ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] "IS THIS LOVE" ใช่รักหรือเปล่า? | KAIHUN FT. CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 :: He Is Mine [Loading 100%]

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 59


      
    Chapter 4 
     

     


    'กับคำถามสิ้นคิดเมื่อกี้ได้ใช้สมองไตร่ตรองบ้างหรือยัง?'

    .

    .


    ควันหอมฉุยลอยเหนือเตาย่างหมูสามชั้นตรงหน้าเรียกน้ำย่อยของชายหนุ่มทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี ตะเกียบในมือและผักเครื่องเคียงครบชุดถูกวางไว้ตรงจุดที่เราหยิบจับได้สะดวกมากที่สุด เซฮุนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่โกรธที่จงอินจงใจหลอกด่าแต่กลับตอบรับคำเชิญชวนมื้อเย็นเหมือนทุกที


    "อาจารย์ที่สาขาบอกว่าอาทิตย์หน้าจะมีโปรเจ็คร่วม" จงอินกำลังพูดถึงงานชิ้นสำคัญที่จะกอบโกยคะแนนมหาศาลก่อนสอบปลายภาคซึ่งเป็นงานร่วมระหว่างสาขารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เซฮุนพยักหน้าคล้ายรับรู้สิ่งที่อีกคนพูดขณะใช้กรรไกรตัดแบ่งชิ้นเนื้อสำหรับทั้งคู่


    เป็นที่รู้กันว่าจงอินจะทำตัวเป็นคุณชายเสมอเมื่อถึงเวลาอาหาร ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่เซฮุนจะต้องทำตัวประหนึ่งคุณแม่ลูกอ่อนคอยตัดคอยคีบสิ่งนู้นสิ่งนี้ให้ตามคำร้องขอของเด็กชายตัวน้อย 


    ส่วนเหตุผลที่ยอมทำน่ะเหรอ? ... เวทนาล้วนๆ! 


    "ตัดชิ้นใหญ่กว่านี้อีกนิดสิเซฮุน ตอนห่อผักจะได้อร่อยๆ" คนถูกสั่งเบ้ปากแต่ก็ไม่วายทำตามอยู่ดี "มึงเลือกสมาชิกกลุ่มไว้บ้างหรือยัง" 


    "ตอนนี้มีแค่กูกับซูจอง" ชายหนุ่มผิวขาวเลื่อนจานผักพร้อมหมูจำนวนหนึ่งให้บุคคลที่นั่งฝั่งตรงข้าม อาจารย์ประจำสาขาเขาเองก็แจ้งรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับงานชิ้นนี้มาบ้างแล้วว่าจะกำหนดสถานการณ์สมมติขึ้นมาเพื่อให้ว่าที่นักการปกครองและนักการฑูตได้ลองตัดสินใจทำงานร่วมกัน "ที่เหลืออีกคนนึงยังคิดอยู่..." 


    "เลือกกูเถอะนะ!" เซฮุนเบี่ยงตัวหลบการพุ่งชนแบบด่วนจี๋ของรูมเมทผิวแทน สารภาพตามตรงว่าตอนนี้เขาเริ่มหงุดหงิดกับการเล่นไม่เลือกสถานที่ของจงอินแล้ว การยื่นใบหน้าเข้าหาทั้งที่มีเตาย่างร้อนๆ วางแทรกกลางอยู่มันสมควรอย่างนั้นเหรอ?! 


    "มึงเลิกทำตัวเหมือนเด็กประถมสักทีได้ไหมจงอิน!" น้ำเสียงที่บ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจทำเอาใบหน้าทะเล้นทะลึ่งเมื่อครู่หายวับไปกับตา เหลือทิ้งไว้เพียงใบหน้าเรียบสงบซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก 


    "กูทำตัวเหมือนเด็กประถมยังไงเหรอเซฮุน?" 


    "ปัญญาอ่อน!" คำนิยามสั้นๆ ที่เหมาะสมใช้แทนพฤติกรรมตลอดสามปีของจงอินได้ดีที่สุดคือคำนี้เท่านั้น "มึงคิดว่ามันดีนักหรือไงกับการทำตัวเป็นลิงทะโมนขี้เล่นคอยหยอกกูอยู่ได้น่ะ บอกตามตรงว่ารำคาญ!"


    "..."


    "กูไม่เคยชอบที่มึงพยายามเข้าหาด้วยวิธีแปลกๆ ที่คนปกติเขาไม่ทำกัน ..." จะว่าเซฮุนไร้มารยาทที่ทำลายบรรยากาศดีๆ บนโต๊ะอาหารก็ได้ เวลานี้เขาเองก็รู้สึกแย่ไม่ต่างจากใครอีกคนหรอก กับการที่ต้องอารมณ์เสียเพียงเพราะเป็นห่วงคนไม่รู้จักคิด 


    กี่ครั้งแล้วที่จงอินต้องเจ็บตัวหลังถูกเขาสวนกลับ ... แล้วสุดท้ายก็ยังเป็นเขาอีกอยู่ดีที่รู้สึกผิดจนต้องเลี่ยงการเผชิญหน้ามันซะทุกครั้งไป... 


    ทั้งที่รู้ว่าเลี่ยงหรือหลบยังไงก็ไม่มีทางหนีพ้น... 


    "..." 


    "ความจริงแล้วมึงไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้ด้วยซ้ำจงอิน..." เซฮุนจำได้ไม่มีวันลืมว่า 'คิมจงอิน' ที่เขาเจอครั้งแรกนั้นดูสุขุมและโตเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดและเป็นผู้นำพอที่จะทำให้เขาเดินตามหลังอย่างไม่ลังเลไม่ควรเติบโตมาเป็นมนุษย์หมีที่เอาแต่แกล้งกับทำเรื่องไร้สาระไปวันๆ 


    "..."


    "มึง..."


    "ก็เพราะมึงเป็นคนอย่างนี้ไงเซฮุน!" จงอินพูดทะลุกลางปล้องโดยไม่สนว่าประโยคขาดหายเมื่อสักครู่ของคู่สนทนาจะมีใจความอย่างไร เขาถือว่าตัวเองทำหน้าที่ของผู้ฟังที่ดีมานานพอแล้ว "กูมีสิทธิ์สงสัยไหมว่าทำไมมึงต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ ทั้งที่กูก็แค่อยากทำงานกลุ่มด้วยเพราะเห็นว่ามันสะดวกสำหรับเราทั้งคู่"


    "ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยจงอิน" จนแล้วจนรอดไอ้บ้านี่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาหัวเสียเพราะมันชอบเอาตัวเองเข้าใกล้เรื่องเสี่ยงอันตรายต่างหาก


    "ไม่เกี่ยวกันงั้นเหรอ?" เซฮุนถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อได้ฟังน้ำเสียงประชดประชันจากชายหนุ่มผิวแทน เราสองคนเลือกทิ้งสายตาไว้ที่คนละมุมของร้านเพื่อปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวเจรจาสงบศึกหน้าเตาย่างหมูสามชั้นลงก่อน 


    "กูขะ..."


    "ตอบทีว่าถ้ากูไม่ทำอย่างนี้เราจะมีโอกาสได้คุยกันหรือเปล่า" 


    "หมายถึงเรื่องอะไร" ว่าที่นักการฑูตคนเก่งจำเป็นต้องกลืนคำขอโทษลงคอเนื่องจากรูมเมทหน้ากวนคนเดิมกลับกลายร่างเป็นอีกคนที่เขาไม่คุ้นชิน ซึ่งมันแปลกตรงที่เขาไม่ชอบใจเอาซะเลย


    "ถ้ากูไม่เป็นฝ่ายพยายามเข้าหา เราสองคนก็คงไม่ต่างจากคนแปลกหน้าที่เดินสวนทางกันข้างนอกหรอก" ดวงตาคมกริบจ้องมองชายหนุ่มผิวขาวราวกับต้องการสื่อสารบางสิ่งที่คำพูดอย่างเดียวยังอธิบายได้ไม่ดีพอ "มึงน่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ถ้ากูเลือกเฉยชาเหมือนที่มึงทำ ความสัมพันธ์ของเราอาจจะแย่และจบลงตั้งแต่ปีแรกก็ได้ใครจะรู้"


    "..."


    "กูผิดมากนักเหรอที่อยากเป็นเพื่อนกับมึงน่ะ กูผิดมากไหมที่อยากให้เราอยู่ร่วมกันได้ ... ตอบมาสิโอเซฮุน" 


    "..."


    เงียบ... เซฮุนไม่ตอบคำถามเขา ไม่แม้กระทั่งส่ายหน้าปฏิเสธ จนถึงวินาทีนี้จงอินได้เรียนรู้แล้วว่าความพยายามของเขามันสูญเปล่าสิ้นดี ต่อให้ทนเจ็บตัวเพราะถูกต่อยหรือเตะอีกกี่ครั้ง ทว่าสุดท้ายเซฮุนก็ยังคงมองเขาเป็นเพียงคนนอกที่อาศัยหอพักห้องเดียวกันเท่านั้น


    "กูคิดว่าตัวเองได้คำตอบแล้ว ขอโทษที่ทำให้รำคาญมาตลอดก็แล้วกัน" 


    จบประโยคร่างสูงฝั่งตรงข้ามก็ทำท่าจะลุกขึ้นเดินจากไป เซฮุนไม่อยากโทษความมือไวของตัวเองที่รั้งข้อมือสีแทนไว้ทัน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งใจยื้อจงอินเอาไว้เพราะต้องการแก้ไขสิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดก่อน


    "กูยังกินไม่อิ่มเลย มึงจะรีบไปไหน" 


    "ได้ข่าวว่าระบบย่อยอาหารเราสองคนไม่ติดกัน"


    เอ๊ะไอ้นี่! คนเขาอุตส่าห์ง้อยังเสือกเล่นตัวอีก! 


    "นั่งกินเป็นเพื่อนหน่อยเถอะหน่า อยากเป็นเพื่อนกับกูนักไม่ใช่หรือไง" เซฮุนคงต้องบันทึกเหตุการณ์วันนี้ลงในไดอารี่ส่วนตัวสักหน่อยว่าจงอินคนขี้กวนสามารถทำให้เขาทิ้งศักดิ์ศรีที่ค้ำคอมาชั่วชีวิตลงได้ "เร็วๆ!" 


    "พี่จงอินคะ!" 


    เสียงสดใสของเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ปรี่เข้ามายังโต๊ะเรียกความสนใจจากชายหนุ่มทั้งสองคน เซฮุนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใครก็ได้บอกเขาทีว่าช่วงเวลานี้เด็กนักเรียนอย่างเธอมาโผล่อยู่ที่ร้านหมูย่างทั้งที่ควรจะเป็นโรงเรียนกวดวิชาได้ยังไง มหาวิทยาลัยน่ะจะสอบเข้าไหม?


    หรือแค่หมั้นกับผู้ชายสักคนแล้วถือว่ามิชชั่นคอมพลีทเลย?!


    "บังเอิญจังค่ะ เยริไม่คิดว่าจะได้เจอพวกพี่สองคนที่นี่" รอยยิ้มจริงใจถูกส่งให้คนโตกว่าอย่างไม่ปิดบังทั้งที่ครั้งล่าสุดการพูดคุยของเราจบลงไม่ดีสักเท่าไหร่ "ขอนั่งกินข้าวด้วยคนได้ไหมคะ พอดีเพื่อนที่นัดไว้เกิดยกเลิกนัดกะทันหัน..." 


    เซฮุนปล่อยข้อมือจงอินให้เป็นอิสระทันที เขาก้มหน้าก้มตาคีบหมูชิ้นใหญ่พร้อมเครื่องเคียงใส่ผักก่อนจะยัดเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หลายคำแล้วกระดกน้ำชาแก้วข้างๆ เพื่อช่วยลดอาการฝืดคอ ถึงรสชาติจะบรมห่วยแต่ก็น่าจะดีกว่าต้องตายเพราะอาหารติดคอให้คนแถวนี้สังเวชใจ


    "กูอิ่มแล้ว จะกลับหอเลยไหมจงอิน" 


    "แต่..."


    "นั่งก่อนสิเยริ เดี๋ยวพี่เรียกพนักงานมาสั่งอาหารเพิ่มให้" บางทีจงอินอาจจะลืมไปแล้วว่าเขาไม่ถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้ ดวงตาเรียวรีหลุบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือสลับกับภาพเด็กสาวที่ฉีกยิ้มราวกับมีความสุขเต็มประดา เซฮุนกำลังวิเคราะห์ว่าเขาควรทำตัวยังไงกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ 


    ลุกออกไปเลยดีไหมนะ?


    "เมื่อกี้พี่เซฮุนบอกว่าอิ่มแล้วนี่คะ" เยริหันกลับมาให้ความสนใจกับชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เธอรู้สึก 'ถูกชะตาเป็นพิเศษ' หลังจิ้มรายการอาหารสองสามอย่างให้พนักงานดู ตั้งแต่วันนั้นที่ร้านกาแฟเธอก็ไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกเลย โชคเข้าข้างชะมัดที่วันนี้ได้มีอะไรสนุกๆ ทำ "ถ้ามีธุระต้องรีบกลับก่อนก็ได้นะคะ"


    "ไม่ต้องใส่ใจพี่มากขนาดนั้นหรอกครับ" รอยยิ้มเย็นยะเยือกพร้อมประโยคสุภาพของคำว่าอย่าแส่เรื่องชาวบ้านถูกมอบให้เด็กสาวหน้าสวย รอบแล้วรอบเล่าที่เจ้าตัวพยายามตั้งสติและคิดทบทวนว่าควรทำอย่างไรต่อไประหว่างช่างหัวจงอินแล้วปล่อยมันตายตามยถากรรมหรือสวมหัวโขนเป็นแฟนหลอกๆ เพื่อรอทวงบุญคุณในอนาคต


    "..."


    "มานั่งฝั่งนี้กับกูสิจงอิน" นั่นแหละ! เซฮุนเลือกอย่างหลัง การทำตัวเป็นคนดีปลอมๆ ก็น่าสนใจไม่หยอก โดยเฉพาะถ้าการกระทำของเขาจะส่งผลให้ใครบางคนเจ็บใจเล่นเล็ก ๆ น้อยๆ "แฟนมึงนั่งหัวโด่อยู่นี่จะเสร่อไปนั่งกับผู้หญิงคนอื่นทำไม?"


    สิบล้านวอนที่เคยตกลงกันไว้... ห้ามแกล้งลืมเด็ดขาดนะคิมจงอิน






    เซฮุนต้องการอะไร?...


    สารภาพตามตรงว่าครั้งนี้จงอินเดาความคิดอีกฝ่ายไม่ถูกจริงๆ ตั้งแต่คำถามสุดแสนปวดตับที่ทำเอาเขาเสียวสันหลังวาบตอนอยู่หอพัก ลามมาถึงอารมณ์แปรปรวนราวสาวแรกรุ่นที่โกรธได้แม้กระทั่งเรื่องขี้ปะติ๋ว แล้วไหนจะยังยอมรับสมอ้างเป็นแฟนตัวปลอมให้ต่อทั้งที่เพิ่งยกเลิกแผนการแบบไร้เยื่อใยไปเมื่อหลายวันก่อน


    ทำตัวอย่างนี้ไม่สมกับเป็นโอเซฮุนคนเดิมเลยสักนิด... 


    "อาหารร้านนี้อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ"


    ถึงไม่อยากเข้าข้างตัวเองแต่สายตาที่ผู้ชายผิวขาวใช้มองเด็กสาวซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นของเขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจกับการมีเธอร่วมมื้ออาหารเย็นนัก ยิ่งเยริแสดงออกว่ามีความสุขมากเท่าไหร่เซฮุนก็ยิ่งแสดงออกว่าเหม็นเบื่อเธอมากขึ้นเท่านั้น 


    "ถ้าอร่อยก็สั่งเพิ่มได้ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง" จงอินส่งยิ้มอ่อนโยนให้เยริด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในตอนแรกเขาค่อนข้างคิดหนักกับการชวนเธอร่วมโต๊ะ ทว่าความขุ่นเคืองที่มีต่อคนที่นั่งข้างกายบวกกับความเอ็นดูเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กก็ส่งผลให้ชายหนุ่มผิวแทนปฏิเสธไม่ลง 


    บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเยริคงเป็นน้องสาวที่น่ารักมากคนหนึ่งหากไม่ติดนิสัยเอาแต่ใจของเจ้าตัว น่าเสียดายที่ครอบครัวของเราพยายามผูกมัดจงอินมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องใจร้ายแล้วกีดกันเธอให้ห่างจากชีวิตส่วนตัวมากเท่าทุกวันนี้


    "เย้! พี่จงอินยังใจดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ" 


    ตะเกียบเหล็กภายใต้อุ้งมือขาวหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคแสลงหู แต่ไหนแต่ไรพี่ชายแท้ๆ มักบอกเสมอว่าเซฮุนเป็นคนประเภทมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งเขาก็ยอมรับแต่โดยดีและตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้อยู่ทุกครั้งว่ามันย่อมดีกว่าการมองโลกในแง่ดีแล้วต้องกลายเป็นคนโง่ 


    ยกเว้นครั้งนี้ที่เขาขอไม่ยอมรับ! 


    เซฮุนยืนยันว่าเขามองโลกด้วยหลักความจริงโดยไร้อคติ แต่จะให้ฟังยังไงน้ำเสียงที่เยริใช้พูดเมื่อครู่ก็ดูเกินจริตเด็กสาวอายุสิบแปดปีไปหน่อย


    "พี่ไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้นหรอกเยริ" รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนกลับกลายเป็นรอยยิ้มแหยเมื่อคนต้นเรื่องสังเกตเห็นอาการเบ้ปากคล้ายหมั่นไส้จากใครบางคนซึ่งคุณก็รู้ดี "ว่าแต่นี่มันก็เย็นมากแล้ว เยริกลับบ้านเองคนเดียวได้หรือเปล่า" 


    "นี่คือคำถามจากคนที่บอกว่าตัวเองใจร้ายเหรอคะ?" 


    "..."


    "ฮะฮะฮ่า! เยริแค่ล้อเล่นค่ะ..." 





    "พี่จงอินช่วยไปส่งเยริที่บ้านหน่อยได้ไหมคะ"


    เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด!


    เซฮุนไม่เคยคิดเคยฝันว่าวันหนึ่งชีวิตเขาจะถึงจุดตกต่ำจนถึงขั้นต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับนิสัยขี้อ้อนของผู้หญิง โอเค! เขาเข้าใจได้ในกรณีที่เด็กผู้หญิงจะชิงดีชิงเด่นหรือแก่งแย่งอะไรกันสักอย่างจนเกิดความบาดหมาง แต่มันต้องไม่เกิดขึ้นในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายหรือเปล่าวะ?!


    รู้ถึงไหนอายถึงนั่นว่าเซฮุนชายหนุ่มรูปหล่อพ่อไม่ค่อยรวยคนนี้กำลังหมั่นไส้เด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่าจนอยากปล่อยทิ้งไว้ที่ป้ายรถเมล์คนเดียวให้รู้แล้วรู้รอดไป!


    เจ้าของดวงตาคมกริบหันกลับมามองหน้าเขาคล้ายขอความเห็น ซึ่งก็แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่รีรอที่จะส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่โอเคกับการปล่อยรูมเมทไปส่งว่าที่คู่หมั้นถึงหน้าบ้าน แต่ตัวเองต้องนั่งรถเมล์กลับหอพักเพียงคนเดียว


    "กูไม่กลับหอคนเดียวหรอกนะ" ชายหนุ่มผิวขาวยืนกอดอกพลางมองร้านขายของข้างทางไปเรื่อย ถึงเขาไม่เห็นหน้าเยริโดยตรงแต่ก็พอเดาได้ว่าตอนนี้เธออาจกำลังจ้องเขาด้วยแววตาของแม่มดตัวร้ายที่อยากตะครุบเหยื่อใจแทบขาดอยู่ 


    ช่วยไม่ได้ที่เขาจำเป็นต้องขัดขวางเธอเนื่องจากรับบทเป็นคนรักของจงอิน ขอถามหน่อยว่ามันจะมีคนสติดีที่ไหนปล่อยคนรักไปส่งสาวอื่นถึงบ้านบ้าง คำตอบคือไม่มีไง! 


    เพราะฉะนั้นเซฮุนถึงต้องรั้งไอ้มนุษย์กวนอวัยเบื้องล่าง 'ของเขา' ไว้


    "พี่ว่าน้องเยริลองโทรบอกให้คนที่บ้านออกมารับดีกว่าครับ" โอ้โห! นี่ยังใจดีชี้นำทางสว่างให้อีก จะหาคนใจกว้างกว่าโอเซฮุนน่ะไม่มีหรอก! 


    "นั่นสิ พี่ก็เห็นด้วยกับเซฮุนนะ" 


    กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะก็ตอนที่โดนฝ่ามือหนาตีต้นแขนเบาๆ เหมือนสั่งให้หยุดทำเรื่องเสียมารยาท หยาดน้ำใสที่คลออยู่แถวดวงตากลมโตยิ่งทวีคูณความรู้สึกผิดของชายหนุ่ม 


    ใจร้ายเกินไปหรือเปล่าวะกู?!


    "เอ่อ... คือพี่..." 


    "พวกพี่สองคนกลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยวเยรินั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง" ปลายเท้าเล็กทำท่าจะหันหลังเดินจากไปในช่วงเวลาที่จิตสำนึกของเขาทำงานตามหลักทฤษฎีของซิกส์ มันฟรอยด์อย่างพอดิบพอดี ให้ตายเถอะพระเจ้า! เกือบกลายเป็นคนไร้จิตสำนึกใจคอโหดเหี้ยมซะแล้วไหมล่ะ


    "น้องเยริ..."


    "ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่กับเซฮุนช่วยเรียกแท็กซี่ให้ดีกว่า อย่างน้อยก็น่าจะเลือกคันที่คนขับดูไว้ใจได้" 


    จงอินตัดสินใจเด็ดขาดก่อนจะขยับตัวมายืนคั่นตรงกลางระหว่างคนสองคนที่เขารู้สึกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ามือหนาเอื้อมไปจับกับข้อมือบางของร่างเล็กและร่างโปร่งตามลำดับโดยไม่ลืมดูรถที่วิ่งบนถนนเพื่อความปลอดภัยของเราทั้งหมด


    ตึกตัก... ตึกตัก...


    โซลคือเมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านและร้านขายของต่างๆ มากมาย ประชาชนกว่าครึ่งล้วนใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายตามวัฒนธรรมดั้งเดิมชนิดลืมความเกรงใจ แต่น่าแปลกที่โสตประสาทของเซฮุนกลับได้ยินแค่เพียงเสียงหนึ่งที่เกิดขึ้นในตัวเขาเอง


    ตึกตัก... ตึกตัก...


    เซฮุนไม่รู้หรอกว่าเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของจงอินมองเห็นสิ่งใดบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเห็นชัดเต็มสองตาคือมือสีแทนกำลังกุมข้อมือเล็กอย่างหลวมๆ ในขณะที่นิ้วมือของเราสองคนสอดประสานเข้าหากันอย่างแนบแน่นจนแทบไม่มีช่องว่างให้อากาศเล็ดลอดไปได้


    หยุดหัวใจเต้นแรงเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้ร่างกายไม่รักดี! 





    เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่ชายหนุ่มนั่งจ้องมือตัวเองราวกับว่าจะมีนิ้วที่ยี่สิบเอ็ดงอกออกมา ตั้งแต่ที่ส่งเยริขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านจงอินก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งเฉยชา มึนตึง ไม่ยอมพูดยอมจา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้มันส่งผลให้เซฮุนสับสนจนไม่มีสมาธิจะอ่านหนังสือหรือทำรายงานวิชาสำคัญซึ่งมีกำหนดส่งในเร็ววัน


    น่าหงุดหงิดชะมัด!


    ถ้าหากว่าจงอินเป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดีสักคนเขาคงไม่ต้องกังวลขนาดนี้ที่รู้ว่าตัวเองเผลอหัวใจเต้นแรงตอนอยู่ใกล้หรือได้สัมผัสร่างกายมัน...


    แต่เพราะว่ามันเป็นผู้ชาย!


    จงอินเป็นผู้ชายอกสามศอกร่างกายกำยำ! ไม่ได้มีสัดส่วนอ้อนแอ้นอรชรหรือน่าพิศวาสตรงไหนสักนิด!


    อันที่จริงเขาควรขยะแขยงหรือขนลุกมากกว่าจะหัวใจเต้นแรงแถมยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งตัวแบบนั้น!


    และเหนือสิ่งอื่นใด ... สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นไม่ใช่ครั้งแรก! ตลอดสามปีที่ผ่านมาเซฮุนเสี่ยงระบบหัวใจล้มเหลวเพราะจงอินไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วด้วยซ้ำ!


    "โว้ย!" ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่ออดทนต่อไปไม่ไหว ขืนนั่งจมอยู่กับเก้าอี้อีกแค่นาทีเดียวมีหวังได้ตายคาที่แน่ ทางที่ดีเขาควรออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกกับหาเครื่องดื่มเย็นๆ ช่วยระงับความร้อนในใจลงซะ 


    ยังไม่ทันพ้นบริเวณประตูห้องนอนท่อนขาขาวภายใต้กางเกงนอนเนื้อบางเบาก็ต้องหยุดลงเพราะเห็นเงาของใครบางคนนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะกินข้าว สงสัยคำกล่าวที่ว่าพระผู้เป็นเจ้ามักเมตตาคนทุกข์คงใช้ไม่ได้เสมอไป


    ยิ่งอยากหนีเท่าไหร่ยิ่งได้เจอสิน่า...


    "ไงมึง มีเรื่องเครียดถึงขนาดต้องซัดโซจูกลางดึกเลยเหรอ" เอ่ยถามพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากคนที่สร้างความรู้สึกประหลาดให้ตัวเองมาหลายชั่วโมง ขวดสีเขียวที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าจงอินดื่มไปเยอะพอสมควร


    "..."


    "ถ้าเมาก็เข้าห้องไปนอน อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เช้ามึงมีเรียน" เซฮุนยอมรับว่าค่อนข้างใจเสียที่มนุษย์ขี้กวนกลับนิ่งงันคล้ายหุ่นยนต์เปิดโหมดประหยัดพลังงาน ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเองนั่นแหละที่ดันใส่อารมณ์กับมันมากเกินไป 


    "ปกติวันพุธกูมีเรียนเฉพาะช่วงบ่าย" เสียงเอื่อยๆ ตอบกลับมาพร้อมยกแก้วขนาดเล็กขึ้นจ่อริมฝีปากอีกครั้ง ของเหลวรสชาติเฝื่อนลิ้นไหลผ่านลำคอลงสู่หลอดอาหาร "มึงไม่เคยจำเรื่องของกูได้เลยสักเรื่อง" 


    "มันใช่เวลาตัดพ้อไหมวะ!" แกล้งโมโหกลบเกลื่อนคือพฤติกรรมที่แย่ ... แต่ช่วยเข้าใจคนหมดหนทางหน่อยเถอะขอร้อง


    "..." 


    "จะเรียนเช้าหรือเรียนบ่ายมึงก็ควรนอนได้แล้ว!" 


    "พรุ่งนี้กูมีนัดสำคัญ... นัดลองชุดที่จะใส่ในงานหมั้นไง" สายโทรศัพท์จากคุณหญิงคิมซองอึนที่เคารพรักคือสาเหตุที่แท้จริงของการอยากเมาหัวราน้ำครั้งนี้ เสียงเกรี้ยวกราดพร้อมคำต่อว่าโทษฐานละเลยว่าที่คู่หมั้น ตามด้วยบทลงโทษซึ่งเปรียบเสมือนสายฟ้าผ่าลงกลางใจของชายหนุ่ม


    "..." 


    "ขอแสดงความเสียใจด้วยนะเซฮุน ท่าทางงานนี้มึงคงชวดเงินสิบล้านวอนของจริงว่ะ..."


    "..."


    "เพราะกูต้องหมั้นกับเยริเดือนหน้าแล้ว"


    "!!!"



    loading 100%

    *ทฤษฎีซิกส์ มันฟรอยด์ คือทฤษฎีของนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ที่แบ่งจิตใจมนุษย์ออกเป็น 3 อย่าง คือ จิตสำนึก จิตกึ่งรู้สำนัก และจิตไร้สำนึก (แอบเอาเนื้อหาที่เรียนมาใส่ ><)

    *เงินสิบล้านวอน =  313965.21 บาท (ข้อมูลวันที่ 11 ต.ค 2559) ประมาณได้กับรายรับต่อหนึ่งปีสำหรับเด็กจบใหม่ของเกาหลีค่ะ


    เบะปากให้ความขี้ฟ้องของน้องเยริสองทีค่ะ =.,= รีดเดอร์ที่น่ารักคิดว่าพี่หมีกับน้องเจี๊ยบจะทำอย่างไรต่อไปน้าา ติ๊กตอกๆๆ

    กว่าจะมาอัพได้ต้องต่อสู้กับสงครามมิดเทอมแทบตาย เรียนมหาลัยไม่ง่ายเลยจริงๆ ค่ะ ยิ่งใกล้จบยิ่งหนักหน่วง 

    สำหรับหนังสือ (รอบรีปริ้นท์) จัดส่งให้ครบทุกเล่มแล้วนะคะ

    เม้นท์เป็นกำลังใจและสกรีมในทวิตแท็ก #ficthislove กันได้นะค้าา 

    ฟิคเรื่องนี้ไม่มีน้องฮุน มีแต่พี่ฮุนคนแมนที่พร้อมไฟท์กับทุกคน 

    *** อ่านแล้วก็ช่วยเม้นท์ช่วยโหวตกันสักนิดนะคะ เราอยากรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับตัวอักษรที่เราพยายามเรียบเรียงออกมา เข้าใจความรู้สึกของคนที่พูดคนเดียวมั้ยอ่า เศร้านะ T-T *** 

      C
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×