คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 12 : ไม่เป็นไร เต็มใจ
Chapter 12 : ไม่เป็นไร เต็มใจ
เพราะที่นี่เป็นต่างประเทศ ดังนั้นถึงจะเอาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวมาก็ไร้ผล แทบจะทุกคนในคณะเดินทางจึงไม่มีใครเอามาเลย ยกเว้นก็แต่จองซูผู้นำการท่องเที่ยวในครั้งนี้ เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น และแน่นอนว่าทุกคนในคณะต่างต้องจดจำเบอร์ของชายหนุ่มเอาไว้ เพื่อโทรหาในเวลาฉุกเฉิน
มันควรจะเป็นแบบนั้น...
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าโทรศัพท์ของเจ้าตัวเกิดเจ๊งกะบ๊งขึ้นมา
“โทรไปเป็นล้านรอบแล้วนะเฮ้ย”แทยอนทุบกำปั้นระบายใส่ตู้โทรศัพท์อย่างหัวเสีย ไม่ว่าจะโทรไปกี่รอบต่อกี่รอบ ก็จะมีเสียงหญิงสาวท่าทางเรียบร้อยพูดประโยคเดิมวนเวียนซ้ำอยู่อย่างนั้น จนเธอเริ่มจะจำแล้วเอามาท่องได้ทุกทีๆ
‘The number you have dial is not available at this time’
หรือถ้าจะเอามาแปลให้เข้าใจง่ายๆมันก็ประมาณ...
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ’
กรี๊ดดดดดดดดด! เดี๋ยวปั๊ดแต๋วแตก แม่ละอยากจะบีบคอยัยคนพูดซะจริง
“เอ้า แล้วระหว่างนี้เราจะไปนั่งรอที่ไหนดีล่ะเนี่ย”ทุ่มเทไปเท่าไรก็ไร้ค่า แทยอนจึงตัดสินใจเดินกลับมานั่งข้างๆทิฟฟานี่ที่นั่งหน้าหงอยรอรถไฟขบวนต่อไปอยู่คนเดียว
จะว่าไปแล้วมันก็ช่างบังเอิญจริงนะ...เสียในตอนที่พวกเธอต้องการจะรีบๆอยู่พอดีเลยเชียว
ถึงทางสถานีจะประกาศด้วยภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษเพียงรอบเดียว แต่ฟังผ่านๆแล้วก็พอจะคาดเดาได้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมงในการรอรถไฟขบวนต่อไปเพื่อไปโตเกียว!
“ตามใจแทยอนเลย”ทิฟฟานี่พยายามไม่ออกความเห็นอะไรตามใจตัวเองนัก เพราะรู้ตัวดีว่าครั้งนี้มันเป็นความผิดของเธอล้วนๆ
หลายคนอาจจะคิดว่าที่เธอตกรถไฟนั้นเป็นเพราะเจสสิก้าแกล้ง ความจริงนั้นมันไม่ใช่เลย...ที่เจสสิก้าชวนเธอไปห้องน้ำเป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย เกี่ยวกับแทยอนนิดหน่อย มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง พวกเธอไม่ได้ทะเลาะกัน แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่อยากจะนึกถึง
ส่วนเรื่องตั๋วรถไฟ เอ่อ..เอิ่ม อันนั้นมันเกิดจากความซุ่มซ่ามของเธอเอง
ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ยืนหน้าห้องน้ำให้ลมพัดสร้างฟีลโรแมนติก(?)อยู่ดีๆ แล้วไหงลมเบาๆมันกลับพัดแรง ทำเอาตั๋วปลิวลอยว่อนไปไกลกว่าหลายร้อยเมตร ก่อนที่จะจบลงด้วยการหลุดเข้าไปในท่อน้ำ เอวัง...
“ถ้าถามฉัน งั้นฉันก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ”คำตอบของแทยอนไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มิหนำซ้ำเธอกลับรู้สึกว่ามันแย่ลงอย่างร้ายกาจ
“...”
“...”
เอ่อ...สถานการณ์อึมครึมไปป่ะคะ
“ขอโทษทีนะ”แล้วสุดท้ายทิฟฟานี่ก็เป็นฝ่ายเปิดฉากพูดออกมาท่ามกลางสถานการณ์น่าอึดอัดใจเช่นนี้ แทยอนเงยหน้าขึ้นมามองหน้าอีกฝ่ายงงๆ
“ขอโทษเรื่องอะไร”
ทิฟฟานี่สูดลมหายใจลึก
“ถ้าไม่เป็นเพราะฉัน แทยอนก็คงไม่ต้องตกรถไฟ อดเที่ยวสนุกกับทุกคนแบบนี้”สิ้นเสียง แทยอนก็หัวเราะแห้งๆด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ไม่นึกว่าเจ้าหล่อนจะเก็บเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้มาใส่ใจ จริงๆแล้วเธอไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน
เอ่อ
ก็ไม่รู้ว่าที่เธอไม่คิดมาก เพราะเรื่องมันไม่สำคัญจริง หรือเป็นเพราะโกรธคนทำไม่ลงกันแน่
เพราะจะว่าไปแล้ว เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นแฟนคลับที่สนิทกันมากแค่ไหนก็ตามทีเถอะ
แต่เธอก็ไม่ได้อยากปฏิเสธความรู้สึกแบบนี้หรอกนะ อะไรดีๆแบบนี้ อะไรดีๆที่เธอไม่เคยมี จะเก็บมันไว้ก็คงไม่เสียหายอะไรนัก เพราะงั้น...ยกทิฟฟานี่ให้เป็นแฟนคลับคนพิเศษละกัน
“ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่าคิดมากเลย”พยายามปลอบ และยิ่งใจเสียเมื่อเห็นว่าตายิ้มของสาวเจ้าที่เคยมีอยู่เป็นนิตย์ บัดนี้กลับห่อเหี่ยวและเศร้าสร้อยอย่างน่าตกใจ “ฉันเต็มใจนะ”
ราวกับว่าประโยคเมื่อครู่เป็นประโยคต้องห้ามอย่างไรอย่างนั้น ทันทีที่พูดจบคนฟังก็หันมามองขวับด้วยสายตาตกตะลึง แทยอนนึกทบทวนอยู่ในใจว่ามันมีอะไรไม่เข้าทีหรือเปล่า แต่เมื่อนึกได้ก็รีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันกลบเกลื่อน
“หมายถึงไม่ได้รู้สึกแย่...เอ้ย!ฟานี่เป็นอะไรไป”พูดไม่ทันจบ อันที่จริง...ยังไม่ทันจะได้เริ่มพูดอะไร สาวตายิ้มก็เป็นลมล้มพับสลบเหมือดลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
เอ่อ...ดูเหมือนเธอจะลืมไปว่าตัวเองมีอิทธิพลต่อจิตใจของเจ้าหล่อนมากมายขนาดไหน
“ฟานี่ ฟานี่!”
บอกตามตรงว่าเห็นคนที่ตัวเองรักมาก ไปรักคนอื่น มันก็เจ็บมากพอแล้ว
แต่การเห็นคนที่ตัวเองรักมาก เจ็บเพราะคนที่เขารักนั้น มันเจ็บมากกว่าพันเท่า!
“อากาศมันหนาวนะสิก้า”ยูริเอ่ยขึ้น หลังจากที่พวกเธอสองคนนั่งรอรถไฟขบวนที่มีแทยอน(และทิฟฟานี่)มายาวนานกว่าชั่วโมง ท่ามกลางอากาศที่หนาวจัดจนแทบจะแข็งตายอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่ตอนนี้พวกเธอนั่งอยู่ในสถานีแท้ๆ
แต่ว่าก็ว่าเถอะ ในสถานียังหนาวขนาดนี้ ถ้าออกไปข้างนอกคงได้แข็งตายจริงๆ
“หนาวก็ช่างมันสิ ฉันอยากจะรอแทยอนอยู่ตรงนี้”เจสสิก้าพกพาความรั้นมาเต็มพิกัด ไม่สนใจยูริเลยแม้แต่น้อย ปากบอกไม่สนใจเรื่องความหนาวทั้งๆนั่งสั่นงกๆเป็นลูกนกหลงทาง ดูน่าสงสารและน่าเป็นห่วงไม่หยอก
“อีกตั้งนานกว่ารถไฟจากโอซาก้าจะมาถึงโตเกียว”
รู้ดีว่าถึงพูดไป เจสสิก้าก็ไม่ฟัง แต่ยูริก็ยังอยากจะลองพูดดู เผื่อว่าเจ้าหล่อนจะทนทานความหนาวไม่ไหว และยอมแพ้ต่อการรอแทยอนไปในที่สุด
ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น เธอก็ไม่คิดว่าความรักที่เจสสิก้ามีให้แทยอนลดลง
เธอแค่อยากให้เจสสิก้ารักตัวเองบ้าง สนใจตัวเองบ้าง ไม่ใช่จะเอาแต่เวลาไปสนใจแทยอน
แต่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งเข้าตัว ถ้าจะให้มองดูกันดีๆแล้ว เธอกับเจสสิก้าก็ไม่มีอะไรต่างกัน
“ไม่เป็นไรฉันรอได้”นั่นปะไร คิดผิดเสียที่ไหนล่ะ แถมท่าทางการพูดยังห้วนสั้นไม่พอใจอย่างแรงสูงอีกด้วย “ถ้าเธอทนไม่ไหวจะตามทุกคนไปที่โรงแรมก่อนก็ได้นะ ฉันไม่ได้ห้ามอะไร”
แต่วันนี้มาแปลก แปลกตรงที่เจสสิก้าไม่ได้บังคับเธอให้รอเป็นเพื่อนเหมือนปกติ แต่เธอก็ไม่เก็บเอามาคิดใส่ใจเพราะมันไม่สำคัญเท่ากับเรื่องความเป็นอยู่ของเจ้าหล่อนอยู่แล้ว
“ฉันจะทิ้งเธอไว้คนเดียวได้ยังไง”
“ไม่มีเธอฉันไม่ตายหรอกยูริ”ถึงประโยคจะแรงไปนิด แต่ก็ถูกของเจสสิก้า ตลอดเวลาที่นั่งรอด้วยกันมา ยูริไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งข้างๆนางแบบสาวเท่านั้น
เป็นแค่เศษฝุ่นละออง มีตัวตนก็เหมือนไม่มี มิหนำซ้ำยังทำให้คนใกล้เคียงเกิดความรำคาญอีกต่างหาก
“ก็ได้ๆ งั้นฉันไปก่อนละนะ”ยูริโบกมือกลายๆ ทำทีเป็นยอมจำนน เดินออกไปในที่สุด จนกระทั่งเมื่อลับสายตาเจสสิก้า ก็แอบซ่อนหลังต้นเสาต้นใหญ่ในสถานี แอบซุ่มดูอยู่ไกลๆด้วยความเป็นห่วง
ถึงแม้ว่าจะแสดงความเป็นห่วงอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเป็นห่วงในระยะไกลแบบนี้ต่อไป ตามแบบของควอนยูริ
แต่รอจนแล้วจนเล่า รอจนขึ้นชั่วโมงที่สองและจวนจะขึ้นชั่วโมงที่สาม ก็ไม่ปรากฏแม้กระทั่งเงาของแทยอนหรือของทิฟฟานี่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมองไปที่เจสสิก้าก็ยิ่งเจ็บ แม้เธอจะรู้ดีว่าการรักคนที่เขาไม่ได้รักเรานั้นมันเจ็บเพียงใด และมันเป็นเรื่องปกติที่คนเหล่านั้นต้องพบเจอ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ประสงค์จะให้เจ้าหล่อนต้องมาพบเจอกับความรู้สึกเช่นนี้
เจสสิก้าเป็นคนเหวี่ยง แต่ก็อ่อนแอมากกว่าที่ทุกคนคิด
บางที...เธอคิดว่า เธอควรฝ่าฝืนความต้องการของเจสสิก้าสักครั้ง แม้เจ้าหล่อนอาจจะโกรธ เกลียด หรือไม่พอใจเธอมากแค่ไหน เธอก็ต้องทำ
วันนี้ จะขอทำตามใจตัวเอง เห็นแบบนี้นานๆแล้วมันทนไม่ได้
ไวเท่าความคิด ยูริก้าวขายาวๆพาร่างตัวเองไปยังจุดๆเดิมที่เจสสิก้านั่งรอแทยอนอยู่คนเดียว
“เจสสิก้า...เธอรอมาสองชั่วโมงกว่าแล้วนะ ฉันว่าเธอควรจะ..”
“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง”ตวาดเสียงสั่น ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสๆที่ใกล้จะหยดแหล่มิหยดแหล่ เท่านี้ก็ยืนยันได้เต็มที่แล้วว่าตอนนี้สาวมั่นสาวเหวี่ยงแห่งยุคกำลังถึงจุดที่อ่อนแอ
ด้วยความที่เห็นคนเหวี่ยงๆแรงๆ จึงไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นง่ายๆ โดยไม่จำเป็น เธอที่เป็นเพื่อนมานานยังไม่ค่อยเห็นเจสสิก้าร้องไห้เลย และในครั้งนี้ เธอไม่รู้และไม่อยากจะรู้หรอกนะว่าเจ้าหล่อนร้องด้วยเหตุผลอะไร
แต่ในเมื่อผลออกมาคือน้ำตาของคนที่เธอรัก เธอทนไม่ได้แน่นอน
“ฉันไม่อยากเห็นเธอนั่งหนาวคนเดียว ฉันว่าฉันนั่งเป็นเพื่อนดีกว่า”
“...”
“ฮึก...”เจสสิก้านั่งฟุบหน้าลงกับเข่า พยายามอย่างยิ่งที่จะร้องไห้โดยไม่มีเสียง แต่ไม่รู้ว่าเสียงในสถานีมันดังไม่พอหรือว่ายูริหูดีเกินไปกันแน่ เธอถึงได้ยินเสียงสะอื้นฮักราวจะขาดใจขนาดนั้น
ยูริระบายยิ้มอ่อนๆออกมากลบเกลื่อนความปวดร้าวในใจ ก่อนจะค่อยๆเอ่ยคำพูดออกมาทีละประโยค เพื่อหวังว่าจะได้ช่วยให้คนฟังนั้นมีความสบายใจมากยิ่งขึ้น เพราะเธอเป็นคนอารมณ์ดี ไม่ค่อยเจอใครร้องไห้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นเธอจึงคิดไม่ออกว่าควรจะใช้คำแบบไหนมาปลอบดี
ตามประสาคนปลอบใครไม่เป็นล่ะนะ
“ฉันจะไม่ห้ามให้เธอร้องไห้หรอกนะ”
“แต่อย่าเช็ดน้ำตาออกเชียวล่ะ เดี๋ยวตาจะบวม”
“อันที่จริง...หลังฉัน ก็ยังว่างอยู่นะ”
“มันจะโอเคนะ ฉันไม่หวงอะไรหรอกถ้าเธอจะทำเสื้อฉันเปียก”
“ฉันกำลังอยากสร้างรอยศิลปะบนหลังพอดีเลย”
เจสสิก้าเงยหน้าขึ้นมามองยูริด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แน่นอนว่าเจ้าหล่อนทำตามข้อเสนอของคนปลอบที่ยื่นหลังเสนอตัวเองเต็มที่
“ขอบใจนะ”พูดเสียงอู้อี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบจากการร้องไห้ หรืออายกันแน่ แต่อย่างน้อยๆ เธอก็รู้สึกได้เลยว่าเจสสิก้าพูดกับเธอด้วยความจริงใจจริงๆ
สำหรับเพื่อนคนนึง...เท่านี้ ก็เกินพอแล้วล่ะ
ท่าทางอุบัติเหตุการเดินทางของแทยอนและทิฟฟานี่นั้นจะเกินเยียวยาจริงๆ
เพราะความล่าช้าของสองคนนั้น และการที่คณะเดินทางของพวกเธอมีอันต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางและเปลี่ยนสถานที่พักกะทันหัน บวกกับความงี่เง่าของโทรศัพท์ของจองซูซึ่งเป็นเครื่องเดียวที่สามารใช้การได้ในญี่ปุ่นตลอดหลายวันที่ผ่านมา...แต่ตอนนี้ มันเจ๊งไปซะแล้ว
แน่นอนว่าแผนเปลี่ยน และพวกเธอไม่สามารถแจ้งข่าวใดๆกับสองคนนั้นได้ คงมีเพียงหนทางเดียวคือการปล่อยเลยตามเลย เพราะถึงอย่างไร ท้ายที่สุด ในวันสุดท้ายของการเดินทางพวกเธอทุกคนก็ต้องไปเจอกันที่สนามบินนานาชาติโตเกียวอยู่แล้ว
แทยอนเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ถึงแม้ว่าอาจจะลำบากหน่อยตรงเรื่องการติดต่อสื่อสารกับคนแปลกหน้าแปลกภาษา และสถานที่ๆไม่คุ้นชิน แต่พวกเธอก็เชื่อว่าแทยอนจะพาทิฟฟานี่เที่ยวกันสองคนได้ตลอดทริปนี้
จริงๆแล้วคนที่น่าห่วงที่สุด อาจจะไม่ใช่แทยอน หรือทิฟฟานี่...
เธอว่า คนๆนั้นคือเธอเองนั่นแหละ
“พี่ซันนี่คะ นั่งซึมกระทือเชียว เป็นอะไรไปคะ”น้องเล็กของวงถามด้วยเสียงใสตามประสา เนื่องจากตอนนี้ทุกคนกำลังมาเที่ยวที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์ สวนสนุกชื่อดังระดับโลก และส่วนใหญ่หรือแทบจะทุกคนในคณะนี้ก็เพิ่งมากันเป็นครั้งแรกทั้งนั้น รวมถึงไอยูด้วย จึงไม่น่าแปลกใจอะไรหากทุกคนจะมีท่าทางกระตือรือร้นสนุกสนานรื่นเริงอยู่ตลอดเวลา
ถ้าจะมี ก็มีแค่เธอคนเดียวนั่นแหละ ที่นั่งหน้านิ่งขวางโลกได้อย่างน่าหมั่นไส้
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“สงสัยพยายามคิดอยู่แน่เลยว่าต้องทำไงถึงจะสูง”
และเธอจะไม่หงุดหงิดเลย ถ้าเรื่องที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น มันไม่เกี่ยวข้องกับเด็กโย่งที่ชอบดูถูกเรื่องความสูง(น้อย)ของเธอ แต่นอกจากความหงุดหงิดแล้ว มันก็ยังมีความดีใจเล็กๆแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเธอรู้ดีว่าอาการนี้มันเรียกว่าอะไร
ในเมื่อเก็บเรื่องนี้เอามาคิดก่อนนอนตั้งหลายคืน ไปพร้อมๆกับการมองหน้ายามหลับของซูยองอย่างไม่รู้เบื่อ
“ไอ้หยอง อย่าเจ๋อ!”ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ถ้ามีเวลาว่างขนาดนั้นไปดูแลแฟนคลับแกนู่นไป”
แต่คนโดนว่าก็ไม่ได้มีท่าทีสลดอะไรจริงจัง นอกจากการแกล้งทำหน้าง้ำงอ งอนๆราวกับตัวเองเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น(?)ที่โดนแฟนหนุ่มขัดใจ
“เชอะไปก็ได้”
บอกตามตรง...ดูแล้วมันน่าหมั่นไส้แบบแปลกๆ?
“อ้อ ไอยูดูแลพี่ซันนี่เขาด้วยล่ะ หมู่นี้เห็นอารมณ์เสียบ่อย ท่าทางน้ำหนักจะเพิ่ม หรือไม่ก็ส่วนสูงลด”
อย่างที่บอกไป ว่าเธออายุก็มากแล้ว เอ่อ...หมายถึง มีความเป็นผู้ใหญ่พอตัว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็เยอะ ใช่ว่าจะใสซื่อ อินโนเซ้นส์ไม่รู้จักความรัก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอได้รู้จักและได้เรียนรู้ความรักรูปแบบต่างๆมากมาย แน่นอนว่าเธอเคยมีแฟน ทั้งผู้ชาย หรือแม้แต่กระทั่งผู้หญิงด้วยกันเอง
แต่ส่วนที่เธอไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องเป็นซูยอง...
ทำไมเธอไม่รักไอยู แทยอน ฮโยยอน หรือแม้แต่ผู้จัดการสุดหล่อขวัญใจสาวๆอย่างยุนโฮ
จะว่าเธอหวั่นไหวเพราะแฟนคลับจับคู่จิ้นด้วยกันก็ไม่น่าจะใช่...เธอไม่ใช่คนประเภทอ่อนไหวง่าย ถึงจะหงุดหงิดง่ายและอารมณ์เสียบ่อยๆ แต่เธอก็คิดว่าสองเรื่องนี้ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกันได้
ยิ่งเรื่องนิสัยยิ่งไม่ต้องพูดถึง...ต่างกันราวฟ้ากับเหว แถมเด็กโข่งคนนี้มันยังชอบทำให้เธอหงุดหงิดใจบ่อยๆอีกต่างหาก
แต่เอาเถอะ ขึ้นชื่อว่าความรัก ยังไงมันก็ชอบมาในรูปแบบต่างๆ อย่างที่เราไม่ทันจะได้ตั้งตัวเสมอล่ะนะ อีกอย่าง เรื่องของสาเหตุมันก็ไม่จำเป็นอยู่แล้ว ในตอนนี้เธอคิดว่าสิ่งที่เธอควรจะให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ...
เธอจะทำยังไงต่อไปดี?
ซูยองกับเธอเป็นพี่น้องกันมาโดยตลอด ทะเลาะกันก็บ่อย เล่นเกมส์ด้วยกันบ้าง ความสัมพันธ์ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากเพื่อนพี่น้องร่วมวงที่สนิทสนมกัน และถึงแม้ว่าจะบวกเรื่องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เป็นศิลปินฝึกหัดตัวกระเปี๊ยก ก็ไม่มีทางที่ซูยองจะคิดอะไรเกินเลยกับเธอ เหมือนที่เธอคิดกับซูยอง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ...เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูยองชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย
ก็เห็นมันไม่เคยแสดงอาการว่าปลื้มใครเป็นพิเศษ นักร้องนักแสดงที่ชื่นชอบก็มีทั้งสองเพศปนกันไป เพศที่สามก็ยิงไม่เว้น แถมยังเป็นการชอบแบบนับถือในความสามารถ
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หงุดหงิดทั้งตัวเอง มากที่สุดก็คือซูยอง!
เออ! รู้หรอกว่ามันไม่ได้มีความผิดอะไรเลย แต่จะหงุดหงิดอ่ะ ผิดด้วยหรือ?
จมอยู่กับความคิดของตัวเองไม่ทันไร เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมา ทำลายสมาธิเธอแตกกระเจิดกระเจิง
“ว้าว! พี่จูยอนใส่ที่คาดผมอันนี้แล้วน่ารักมากๆ”
อะ..ไอ้เด็กบ้านี่ นับวันยิ่งทำให้เธอทั้งรักและหมั่นไส้ได้พร้อมๆกันจริงๆเลย
ทีคนอื่นล่ะชมเอาๆ กับเธอไม่เห็นจะชมกันสักครั้ง นอกจากด่าๆและวิจารณ์เรื่องส่วนสูงเนี่ย
บอกตามตรง ถึงจะไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในตัวของเด็กตัวสูง แต่ก็หึงค่ะหึง!
“ซูยอง! ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”
*********************************
บอกลาทุกคนด้วยคู่ซูซัน อุวะฮ่ะๆๆๆๆ
มาถึงตอนนี้แล้วทุกคนอาจจะงงกันนิดหน่อยหรือเปล่าว่า ตกลงความรู้สึกของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร
เอาเหอะ งงไม่งง เราก็ไม่บอก กลับไปอ่านเองให้เข้าใจละกัน(อ้าว อินี่กวนติงนี่นา)
ว่าแต่ทริปเที่ยวญี่ปุ่นนี่มันจะนานเกินไปป่ะคะ ทุกคนคงคิดอย่างนี้สินะ
เริ่มเบื่อญี่ปุ่นกันแล้วสิท่า แต่ไม่ต้องเป็นวงกลม(เป็นห่วง) (ตึ่งโป่ะ!- -) ไป
ตอนหน้า จะอยู่เที่ยวญี่ปุ่นต่ออีกหน่อย(คิดไปคิดมาก็ไม่หน่อยนะ หลายหน้าอยู่) แล้วกลับทันที
ความคิดเห็น