ผู้คุม - ผู้คุม นิยาย ผู้คุม : Dek-D.com - Writer

    ผู้คุม

    เรื่องราวของชายหนุ่ม ที่ได้ไปพบกับเรื่องราวที่ทำให้ต้องประหลาดใจ มันเป็นเหมือนฝัน...หรือความจริงกันแน่!

    ผู้เข้าชมรวม

    275

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    275

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ส.ค. 53 / 23:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
        “อีกไม่นานเดี๋ยวคุณก็ได้กลับแล้วละ” ดูเหมือนเธอจะรู้ความรู้สึกนึกคิดของผม ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมกับได้คำตอบที่ผมยังไม่ได้ถาม และก็เป็นคำตอบที่ทำให้หัวใจผมชื้นขึ้นมาทันที ผมเริ่มมีหวังแล้วสิ ผมส่งสัญญาณตอบกลับให้เธอด้วยการส่งยิ้มให้ แต่ดูเหมือนเธอจะเบนหน้าหนีก่อนที่จะได้รับสัญญาณนั้น

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

          กริ๊ง.......กริ๊ง.........
          นาฬิกาปลุกส่งเสียงร้องลั่น ท่ามกลางความเงียบสงบ จนทำให้ผมต้องลุกขึ้นตื่นอย่างงัวเงีย มือข้างหนึ่งของผมค่อยๆคืบคลานคำหาปุ่มปิดเสียงนาฬิกาปลุกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ตอนนี้เวลา 4 โมงเย็นกว่าๆ แล้ว คงได้เวลาที่ผมจะต้องเตรียมตัวไปดินเนอร์กับแฟนสาวของผมแล้วสิ น้ำจากฝักบัวที่ไหลผ่านตามร่างกายทำให้อาการงัวเงียเปลี่ยนเป็นสดชื่นขึ้นมาทันที

          ขณะที่ผมกำลังขับรถเพื่อจะไปรับแฟนสาวของผม สมองของผมก็ตกอยู่ภายใต้ภวังค์แห่งความคิดที่ดูเหมือนจะไม่สามารถจับใจความสำคัญอะไรได้สักอย่าง ดูเหมือนผมจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยซะมากกว่า และทันใดนั้นเอง   
                                  
          เอี๊ยด..............โครม !

          หลังจากสิ้นเสียงนั้นแล้วผมก็หมดสติไป  ผมไม่ทราบว่าเวลานั้นเดินทางไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ที่ผมรู้ในตอนนี้คือผมตื่นขึ้นมา และอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก ผมนอนอยู่บนเตียงราวกับเตียงคนไข้อย่างนั้น แต่ไม่ใช่สิที่นี่มันไม่น่าใช่โรงพยาบาล แต่กับมีสายตานับสิบที่กำลังจ้องมองผมอยู่อย่างน่าสนใจ

          “เขาฟื้นแล้ว”

          ชายหนุ่มร่างท้วมส่งเสียงเหมือนกับกำลังจะบอกใครซักคนหนึ่งให้รับรู้ ดูเหมือนใครที่คอยรอคำตอบอยู่นั้นจะอยู่ห่างจากผมราวสัก 2 – 3 เมตรได้ ร่างนั้นค่อย ๆ ขยับตรงมาที่ผม ใกล้ขึ้นมาทุกที ๆ ยิ่งทำให้ผมเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เธอเป็นผู้หญิง และดูเหมือนเธอจะแตกต่างจากคนอื่นมากด้วย ดูเธอแลมีอำนาจมากกว่า ขรึมและน่าเกรงขาม ผิวพรรณของเธอดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเข้ารูปดวงตากลมโต นัยน์ตาดำ เธอยืนจ้องมองผมราว 3 – 4 วินาทีได้ก่อนที่เธอจะค่อยๆนำมือของเธอมารูปที่หน้าของผม ในระหว่างนั้นเองก็เกิดประกายแสงสีฟ้าส่องสว่างไปทั่วจนทำให้ผมมึนงงจนหมดสติไปอีกรอบ
         
          “คุณหายดีแล้วละ” ผมตื่นขึ้นมาอีครั้งหลังจากที่หมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ พร้อมกับเสียงบอกเล่าอย่างอ่อนโยน   ผมเริ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นต่างจากทีแรก แลดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ผมยังคงอยู่บนโลกอยู่หรือป่าว หรือว่าผมตายไปแล้ว แล้วถ้าผมยังไม่ตายแล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ตอนนี้ในสมองของผมเริ่มเกิดคำถามมากมายที่ไม่สามารถจะหาคำตอบได้ในขณะนี้ แต่เท่าที่ผมรู้เพียงอย่างเดียวก็คือ ผมยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่แห่งใหม่ ที่ผมยังคงไม่แน่ใจนักว่ามันที่ไหนกันแน่
         
           “ผมอยู่ที่ไหนครับ” ผมตัดสินใจที่จะถามเธอด้วยคำพูดประโยคแรกที่ผมได้เปล่งออกมา ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณตอบรับกับมาใน 2 วินาทีแรก เธอเบนสายตามามองผมดูเหมือนคำถามที่ผมถามไปมันจะเป็นคำถามที่เธออาจจะไม่สามารถตอบได้ เธอส่งยิ้มให้ผมทีหนึ่ง ก่อนเธอจะค่อยตอบกลับมา
       
           “เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวคุณก็รู้เอง” ดูเหมือนคำตอบที่ผมได้รับจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก มันห้วนและสั้นมาก ยิ่งทำให้เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าที่นี่มันใช่โลกที่ผมเคยอยู่หรือเปล่า ผมเริ่มเกิดอาการกลัว กลัวว่าผมจะตายแล้ว แล้วครอบครัวของผมละตอนนี้เขาจะเป็นยังไง  แต่ตรงกันข้ามขณะที่ผมเกิดความวิตกกังวลอยู่ ดูเหมือนเธอจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับสีหน้าของผมที่แสดงออกไป

          “อีกไม่นานเดี๋ยวคุณก็ได้กลับแล้วละ” ดูเหมือนเธอจะรู้ความรู้สึกนึกคิดของผม ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมกับได้คำตอบที่ผมยังไม่ได้ถาม และก็เป็นคำตอบที่ทำให้หัวใจผมชื้นขึ้นมาทันที ผมเริ่มมีหวังแล้วสิ ผมส่งสัญญาณตอบกลับให้เธอด้วยการส่งยิ้มให้ แต่ดูเหมือนเธอจะเบนหน้าหนีก่อนที่จะได้รับสัญญาณนั้น

          ถึงแม้ตอนนี้ผมยังไม่รู้แน่นอนว่าที่นี่มันที่ไหนกันแน่ เธอบอกกับผมว่าให้ปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ให้ไวที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะได้กลับไป แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของผมแน่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงยังไงผมก็ได้รู้แล้วว่าผมมีโอกาสที่จะได้กลับไปหาครอบครัวของผมได้แน่ๆ ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าวันนั้นมันเมื่อไหร่ก็ตาม

          ตอนนี้ดูเหมือนเธอกำลังจะพาผมไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ในระหว่างทางมีหลายๆอย่างที่ทำให้ผมต้องสะดุ้งขึ้นมาทุกที ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ที่กำลังพูดหยอกล้อกับกลุ่มผีเสื้อ ท้องฟ้าที่ไม่ได้เป็นสีฟ้าแต่กับเป็นสีชมพูอ่อน ก้อนเมฆที่กำลังเต้นระบำกับสายลมอยู่บนท้องฟ้า แต่ที่น่าแปลกใจมากที่สุดคือทุกสิ่งในที่นี้โค้งตัวลงทำความเคารพเธอตลอดทางหรือว่าเธอคงเป็นใครสักคนที่พอจะมีอำนาจมากในที่นี่และตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วสิว่าทำไมเธอถึงบอกว่าให้ผมรีบปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ให้ไวที่สุด คงเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง ทุกสิ่งที่ประหลาดต่างจากโลกของผม ที่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่มีชีวิต  ผมเดินมาไม่นานนักก็มาหยุดอยู่ที่ ที่แห่งหนึ่ง เป็นเหมือนอาคารอะไรสักอย่างที่ภายนอกมีการตกแต่งแบบเรียบง่ายไม่มีอะไรให้น่าสะดุดตานัก เธอสาวเท้าไปหยุดอยู่ที่หน้าประตู ดวงตาสองดวงที่อยู่บนประตู   กระพริบตาหนึ่งที เหมือนจะเป็นการแสดงความเคารพ และประตูก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ข้างในถูกตกแต่งด้วยประติมากรรมที่งดงามมากๆ  ภายในมีขนาดใหญ่ผิดกับข้างนอก เธอพาผมผ่านไปที่ห้องหนึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดที่นี่น่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ข้างในห้องนี้ถูกจัดตกแต่งไว้งดงามมาก ดอกไม้ที่อยู่ในแจกัน ส่งกลิ่นหอมออกมาจนทำให้ผมแทบเคลิ้มกับกลิ่นเย้ายวนนี้ เมื่อออกมาจากห้องนั่งเล่น ระหว่างทางถูกประดับไว้ด้วยโคมไฟที่ให้แสงสีส้มอ่อนดูแล้วสบายตา ทั้งสองฝั่งน่าจะเป็นห้องนอนของคนในนี้ แต่ทุกบานประตูก็จะมีดวงตาสองดวงอยู่ตรงหน้าประตูด้วย ไม่นานนักเธอก็พาผมมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ดวงตาที่ประตูหรี่ตาลงช้าๆหนึ่งครั้งก่อนที่ประตูจะค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ภายในห้องประดับตกแต่งแบบเรียบๆ ไม่หรูหราอย่างห้องนั่งเล่นมากเทาไหร่นัก แต่ในห้องนี้เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าอาภร ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

          “คุณอยู่ห้องนี้นะ” เธอเอ่ยขึ้นเบาๆไม่มีคำพูดอื่นๆตามมาอีกหลังจากจบประโยคแรกไป เธอเดินออกจากห้องผมไปทันที ปล่อยทิ้งไว้ให้เหลืออยู่กับความเงียบกับผม ตอนนี้คงจะไม่มีอะไรที่น่าจะทำไปมากกว่านอนแล้ว ผมค่อยๆทิ้งตัวลงนอนทันทีที่ประตูปิดลง ดอกไม้ในแจกันที่อยู่ข้างเตียงผมโค้งทำความเคารพผมก่อนที่จะค่อยส่งกลิ่นหอมออกมาทีละน้อยจนทำให้ผมถึงกับเคลิ้มหลับไปในทันที

          “ท่านผู้คุมมาครับ....ท่านผู้คุมมาครับ...ท่านผู้คุมมาครับ”
         
          เสียงนั้นดังไปทั่วห้องจนทำให้ผมต้องสะดุ้งตื่น  หลังจากที่เสียงเงียบลงประตูก็ค่อยๆเปิดออก ร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผมตอนนี้ก็คือเธอนั่นเอง และผมก็รู้แล้วด้วยว่าเธอนั้นคือใคร ผมรู้สึกได้อีกว่าเหมือนเธอกำลังจะพาผมไปไหนอีก เธอยิ้มให้ผมก่อนที่จะพูดประโยคที่ผมรอมานานเต็มทีแล้ว

          “ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”

          สิ้นเสียงเธอก็ไม่พูดอะไรอีกผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิเธอเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้หรือเปล่ากันแน่ เธอเดินนำหน้าผมเพื่อที่จะพาไปที่ห้องอาหารตอนนี้ผู้คนต่างก็เริ่มทยอยออกมาจากห้องบ้างแล้ว เดินออกมาไม่นานก็ถึงห้องอาหาร ข้างในห้องอาหารถูกตกแต่งไว้สวยงาม ราวกับภัตตาคารห้าดาวของโรงแรมชื่อดัง โคมไฟที่อยู่ข้างบนส่งแสงสีส้มนวลอ่อนราวกับแสงของพระจันทร์ โต๊ะอาหารถูกปูด้วยผ้าสีขาวสะอาด บนผ้าปูโต๊ะอาหารถูกวางไว้ด้วยจาน และช้อนกับส้อม แต่ที่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงยังไม่มีอาหารให้เห็นเลยสักอย่างเดียว ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งทุกคนที่โต๊ะผมต่างยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ไม่นานนักโต๊ะอาหารทุกตัวก็ถูกจับจองเหลือไว้เพียงโต๊ะเดียวที่ยังคงไม่มีเจ้าของ ไม่นานนักเจ้าของโต๊ะที่ไม่มีใครแน่นอกจากผู้คุมสาวที่ดูน่าเกรงขามคนนั้นก็ลงมาจับจองลงนั่ง เธอดีดนิ้วหนึ่งทีก่อนที่จะมีอาหารหลายสิบอย่างถูกวางอยู่เบื้องหน้า ทุกคนต่างก็เริ่มรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและนี่คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างที่ผมได้เจอะเจอที่นี่ หลังจากที่ผมตั้งสติได้สักพักผมก็เริ่มจัดการกับอาหารที่ว่างอยู่ข้างหน้าอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนกัน  ไม่นานนักอาหารที่อยู่บนโต๊ะก็เริ่มทยอยหายไปทีละน้อยจนหมดโต๊ะ  ทุกคนต่างก็เริ่มวางช้อนอย่างเป็นระเบียบ และเธอ ผู้คุมสาวคนนั้นก็ดีดนิ้วอีกที ทันใดนั้นเองจากที่มีคราบเปื้อนจากอาหารอยู่ก็สะอาดหมดจดราวกับไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน ทุกคนยืนขึ้นและก้มโค้งนิดหน่อยทางผู้คุม ก่อนจะเดินจากไปแยกย้ายไปที่ต่างๆ ตอนนี้ผมก็เริ่มจำทางได้หมดแล้วผมเดินกับไปที่ห้องของผม แต่ผมไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อจะเข้าห้องของผมได้ โชคดีที่ผมบังเอิญเห็นคนข้างๆห้องผมเขาโค้งไปที่หน้าประตูห้องของเขาแล้วประตูก็ค่อยๆเปิดออกผมจึงลองทำบ้าง ผมก้มโค้งลงอย่างช้าๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดวงตาที่หน้าประตูก็หรี่ลงให้เหมือนกับเป็นการตอบรับ และในที่สุดประตูก็เปิดออกจนได้

          เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับจรวด ผมก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนผ่านไปหกวันแล้ว วันนี้ผมตื่นขึ้นมาเหมือนกับจะเวียนหัวนิดหน่อยหลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จผมก็เดินไปหาผู้คุมสาวที่ห้องนั่งเล่นเพื่อที่จะขอยาทาน คนในห้องนั่งเล่มค่อยเพิ่มขึ้นทุกขณะยิ่งทำให้ผมเหมือนจะหน้ามืดได้ทุกเมื่อ ตอนนี้หัวของผมเริ่มปวดขึ้นเรื่อยทุกทีเหมือนกับมันกำลังจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เมื่อผมเห็นเป้าหมาย ก็เดินตรงไปที่เธอ เธอนั่งพูดคุยอยู่กับคนในนี้อย่างไม่ถือตัว

          “คือ...ผมปวดหัวมากอยากจะขอยาหน่อยครับ”

          เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งไม่มีคำตอบตอบกลับมา เหมือนเธอกับจะไม่ค่อยจะใส่ใจกับคำพูดของผมซะด้วยซ้ำ ผมจึงได้แต่ยืนรอเธอเพื่อที่จะพูดอะไรสักอย่างนอกจากจะนิ่งเงียบไปเฉยๆ

          “คงถึงเวลาแล้วละ”

          เธอหันมาตอบผมพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่นั่นมันไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการนอกจากที่ ที่เก็บยา ไม่นานนักดวงตาผมก็เริ่มพร่ามัวอีกครั้ง ความมืดเริ่มค่อยๆครอบงำ หูของผมเริ่มอื้อแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ไม่นานผมก็หมดสติไป รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีผมก็นอนอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ที่ผมรู้ผมหายปวดหัวแล้วหูผมก็ไม่อื้อ ดวงตาเริ่มชัดขึ้นทีละน้อย

          “คุณแม่ค่ะ..พี่ธนาฟื้นแล้ว”

          ตอนนี้ผมรู้แล้วละว่าประโยคสุดท้ายที่ผู้คุมสาวพูดคืออะไร หลังจากที่ผมฟื้นได้หนึ่งวันคุณหมอก็อนุญาตให้ผมกลับบ้านได้ แม่เล่าเหตุการณ์ 6 วันที่ผมได้หมดสติไปอย่างละเอียดยิบ และผมก็ยังคงเก็บประสบการณ์ 6 วันที่ผมได้เจอมาไว้เป็นความทรงจำอย่างดี ตอนนี้ผมเริ่มคิดถึงที่นั่นอีกแล้วสิ

          เอี๊ยด.............โครม !

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×