คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14 : เรื่องของเจสสิก้ากับ...?
Chapter 14 : เรื่องของเจสสิก้ากับ...?
“แทแท? ต๊าย เดี๋ยวนี้แรดขึ้นนะยะยัยฟานี่”นิโคลแสดงความเห็นอย่างจัดจ้านเมื่อได้เจอหน้าเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมาประมาณสัปดาห์หนึ่งหลังจากที่สาวตายิ้มกลับมาจากทริปเที่ยวญี่ปุ่นแสนหรรษาลั้ลลาปาจิงโกะ และตอนนี้ก็กำลังมานั่งเม้าท์มอยกันภายในคอนโดสุดหรูของทิฟฟานี่
เชื่อเขาเลย พอถามถึงเรื่องแทยอน เจ้าตัวก็หลุดออกมาเสียเต็มปากเต็มคำเลยว่า ‘แทแท’
“อะ อะไรกันเล่า!”ทิฟฟานี่หลุบตาลงต่ำ แสดงอาการเขินอายอย่างปิดไม่มิด
ใครๆดูก็รู้ โดยเฉพาะกับเธอที่เป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ถ้าไม่รู้ก็ให้มันรู้ไปสิ
“นี่ๆ มันมีเรื่องอะไรบ้าง ไหนเล่าให้ฉันฟังซิ”
ทิฟฟานี่เริ่มเล่าเรื่องอย่างละเอียดยิบตั้งแต่เท้าเริ่มแตะพื้นแผ่นดินของท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน ระหว่างรอในสนามบิน ตอนขึ้นเครื่องที่ได้นั่งข้างๆแทยอน ลงจากเครื่องมาเจอเจสสิก้ากับยูริ ได้เจอเพื่อนใหม่ที่คอยช่วยเหลือเธอทุกอย่าง เรื่องที่เธอแอบถ้ำมองในออนเซ็น ถึงแม้ว่าสุดท้ายคนที่เธอได้เห็นร่างอันเปลือยเปล่าจะเป็นเจสสิก้าก็ตามทีเถอะ เรื่องที่เธอป่วยเพราะสืบเนื่องมาจากการแอบถ้ำมองและได้แทยอนมาช่วยดูแล จนไปถึงเรื่องสุดท้ายก่อนที่ทั้งคู่จะจากกัน...
เรื่องที่พวกเธอสองคน แลกอีเมลแอดเดรสและเบอร์โทรศัพท์กัน...
ว่าแล้วก็เขิ๊นเขิน แทยอนเป็นคนขอทั้งสองอย่างที่ว่าจากเธอก่อนด้วยแหละนะ บอกว่าจะเอามาคุยกันเวลาว่าง เวลาที่คิดถึงกันอะไรงี้ แอร๊ยยยยยย
“โชคดีจริงๆเลยนะเธอน่ะ”
“ว่าเพื่อนใหม่ที่ชื่อซอนมีนี่ เขาเป็นใครมาจากไหนเหรอ”ถามด้วยความสงสัย เพราะไม่เห็นว่าทิฟฟานี่จะเล่าอะไรขยายความเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ให้ฟังซักนิด ไม่ใช่อะไรหรอกนะ เธอแค่อยากรู้ว่าซอนมีที่ว่านั่นคิดอะไรถึงได้มาเป็นเพื่อนกับคนเอาใจยากอย่างทิฟฟานี่ต่างหาก
ทิฟฟานี่ชะงักไปในทันทีเมื่อโดนนิโคลถามคำถามที่ยากแก่การตอบ
“อ่อ..รู้แค่ว่าอยู่โซลน่ะนะ”จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเพราะความสะเพร่าของเธอเองนั่นแหละ มัวแต่ลั้ลลากับแทยอน จนลืมขออีเมลแอดเดรสกับเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนใหม่ที่แสนดีคนนั้นไปเสียสนิท ทั้งๆที่หากไม่มีซอนมีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเธอกับแทยอนจะได้สนิทกันหรือเปล่า
เพราะหากจะให้ว่ากันตามตรงแล้ว เธอยอมรับเลยว่าที่เธอสนิทกับแทยอนได้ มันเป็นผลกระทบมาจากการที่แทยอนได้มาเฝ้าไข้เธอในวันนั้น
แต่พูดถึง...ความจริงแล้ว เธอไม่ได้เจอหน้าซอนมีตั้งแต่ตอนตกรถไฟแล้วล่ะนะ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
“ยัยแรด! เห็นแทยอนสำคัญกว่าเพื่อนตัวเอง”นิโคลว่าเสียงดัง แกล้งทำเป็นประจานเพื่อนสาวเต็มที่ รู้ดีว่าถึงอย่างไรเรื่องที่เธอด่าทิฟฟานี่ก็คงไม่แพร่งพรายไปยังสาธารณะชน เพราะตอนนี้พวกเธออยู่ในสถานที่ส่วนตัว ถ้าคนข้างห้องทิฟฟานี่ไม่คิดอุตริเอาหูมาแนบนี่คงไม่ได้ยินหรอก
“แหงสิ นั่นว่าที่สามีในอนาคตเชียวนะยะ”
“แรงขึ้นนะยะ”
“คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนากันบ้าง โฮ๊ะๆๆๆๆ”หัวเราะเยาะด้วยความสะใจจนคนฟังต้องมองอย่างละเหี่ยใจ
ก็รู้อยู่หรอกนะว่ามันเป็นคนที่ทำอะไรได้บ้ามากๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นได้มากถึงขนาดนี้...ต้องยกเครดิตความดีความชอบ(?)ทั้งหมดให้แทยอนเลยนะเนี้ย
“จริงแล้วฉันว่ามันเป็นธาตุแท้ของเธอมากกว่านะฟานี่”
“แรงพอกัน”เบ้หน้าอย่างเสียอารมณ์ที่เพื่อนรู้ทัน(?)
“ว่าแต่ กับแทยอน..จะยังไงต่อไปล่ะ”หลังจากที่คุยไร้สาระกันไปมากแล้ว นิโคลจึงเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจังขึ้นมา
ถึงเธอจะรู้สึกดีที่เพื่อนคิดจะจริงจังกับความรัก และค่อนข้างสนับสนุนเรื่องนี้ไม่น้อย แต่ลึกๆลงไปในจิตใจแล้วในฐานะของเพื่อนก็อดที่จะเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้
“หมายถึง...”
“ตรงตามตัวนั่นแหละ..จะเอาไงต่อไป”
แค่เรื่องปกติทิฟฟานี่ก็มักจะจริงจังอยู่เสมอ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเพื่อนสาวตายิ้มของเธอต้องผิดหวังกับความรักครั้งนี้ขึ้นมาจะเป็นอย่างไร...
“ก็ คงจะค่อยๆคุยกันต่อไปเรื่อยๆล่ะมั้ง ทั้งฉันและแทแทไม่รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว”ทิฟฟานี่ตอบไปตามที่ตัวเองคิดและได้คาดหวังเอาไว้
“ที่พูดแบบนี้ แสดงว่าเธอกับแทยอนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วล่ะสิ”นิโคลใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ฟังประโยคนี้จากปากทิฟฟานี่ หากแต่คำตอบจากเจ้าหล่อนก็ทำเอาความคิดเธอต้องมีอันสะดุดกึก
“เปล่า ยังไม่ได้คุยกันเลย...เผลอๆแทแทคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันคิดอะไรกับเขาเกินเลยไปขนาดนี้”
อินี่ จะกวนติงเกินไปละ...
ดูท่าสายตาและสีหน้าของนิโคลจะสื่อได้ชัดเจนมากเกินไป ทิฟฟานี่ถึงสัมผัสได้ถึงรังสีรุนแรงและรีบเอ่ยขยายความคำพูดของตนเองให้เป็นที่เข้าใจกัน “นี่ๆ ที่ฉันกล้าตอบแบบนี้ได้น่ะ เพราะมีความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมล่ะนะ”
“ทั้งฉันและแทแทก็ไม่มีใคร ถึงตอนนี้จะอยู่แค่ในสถานะเพื่อน แต่ก็สนิทสนมและมีอะไรพิเศษมากกว่าคนทั่วไป”อ้างอิงจากทั้งการกระทำและคำบอกเล่าจากปากแทยอนเองล่ะนะ
เธอได้มีโอกาสเลียบๆเคียงๆถามแทยอนมานานแล้วว่าแทยอนมีแฟนหรือเปล่า แทยอนก็ตอบกลับมาว่ายังไม่มีทั้งแฟนและคนที่คิดว่าใช่ ดังนั้นเธอจึงถือว่าเธอยังพอมีความหวังเป็นแสงรำไรๆอยู่บ้าง
“ถึงแทแทจะยังไม่ได้คิดอะไรกับฉันในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าในวันข้างหน้าจะไม่มีหวัง”
“เห้ๆ เธอลืมยัยเจสสิก้าไปแล้วหรือไง ได้ข่าวว่ารายนั้นน่ะติดแทยอนแจเลยไม่ใช่เหรอ”ฟังจากที่เพื่อนเล่าและอ้างอิงจากข่าวสารที่ตัวเองได้รับมาจากหนังสือซุบซิบคนบันเทิงน่ะนะ ถ้าจำไม่ผิด มีแหล่งที่มาหลายๆที่ๆยืนยันได้ว่านางแบบสาวสุดเหวี่ยงแห่งยุคนั้นคิดอะไรเกินเลยกับนักร้องนำวงChocolateชัวร์
ว่าแล้วก็สงสารยูริลิงน้อยเสียจริง ป่านนี้คงร้องไห้เพราะความช้ำใจแล้วล่ะมั้ง
ฝ่ายทิฟฟานี่ก็มีสีหน้าตกใจระคนประหลาดใจทันทีที่นิโคลพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เธอลืมอะไรๆที่สำคัญขนาดนี้ไปได้ยังไงกันนะเนี่ย
“นี่ฉันยังไม่ได้บอกเธอเหรอ เรื่องของเจสสิก้ากับยูริน่ะ”
“คุณเจสสิก้ามาอีกแล้วเหรอครับ ยินดีต้อนรับนะครับ!”คิมคิบอม หรือคีย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นทันทีที่เห็นนางแบบสาวคนสวยเดินเข้ามาในร้านของพวกเขา ทั้งๆที่อันที่จริงเขาสมควรจะชินกับเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว เหตุผลสำคัญไม่ใช่อะไร...นั่นเป็นเพราะช่วงนี้เจสสิก้าได้มาเยือนร้านนี้บ่อยๆ แทบจะเรียกได้ว่ามากันวันเว้นวันเลยทีเดียว
แต่ถ้าจะพูดให้ถูก..เรียกว่ามาหาเจ้าของร้านคงจะตรงประเด็นมากกว่ามั้ง
“ยูริอยู่ไหน”นั่น ไม่รู้ว่าคิดถึงกันมาแต่ชาติปางไหน ได้ข่าวว่าเมื่อวานตอนเย็นก็ยังโทรมาคุยกับเจ้าของร้านของเธออยู่หยกๆ ไม่รู้หรอกนะว่าเนื้อหาเนื้อความข้างในมันจะเป็นยังไง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางหลังจบบทสนทนาของยูริแล้ว เขาและจียอนก็รับรู้ได้โดยไม่ต้องเดา
ว่ากันตามตรงแล้ว ชีวิตของยูริตอนนี้ ดียิ่งกว่าชีวิตของพระเอกในเรื่อง ‘รักใสๆของไอ้หน้าโง่’ ที่พวกเขาสองคนกำลังติดตามดูอย่างเมามันส์ซะอีก
“ทำอาหารอยู่ในครัวครับ จะให้เรียกให้หรือเปล่า”แต่หน้าที่ก็ยังต้องเป็นหน้าที่ แม้จะรู้ดีว่าเจสสิก้าจะต้องมาเกือบทุกวัน เจ้านายของเขาก็ยังทำเป็นเก๊ก(หรือด้วยความเขินอายอะไรก็ไม่ทราบ) ทำงานต่อไปอย่างขยันขันแข็ง และส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะปล่อยให้พวกเขาสองคนดูแลร้านเป็นเวลานาน พอกลับมาก็เลยอยากจะทำอะไรเพื่อทดแทนล่ะมั้ง
ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีไปถึงไหนกัน...ทั้งๆที่ร้านนี้ก็เป็นของๆตัวเอง แถมพวกเขาสองคนมันศักดิ์เป็นแค่ลูกจ้างธรรมดาๆ(แถมยังเกาะกินทุกวัน)เท่านั้นเอง
“ไม่ต้องหรอก รอให้ยูริว่างๆก่อนก็ได้”แขกคนพิเศษของร้านฉีกยิ้มรับ ก่อนจะเดินไปนั่งลงยังโต๊ะที่ว่างๆของทางร้านในมุมที่เป็นส่วนตัวที่สุด โดยไม่วายแจกยิ้มให้ลูกค้าคนอื่นที่มีอยู่ประปรายในร้านอย่างสดใสชื่นมื่น
ว๊าย! ตาเถร ความแมนของคีย์หายไปหมดสิ้น
ให้ตายเถอะ...ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่านี่คือเจสสิก้าจองตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่?
ถึงจะเป็นแบบนี้ทุกวันที่ได้เจอกัน แต่ด้วยความที่ภาพแรงๆเหวี่ยงๆของเจสสิก้ายังติดตา เขาก็เลยค่อนข้างจะสับสนมึนงงไปหน่อยนึง
ก็รู้อยู่หรอกนะว่าช่วงนี้เจสสิก้ามักจะอ้อนๆกับเจ้านายของเขาเป็นพิเศษ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบได้ แต่คาดว่าคงเป็นผลต่อเนื่องมาจากการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งล่าสุดล่ะนะ
ลบภาพนางแบบสาวสุดเหวี่ยงแห่งยุคไปเลย
“เอ่อ...งั้นจะสั่งอะไรก่อนหรือเปล่าครับ”คีย์เดินตามไปถามตามประสาความเคยชินของปากเพราะการที่ทำงานนี้จึงต้องพูดประโยคอะไรเทือกๆนี้กับลูกค้าทุกคนทุกวัน
“ขอน้ำเปล่าแก้วเดียวก็พอจ้ะ”พร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจในแบบที่ไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องละลายไปตามๆกัน
ว่าก็ว่าเถอะ...เห็นแบบนี้แล้ว แย่งเจ้านายจีบได้ไหมเนี่ย
“อ่อ ครับ”คีย์จำใจปล่อยให้เจสสิก้านั่งสวยรอยูริต่อไป เพราะตนเองก็มีหน้าที่ๆต้องไปทำต่อตามปกติ และเดี๋ยวต้องไปลากคอคุณเจ้าของร้านออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญด้วย
ใครจะไปคิดล่ะว่าการที่ตัวเธอนั้นได้มาอยู่ห้องในคอนโดเดียวกันกับซอฮยยอน มันจะยิ่งเป็นการยากต่อการขโมยแหวนสุดรักสุดหวงของเจ้าหล่อนได้ขนาดนี้...ไม่สิ ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงแล้ว ซอฮยอนไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้เกินระยะสองเมตรเลยต่างหาก
ไม่รู้ว่าเกิดนึกคิดบ้าบออะไรขึ้นมา ถึงตั้งกฎเกณฑ์สำหรับการอาศัยอยู่ด้วยกันยาวเป็นหางว่าวเสียกระดาษทั้งปึกก็ไม่สามารถที่จะบรรยายได้หมด
ให้ตายเถอะแม่คุณ หน้าเธอนี่มันเหมือนพวกโรคจิตฆ่าข่มขืนนักหรือไง?
แต่ก็นั่นแหละ...เพราะจากกฎที่ห้ามไม่ให้เธอเข้าใกล้เกินสองเมตร เพื่อไม่ให้เหยื่อเกิดความตื่นตัวและรู้ตัว เธอจึงต้องใช้เวลาที่เจ้าหล่อนนอนหลับสนิทย่องเบาแอบเข้ามาขโมยแหวนแทน โดยอาศัยกุญแจปลอมที่เธอเคยแอบขโมยตัวจริงไปอัดก๊อปปี้ไว้
เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาเยือนห้องนอนของซอฮยอน ซึ่งเป็นส่วนเดียวในห้องคอนโดที่เธอไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้ามาเหยียบ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะปิดไฟมืดจนแทบมองไม่เห็นทาง แต่คนสายตาดีอย่างยุนอาก็พอจะมองออกว่าเป็นห้องที่ตกแต่งได้น่ารักน่าเอ็นดูเอาการเลยทีเดียว
ไม่น่าเชื่อแฮะ ว่าคนอย่างซอฮยอน จะมีมุมที่น่ารักแบบนี้ด้วย
แต่หัวขโมยมืออาชีพก็ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งยั่วยวนใจมาทำให้ตัวเองต้องเสียการงานหรอก เธอรีบตรงดิ่งไปยังเตียงนอนของซอฮยอนซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง เห็นสาวเจ้านอนหลับตาพริ้มสบายอารมณ์ข้างๆหัวเตียงมีหนังสือเล่มเล็กๆวางอยู่ ซึ่งเธอไม่คิดอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร
เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่าหนังสือเล่มนั้น ดันไม่อยู่นี่สิ
น่าแปลก...ทั้งๆที่แหวนวงนั้นสำคัญมากแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้วางไว้ที่หัวเตียง หรือว่าจะเก็บไว้ที่ส่วนอื่นๆในห้องกันนะ
คิดได้ดังนั้น ยุนอาจึงรีบใช้ระยะเวลาที่เหลืออยู่นี้ทำการค้นหาแหวนวงสำคัญวงนั้นต่อไป จากที่เธออยู่ร่วมกันกับซอฮยอนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็พอจะคาดเดาเวลาตื่นในวันปกติของเจ้าหล่อนได้ เธอจึงเหลือเวลาอีกประมาณสามชั่วโมง
จะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น...
ค้นหาสิ่งเล็กๆในที่มืดนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยุนอาทำการค้นทุกซอกทุกหลืบทุกมุมอย่างแข็งขัน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เธอจึงตัดสินใจเดินกลับไปที่เตียง และยืนแน่นิ่งมองหน้าซอฮยอนเงียบๆคล้ายคนที่กำลังนึกชั่งใจอะไรบางอย่างอยู่
บางทีซอฮยอนอาจไม่ได้ถอดแหวนออกมาแม้จะในเวลานอน
และบางที เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การทำงาน เธอก็คงต้องค้นตัวสาวเจ้าด้วย
แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นความเสี่ยง มีความเป็นไปได้อยู่หลายเปอร์เซ็นต์เลยที่ซอฮยอนจะตื่นขึ้นมาจนทำให้แผนของเธอเสียหายหมด
เอาเถอะ ยังไงก็เหลือเวลาอีกตั้งเยอะนี่นา ซึงยอนคงยังไม่ได้กลับเกาหลีเร็วๆนี้หรอก
เอาไว้คิดวิธีใหม่ได้ ค่อยกลับมาขโมยใหม่ละกัน...
ยุนอาส่ายหัวระอาใจกับความยืดยาวของงานในครั้งนี้ พลางจ้องใบหน้าใสยามนอนหลับของคนที่ไม่ถูกกันอย่างแรงอย่างซอฮยอนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เด็กนี่..จะว่าไปแล้วมันก็น่ารัก ถ้าไม่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและหัวดื้อแบบนั้นน่ะนะ
“น่ารักนะเรา”เอ่ยชมเบาๆแม้จะรู้ว่าหญิงสาวคงไม่มีวันได้ยิน แน่ละถ้าได้ยินก็แปลว่าซอฮยอนต้องรู้สึกตัว คงมีโวยวายแน่เลยหากเจ้าหล่อนตื่นขึ้นมาแล้วเจอเธอยืนหัวโด่อยู่ข้างเตียงอย่างนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ยุนอาก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ซอฮยอนนอนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงบในห้อง จู่ๆก็มีเสียงกุกกักๆดังขึ้น พร้อมๆกับร่างๆหนึ่งที่ลุกขึ้นจากเตียงนอน
อุตส่าห์แอ๊บแกล้งทำเป็นหลับ ยังจะมาชมกันอีกนะคนเรา...
ซอฮยอนไม่รู้ว่าเธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็ทันที่จะได้เห็นยุนอาเดินวนๆเวียนๆราวกับหาอะไรสักอย่างให้ห้องของเธอ ก่อนที่จะจบลงด้วยการเดินมาหาเธอที่เตียงนอน ซอฮยอนหรี่ตาลงแกล้งทำเป็นหลับ แต่ก็ยังพอเห็นอะไรรางๆ
แน่นอนว่าเธอได้เห็นคุณผู้จัดการคนใหม่ยืนจ้องหน้าเธอเป็นเวลานานสองนาน แถมยังไม่ได้จ้องอย่างเดียว มีการชมด้วยซะอีก
ถ้าไม่ติดว่าสงสัยกับการกระทำอันลับๆล่อๆของเจ้าตัวแล้ว เธอมีสิทธิ์ที่จะเขินเอาได้ง่ายๆเลยนะเนี่ย!
“ถามจริงเหอะ ช่วงนี้พี่ได้ติดต่อกับคุณทิฟฟานี่เขาบ้างหรือเปล่า”
“ไม่อ่ะ..”แทยอนขมวดคิ้ว “ถามทำไมเหรอซูยอง”
“เอ้า!ไหงงั้นล่ะ เห็นวันนั้นมีแลกเบอร์แลกอีเมลกัน ก็เลยคิดว่าตอนนี้คุยกันอยู่”ซูยองมีสีหน้าประหลาดใจทันทีที่หัวหน้าวงพูดแบบนี้ ทั้งๆที่เมื่อวันสุดท้ายก่อนการเดินทางกลับที่สนามบิน ยังเห็นคุยกันท่าทางสนิทสนมเหมือนไม่อยากจะจากกันอยู่เลย
ยังนึกอยู่ว่าป่านนี้คงสนิทกันมากๆแล้วด้วยซ้ำไป
“ฉันไม่ค่อยมีเวลานี่ แกก็รู้”
“ไม่มีเวลาบ้าอะไร ได้ข่าวว่างานเราก็มีเกือบเท่าๆกัน”เพราะเป็นวงแบบวงดนตรี ส่วนใหญ่งานที่ได้ก็มักจะเป็นงานที่ให้ไปกันทั้งวง แทยอนกับไอยูอาจจะมีมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยด้วยความที่เป็นนักร้องและเป็นหน้าเป็นตาให้กับวง แต่ก็ใช่ว่าจะเยอะกว่ามากมายอะไร
ที่สำคัญ ปัจจุบันนี้ พวกเธออยู่ในช่วงหยุดโปรโมท กิจกรรมในแต่ละวันจึงไม่มีอะไรมากนอกจากงานเดี่ยวของแต่ละคนซึ่งกินเวลาไม่ถึงชั่วโมง และการซ้อมดนตรีซึ่งพวกเธอไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ไหนไกล เพราะหอพักที่นี่เป็นห้องแบบเก็บเสียง สามารถซ้อมดนตรีได้โดยไม่รบกวนคนอื่น
“แถมฉันยังเห็นพี่นอนเกลือกกลิ้งว่างทุกวัน ตรงไหนกันที่พี่บอกว่าไม่ว่าง”แม้กระทั่งตอนนี้ด้วย นอนเกลือกกลิ้งดูทีวีอยู่ในห้องอย่างสบายอารมณ์ขนาดนี้ บ้านใครเขาเรียกไม่ว่างกันคะ?
“ก็..มันไม่มีอารมณ์จะคุย”แทยอนว่าเสียงตะกุกตะกักเรื่อยๆ จนคนตัวสูงเริ่มจับจุดผิดสังเกตได้
รู้อยู่นะว่าหัวหน้าวงของเธอน่ะ ไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคุยไม่ได้ ทุกทีเวลาคุยกับพวกเธอยังไม่เห็นต้องใช้อารมณ์อะไรมากมายเลย แค่อยากพูดอยากคุยก็อ้าปากออกมา มันมีอะไรที่ยุ่งยากตรงไหนกัน ทำตัวเป็นสาวน้อยเริ่มมีความรักไปได้...
เอ๊ะ หรือว่า...
“ไม่มีอารมณ์คุย หรือไม่กล้าคุยด้วยกันแน่”
“พูดอะไรของแก เห็นจะรู้เรื่อง!”ท่าทางรนรานราวกับถูกไฟลวกของเจ้าตัว ยิ่งเสริมความมั่นใจให้กับซูยองเป็นอย่างดีว่าเธอคิดมาถูกทางแล้ว
พี่แทยอนของเธอ คิดอะไรกับคุณทิฟฟานี่ชัวร์ป๊าบ!
ถึงจะไม่ได้มั่นใจว่าคิดในเชิงชู้สาว แต่ก็มั่นใจได้ว่าระหว่างสองคนนี้ มันมีอะไรพิเศษกินกว่าคำว่า ‘นักร้องกับแฟนคลับ’ หรือแม้แต่จะเป็นคำว่า ‘เพื่อนกับเพื่อน’ ก็ตามที
“เขินล่ะสิๆ ไม่ต้องอายหรอกพี่แท เรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้”ตบไหล่คนอายุมากกว่าป๊าบๆจนแทบทรุด หันมามองซูยองตาขวาง
ทั้งเรื่องที่ซูยองมาทำร้ายตัวเอง และทำเพื่อพยายามจะปกปิดอะไรบางอย่าง
“เจ็บนะ!”
“ไม่ต้องมาทำเปลี่ยนเรื่องเลย”ซูยองพูดดักคออย่างรู้ทัน “ไม่ต้องอายหรอกน่า ฉันน่ะออกจะยินดีปรีดาที่คุณพี่สุดที่รักจะได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซะที”
“ฉันไม่พูดกับแกแล้ว นับวันยิ่งเลอะเลือน”เพราะไม่รู้จะทำยังไง แทยอนจึงตัดสินใจหนีปัญหาด้วยการเดินเข้าห้อง หากแต่คนตัวสูงจอมตื๊อก็ไม่ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นได้โดยง่าย
“เดี๋ยวดิ มานั่งคุยกันก่อน”ดึงข้อมือ ฉุดให้เธอลงมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง
แทยอนพยายามจะไม่คิดอะไรมาก เก็บความรู้สึกส่วนตัวเอาไว้ลึกที่สุด และยอมหันมาประจันหน้ากับน้องสาวร่วมวงเดียวกัน
เธอไม่คิดจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกไปทั้งๆที่ยังไม่ค่อยมั่นใจแบบนี้หรอก มันไม่ดี เหมือนเป็นการทำร้ายคนอื่น แน่นอนว่าทั้งในทางตรงและทางอ้อม และที่เธอรู้เรื่องแบบนี้ดีก็อาจจะเป็นเพราะเคยทำเลวๆแบบนี้กับคนอื่นมามากก็ได้
หลอกคนอื่นให้เขารัก ทั้งๆที่เธอไม่ได้รักเขาเลย...เธอแค่หวังจะแสวงหาประโยชน์จากเส้นสายและความใหญ่โตของคนพวกนั้นเท่านั้นแหละ
เคยทำไม่ดีมาแต่ก่อน ถ้าวันนี้จะทำอะไรดีๆบ้าง มันคงไม่แปลกใช่ไหม
และจะแปลกหรือเปล่า ที่เธอนึกมาทำดีกับทิฟฟานี่เป็นคนแรก
“ฉันไม่ได้อยากจะรู้เรื่องความรักของพี่นักหรอกนะ”นี่คือไม่อยากรู้สินะ แหม...ถามซะขนาดนี้ ตื๊อซะขนาดนั้น ไม่อยากรู้เลยจริงจริ๊ง “แต่พี่อย่ามาปิดบังกันเลย เรื่องความรู้สึกของคนน่ะ ฉันดูออก”
ทำมาเป็นกูรูผู้รู้รอบสั่งสอนคนอื่น เรื่องของตัวเองล่ะเอาให้รอดก่อนเถอะ
จะว่าไปแล้วซันนี่ก็แสดงออกมาค่อนข้างชัดเจนซะขนาดนั้น จนเพื่อนร่วมวงคนอื่นรู้กันไปตั้งนานแล้วล่ะ...มีก็แต่ไอ้เด็กตัวสูงที่ยังเอ๋อไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไรใดๆทั้งสิ้น
ว่าแล้วแทยอนก็เหลือบมองไปทางคนตัวเล็ก(กว่าเธอ)ที่ทำอะไรยุกยิกๆอยู่ในห้องครัวราวกับเหมือนไม่สนใจอะไร แต่เธอรู้ดีว่าเจ้าหล่อนคงกำลังแอบฟัง(และนึกค่อนขอดซูยองในใจ)อยู่แหงๆ
“อย่ามายุ่งกับฉันเลยดีกว่า ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรไม่จำเป็นต้องให้แกมาสั่งสอน”
“เฮ้ย!เดี๋ยวดิพี่”ซูยองพยายามจะรั้งตัวแทยอนเอาไว้อีกเมื่อเจ้าตัวทำท่าจะลุกขึ้นเดินจากไปอีกครั้ง ด้วยความที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรชัดเจนไปมากกว่าเรื่องในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เธอใช้เซนส์ตัดสินเอาเองเลย
หากแต่แทยอนกลับหยุดเดินเฉยๆเมื่อถึงหน้าประตูห้องนอน เจ้าตัวเหยียดยิ้มอย่างที่ชอบทำก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาคนฟังร้องแทบไม่เป็นภาษาด้วยความยินดี
“แต่ถ้าอะไรๆมันเข้าที่เข้าทาง ฉันจะมาบอกพวกแกเป็นคนแรกๆละกัน”
ไม่นานเกินรอ วงChocolate ก็อาจจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นล่ะมั้ง..
**********************************
.อันนี้เป็นเรื่องหลังจากกลับมาที่เกาหลีได้ระยะหนึ่งแล้วนะคะ
เห็นได้ชัดเจนกันหรือเปล่าว่าแต่ละคู่พัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม
อ่อ อาจจะยกเว้นซูซันที่ซูยองมันก็ยังคงไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไรอีกเหมือนเดิม5555
ความคิดเห็น