ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm yours ฉันรักเธอแล้ว รับผิดชอบด้วยล่ะ [SNSD] (Yuri)

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13 : ชื่อเฉพาะ?

    • อัปเดตล่าสุด 9 ธ.ค. 54





    Chapter 13 :
    ชื่อเฉพาะ?

     

     

    นี่ๆ ไอ้โตเกียวทาวเวอร์เนี่ย มันคล้องกุญแจได้เหมือนหอคอยนัมซานป่ะ


    ไม่รู้แฮะ แต่ไม่เห็นมีคนทำกันเลยนะแทยอนหันซ้ายหันขวา มองไปทางไหนก็มีแต่ที่โล่งไร้กุญแจ แหงล่ะเกิดมาเธอก็เคยเห็นคู่รักคล้องกุญแจกันที่หอคอยนัมซานประเทศเกาหลีใต้บ้านเกิดเธอเท่านั้น แถมมันยังเป็นความนิยมที่สืบเนื่องมาจากซีรี่ส์ยอดฮิตของเกาหลีใต้ ถ้าเอาไปทำที่ประเทศอื่นคงดูพิลึกไม่หยอก


    อยากลองดูอ่ะท่าทางราวกับเด็กๆของทิฟฟานี่เรียกรอยยิ้มจากแทยอนได้ไม่น้อย อยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้ว เธอยังไม่ชินกับนิสัยของสาวเจ้าเลยจริงๆ หากแต่ ไม่ชินก็ไม่ได้หมายความว่าจะ ไม่ชอบ


    ถ้าถามว่าเพราะอะไรถึงไม่ชิน เธอก็ไม่อาจกล้าตอบได้เต็มปากนักว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะชั่วชีวิตของเธอ ที่มีผู้คนอันหลากหลายเข้ามาหานั้น ต่างก็ปฏิบัติตนราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอ จริงอยู่ที่บางคราวทิฟฟานี่ก็เป็นแบบนั้น แต่ก็เป็นเฉพาะเวลาอยู่กับเจสสิก้าเท่านั้น ซึ่งท่าทางเหมือนเด็กหวงของเล่นแบบนั้นก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ไม่หยอก


    เป็นแฟนคลับในแบบที่ไม่เคยพบไม่เคยเจอเลยจริงๆ


    นิสัยช่างเพ้อฝัน ซุ่มซ่าม โก๊ะๆ ราวกับหลุดมาจากละครหลังข่าวซะขนาดนั้น


    ไม่ดีมั้ง ขืนทำแบบนั้นคนอื่นเขาคงได้มองเธอเป็นคนบ้าชัวร์แทยอนยิ้ม ที่สำคัญคือ การคล้องกุญแจน่ะ ฉันได้ข่าวว่ามีไว้สำหรับคู่รัก แล้วเธอจะคล้องคนเดียวได้ยังไงกัน


    อันเป็นประเพณี ความเชื่อ กระแส หรืออะไรก็แล้วแต่ เธอพอจะรู้มาบ้างนิดหน่อยว่าถ้าคู่รักร่วมคล้องแม่กุญแจด้วยกันที่หอคอยนัมซาน แล้วโยนกุญแจทิ้ง เชื่อกันว่าความรักของคนทั้งคู่ก็จะไม่มีอะไรมาพรากจากกันไปได้ตราบจนวันตาย


    แล้วถ้ามาคล้องคนเดียวมันจะมีความหมายอะไรล่ะ...อายุยืนเหรอ?


    คนเดียวที่ไหน ฉันจะคล้องกับแทยอนต่างหาก


    ...


    ...


    เอากะเขาสิ บทจะน่ารักใสซื่อขี้อายก็มากมายจนน่าเอ็นดู


    ...บทจะแรง ก็แรง...จนตามไม่ทัน!


    นิสัยแบบนี้ เด็กของจริง!


    คะ คล้องด้วยกันได้ไง เราไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อยกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ปาไปนาทีกว่า ตั้งสติไว้คิมแทยอน


    ล้อเล่นหรอกน่าฝ่ายทิฟฟานี่ก็อายจนแทบอยากกระโจนพุ่งแหลนลงจากโตเกียวทาวเวอร์ซะให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ก็รู้จักตัวเองดีอยู่หรอกว่าเป็นคนประเภทปากตรงกับใจ แถมยังคิดไวพูดไวอีกต่างหาก


    สาบานได้ ประโยคเมื่อกี้กว่าจะรู้ตัวว่าพูดออกไปก็ตอนแทยอนตอบกลับมานั่นแหละ


    แง่มม! หนูอาย อยากตายเหลือเกิ๊น!


    รู้หรอกว่าล้อเล่น ถ้ามันเป็นความจริงคงฮากันน่าดูแทยอนทำเป็นไม่สนใจ เปลี่ยนประเด็นพูดทันที ว่าแต่ดูวิวพอยังเนี่ย จะลงกันไปได้ยัง?”


     

     

    ฉันเหนื่อยที่จะบ่นจะว่าคุณแล้วนะคะคุณอิมยุนอา


    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักร้องสาวผู้น่ารักขวัญใจคนเกาหลีเกือบทั้งประเทศอย่างซอฮยอนประกาศกร้าวกับผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ที่หลายฝ่ายการันตีคุณภาพการทำงานยอดเยี่ยม แต่จากประสบการณ์การทำงานร่วมกันมาตลอดระยะเวลาที่เลยผ่าน เธอก็ไม่เคยเล็งเห็นถึงความสามารถในด้านนั้นของเจ้าตัวเลยสักนิด


    แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังอยากที่จะกักเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่ให้มันระเบิดออกมา เนื่องด้วยยังเกรงใจผู้ทำงานในเบื้องบน ไม่ให้เดือดร้อนไปกับปัญหาของเธอ


    ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องทำสิ ฉันไม่ได้บังคับเธอซะหน่อยเท่านั้นแหละ เส้นประสาทความอดทนอดกลั้นของซอฮยอนก็ขาดสะบั้นลงทันตา


    เธอไม่ใช่คนใจร้อน แต่ถ้ามาเจออะไรซ้ำๆเดิมๆมันก็พาลให้อารมณ์เสียได้ โดยเฉพาะกับคนอย่างยุนอาที่ทำให้เธอเบรคแตกตลอดเวลาที่เจอกัน...คนแบบนี้ถ้าทำงานด้วยกันต่อไป มีหวังเจอแต่คำว่าล่มจม กับ เสียหายแหงๆ


    เบื้องบง เบื้องบนบ้าอะไรกัน ไม่สนใจแล้วว้อยยย!


    ฉันจะขอเปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่ ใครจะว่ายังไงก็ไม่สนใจแล้ว!”


    ยุนอาคิ้วกระตุก ทำเป็นวางฟอร์มไม่สนใจอะไร เธอรู้ดีว่าต่อให้ซอฮยอนจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเจ้าหล่อนก็หนีเธอไปไม่พ้นหรอก


    ตามใจสิ ไม่มีใครห้ามซะหน่อยนั่งไขว่ห้างอยู่กับโซฟาสบายใจเฉิบแล้วถ้าเธอคิดว่าจะหาผู้จัดการส่วนตัวได้ง่ายๆน่ะนะ


    ฮึ เอาแต่สร้างปัญหา ทำให้คนอื่นลำบากใจ แค่การเตรียมการโปรเจคเพื่อคัมแบ็คอัลบั้มใหม่ของเธอนี่ทุกคนเขาก็วุ่นวายกันมากพอแล้วนะบ่นพึมพำในลำคอ แต่ก็ดังมากพอที่จะทำให้ทุกคนในห้องนี้ได้ยิน


    ใครกันแน่ที่เอาแต่สร้างปัญหา!”ซอฮยอนตวาดลั่น มองยุนอาด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด


    อย่างที่บอกไปว่าเธอเป็นคนเก็บอารมณ์เก็บ จึงไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะได้เห็นเธอฟิวส์ขาด


    ฉะนั้น ใครที่ทำให้เธอเกิดอาการฟิวส์ขาดนี่ สมควรจะพิจารณาตัวเองอย่างเร่งด่วนเลยนะ


    พอได้แล้ว!”และก่อนที่พวกเธอทั้งสองจะได้ฉะกันสมใจอยาก ท่านประธานบริษัทที่นั่งหัวโด่อยู่เงียบๆมานานก็ขัดขึ้นมา



    ท่านประธาน...


    เกิดมาไม่เคยเห็นผู้จัดการส่วนตัวกับนักร้องทะเลาะกันได้ขนาดนี้เลย ให้ตายสิ


    ก็ยุนอาเขา..ซอฮยอนพยายามจะเถียง แต่ก็โดนสายตาพิฆาตจากท่านปรานตอกกลับมาเสียก่อน จึงต้องจำยอมเงียบเสียงลงไป


    เงียบ แล้วฟังฉัน ทั้งคู่เลยเน้นคำว่า ทั้งคู่ยุนอาที่กำลังจะหัวเราะเยาะเย้ยจึงต้องจำหุบปากลง


    ฉันมองเห็นถึงปัญหาความขัดแย้งของพวกเธอสองคนมานานแล้ว และฉันคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากความไม่สนิทสนมของพวกเธอทั้งสองคน


    กวาดตามองนักร้องสาวกับผู้จัดการรอบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำสั่งให้เฉียบขาด


    แม้จะรู้ว่าคำสั่งของเขา อาจจะยิ่งเกิดความขัดแย้งและการต่อต้านในตอนนี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ เพื่อที่อนาคตในภายภาคหน้า ต่อไปเรื่อยๆ...เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเข้ากันได้มากกว่านี้


    ดังนั้นเพื่อสร้างความสนิทสนมของพวกเธอให้มากขึ้น ฉันขอสั่งให้ยุนอาย้ายไปอยู่กับซอฮยอนที่คอนโด!”


    แต่ว่า!”


    ไม่มีแต่ อันที่จริง พวกเธอสมควรที่จะอยู่ด้วยกันมาตั้งนานแล้วล่ะนะนึกแล้วก็อดเจ็บใจตัวเองไม่ได้ ที่มัวแต่ยุ่งกับงานใหญ่จนไม่มีเวลามาดูแลทุกข์สุขของนักร้องในสังกัดแบบนี้ ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าปล่อยให้มันเรื้อรังต่อไปก็อาจนำมาซึ่งปัญหาอันยุ่งยากเกินกว่าจะแก้ได้


    ก็ถือว่าโชคดีที่มีทีมงานมาฟ้องเขาทันล่ะนะ ไม่งั้นสองคนนี้ก็คงทะเลาะกันต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดแน่ๆ


    เพราะงั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในฐานะประธานขอสั่งให้อิมยุนอาผู้จัดการส่วนตัวของซอฮยอนเก็บข้าวเก็บของย้ายไปอยู่กับซอฮยอนที่คอนโดไปจนกว่าฮันซึงยอน ผู้จัดการคนเก่าจะกลับมาทำหน้าที่


    ฉันน่ะ ยังไงก็ได้อยู่แล้วค่ะยุนอายังคงนั่งชิลทำเป็นไม่สนใจ ทั้งๆที่ในใจแทบอยากจะกระโดดโลดเต้นออกมาข้างนอกถามความเห็นคุณนักร้องดังเถอะค่ะ


    เพราะภารกิจของเธอมันยังไม่มีอะไรคืบหน้าเสียที ไอ้แหวนบ้าๆวงเดียวแม่เจ้าประคุณก็ดันหวง ไม่ยอมถอดสักที จนเธอเกิดท้อใจ พยายามนึกแผนการล่อลวง(?) เพื่อขโมยแหวนอยู่นาน...แต่แล้วสวรรค์ก็เห็นใจ หลังจากนี้เธอจะได้ไปอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับซอฮยอนแล้ว อะไรๆก็คงง่ายขึ้นมาก


    และเธอมีความมั่นใจเต็มร้อยเลยว่า ซอฮยอนไม่มีทางกล้าปฏิเสธท่านประธานแน่นอน!


    ก็ได้ค่ะ...ซอฮยอนกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับไปทั้งที่ไม่เต็มใจ แค่เจอหน้ากันครึ่งวันเธอก็เอียนจะแย่ แล้วต่อจากนี้ต้องมาเจอหน้ากันทุกวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เชื่อเถอะว่าเรื่องมันจะยิ่งแย่กว่าเดิม


    พี่ซึงยอน ป่านนี้ไปอยู่ที่ไหนรู้ไหมว่าน้องต้องการตัว...


     

     

    ถ้าจะคิดถึงกันขนาดนั้น จะย้ายไปอยู่ด้วยกันเลยก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนางแบบสาวสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง จนผู้มีศักดิ์เป็นเพื่อนจำต้องตามไปง้ออย่างเอาใจ


    สิก้า ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับซึงยอนเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ


    เพื่อนกัน?แหม ดีนี่ เจอกันแป๊บเดียวก็สนิทสนมกันซะแล้ว


    ยูริถอนหายใจ ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เพื่อนสาวคนสวยนี่เข้าใจเสียที


    เมื่อวันก่อน หลังจากที่นั่งคอยแทยอนเป็นเพื่อนเจสสิก้า จนมั่นใจว่านักร้องตัวเล็กไม่มีทางมาแน่แล้ว พวกเธอก็พากันไปหาโรงแรมดีๆอยู่ ในเมื่อคณะท่องเที่ยวนั้นไม่มีแทยอนแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเธอจะตามไป และเมื่อหาโรงแรมจนส่งเจสสิก้าเข้านอน ยูริก็ออกมาเดินเตร็ดเตร่ข้างนอกตามประสาคนชอบนอนดึกบวกกับจิตใจที่ว้าวุ่นเพราะมีหลากหลายเหตุการณ์เทเข้ามาในชีวิตทำให้ไม่อยากนอน


    เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับร้านอาหารเกาหลีเล็กๆท่าทางน่ารัก ด้วยความสนใจจึงเข้าไปดู และได้พบกับซึงยอนลูกสาวเจ้าของร้านที่ออกมาทำหน้าที่แทนแม่ที่ป่วยหนัก


    แรกๆก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่ซึงยอนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอ คงเป็นเพราะไม่ได้เจอคนชาติเดียวกันที่มีอายุไล่เลี่ยกันมานาน ก็เลยเกิดเป็นความเหงาล่ะมั้ง


    ยิ่งยูริเป็นคนคุยสนุก บวกกับซึงยอนที่เป็นคนร่าเริง จึงทำให้ทั้งคู่สามารถสนิทกันได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาในถึงชั่วโมง พอคุยเสร็จกลับมาที่โรงแรมก็เจอเจสสิก้านั่งหน้ามุ่ยอยู่ ไม่เท่านั้นถามเธอเป็นชุดว่าไปทำอะไรที่ไหนจนตอบแทบไม่ทัน


    แต่พอเล่าเรื่องของซึงยอนจบ เจสสิก้าก็มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิดใส่เธอทันที ท่าทางจะโกรธที่เธอทิ้งให้อยู่คนเดียวแหงๆ และจนป่านนี้ก็ยังคงโกรธ ยังคงประชดเรื่อยๆไม่เสื่อมคลาย


    เอาเถอะ...ฉันหิวแล้ว พาไปกินอะไรหน่อยสิ


    เดินหากันเถอะแม้ว่าร้านของซึงยอนจะอยู่ไม่ไกลจากนี้ แถมรสชาติยังอร่อยเข้ากับเจสสิก้า แต่ยูริก็ไม่คิดฆ่าตัวตายด้วยการราดน้ำมันลงบนกองไฟหรอก


    ทุกครั้งที่เอ่ยถึงซึงยอน...ไม่สิ ทุกครั้งที่มีตัว ซึงหรือ ยอนออกมาจากปากเลยด้วยซ้ำไป


    หิวแล้วจริงๆนะเนี่ยเจสสิก้าเริ่มเข้าสู่โหมดอ้อน รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เธอจะอ้อนบ่อย โดยเฉพาะกับควอนยูริเพื่อนสนิทคนนี้


    ถ้าถามว่าเมื่อไร ก็นับตั้งแต่วันที่นั่งรอแทยอนจนร้องไห้แล้วยูริคอยนั่งเป็นเพื่อนซับน้ำตาให้นั่นแหละ


    ในเวลาที่อ่อนแอจนถึงขีดสุด เมื่อมีเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย ย่อมเกิดอารมณ์หวั่นไหวได้ง่ายๆ ผู้หญิงก็เป็นซะแบบนี้...



    เธอยอมรับว่าเธออาจจะดูงี่เง่าไปนิด ที่จู่ๆก็ร้องไห้กลางสถานีรถไฟ แต่เธอก็อยากให้เข้าใจกันหน่อยว่า มันเป็นอารมณ์อ่อนไหวของผู้หญิงจริงๆ


    แต่ถึงจะเป็นแค่อารมณ์ที่อ่อนไหว ก็ใช่ว่าจะไร้สาระ ถ้าคนอย่างเธอจะร้องไห้สักครั้งมันต้องมีหลายๆเหตุการณ์เข้ามากดดันจนทนไม่ไหวจริงๆ เพราะงั้นที่เธอร้องไห้มันก็เกี่ยวกับทั้งเรื่องของแทยอนและสืบเนื่องมาจากเรื่องที่เธอคุยกับทิฟฟานี่เมื่อวันก่อนด้วย...แน่นอนว่า มันเกี่ยวกับแทยอนอยู่ดี


    มันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะอธิบายทุกส่วนในเรื่องที่เธอและทิฟฟานี่คุยกัน แต่โดยรวมมันก็สรุปออกมาได้ว่าแทยอนนั้นปฏิบัติตัวกับทิฟฟานี่ต่างจากทุกคนจริงๆ และแน่นอนว่ามันต่างในเชิงบวก


    นั่นทำให้เธอเกิดความข้องใจในความสัมพันธ์และความรู้สึกของแทยอนที่มีต่อทิฟฟานี่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จนกระทั่งตอนที่แทยอนวิ่งและทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพียงเพื่อออกไปตามหาทิฟฟานี่...เท่านั้น มันก็เหมือนจะตอบข้อข้องใจทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้


    แต่ที่เธอยังรอ นั่งรอเป็นชั่วโมงนั้น เป็นเพราะว่า...เธอไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี สุดท้ายเลยลงเอยด้วยน้ำตา


    บางที...ถ้าแทยอนตัดสินใจมาพูดกับเธอตรงๆว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอเกินเพื่อน และมีความรู้สึกดีๆให้ทิฟฟานี่มากกว่าที่มีให้เธอ เธออาจจะยอมหลีกทางให้โดยง่ายก็เป็นได้


    ดูเป็นนางเอกไปไหม...ก็ไม่เชิง เธอแค่เป็นคนมีเหตุผลในตัวเองพอสมควร


    ถึงจะวีน จะเหวี่ยง จะแรง จะร้าย...แต่ก็รู้ได้เองว่าอะไรที่ควรทำ


    โดยปกติแล้วคนแรงๆเหวี่ยงๆอย่างพวกเธอ รู้ดีไม่ต่างจากคนอื่นนั่นแหละว่าอะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ อะไรที่ทำแล้วดี อะไรที่ทำแล้วมันแย่...ทุกอย่างมันแค่ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ


    วกกลับมาที่เรื่องของเจ้าชายขี่ม้าขาว เอ่อ...ควอนยูริ เพื่อนสนิทของเธอ ที่เธอเพิ่งจะมาตระหนักได้ถึงความดีของเจ้าตัว


    ถ้าไม่มีเรื่องเมื่อวันก่อน บางทีเธออาจจะไม่ได้รู้ซึ้งและคิดทบทวนถึงความดีของยูริทั้งหมดที่ผ่านมาเลยก็เป็นได้...ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ยูริเป็นคนแรกๆที่รับรู้และให้ความช่วยเหลือเสมอ จนตอนนี้เธอรู้สึกดีแบบแปลกๆ


    ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอาแต่ทุ่มเทกับการวิ่งไล่ตามคนอื่น โดยไม่ได้รับรู้เลยว่า ยังมีอีกคนที่วิ่งตามเธอข้างหลังและคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ...เธอเลยไม่อยากที่จะสูญเสียยูริไป เขาเป็นเพียงเพื่อนคนเดียวที่หวังดีกับเธอมาโดยตลอด


    เพราะงั้น ก็เลยเริ่มรู้สึกหวงและไม่ชอบที่ยูริไปสนิทสนมกับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ


     

     

    วันสุดท้ายทั้งที ฉันขอเที่ยวสนุกกับแฟนคลับที่น่ารักทั้งหลายให้สุดเหวี่ยงไปเลยไม่ได้เหรอซูยองร้องโอดครวญ ทำไมจะต้องมาคอยเซอร์วิสด้วยการตัวติดทำเป็นสวีทกับยัยพี่เตี้ยด้วย!”


    เรื่องทั้งหมด เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ยุนโฮดันไปแอบได้ยินแฟนคลับส่วนหนึ่งที่มาร่วมกิจกรรมเที่ยวในครั้งนี้เวิ่นเว้อกันถึงเรื่องคู่จิ้นสูงเตี้ยเรี่ยดินอย่าง ซูซันผู้จัดการหนุ่มจึงบังเกิดเป็นไอเดียเซอร์วิสแฟนๆของวง Chocolate เป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับเกาหลี


    เดิมที เขาเอาเรื่องไปปรึกษาฮโยยอนก่อน เพราะเจ้าตัวได้ชื่อว่ามีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้นำ และตัดสินอะไรได้เฉียบขาดพอๆกับแทยอน ซึ่งเจ้าตัวก็เห็นด้วย จึงเอาข่าวสารไปกระจายกับสมาชิกคนอื่นในวงให้รับทราบ แต่หลังจากนั้นมันก็ดันเกิดปัญหาขึ้นมา


    ซูยองมันเสือกไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วยตอนนี้น่ะสิ...


    มันบอกว่าจะเล่นกับแฟนคลับของมัน ดูมันพูดสิคะคุณผู้ชม


    ทำไม อยู่กับฉันนี่มันลำบากนักหรือไงห๊ะ!”ไม่ต้องพูดถึงจิตใจของซันนี่ตอนที่ถูกซูยองปฏิเสธเลย...เปล่า เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะมานั่งดราม่าเศร้าโศกเสียใจอาลัยในรักที่ผิดหวังแน่นอน มันเป็นอารมณ์ประเภทที่เรียกว่า โกรธมากกว่า


    ไม่ได้หมายความว่าอย่างน้านนนคนตัวสูงรีบโบกมือเป็นพัลวัน กลัวพี่สาวร่วมวงจะเข้าใจผิด จนนำไปสู่การทะเลาะกันแบบเดิมๆได้


    ฉันแค่อยากอยู่กับแฟนคลับอ้ะ


    อย่าเอาแต่ใจนักสิคะพี่ซูยองไอยูพยายามพูดโน้มน้าวเพื่อหวังจะให้คนอายุมากกว่าเข้าใจและยอมรับการเซอร์วิสแฟนโดยดี


    กะอีแค่แกล้งทำเป็นสวีทกันมันจะไปยากอะไร บางทีเธอกับพี่แทยอนยังทำกันเล่นๆแกล้งแฟนคลับเลย


    วันเดียวเอง ถึงจะกลั้นใจก็ทนทำไปเถอะ เพื่อเหล่าแม่ยกซูซันฮโยยอนเข้าเสริมช่วยพูดอีกแรงหนึ่ง โดยการเอาแฟนคลับมาอ้าง ก็หวังว่าเด็กตัวสูงโย่งนี่จะเข้าใจอะไรๆโดยง่ายแล้วยอมทำตามคำขอแฝงคำสั่งของพวกเธอล่ะนะ


    หมั่นไส้จริงๆ ทีเมื่อก่อนจะให้เซอร์วิสเมื่อไรก็ทำได้ทันทีไม่มีรีรอ...แล้ววันนี้มันเกิดนึกหวงเนื้อหวงตัวขึ้นมาทำสากกะเบืออะไรของมัน


    ไม่เป็นไรหรอกฮโย ถ้าเด็กมันจะรังเกียจกันขนาดนั้นก็ไม่เป็นไรจ้องด้วยสายตาแข็งกร้าวและห่างเหิน ฉันไปสร้างคู่จิ้นใหม่ก็ได้ เซอร์วิสยูซันกับฮโยซันซะเลย


    บอกตามตรงว่าพูดไปเพราะอารมณ์โกรธและความต้องการที่จะประชดล้วนๆ


    ไอ้เด็กบ้านี่ แค่ซื่อบื้อไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเธอก็หงุดหงิดมากพอแล้วนะ นี่จะยังชอบแสดงออกว่าเห็นคนอื่นสำคัญมากกว่าเธออีก ได้ข่าวว่ารู้จักกันมานานหลายปีแล้ว อยู่วงเดียวกัน อยู่หอพักเดียวกัน เคยนอนห้องเดียวกันด้วยซ้ำไป...แต่เธอกลับแพ้แฟนคลับของเจ้าตัวที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน


    ทำไม? เธอมีอะไรๆด้อยกว่ายัยนั่นตรงไหน ลองบอกมาสิ...โด่เอ๊ย ยัยนั่นน่ะก็แค่หุ่นดี ตัวสูง รูปร่างเพรียว น่ารัก เรียบร้อย อ่อนหวาน มีความเป็นใหญ่ แถมยังสวยมากกว่าเธอเท่านั้นเอ๊ง


    โว๊ะ!เตี้ยแล้วยังจะขี้น้อยใจอีกนะเออ ใจกว้างมากกว่าเธอด้วย


    ซันนี่จ้องซูยองเขม็ง แสดงอาการโกรธตามแบบของตัวเองอย่างเปิดเผยจนคนถูกโกรธต้องแอบลอบหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความขำขัน


    เธอแค่ทำเป็นเล่นตัวเพื่อแกล้งยั่วอารมณ์พี่สาวตัวเล็กนิดหน่อยพอเป็นสีสัน ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะเก็บมาคิดน้อยใจเป็นจริงเป็นจังไปได้


    ถึงยังไง เธอก็ยอมทำอยู่แล้วล่ะน่า ก็การได้แกล้งเซอร์วิสแฟนๆกับซันนี่น่ะ มันสนุกจะตายไป...ปกติพวกเธอสองคนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่แฟนคลับว่าเป็น คู่รักคู่กัดฉะนั้นการแสดงออกของพวกเธอส่วนใหญ่จึงเป็นแบบการทะเลาะกันการแกล้งกันฮาๆแบบเพื่อนมากกว่าแบบคนรักกัน


    ฉันแค่แกล้งหน่อยเดียวเองน่า มามะ มาสวีทกันเถอะจ้ะคุณพี่ที่รัก


     

     

    เลิกเล่นได้แล้ว รีบๆเอากุญแจออกซะ ลงไปหาอะไรกินกันหลังจากที่ตกลงว่าจะเซอร์วิสกันแล้ว ทั้งซูยองและซันนี่ก็แยกตัวออกมา(แกล้งทำเป็น)สวีท โดยไร้ซึ่งมารหัวใจมากั้นขวาง และนับว่าการสร้างกระแสครั้งนี้ค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว เหล่าแฟนคลับส่วนใหญ่ต่างมีท่าทีดีอกดีใจและกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่โตที่เห็นพวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน


    พวกเธออยู่ด้วยกันมาตลอด และเมื่อเดินทางมายังโตเกียวทาวเวอร์นี่ด้วยก็เช่นกัน พวกเธอก็ยังคงสวีทเซอร์วิสแฟนคลับกันต่อไป...จนกระทั่งซูยองมันเกิดนึกคึกเล่นพิเรนทร์เอากุญแจไปคล้องโตเกียวทาวเวอร์นั่นแหละ ทุกคนก็หนีหายกันไปหมด ทิ้งให้เธอต้องทนแบกหน้าอับอายอยู่กับมันต่อไป


    จู่ๆจะให้มาทิ้งกันไปก็คงไม่ได้ล่ะเนอะ


    แล้วคนอื่นๆล่ะซูยองปลดล็อคกุญแจพร้อมกับถามไปด้วย และแน่นอนว่าย่อมได้รับคำตอบที่แฝงไปด้วยคำประชดอันเจ็บแสบของสาวน้อยตัวเล็กน่ารักอย่างเธอ


    ลงกันไปเป็นชาติแล้วย่ะ ก็เธอมัวแต่คล้องกุญแจอยู่นั่น


    อ่า..ถ้างั้นรีบไปกันเถอะปลดล็อคเสร็จเรียบร้อย ซูยองก็คว้ามือซันนี่ ลากกึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อลงไปสมทบกับคนอื่นๆที่ป่านนี้คงรอพวกเธอจนเหงือกแห้งแล้ว แต่ในขณะเดียวกันปากที่ยังว่างๆก็บ่นอะไรเรื่อยเปื่อยตามตามทางจนกระทั่งนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงรีบชิงพูดเสียก่อน


    พี่ต้องเลี้ยงอาหารฉันนะ


    ในวันสุดท้ายนี้ ทางคณะค่อนข้างจะปล่อยเที่ยวกันแบบตามใจ เพราะสถานที่เที่ยวนั้นเป็นย่านที่ให้เลือกซื้อของและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ซึ่งเธอจำไม่ได้แล้วว่ามันเรียกว่าอะไร จึงคิดว่ามันคงเป็นการดีกว่าหากจะให้ทุกคนแยกย้ายกันมีเวลาส่วนตัวไปซื้อของตามใจชอบ และแน่นอนว่าถ้าเป็นแบบนั้น คงเป็นการยากที่ทุกคนจะมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างแยกกันไปเลยคงจะดีกว่า


    เหอ...เรื่องอะไร ทำไมฉันต้องเลี้ยงด้วยซันนี่หน้าเหวอ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เธอไม่ใช่คนยากคนจน แค่อยากจะรู้เหตุผลเท่านั้นเอง


    จริงๆแล้วพวกเธอสมควรที่จะหยุดการเซอร์วิสตั้งนานแล้ว แต่เพราะทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะแยกกันไปทำไม ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว จะอยู่ต่อด้วยกันอีกคงไม่เป็นไร


    หรือเป็นเพราะส่วนหนึ่งนั้นมาจากความต้องการของซันนี่ก็ไม่อาจจะทราบได้...


    ตอนนี้เงินในกระเป๋าฉันไม่ค่อยมี นะ นะ นะ นะ น๊าท่าทางอ้อนแบบน่ารักๆอันไม่เหมาะสมกับตัวคนทำอย่างยิ่งยวดถูกงัดออกมาใช้ เชื่อว่าถ้าคนที่มันอ้อนเป็นคนอื่น ป่านนี้มันคงโดนยันโครมไปแล้ว


    แต่เพราะว่าคนที่อยู่ตรงนี้ คนที่ซูยองอ้อนคือเธอ...มันก็เลยยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้


    เออ เลี้ยงก็เลี้ยง นี่เห็นใจเพราะสงสารลูกนกลูกกาหรอกนะเนี่ย


    บ๊ะ! พี่ซันนี่น่ารักที่สุดเลยโผเข้ากอดคนตัวเล็กกว่าด้วยความรักและซาบซึ้งในบุญคุณอันเหลือล้น


    มัวแต่ดีใจที่จะได้กินของฟรีอยู่ เลยไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของคนโดนกอดเลยแม้แต่น้อย


    เพราะถ้าเกิดว่าซูยองจะเกิดเอะใจ หันมาพินิจดูสีหน้าท่าทางของพี่สาวตัเล้กสักหน่อย เจ้าตัวจะสามารถรับรู้ได้เลยว่า


    ระหว่างหน้าของซันนี่กับมะเขือเทศ อะไรมันแดงมากกว่ากัน


     

     

    นับว่าตอนนี้ เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดสำหรับทิฟฟานี่เลยทีเดียว


    ถามจริงเถอะ มีใครบ้างในโลกนี้ ที่จะได้เที่ยว เอ่อ...จริงๆแล้วมันก็เป็นเดินเที่ยวที่ไม่ต่างจากเดทเท่าไร กับนักร้องในดวงใจสองต่อสอง ได้กินข้าวด้วยกัน แถมยังเลือกซื้อของด้วยกันอีกต่างหาก ถ้าให้มองกันเผินๆคงดูเหมือนคู่รักสักคู่มาเดทกันแน่ๆ


    ถึงจะดูเว่อร์ แต่ยอมรับเลยว่ามันยิ่งกว่าที่เธอเคยฝันเอาไว้ก่อนจะมาที่นี่เสียอีก


    เลยรู้สึกว่าที่จ่ายยุนอาไปกับการจารกรรมบัตรนั้น ช่างคุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ


    เดินมานานแล้ว หิวน้ำหรือยังจู่ๆแทยอนก็ยิงคำถามใส่เธอ ด้วยความที่ตั้งรับไม่ค่อยทันจึงตอบกลับไปแบบเกรงใจเล็กน้อยถึงแม้ว่าจะหิวมากก็เถอะ


    เป็นสาวเป็นนางนะคะ...ต้องทำตัวให้เป็นกุลสตรีหน่อยสิเค๊อะ!...แต่ได้ข่าวว่าภาพพจน์กุลสตรีมันหลุดลุ่ยย่อยยับมานานแล้ว?


    นิดหน่อยน่ะค่ะ


    แต่ฉันหิวน้ำมากๆแล้ว เราเข้าไปแวะซื้อกันก่อนเถอะไม่ฟังคำทัดทานอะไร เดินฉิวๆพร้อมกับลากทิฟฟานี่เข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ใกล้มากที่สุด และกว่าสาวตายิ้มจะรู้สึกตัวทั้งคู่ก็เข้ามานั่งในร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...มิหนำซ้ำ แทยอนยังสั่งเมนูทั้งของตัวเองและเผื่อเธอเสร็จสรรพแล้วอีกต่างหาก


    แล้วแทยอนจะถามความเห็นจากฉันทำไม


    ตามมารยาทไงตอบพร้อมยักคิ้วกวนหนึ่งทีตามประสา เออนี่...เธอไม่เบื่อเหรอ ที่เอาแต่เรียกฉันว่าแทยอนๆน่ะ


    ตั้งแต่ได้เที่ยวด้วยกัน...ไม่สิ จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยต่างหาก ทิฟฟานี่ก็เอาแต่เรียกเธอว่า แทยอนอยู่เสมอ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะถึงอย่างไรชื่อ แทยอนมันก็เป็นชื่อจริงของเธอ ไอ้ที่เธอสงสัยน่ะคือไม่เข้าใจว่าทั้งๆที่สนิทสนมกันได้ระดับหนึ่งขนาดนี้แล้ว ทำไมสาวตายิ้มถึงไม่เรียกแทนเธอด้วยคำอะไรๆที่มันง่ายกว่านี้ แม้กระทั่งคำว่า เธอก็ยังไม่เคยได้ยิน


    แล้วถ้าฉันเบื่อ จะให้ฉันเรียกแทยอนว่าอะไรล่ะคะ


    เธอ แท แทงกู อะไรก็ได้ มันจะได้ดูสนิทสนมกันหน่อยไงแทยอนเสนอความเห็นตามใจตัวเอง โดยไม่ลืมยกตัวอย่างทีฉันยังเรียกเธอด้วยคำว่า เธอ กับ ฟานี่เลย


    ขอเอาชื่ออื่นได้ไหม ไม่อยากซ้ำกับคนอื่นทิฟฟานี่ว่า พลางนั่งนิ่งใช้สมาธิอยู่คนเดียว ไม่สนแม้ว่าพนักงานจะเอาน้ำอะไรทั้งหลายทั้งแหล่ที่แทยอนสั่งมาให้ เพราะตอนนี้เรื่องของ ชื่อนั้นสำคัญกว่า


    มันเป็นโอกาสที่เธอจะมีสิทธิ์ในตัวแทยอนอย่างเนียนๆเลยนะเนี่ย


    เอาสิ ถ้าเธอคิดออกก็ว่ามาเลยนักร้องสาวว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาบ้างจะว่าไปแล้วมันก็ดูน่าสนุกนะ งั้นฉันเอาบ้างดีกว่า


    เท่านั้นแหละ สติของทิฟฟานี่ก็กระจัดกระจายกระเจิงทันที!


    จากที่เพ่งสมาธิกับการคิดชื่อใหม่ให้แทยอน ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องเพ้อๆเข้าโหมดโลกส่วนตัวของตัวเองไปแทน


    คิดดูสิ...คนสองคน ที่ต่างฝ่ายต่างมีชื่อเฉพาะที่เอาไว้เรียกกันเอง มันจะโรแมนติกมากขนาดไหน อย่างกับแฟนกันเลยแฮะ


    แฟนกันเหรอ...แฟนกัน...แอร๊ยยยยย! เขินอ๊ะ!


    อือ...ชื่อมิมองเป็นไง


    คิดตัดหน้ากันนี่นาโวยเล็กๆอย่างไม่คิดจริงจัง แล้วที่สำคัญ รู้สึกว่านั่นมันจะเป็นชื่อจริงฉันนะคะแหงล่ะนี่คือแทยอนเชียวนะ จะให้โกรธได้ลงคอเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอกน่า สำหรับเธอไม่ว่าแทยอนจะทำอะไรมันก็ดีไปหมดนั่นแหละ


    แต่ก็อาจจะยกเว้นเรื่องชื่อจริงชื่อนี้ มันเป็นชื่อที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย


    อ้าว ไม่ได้หรอกเหรอ เสียดายจัง...ฉันชอบชื่อนี้มากเลยนะแทยอนหน้าหงอยลงถนัดตา จนเธอรู้สึกสงสารแปลกๆ ลองชั่งใจดูเล็กน้อยระหว่างความพอใจส่วนตัวกับความสุขของแทยอน


    งั้นก็ตามใจค่ะ มิยองก็มิยองยอมให้เรียกเพราะเป็นแทยอนคนเดียวเลยนะเนี่ย ใครคนอื่นกล้ามาเรียกแม่จะตบหน้าหงายเงิบ ก็ชื่อเชยออกปานนั้น


    เธอชอบแทยอน ชอบเวลาที่ตัวเองได้อยู่กับแทยอน และแน่นอนว่าเธอชอบให้แทยอนมีความสุข อยากให้แทยอนมีความสุขตลอดเวลา ทั้งเวลาที่ได้เจอกันและต่อให้ไม่เจอกันก็ตาม...เพราะงั้น ยอมให้หน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
     

    มิยองคิดชื่อให้ฉันเสร็จยังอ่านั่น พออนุญาตปุ๊บก็ใช้งานปั๊บ น่ารักจริงเชียว (ว่าที่)แฟนใครไม่รู้(?)


    ทิฟฟานี่นั่งคิดอีกพักใหญ่ หลังจากนั้นก็ดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วจ้องหน้าแทยอนเขม็งด้วยสายตาคาดหวังเต็มเปี่ยม


     งั้นชื่อแทแทได้ไหมถามด้วยความไม่แน่ใจมีใครเรียกแล้วหรือเปล่า


    ยังไม่มีนะ..แต่ดูแบ๊วไปป่ะเนี่ยเท่าที่ตัวแทยอนเองจำได้ก็คิดว่ายังไม่น่าจะมี อย่างเพื่อนร่วมวงกับนางแบบสาวเจสสิก้าเองก็เรียกแค่ แทสั้นๆเท่านั้น ไม่เคยมีใครคิดอุตริเติม แทอีกตัวเพื่อเสริมสร้างความแบ๊วแต่อย่างใด


    น่ารักดีออก ไม่ชอบเหรอ


    ชอบเหรอ? ชอบก็ได้ยอมให้เรียกสักหน่อยคงไม่เสียหาย ถึงอย่างไรก็มีแค่ทิฟฟานี่คนเดียวนี่นะที่เรียกเธอแบบนี้


    งั้นต่อไปนี้ฉันจะเรียกแทแทตลอดเลยนะคะทิฟฟานี่รีบพูดสรุปแบบเออเองเสร็จสรรพ เพื่อป้องกันไม่ให้แทยอนเกิดเปลี่ยนใจไม่ยอมให้เธอเรียกชื่อนี้ขึ้นมาแล้วมันจะแย่


    ฉันก็จะเรียกเธอว่ามิยองด้วยแหละน่าฝ่ายแทยอนก็ตั้งหน้าตั้งตาบอกอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องชื่อนี้ต่อไป พนักงานก็ยกเค้กก้อนเล็กๆสองก้อนที่คาดว่าแทยอนคงสั่งเอาไว้เข้ามาเสิร์ฟให้


    อ๊ะ เค้กมาแล้วๆ


    แทยอนมีท่าทางร่าเริงขึ้นมากเมื่อเค้กมาถึง อันที่จริงทิฟฟานี่ก็พอรู้จากประวัติตามที่อ่านในเว็ปต่างๆมาอยู่บ้างว่าแทยอนชื่นชอบการกินของหวานอย่างมากมาย แต่ก็คิดแค่ว่าคงเป็นการชอบกินแบบกินให้รู้รสชาติ ไม่ใช่กินแบบตั้งหน้าตั้งตาตั้งอกตั้งใจกินซะขนาดนี้


    ดูเอาเถอะ...หมดจานภายในระยะเวลาสิบห้าวินาที บันทึกสถิติโลกได้เลยมั้งเนี่ย


    แทแทชอบกินเค้กมากขนาดนั้นเชียว


    ก็ไม่เชิงหรอก..จริงๆแล้วฉันชอบไอศกรีมกับพุดดิ้งมากกว่านะแต่ปัญหาคือในร้านนี้ไม่มีเท่านั้นเองเค้กมันก็รองลงมา อร่อยดีกินได้เหมือนกัน


    ฉันทำเค้กเป็นนะคะแล้วจู่ๆทิฟฟานี่ก็เอ่ยเสนอตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนแทยอนประหลาดใจ


    อย่าว่าแต่แทยอนเลย ตัวเธอเองยังตกใจตัวเองเลย...


    ความจริงแล้ว เธอน่ะทำเค้กเป็นซะที่ไหนล่ะ! อย่าว่าแต่เค้กเลย ฝีมือการทำอาหารง่ายๆหยาบๆอย่างพวกไข่เจียว ไข่ตุ๋น ไข่ดาวยังอยู่ในขั้นเด็กอนุบาลส่ายหน้าให้ด้วยความระอาใจ


    แต่ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆปากมันก็เผลอหลุดพูดออกไปเอง


    เห จริงดิแทยอนทวนถามด้วยความประหลาดใจเจือสนใจนิดๆ เพราะเธอเองก็ชื่นชอบการลิ้มรสเค้กอร่อยๆจากทั่วสารทิศอยู่แล้ว แต่เพราะมีงานหนักจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างไปซื้อมาลองนัก ปัจจุบันจึงได้แต่กินร้านเก่าๆเดิมๆบริเวณใกล้หอพักของวงChocolate


    และถ้ามีคนที่รู้จักทำเป็นมันก็คงเป็นเรื่องดี เธอจะได้ลองเค้กรสชาติใหม่ๆแบบที่ไม่เคยพบเจอ แถมยังไม่เสียเงินอีกต่างหาก


    ก็ทิฟฟานี่เสนอตัวมาขนาดนี้ คงรับรองได้ว่ารสชาติอร่อยพอสมควรล่ะมั้ง?


    ฝ่ายคนทำเค้กไม่เป็นแต่โกหกว่าทำเป็นตอนนี้ก็เกิดอาการลนลานสติแตกอีกครา


    จริงสิคะ เอาไว้วันไหนว่างๆจะทำส่งไปให้กินเล่นที่หอพัก  เน้! มีการเสนอตัวอีก อยู่เฉยๆไม่ได้หรือไงกันนะทิฟฟานี่


    สัญญาแล้วนะ ห้ามลืมเด็ดขาดเลยล่ะแทยอนยิ้มกว้าง ท่าทางมีความสุข และไม่ลืมยื่นนิ้วไปเกี่ยวก้อยกันกับทิฟฟานี่


    แล้วฉันจะรอกินเค้กของมิยองนะ


    โอเค...เธอว่าเธอรู้แล้วล่ะว่าหลังจากที่เธอกลับไปเกาหลีนั้น เธอจะใช้เวลาว่างที่มีทำอะไรดี จำได้ว่าแถวๆคอนโดเคยมีคนมาติดป้ายโฆษณาโรงเรียนสอนทำขนมอยู่พอดี...

     

     

     

     

    ***********************************

    จบลงแล้ว ในที่สุดก็จบซะที เหนื่อยกันมากใช่ไหมตอนนี้555

    เข้าใจหน่อย มันดำเนินมาถึงกลางๆเรื่องแล้ว ความรุ้สึกของทุกคนมันต้องพัฒนากันบ้าง

    (มันควรจะพัฒนาตั้งนานแล้วนะตัวเธอว์)

    แต่ก็นั่นแหละ จริงๆแล้วความรู้สึกของคนเรามันน่าจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป

    อาจจะงง อาจจะสับสนไปนิด...แต่ก็จงงงและสับสนต่อไป(?)555

    แต่ว่ากันตามตรงแล้ว สิก้าก็ยังไม่ค่อยชัดเจนกับยูริเท่าไรแฮะ

    จะว่ายังไงดีล่ะ ความรู้สึกมันออกไปในแนวหวงมากกว่าหึง

    แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน ฟิคเรื่องนี้ยังเหลืออีกหลายสิบตอนกว่าจะจบ- -

     

    ปล.ว่าแต่เจ๊ซึงยอนมาทำอะไรที่เจแปน?5555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×