คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13 : ชื่อเฉพาะ?
Chapter 13 : ชื่อเฉพาะ?
“นี่ๆ ไอ้โตเกียวทาวเวอร์เนี่ย มันคล้องกุญแจได้เหมือนหอคอยนัมซานป่ะ”
“ไม่รู้แฮะ แต่ไม่เห็นมีคนทำกันเลยนะ”แทยอนหันซ้ายหันขวา มองไปทางไหนก็มีแต่ที่โล่งไร้กุญแจ แหงล่ะเกิดมาเธอก็เคยเห็นคู่รักคล้องกุญแจกันที่หอคอยนัมซานประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดเธอเท่านั้น แถมมันยังเป็นความนิยมที่สืบเนื่องมาจากซีรี่ส์ยอดฮิตของเกาหลีใต้ ถ้าเอาไปทำที่ประเทศอื่นคงดูพิลึกไม่หยอก
“อยากลองดูอ่ะ”ท่าทางราวกับเด็กๆของทิฟฟานี่เรียกรอยยิ้มจากแทยอนได้ไม่น้อย อยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้ว เธอยังไม่ชินกับนิสัยของสาวเจ้าเลยจริงๆ หากแต่ ‘ไม่ชิน’ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ ‘ไม่ชอบ’
ถ้าถามว่าเพราะอะไรถึงไม่ชิน เธอก็ไม่อาจกล้าตอบได้เต็มปากนักว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะชั่วชีวิตของเธอ ที่มีผู้คนอันหลากหลายเข้ามาหานั้น ต่างก็ปฏิบัติตนราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอ จริงอยู่ที่บางคราวทิฟฟานี่ก็เป็นแบบนั้น แต่ก็เป็นเฉพาะเวลาอยู่กับเจสสิก้าเท่านั้น ซึ่งท่าทางเหมือนเด็กหวงของเล่นแบบนั้นก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่หยอก
เป็นแฟนคลับในแบบที่ไม่เคยพบไม่เคยเจอเลยจริงๆ
นิสัยช่างเพ้อฝัน ซุ่มซ่าม โก๊ะๆ ราวกับหลุดมาจากละครหลังข่าวซะขนาดนั้น
“ไม่ดีมั้ง ขืนทำแบบนั้นคนอื่นเขาคงได้มองเธอเป็นคนบ้าชัวร์”แทยอนยิ้ม “ที่สำคัญคือ การคล้องกุญแจน่ะ ฉันได้ข่าวว่ามีไว้สำหรับคู่รัก แล้วเธอจะคล้องคนเดียวได้ยังไงกัน”
อันเป็นประเพณี ความเชื่อ กระแส หรืออะไรก็แล้วแต่ เธอพอจะรู้มาบ้างนิดหน่อยว่าถ้าคู่รักร่วมคล้องแม่กุญแจด้วยกันที่หอคอยนัมซาน แล้วโยนกุญแจทิ้ง เชื่อกันว่าความรักของคนทั้งคู่ก็จะไม่มีอะไรมาพรากจากกันไปได้ตราบจนวันตาย
แล้วถ้ามาคล้องคนเดียวมันจะมีความหมายอะไรล่ะ...อายุยืนเหรอ?
“คนเดียวที่ไหน ฉันจะคล้องกับแทยอนต่างหาก”
“...”
“...”
เอากะเขาสิ บทจะน่ารักใสซื่อขี้อายก็มากมายจนน่าเอ็นดู
...บทจะแรง ก็แรง...จนตามไม่ทัน!
นิสัยแบบนี้ เด็กของจริง!
“คะ คล้องด้วยกันได้ไง เราไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ปาไปนาทีกว่า ตั้งสติไว้คิมแทยอน
“ล้อเล่นหรอกน่า”ฝ่ายทิฟฟานี่ก็อายจนแทบอยากกระโจนพุ่งแหลนลงจากโตเกียวทาวเวอร์ซะให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ก็รู้จักตัวเองดีอยู่หรอกว่าเป็นคนประเภทปากตรงกับใจ แถมยังคิดไวพูดไวอีกต่างหาก
สาบานได้ ประโยคเมื่อกี้กว่าจะรู้ตัวว่าพูดออกไปก็ตอนแทยอนตอบกลับมานั่นแหละ
แง่มม! หนูอาย อยากตายเหลือเกิ๊น!
“รู้หรอกว่าล้อเล่น ถ้ามันเป็นความจริงคงฮากันน่าดู”แทยอนทำเป็นไม่สนใจ เปลี่ยนประเด็นพูดทันที “ว่าแต่ดูวิวพอยังเนี่ย จะลงกันไปได้ยัง?”
“ฉันเหนื่อยที่จะบ่นจะว่าคุณแล้วนะคะคุณอิมยุนอา”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักร้องสาวผู้น่ารักขวัญใจคนเกาหลีเกือบทั้งประเทศอย่างซอฮยอนประกาศกร้าวกับผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ที่หลายฝ่ายการันตีคุณภาพการทำงานยอดเยี่ยม แต่จากประสบการณ์การทำงานร่วมกันมาตลอดระยะเวลาที่เลยผ่าน เธอก็ไม่เคยเล็งเห็นถึงความสามารถในด้านนั้นของเจ้าตัวเลยสักนิด
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังอยากที่จะกักเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่ให้มันระเบิดออกมา เนื่องด้วยยังเกรงใจผู้ทำงานในเบื้องบน ไม่ให้เดือดร้อนไปกับปัญหาของเธอ
“ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องทำสิ ฉันไม่ได้บังคับเธอซะหน่อย”เท่านั้นแหละ เส้นประสาทความอดทนอดกลั้นของซอฮยอนก็ขาดสะบั้นลงทันตา
เธอไม่ใช่คนใจร้อน แต่ถ้ามาเจออะไรซ้ำๆเดิมๆมันก็พาลให้อารมณ์เสียได้ โดยเฉพาะกับคนอย่างยุนอาที่ทำให้เธอเบรคแตกตลอดเวลาที่เจอกัน...คนแบบนี้ถ้าทำงานด้วยกันต่อไป มีหวังเจอแต่คำว่าล่มจม กับ เสียหายแหงๆ
เบื้องบง เบื้องบนบ้าอะไรกัน ไม่สนใจแล้วว้อยยย!
“ฉันจะขอเปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่ ใครจะว่ายังไงก็ไม่สนใจแล้ว!”
ยุนอาคิ้วกระตุก ทำเป็นวางฟอร์มไม่สนใจอะไร เธอรู้ดีว่าต่อให้ซอฮยอนจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็หนีเธอไปไม่พ้นหรอก
“ตามใจสิ ไม่มีใครห้ามซะหน่อย”นั่งไขว่ห้างอยู่กับโซฟาสบายใจเฉิบ “แล้วถ้าเธอคิดว่าจะหาผู้จัดการส่วนตัวได้ง่ายๆน่ะนะ”
“ฮึ เอาแต่สร้างปัญหา ทำให้คนอื่นลำบากใจ แค่การเตรียมการโปรเจคเพื่อคัมแบ็คอัลบั้มใหม่ของเธอนี่ทุกคนเขาก็วุ่นวายกันมากพอแล้วนะ”บ่นพึมพำในลำคอ แต่ก็ดังมากพอที่จะทำให้ทุกคนในห้องนี้ได้ยิน
“ใครกันแน่ที่เอาแต่สร้างปัญหา!”ซอฮยอนตวาดลั่น มองยุนอาด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
อย่างที่บอกไปว่าเธอเป็นคนเก็บอารมณ์เก็บ จึงไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะได้เห็นเธอฟิวส์ขาด
ฉะนั้น ใครที่ทำให้เธอเกิดอาการฟิวส์ขาดนี่ สมควรจะพิจารณาตัวเองอย่างเร่งด่วนเลยนะ
“พอได้แล้ว!”และก่อนที่พวกเธอทั้งสองจะได้ฉะกันสมใจอยาก ท่านประธานบริษัทที่นั่งหัวโด่อยู่เงียบๆมานานก็ขัดขึ้นมา
“ท่านประธาน...”
“เกิดมาไม่เคยเห็นผู้จัดการส่วนตัวกับนักร้องทะเลาะกันได้ขนาดนี้เลย ให้ตายสิ”
“ก็ยุนอาเขา..”ซอฮยอนพยายามจะเถียง แต่ก็โดนสายตาพิฆาตจากท่านปรานตอกกลับมาเสียก่อน จึงต้องจำยอมเงียบเสียงลงไป
“เงียบ แล้วฟังฉัน ทั้งคู่เลย”เน้นคำว่า ‘ทั้งคู่’ ยุนอาที่กำลังจะหัวเราะเยาะเย้ยจึงต้องจำหุบปากลง
“ฉันมองเห็นถึงปัญหาความขัดแย้งของพวกเธอสองคนมานานแล้ว และฉันคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากความไม่สนิทสนมของพวกเธอทั้งสองคน”
กวาดตามองนักร้องสาวกับผู้จัดการรอบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำสั่งให้เฉียบขาด
แม้จะรู้ว่าคำสั่งของเขา อาจจะยิ่งเกิดความขัดแย้งและการต่อต้านในตอนนี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ เพื่อที่อนาคตในภายภาคหน้า ต่อไปเรื่อยๆ...เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเข้ากันได้มากกว่านี้
“ดังนั้นเพื่อสร้างความสนิทสนมของพวกเธอให้มากขึ้น ฉันขอสั่งให้ยุนอาย้ายไปอยู่กับซอฮยอนที่คอนโด!”
“แต่ว่า!”
“ไม่มีแต่ อันที่จริง พวกเธอสมควรที่จะอยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้วล่ะนะ”นึกแล้วก็อดเจ็บใจตัวเองไม่ได้ ที่มัวแต่ยุ่งกับงานใหญ่จนไม่มีเวลามาดูแลทุกข์สุขของนักร้องในสังกัดแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าปล่อยให้มันเรื้อรังต่อไปก็อาจนำมาซึ่งปัญหาอันยุ่งยากเกินกว่าจะแก้ได้
ก็ถือว่าโชคดีที่มีทีมงานมาฟ้องเขาทันล่ะนะ ไม่งั้นสองคนนี้ก็คงทะเลาะกันต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดแน่ๆ
“เพราะงั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในฐานะประธานขอสั่งให้อิมยุนอาผู้จัดการส่วนตัวของซอฮยอนเก็บข้าวเก็บของย้ายไปอยู่กับซอฮยอนที่คอนโดไปจนกว่าฮันซึงยอน ผู้จัดการคนเก่าจะกลับมาทำหน้าที่”
“ฉันน่ะ ยังไงก็ได้อยู่แล้วค่ะ”ยุนอายังคงนั่งชิลทำเป็นไม่สนใจ ทั้งๆที่ในใจแทบอยากจะกระโดดโลดเต้นออกมาข้างนอก “ถามความเห็นคุณนักร้องดังเถอะค่ะ”
เพราะภารกิจของเธอมันยังไม่มีอะไรคืบหน้าเสียที ไอ้แหวนบ้าๆวงเดียวแม่เจ้าประคุณก็ดันหวง ไม่ยอมถอดสักที จนเธอเกิดท้อใจ พยายามนึกแผนการล่อลวง(?) เพื่อขโมยแหวนอยู่นาน...แต่แล้วสวรรค์ก็เห็นใจ หลังจากนี้เธอจะได้ไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับซอฮยอนแล้ว อะไรๆก็คงง่ายขึ้นมาก
และเธอมีความมั่นใจเต็มร้อยเลยว่า ซอฮยอนไม่มีทางกล้าปฏิเสธท่านประธานแน่นอน!
“ก็ได้ค่ะ...”ซอฮยอนกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับไปทั้งที่ไม่เต็มใจ แค่เจอหน้ากันครึ่งวันเธอก็เอียนจะแย่ แล้วต่อจากนี้ต้องมาเจอหน้ากันทุกวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เชื่อเถอะว่าเรื่องมันจะยิ่งแย่กว่าเดิม
พี่ซึงยอน ป่านนี้ไปอยู่ที่ไหนรู้ไหมว่าน้องต้องการตัว...
“ถ้าจะคิดถึงกันขนาดนั้น จะย้ายไปอยู่ด้วยกันเลยก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”นางแบบสาวสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง จนผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนจำต้องตามไปง้ออย่างเอาใจ
“สิก้า ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับซึงยอนเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ”
“เพื่อนกัน?แหม ดีนี่ เจอกันแป๊บเดียวก็สนิทสนมกันซะแล้ว”
ยูริถอนหายใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เพื่อนสาวคนสวยนี่เข้าใจเสียที
เมื่อวันก่อน หลังจากที่นั่งคอยแทยอนเป็นเพื่อนเจสสิก้า จนมั่นใจว่านักร้องตัวเล็กไม่มีทางมาแน่แล้ว พวกเธอก็พากันไปหาโรงแรมดีๆอยู่ ในเมื่อคณะท่องเที่ยวนั้นไม่มีแทยอนแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเธอจะตามไป และเมื่อหาโรงแรมจนส่งเจสสิก้าเข้านอน ยูริก็ออกมาเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกตามประสาคนชอบนอนดึกบวกกับจิตใจที่ว้าวุ่นเพราะมีหลากหลายเหตุการณ์เทเข้ามาในชีวิตทำให้ไม่อยากนอน
เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับร้านอาหารเกาหลีเล็กๆท่าทางน่ารัก ด้วยความสนใจจึงเข้าไปดู และได้พบกับซึงยอนลูกสาวเจ้าของร้านที่ออกมาทำหน้าที่แทนแม่ที่ป่วยหนัก
แรกๆก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่ซึงยอนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอ คงเป็นเพราะไม่ได้เจอคนชาติเดียวกันที่มีอายุไล่เลี่ยกันมานาน ก็เลยเกิดเป็นความเหงาล่ะมั้ง
ยิ่งยูริเป็นคนคุยสนุก บวกกับซึงยอนที่เป็นคนร่าเริง จึงทำให้ทั้งคู่สามารถสนิทกันได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาในถึงชั่วโมง พอคุยเสร็จกลับมาที่โรงแรมก็เจอเจสสิก้านั่งหน้ามุ่ยอยู่ ไม่เท่านั้นถามเธอเป็นชุดว่าไปทำอะไรที่ไหนจนตอบแทบไม่ทัน
แต่พอเล่าเรื่องของซึงยอนจบ เจสสิก้าก็มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิดใส่เธอทันที ท่าทางจะโกรธที่เธอทิ้งให้อยู่คนเดียวแหงๆ และจนป่านนี้ก็ยังคงโกรธ ยังคงประชดเรื่อยๆไม่เสื่อมคลาย
“เอาเถอะ...ฉันหิวแล้ว พาไปกินอะไรหน่อยสิ”
“เดินหากันเถอะ”แม้ว่าร้านของซึงยอนจะอยู่ไม่ไกลจากนี้ แถมรสชาติยังอร่อยเข้ากับเจสสิก้า แต่ยูริก็ไม่คิดฆ่าตัวตายด้วยการราดน้ำมันลงบนกองไฟหรอก
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงซึงยอน...ไม่สิ ทุกครั้งที่มีตัว ‘ซึง’ หรือ ‘ยอน’ ออกมาจากปากเลยด้วยซ้ำไป
“หิวแล้วจริงๆนะเนี่ย”เจสสิก้าเริ่มเข้าสู่โหมดอ้อน รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เธอจะอ้อนบ่อย โดยเฉพาะกับควอนยูริเพื่อนสนิทคนนี้
ถ้าถามว่าเมื่อไร ก็นับตั้งแต่วันที่นั่งรอแทยอนจนร้องไห้แล้วยูริคอยนั่งเป็นเพื่อนซับน้ำตาให้นั่นแหละ
ในเวลาที่อ่อนแอจนถึงขีดสุด เมื่อมีเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย ย่อมเกิดอารมณ์หวั่นไหวได้ง่ายๆ ผู้หญิงก็เป็นซะแบบนี้...
เธอยอมรับว่าเธออาจจะดูงี่เง่าไปนิด ที่จู่ๆก็ร้องไห้กลางสถานีรถไฟ แต่เธอก็อยากให้เข้าใจกันหน่อยว่า มันเป็นอารมณ์อ่อนไหวของผู้หญิงจริงๆ
แต่ถึงจะเป็นแค่อารมณ์ที่อ่อนไหว ก็ใช่ว่าจะไร้สาระ ถ้าคนอย่างเธอจะร้องไห้สักครั้งมันต้องมีหลายๆเหตุการณ์เข้ามากดดันจนทนไม่ไหวจริงๆ เพราะงั้นที่เธอร้องไห้มันก็เกี่ยวกับทั้งเรื่องของแทยอนและสืบเนื่องมาจากเรื่องที่เธอคุยกับทิฟฟานี่เมื่อวันก่อนด้วย...แน่นอนว่า มันเกี่ยวกับแทยอนอยู่ดี
มันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะอธิบายทุกส่วนในเรื่องที่เธอและทิฟฟานี่คุยกัน แต่โดยรวมมันก็สรุปออกมาได้ว่าแทยอนนั้นปฏิบัติตัวกับทิฟฟานี่ต่างจากทุกคนจริงๆ และแน่นอนว่ามันต่างในเชิงบวก
นั่นทำให้เธอเกิดความข้องใจในความสัมพันธ์และความรู้สึกของแทยอนที่มีต่อทิฟฟานี่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จนกระทั่งตอนที่แทยอนวิ่งและทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพียงเพื่อออกไปตามหาทิฟฟานี่...เท่านั้น มันก็เหมือนจะตอบข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ที่เธอยังรอ นั่งรอเป็นชั่วโมงนั้น เป็นเพราะว่า...เธอไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี สุดท้ายเลยลงเอยด้วยน้ำตา
บางที...ถ้าแทยอนตัดสินใจมาพูดกับเธอตรงๆว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินเพื่อน และมีความรู้สึกดีๆให้ทิฟฟานี่มากกว่าที่มีให้เธอ เธออาจจะยอมหลีกทางให้โดยง่ายก็เป็นได้
ดูเป็นนางเอกไปไหม...ก็ไม่เชิง เธอแค่เป็นคนมีเหตุผลในตัวเองพอสมควร
ถึงจะวีน จะเหวี่ยง จะแรง จะร้าย...แต่ก็รู้ได้เองว่าอะไรที่ควรทำ
โดยปกติแล้วคนแรงๆเหวี่ยงๆอย่างพวกเธอ รู้ดีไม่ต่างจากคนอื่นนั่นแหละว่าอะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ อะไรที่ทำแล้วดี อะไรที่ทำแล้วมันแย่...ทุกอย่างมันแค่ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
วกกลับมาที่เรื่องของเจ้าชายขี่ม้าขาว เอ่อ...ควอนยูริ เพื่อนสนิทของเธอ ที่เธอเพิ่งจะมาตระหนักได้ถึงความดีของเจ้าตัว
ถ้าไม่มีเรื่องเมื่อวันก่อน บางทีเธออาจจะไม่ได้รู้ซึ้งและคิดทบทวนถึงความดีของยูริทั้งหมดที่ผ่านมาเลยก็เป็นได้...ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ยูริเป็นคนแรกๆที่รับรู้และให้ความช่วยเหลือเสมอ จนตอนนี้เธอรู้สึกดีแบบแปลกๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอาแต่ทุ่มเทกับการวิ่งไล่ตามคนอื่น โดยไม่ได้รับรู้เลยว่า ยังมีอีกคนที่วิ่งตามเธอข้างหลังและคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ...เธอเลยไม่อยากที่จะสูญเสียยูริไป เขาเป็นเพียงเพื่อนคนเดียวที่หวังดีกับเธอมาโดยตลอด
เพราะงั้น ก็เลยเริ่มรู้สึกหวงและไม่ชอบที่ยูริไปสนิทสนมกับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ
“วันสุดท้ายทั้งที ฉันขอเที่ยวสนุกกับแฟนคลับที่น่ารักทั้งหลายให้สุดเหวี่ยงไปเลยไม่ได้เหรอ”ซูยองร้องโอดครวญ “ทำไมจะต้องมาคอยเซอร์วิสด้วยการตัวติดทำเป็นสวีทกับยัยพี่เตี้ยด้วย!”
เรื่องทั้งหมด เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ยุนโฮดันไปแอบได้ยินแฟนคลับส่วนหนึ่งที่มาร่วมกิจกรรมเที่ยวในครั้งนี้เวิ่นเว้อกันถึงเรื่องคู่จิ้นสูงเตี้ยเรี่ยดินอย่าง ‘ซูซัน’ ผู้จัดการหนุ่มจึงบังเกิดเป็นไอเดียเซอร์วิสแฟนๆของวง Chocolate เป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับเกาหลี
เดิมที เขาเอาเรื่องไปปรึกษาฮโยยอนก่อน เพราะเจ้าตัวได้ชื่อว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ และตัดสินอะไรได้เฉียบขาดพอๆกับแทยอน ซึ่งเจ้าตัวก็เห็นด้วย จึงเอาข่าวสารไปกระจายกับสมาชิกคนอื่นในวงให้รับทราบ แต่หลังจากนั้นมันก็ดันเกิดปัญหาขึ้นมา
ซูยองมันเสือกไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วยตอนนี้น่ะสิ...
มันบอกว่าจะเล่นกับแฟนคลับของมัน ดูมันพูดสิคะคุณผู้ชม
“ทำไม อยู่กับฉันนี่มันลำบากนักหรือไงห๊ะ!”ไม่ต้องพูดถึงจิตใจของซันนี่ตอนที่ถูกซูยองปฏิเสธเลย...เปล่า เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะมานั่งดราม่าเศร้าโศกเสียใจอาลัยในรักที่ผิดหวังแน่นอน มันเป็นอารมณ์ประเภทที่เรียกว่า ‘โกรธ’ มากกว่า
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างน้านนน”คนตัวสูงรีบโบกมือเป็นพัลวัน กลัวพี่สาวร่วมวงจะเข้าใจผิด จนนำไปสู่การทะเลาะกันแบบเดิมๆได้
“ฉันแค่อยากอยู่กับแฟนคลับอ้ะ”
“อย่าเอาแต่ใจนักสิคะพี่ซูยอง”ไอยูพยายามพูดโน้มน้าวเพื่อหวังจะให้คนอายุมากกว่าเข้าใจและยอมรับการเซอร์วิสแฟนโดยดี
กะอีแค่แกล้งทำเป็นสวีทกันมันจะไปยากอะไร บางทีเธอกับพี่แทยอนยังทำกันเล่นๆแกล้งแฟนคลับเลย
“วันเดียวเอง ถึงจะกลั้นใจก็ทนทำไปเถอะ เพื่อเหล่าแม่ยกซูซัน”ฮโยยอนเข้าเสริมช่วยพูดอีกแรงหนึ่ง โดยการเอาแฟนคลับมาอ้าง ก็หวังว่าเด็กตัวสูงโย่งนี่จะเข้าใจอะไรๆโดยง่ายแล้วยอมทำตามคำขอแฝงคำสั่งของพวกเธอล่ะนะ
หมั่นไส้จริงๆ ทีเมื่อก่อนจะให้เซอร์วิสเมื่อไรก็ทำได้ทันทีไม่มีรีรอ...แล้ววันนี้มันเกิดนึกหวงเนื้อหวงตัวขึ้นมาทำสากกะเบืออะไรของมัน
“ไม่เป็นไรหรอกฮโย ถ้าเด็กมันจะรังเกียจกันขนาดนั้นก็ไม่เป็นไร”จ้องด้วยสายตาแข็งกร้าวและห่างเหิน “ฉันไปสร้างคู่จิ้นใหม่ก็ได้ เซอร์วิสยูซันกับฮโยซันซะเลย”
บอกตามตรงว่าพูดไปเพราะอารมณ์โกรธและความต้องการที่จะประชดล้วนๆ
ไอ้เด็กบ้านี่ แค่ซื่อบื้อไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเธอก็หงุดหงิดมากพอแล้วนะ นี่จะยังชอบแสดงออกว่าเห็นคนอื่นสำคัญมากกว่าเธออีก ได้ข่าวว่ารู้จักกันมานานหลายปีแล้ว อยู่วงเดียวกัน อยู่หอพักเดียวกัน เคยนอนห้องเดียวกันด้วยซ้ำไป...แต่เธอกลับแพ้แฟนคลับของเจ้าตัวที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
ทำไม? เธอมีอะไรๆด้อยกว่ายัยนั่นตรงไหน ลองบอกมาสิ...โด่เอ๊ย ยัยนั่นน่ะก็แค่หุ่นดี ตัวสูง รูปร่างเพรียว น่ารัก เรียบร้อย อ่อนหวาน มีความเป็นใหญ่ แถมยังสวยมากกว่าเธอเท่านั้นเอ๊ง
“โว๊ะ!เตี้ยแล้วยังจะขี้น้อยใจอีกนะ”เออ ใจกว้างมากกว่าเธอด้วย
ซันนี่จ้องซูยองเขม็ง แสดงอาการโกรธตามแบบของตัวเองอย่างเปิดเผยจนคนถูกโกรธต้องแอบลอบหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความขำขัน
เธอแค่ทำเป็นเล่นตัวเพื่อแกล้งยั่วอารมณ์พี่สาวตัวเล็กนิดหน่อยพอเป็นสีสัน ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะเก็บมาคิดน้อยใจเป็นจริงเป็นจังไปได้
ถึงยังไง เธอก็ยอมทำอยู่แล้วล่ะน่า ก็การได้แกล้งเซอร์วิสแฟนๆกับซันนี่น่ะ มันสนุกจะตายไป...ปกติพวกเธอสองคนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่แฟนคลับว่าเป็น ‘คู่รักคู่กัด’ ฉะนั้นการแสดงออกของพวกเธอส่วนใหญ่จึงเป็นแบบการทะเลาะกันการแกล้งกันฮาๆแบบเพื่อนมากกว่าแบบคนรักกัน
“ฉันแค่แกล้งหน่อยเดียวเองน่า มามะ มาสวีทกันเถอะจ้ะคุณพี่ที่รัก”
“เลิกเล่นได้แล้ว รีบๆเอากุญแจออกซะ ลงไปหาอะไรกินกัน”หลังจากที่ตกลงว่าจะเซอร์วิสกันแล้ว ทั้งซูยองและซันนี่ก็แยกตัวออกมา(แกล้งทำเป็น)สวีท โดยไร้ซึ่งมารหัวใจมากั้นขวาง และนับว่าการสร้างกระแสครั้งนี้ค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว เหล่าแฟนคลับส่วนใหญ่ต่างมีท่าทีดีอกดีใจและกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่โตที่เห็นพวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน
พวกเธออยู่ด้วยกันมาตลอด และเมื่อเดินทางมายังโตเกียวทาวเวอร์นี่ด้วยก็เช่นกัน พวกเธอก็ยังคงสวีทเซอร์วิสแฟนคลับกันต่อไป...จนกระทั่งซูยองมันเกิดนึกคึกเล่นพิเรนทร์เอากุญแจไปคล้องโตเกียวทาวเวอร์นั่นแหละ ทุกคนก็หนีหายกันไปหมด ทิ้งให้เธอต้องทนแบกหน้าอับอายอยู่กับมันต่อไป
จู่ๆจะให้มาทิ้งกันไปก็คงไม่ได้ล่ะเนอะ
“แล้วคนอื่นๆล่ะ”ซูยองปลดล็อคกุญแจพร้อมกับถามไปด้วย และแน่นอนว่าย่อมได้รับคำตอบที่แฝงไปด้วยคำประชดอันเจ็บแสบของสาวน้อยตัวเล็กน่ารักอย่างเธอ
“ลงกันไปเป็นชาติแล้วย่ะ ก็เธอมัวแต่คล้องกุญแจอยู่นั่น”
“อ่า..ถ้างั้นรีบไปกันเถอะ”ปลดล็อคเสร็จเรียบร้อย ซูยองก็คว้ามือซันนี่ ลากกึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อลงไปสมทบกับคนอื่นๆที่ป่านนี้คงรอพวกเธอจนเหงือกแห้งแล้ว แต่ในขณะเดียวกันปากที่ยังว่างๆก็บ่นอะไรเรื่อยเปื่อยตามตามทางจนกระทั่งนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงรีบชิงพูดเสียก่อน
“พี่ต้องเลี้ยงอาหารฉันนะ”
ในวันสุดท้ายนี้ ทางคณะค่อนข้างจะปล่อยเที่ยวกันแบบตามใจ เพราะสถานที่เที่ยวนั้นเป็นย่านที่ให้เลือกซื้อของและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ซึ่งเธอจำไม่ได้แล้วว่ามันเรียกว่าอะไร จึงคิดว่ามันคงเป็นการดีกว่าหากจะให้ทุกคนแยกย้ายกันมีเวลาส่วนตัวไปซื้อของตามใจชอบ และแน่นอนว่าถ้าเป็นแบบนั้น คงเป็นการยากที่ทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างแยกกันไปเลยคงจะดีกว่า
“เหอ...เรื่องอะไร ทำไมฉันต้องเลี้ยงด้วย”ซันนี่หน้าเหวอ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เธอไม่ใช่คนยากคนจน แค่อยากจะรู้เหตุผลเท่านั้นเอง
จริงๆแล้วพวกเธอสมควรที่จะหยุดการเซอร์วิสตั้งนานแล้ว แต่เพราะทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะแยกกันไปทำไม ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว จะอยู่ต่อด้วยกันอีกคงไม่เป็นไร
หรือเป็นเพราะส่วนหนึ่งนั้นมาจากความต้องการของซันนี่ก็ไม่อาจจะทราบได้...
“ตอนนี้เงินในกระเป๋าฉันไม่ค่อยมี นะ นะ นะ นะ น๊า”ท่าทางอ้อนแบบน่ารักๆอันไม่เหมาะสมกับตัวคนทำอย่างยิ่งยวดถูกงัดออกมาใช้ เชื่อว่าถ้าคนที่มันอ้อนเป็นคนอื่น ป่านนี้มันคงโดนยันโครมไปแล้ว
แต่เพราะว่าคนที่อยู่ตรงนี้ คนที่ซูยองอ้อนคือเธอ...มันก็เลยยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้
“เออ เลี้ยงก็เลี้ยง นี่เห็นใจเพราะสงสารลูกนกลูกกาหรอกนะเนี่ย”
“บ๊ะ! พี่ซันนี่น่ารักที่สุดเลย”โผเข้ากอดคนตัวเล็กกว่าด้วยความรักและซาบซึ้งในบุญคุณอันเหลือล้น
มัวแต่ดีใจที่จะได้กินของฟรีอยู่ เลยไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของคนโดนกอดเลยแม้แต่น้อย
เพราะถ้าเกิดว่าซูยองจะเกิดเอะใจ หันมาพินิจดูสีหน้าท่าทางของพี่สาวตัเล้กสักหน่อย เจ้าตัวจะสามารถรับรู้ได้เลยว่า
ระหว่างหน้าของซันนี่กับมะเขือเทศ อะไรมันแดงมากกว่ากัน
นับว่าตอนนี้ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดสำหรับทิฟฟานี่เลยทีเดียว
ถามจริงเถอะ มีใครบ้างในโลกนี้ ที่จะได้เที่ยว เอ่อ...จริงๆแล้วมันก็เป็นเดินเที่ยวที่ไม่ต่างจากเดทเท่าไร กับนักร้องในดวงใจสองต่อสอง ได้กินข้าวด้วยกัน แถมยังเลือกซื้อของด้วยกันอีกต่างหาก ถ้าให้มองกันเผินๆคงดูเหมือนคู่รักสักคู่มาเดทกันแน่ๆ
ถึงจะดูเว่อร์ แต่ยอมรับเลยว่ามันยิ่งกว่าที่เธอเคยฝันเอาไว้ก่อนจะมาที่นี่เสียอีก
เลยรู้สึกว่าที่จ่ายยุนอาไปกับการจารกรรมบัตรนั้น ช่างคุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ
“เดินมานานแล้ว หิวน้ำหรือยัง”จู่ๆแทยอนก็ยิงคำถามใส่เธอ ด้วยความที่ตั้งรับไม่ค่อยทันจึงตอบกลับไปแบบเกรงใจเล็กน้อยถึงแม้ว่าจะหิวมากก็เถอะ
เป็นสาวเป็นนางนะคะ...ต้องทำตัวให้เป็นกุลสตรีหน่อยสิเค๊อะ!...แต่ได้ข่าวว่าภาพพจน์กุลสตรีมันหลุดลุ่ยย่อยยับมานานแล้ว?
“นิดหน่อยน่ะค่ะ”
“แต่ฉันหิวน้ำมากๆแล้ว เราเข้าไปแวะซื้อกันก่อนเถอะ”ไม่ฟังคำทัดทานอะไร เดินฉิวๆพร้อมกับลากทิฟฟานี่เข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ใกล้มากที่สุด และกว่าสาวตายิ้มจะรู้สึกตัวทั้งคู่ก็เข้ามานั่งในร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...มิหนำซ้ำ แทยอนยังสั่งเมนูทั้งของตัวเองและเผื่อเธอเสร็จสรรพแล้วอีกต่างหาก
“แล้วแทยอนจะถามความเห็นจากฉันทำไม”
“ตามมารยาทไง”ตอบพร้อมยักคิ้วกวนหนึ่งทีตามประสา “เออนี่...เธอไม่เบื่อเหรอ ที่เอาแต่เรียกฉันว่าแทยอนๆน่ะ”
ตั้งแต่ได้เที่ยวด้วยกัน...ไม่สิ จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยต่างหาก ทิฟฟานี่ก็เอาแต่เรียกเธอว่า ‘แทยอน’ อยู่เสมอ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะถึงอย่างไรชื่อ ‘แทยอน’ มันก็เป็นชื่อจริงของเธอ ไอ้ที่เธอสงสัยน่ะคือไม่เข้าใจว่าทั้งๆที่สนิทสนมกันได้ระดับหนึ่งขนาดนี้แล้ว ทำไมสาวตายิ้มถึงไม่เรียกแทนเธอด้วยคำอะไรๆที่มันง่ายกว่านี้ แม้กระทั่งคำว่า ‘เธอ’ ก็ยังไม่เคยได้ยิน
“แล้วถ้าฉันเบื่อ จะให้ฉันเรียกแทยอนว่าอะไรล่ะคะ”
“เธอ แท แทงกู อะไรก็ได้ มันจะได้ดูสนิทสนมกันหน่อยไง”แทยอนเสนอความเห็นตามใจตัวเอง โดยไม่ลืมยกตัวอย่าง “ทีฉันยังเรียกเธอด้วยคำว่า เธอ กับ ฟานี่เลย”
“ขอเอาชื่ออื่นได้ไหม ไม่อยากซ้ำกับคนอื่น”ทิฟฟานี่ว่า พลางนั่งนิ่งใช้สมาธิอยู่คนเดียว ไม่สนแม้ว่าพนักงานจะเอาน้ำอะไรทั้งหลายทั้งแหล่ที่แทยอนสั่งมาให้ เพราะตอนนี้เรื่องของ ‘ชื่อ’ นั้นสำคัญกว่า
มันเป็นโอกาสที่เธอจะมีสิทธิ์ในตัวแทยอนอย่างเนียนๆเลยนะเนี่ย
“เอาสิ ถ้าเธอคิดออกก็ว่ามาเลย”นักร้องสาวว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาบ้าง “จะว่าไปแล้วมันก็ดูน่าสนุกนะ งั้นฉันเอาบ้างดีกว่า”
เท่านั้นแหละ สติของทิฟฟานี่ก็กระจัดกระจายกระเจิงทันที!
จากที่เพ่งสมาธิกับการคิดชื่อใหม่ให้แทยอน ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องเพ้อๆเข้าโหมดโลกส่วนตัวของตัวเองไปแทน
คิดดูสิ...คนสองคน ที่ต่างฝ่ายต่างมีชื่อเฉพาะที่เอาไว้เรียกกันเอง มันจะโรแมนติกมากขนาดไหน อย่างกับแฟนกันเลยแฮะ
แฟนกันเหรอ...แฟนกัน...แอร๊ยยยยย! เขินอ๊ะ!
“อือ...ชื่อมิมองเป็นไง”
“คิดตัดหน้ากันนี่นา”โวยเล็กๆอย่างไม่คิดจริงจัง “แล้วที่สำคัญ รู้สึกว่านั่นมันจะเป็นชื่อจริงฉันนะคะ”แหงล่ะนี่คือแทยอนเชียวนะ จะให้โกรธได้ลงคอเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอกน่า สำหรับเธอไม่ว่าแทยอนจะทำอะไรมันก็ดีไปหมดนั่นแหละ
แต่ก็อาจจะยกเว้นเรื่องชื่อจริงชื่อนี้ มันเป็นชื่อที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย
“อ้าว ไม่ได้หรอกเหรอ เสียดายจัง...ฉันชอบชื่อนี้มากเลยนะ”แทยอนหน้าหงอยลงถนัดตา จนเธอรู้สึกสงสารแปลกๆ ลองชั่งใจดูเล็กน้อยระหว่างความพอใจส่วนตัวกับความสุขของแทยอน
“งั้นก็ตามใจค่ะ มิยองก็มิยอง”ยอมให้เรียกเพราะเป็นแทยอนคนเดียวเลยนะเนี่ย ใครคนอื่นกล้ามาเรียกแม่จะตบหน้าหงายเงิบ ก็ชื่อเชยออกปานนั้น
เธอชอบแทยอน ชอบเวลาที่ตัวเองได้อยู่กับแทยอน และแน่นอนว่าเธอชอบให้แทยอนมีความสุข อยากให้แทยอนมีความสุขตลอดเวลา ทั้งเวลาที่ได้เจอกันและต่อให้ไม่เจอกันก็ตาม...เพราะงั้น ยอมให้หน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“มิยองคิดชื่อให้ฉันเสร็จยังอ่า”นั่น พออนุญาตปุ๊บก็ใช้งานปั๊บ น่ารักจริงเชียว (ว่าที่)แฟนใครไม่รู้(?)
ทิฟฟานี่นั่งคิดอีกพักใหญ่ หลังจากนั้นก็ดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วจ้องหน้าแทยอนเขม็งด้วยสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยม
“งั้นชื่อแทแทได้ไหม”ถามด้วยความไม่แน่ใจ “มีใครเรียกแล้วหรือเปล่า”
“ยังไม่มีนะ..แต่ดูแบ๊วไปป่ะเนี่ย”เท่าที่ตัวแทยอนเองจำได้ก็คิดว่ายังไม่น่าจะมี อย่างเพื่อนร่วมวงกับนางแบบสาวเจสสิก้าเองก็เรียกแค่ ‘แท’ สั้นๆเท่านั้น ไม่เคยมีใครคิดอุตริเติม ‘แท’ อีกตัวเพื่อเสริมสร้างความแบ๊วแต่อย่างใด
“น่ารักดีออก ไม่ชอบเหรอ”
“ชอบเหรอ? ชอบก็ได้”ยอมให้เรียกสักหน่อยคงไม่เสียหาย ถึงอย่างไรก็มีแค่ทิฟฟานี่คนเดียวนี่นะที่เรียกเธอแบบนี้
“งั้นต่อไปนี้ฉันจะเรียกแทแทตลอดเลยนะคะ”ทิฟฟานี่รีบพูดสรุปแบบเออเองเสร็จสรรพ เพื่อป้องกันไม่ให้แทยอนเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมให้เธอเรียกชื่อนี้ขึ้นมาแล้วมันจะแย่
“ฉันก็จะเรียกเธอว่ามิยองด้วยแหละน่า”ฝ่ายแทยอนก็ตั้งหน้าตั้งตาบอกอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องชื่อนี้ต่อไป พนักงานก็ยกเค้กก้อนเล็กๆสองก้อนที่คาดว่าแทยอนคงสั่งเอาไว้เข้ามาเสิร์ฟให้
“อ๊ะ เค้กมาแล้วๆ”
แทยอนมีท่าทางร่าเริงขึ้นมากเมื่อเค้กมาถึง อันที่จริงทิฟฟานี่ก็พอรู้จากประวัติตามที่อ่านในเว็ปต่างๆมาอยู่บ้างว่าแทยอนชื่นชอบการกินของหวานอย่างมากมาย แต่ก็คิดแค่ว่าคงเป็นการชอบกินแบบกินให้รู้รสชาติ ไม่ใช่กินแบบตั้งหน้าตั้งตาตั้งอกตั้งใจกินซะขนาดนี้
ดูเอาเถอะ...หมดจานภายในระยะเวลาสิบห้าวินาที บันทึกสถิติโลกได้เลยมั้งเนี่ย
“แทแทชอบกินเค้กมากขนาดนั้นเชียว”
“ก็ไม่เชิงหรอก..จริงๆแล้วฉันชอบไอศกรีมกับพุดดิ้งมากกว่านะ”แต่ปัญหาคือในร้านนี้ไม่มีเท่านั้นเอง “เค้กมันก็รองลงมา อร่อยดีกินได้เหมือนกัน”
“ฉันทำเค้กเป็นนะคะ”แล้วจู่ๆทิฟฟานี่ก็เอ่ยเสนอตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนแทยอนประหลาดใจ
อย่าว่าแต่แทยอนเลย ตัวเธอเองยังตกใจตัวเองเลย...
ความจริงแล้ว เธอน่ะทำเค้กเป็นซะที่ไหนล่ะ! อย่าว่าแต่เค้กเลย ฝีมือการทำอาหารง่ายๆหยาบๆอย่างพวกไข่เจียว ไข่ตุ๋น ไข่ดาวยังอยู่ในขั้นเด็กอนุบาลส่ายหน้าให้ด้วยความระอาใจ
แต่ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆปากมันก็เผลอหลุดพูดออกไปเอง
“เห จริงดิ”แทยอนทวนถามด้วยความประหลาดใจเจือสนใจนิดๆ เพราะเธอเองก็ชื่นชอบการลิ้มรสเค้กอร่อยๆจากทั่วสารทิศอยู่แล้ว แต่เพราะมีงานหนักจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างไปซื้อมาลองนัก ปัจจุบันจึงได้แต่กินร้านเก่าๆเดิมๆบริเวณใกล้หอพักของวงChocolate
และถ้ามีคนที่รู้จักทำเป็นมันก็คงเป็นเรื่องดี เธอจะได้ลองเค้กรสชาติใหม่ๆแบบที่ไม่เคยพบเจอ แถมยังไม่เสียเงินอีกต่างหาก
ก็ทิฟฟานี่เสนอตัวมาขนาดนี้ คงรับรองได้ว่ารสชาติอร่อยพอสมควรล่ะมั้ง?
ฝ่ายคนทำเค้กไม่เป็นแต่โกหกว่าทำเป็นตอนนี้ก็เกิดอาการลนลานสติแตกอีกครา
“จริงสิคะ เอาไว้วันไหนว่างๆจะทำส่งไปให้กินเล่นที่หอพัก” เน้! มีการเสนอตัวอีก อยู่เฉยๆไม่ได้หรือไงกันนะทิฟฟานี่
“สัญญาแล้วนะ ห้ามลืมเด็ดขาดเลยล่ะ” แทยอนยิ้มกว้าง ท่าทางมีความสุข และไม่ลืมยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกันกับทิฟฟานี่
“แล้วฉันจะรอกินเค้กของมิยองนะ”
โอเค...เธอว่าเธอรู้แล้วล่ะว่าหลังจากที่เธอกลับไปเกาหลีนั้น เธอจะใช้เวลาว่างที่มีทำอะไรดี จำได้ว่าแถวๆคอนโดเคยมีคนมาติดป้ายโฆษณาโรงเรียนสอนทำขนมอยู่พอดี...
***********************************
จบลงแล้ว ในที่สุดก็จบซะที เหนื่อยกันมากใช่ไหมตอนนี้555
เข้าใจหน่อย มันดำเนินมาถึงกลางๆเรื่องแล้ว ความรุ้สึกของทุกคนมันต้องพัฒนากันบ้าง
(มันควรจะพัฒนาตั้งนานแล้วนะตัวเธอว์)
แต่ก็นั่นแหละ จริงๆแล้วความรู้สึกของคนเรามันน่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป
อาจจะงง อาจจะสับสนไปนิด...แต่ก็จงงงและสับสนต่อไป(?)555
แต่ว่ากันตามตรงแล้ว สิก้าก็ยังไม่ค่อยชัดเจนกับยูริเท่าไรแฮะ
จะว่ายังไงดีล่ะ ความรู้สึกมันออกไปในแนวหวงมากกว่าหึง
แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน ฟิคเรื่องนี้ยังเหลืออีกหลายสิบตอนกว่าจะจบ- -
ปล.ว่าแต่เจ๊ซึงยอนมาทำอะไรที่เจแปน?5555
ความคิดเห็น