบแต่งคอสเพลย์ แต่ที่บนหัวของผู้ชายคนนั้นมีเขาอยู่

     

    "โอ”นั่นมันลอร์ดรันฟิว! บาดแผลที่ได้รับจาพวกผู้กล้าไม่เป็นไรแล้วรึ?”

     

    ชายที่ชื่อริวฟันก้มหัวลงเมื่อได้รับคำทักทายจากโมเดส

     

    “ขอขอบคุณในความเป็นห่วงพะยะค่ะ แต่ฝ่าบาทไม่จำเป็นที่จะต้องยืมพลังจากเจ้าคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนี้หรอกครับ เพราะจนถึงตอนนี้พวกเราเองก็พ่ายแพ้เพียงแค่ครั้งเดียว ข้าในฐานะอัศวินดำนั้นจะพยายามให้มากขึ้น ได้โปรดสั่งข้าดีกว่าครับ”

     

    ชายที่ชื่อรันฟิวบอกกับโมเดสก่อนที่เขาจะมองมาที่ผมที่นั่งอยู่ถัดจากโมเดส

     

    “อีกอย่าง... ข้ามาคิดว่าชายคนนี้จะสามารถเอาชนะผู้กล้าได้ครับ”

     

    ก็นะให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาทำหน้าที่ที่สำคัญแบบนี้ก็คงจะเกิดความสงสัยกันทั้งนั้นแหละ อีกเดี๋ยวคงจะมีการปะทะกันเกิดขึ้นผมคงต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ซะแล้วสิ 

     

    เพราะการข้ามโลกทำให้ร่างกายของผมแข็งแกร่งขึ้นมาหลายเท่า ทำให้ผมไม่มีความรู้สึกที่ว่าตัวเองจะแพ้ให้กับคนที่ชื่อว่าฟันริวเลยแม้แต่น้อย

     

    “ขอข้าดูพลังหน่อยเถอะ!!”

     

    พูดจบเขาก็ชักดาบที่เอวออกจะฟันผม ซึ่งแน่นอนว่าผมสามารถรับดาบของเขาเอาไว้ได้ด้วยท่าฝ่ามือประกบดาบก่อนที่จะใช้เท้าถีบให้เขากระเด็นออกไปไกล

     

    “อุ๊กกก!!”

     

    รันฟิวเอามือพยุงตัวเพื่อลุกขึ้นจากพื้นเพราะความจุกจากการถูกเตะเข้าที่ท้องยังไม่หาย

     

    “ย๊ากกก!!”

     

    รันฟิวเบ่งออร่าแล้วเล็งมือซ้ายมาทางผม เปลวเพลิงสีดำได้ปรากฎขึ้นที่มือของเขาและยิงออกมา

     

    “เดี๋ยวก่อนลอร์ดรันฟิว! เวทมนตร์นั้นมัน-”

     

    ยังไม่ทันที่โมเดสจะพูดจบลูกไฟสีดำก็ได้ถูกยิงออกมาจากมือของรันฟิวพุ่งตรงมาหาผม

     

    ด้วยสัญชาตญาณที่รู้สึกได้ถึงความอันตรายของลูกไฟสีดำลูกนั้น ผมได้ดีดตัวขึ้นฟ้าและเหวี่ยงขาเข้าปะทะกับลูกไฟลูกนั้นเต็มแรงทำให้มันหายไป

     

    “ไม่จริง... เพลิงทมิฬแห่งความมืดของข้า”

     

    รันฟิวนั่นไม่อยากจะเชื่อเวทที่รุนแรงที่สุดของเขาถูกทำลายลงด้วยขาธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่พลังเวทเสริมพลัง

     

    ซึ่งหลังจากที่ได้ทำลายลูกไฟสีดำนั่นลงไปร่างกายของผมก็รู้สึกร้อนแปลกๆ มันคงจะเป็นพลังเวทสินะ แถมตอนนี้ผมยังสามารถใช้เปลวเพลิงทมิฬเหมือนของรันฟิวได้ด้วยเพราะพรสวรรค์ที่โคตรโกงของร่างกายนี้ การเรียนรู้และจดจำอย่างรวดเร็ว

     

    ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น ซึ่งคนที่ปรบมือก็คือโมเดสนั่นเองที่เดิมเข้ามาผมพร้อมภรรยาอย่างโมน่า

     

    “สมกับเป็นท่านคุโรกิแม้แต่ลอร์ดรันฟิวอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดของนากอลยังไม่สามารถทำอะไรท่านได้แม่แต่ปลายเล็บ และท่านยังสามารถทำลายเปลวเพลิงทมิฬได้ด้วยร่างกายเปล่าๆ”

     

    ถึงโมเดสจะพูดแบบนั้นก็เถอะความจริงแล้วแว๊ปแรกที่เห็นว่ามีลูกไฟสีดำกำลังพุ่งมาหาตัวเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ร่างกายของผมมันขยับไปเองถ้าไม่อย่างนั้นเสื้อหนังราคาแพงตัวนี้คงได้ถูกเผาแน่

     

    หลังจากนั้นผมและโมเดสก็ได้พูดคุยกันอีกนิดหน่อยจนมาถึงสิ่งที่ผมต้องการที่จะรู้ ว่าหลังจากที่ทำอะไรที่โลกนี้เสร็จแล้วผมนั้นสามารถกลับไปที่โลกเดิมได้หรือเปล่า

     

    ถึงการที่ได้มาต่างโลกจะเป้นความฝันของโอตาคุหลายๆคนรวมถึงผมด้วย แต่การที่ต้องมาอยู่ในโลกที่มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นตลอดเวลานั้นบอกเลยว่ามันไม่ดีหรอก ยิ่งเป็นโลกที่พวกเทพมีนิสัยที่ออกจะวิปริแบบนี้แล้วด้วย

     

    ก็แหม ถึงผมจะบอกว่าเคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาแล้วก็เถอะแต่นั้นก็ผ่านมานานแล้วมันก็มีหลงๆลืมๆบ้างเป็นเรื่องธรรมดา

     

    “แล้วหลังจากที่ผมจัดการพวกเขาได้แล้วผมสามารถกลับโลกเดิมได้หรือเปล่า?”

     

    “เอ๊ะ?”

     

    โมเดสแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่เขาจะเอากระดาษจากกระเป๋าออกมาอ่าน

     

    ซึ่งผมที่เห็นท่าทางแบบนั้นของโมเดสความทรงจำเกี่ยวกับนิยายที่เคยหลงลืมก็ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน

     

    “สรุปคือคุณไม่สามารถส่งผมกลับไปที่โลกเดิมได้สินะครับ”

     

    โมเดสเงียบก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาก้มกราบเท้าของผม

     

    “ขออภัยครับ!!”

     

    “เห้อ~ ให้ตายสิ”

     

    พอได้เจอกับตัวแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอารมณ์เสีย คนจากโกลนี้ช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย สามารถเรียกมาได้แต่ไม่สามารถส่งกลับไปที่เดิมได้แถมยังมีหน้ามาขอร้องให้คนอื่นช่วยอีก

     

    แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะโมเดสไม่ได้ปกปิดความจริงที่ว่าไม่สามารถส่งผมกลับไปที่โลกเดิมไว้เหมือนกับเทพธิดาที่อัญเชิญพวกชิโรเนะมา เดี๋ยวในอนาคตคงจะหาวิธีได้เองนั่นแหละ

     

    “ท่านไม่โกรธข้าอย่างนั้นหรอ”

     

    โมเดสรู้สึกแปลกใจเพราะไม่ว่าใครที่รู้ว่าไม่สามารถกลับบ้านได้ก็ต้องรู้สึกโกรธ แต่สีหน้าของผมไม่มีการเปลี่ยนแปลงยังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิมทำให้โมเดสอดไม่ได้ที่จะสงสัย

     

    “ผมโกรธ แต่มันก็ไม่ทำให้ผมกลับไปที่โลกเดิมได้อยู่ดี”

     

    โมเดสและโมน่าที่ได้ยินที่ผมพูดก็รู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของผม พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่มีเมตตาเช่นนี้มาก่อน แม้แต่โมน่าที่ภักดีต่อโมเดสก็รู้สึกหวั่นไหว

     

    “ขอบคุณมากท่านคุโรกิ!!”

     

    โมเดสเเละโมน่าก้มหัวขอบคุณผมก่อนที่พวกเขาจะเชิญให้ผมไปที่คลังเก็บอาวุธของปราสาทเพื่อเลือกอาวุธที่จะเอาไว้ต่อการกับพวกผู้กล้า

     

    “เชิญท่านเลือกได้ตามใจชอบเลยอาวุธทั้งหมดที่อยู่ที่นี่เป็นของท่าน”

     

    ภายในคลังเก็บอาวุธเต็มไปด้วยอาวุธและชุดเกราะมากมายซึ่งของทุกชิ้นล้วนปล่อยออร่าสีดำออกมา

     

    ผมที่พึ่งเคยเห็นอาวุธของต่างโลกด้วยตาของตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยความที่เป็นโอตาคุทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ผมค่อยๆเดินดูอาวุธที่ละชิ้นด้วยความตื่นเต้น และทันใดนั้นเองมือของผมได้สัมผัสไปที่โล่อันหนึ่ง ก่อนจะปรากฎหน้าจอสี่เหลี่ยมขึ้นมาบนอากาศสร้างความตกใจให้ผมเป็นอย่างมาก

     

    โล่เต่าคลั่ง - มหากาพย์

     

    ดูดซับแรงปะทะจากการโจมตีทางกายภาพให้เหลือน้อยที่สุด

     

    “นี่มันเหมือนในเกมเลย”

     

    เพื่อความแน่ใจว่าผมไม่ได้ตาฝาดไปเองจึงได้เอามือไปแตะที่อาวุธอีกชิ้นที่อยู่ใกล้ๆกันซึ่งครั้งนี้เป็นหอก

     

    หอกมังกรต้องคำสาป - มหากาพย์

     

    สร้างบาดแผลต้องคำสาปที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยโพชั้น ต้องถอนคำสาปด้วยเวทศักสิทธิ์เท่านั้น

     

    “แบบนี้ก็สวยสิ”

     

    ผมยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายในเมื่อมีความสามารถแบบนี้ก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์มีของดีแล้วไม่ใช้ก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ

     

    รอก่อนนะผู้กล้าผมกำลังจะไปกระทืบพวกคุณแล้ว

     

    ถ้าพูดตามภาษาเกมออนไลน์ที่กำลังจะเเพ้เเล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายชนะเพราะทีมเรามีคนเกิดก็ต้องคำนี้สินะ 


     

    เกมนี้อาจจะเปลี่ยนเล็กน้อยนะครับ

     

    +++

     

    เป็นไงตอนเเรกยาวพอมั้ย เอาจริงนะไรต์ก็ไม่ค่อยชอบที่จะเเต่งเเต่ละตอนให้มันยาวนักหรอก เเต่เพราะนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรายสัปดาห์(มั้ง)ก็ทำให้ต้องทำให้มันยาวหน่อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×