ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] always YOUNGJAE (fic, os, sf)

    ลำดับตอนที่ #1 : (OS)BANGJAE : existence

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 56


    EXISTENCE

    BangJae ft. Yongnum & Daehyun

     

     

    เพราะกาลเวลามันไหลเลื่อนเรื่อยไปสินะ อดีตจึงค่อยๆ ถูกลบหายไปจากความคิดคำนึงของมนุษย์

    ช่างน่าขัน

    เจ้าและข้าเคยพร่ำสัญญาต่อกัน สุดท้ายถ้อยคำนั้นของเจ้าก็เป็นเพียงคำโป้ปด คงมีเพียงข้าที่ยังจดจำและยึดมั่นไว้ไม่เสื่อมคลาย แต่ใยเจ้ากลับกลบฝังถ้อยคำเหล่านั้นราวกับมันคือซากศพน่ารังเกียจในสงครามแห่งความเกลียดชังกันล่ะ

    สิ่งที่เต้นตุบ ตุบ ตุบ อยู่ในอกซ้ายเจ้านั้น มันทำด้วยอะไรกันนะ เจ้าปลดเปลื้องความอาลัยจากข้าอย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน...!...



    ********************************************




    ท้องฟ้ามืดสนิทในยามเที่ยงคืนตรง รอยยับย่นบนที่นอนเริ่มมีเพิ่มขึ้นเมื่อคนบนเตียงหลับตาแน่นบิดตัวไปมา มือกำผ้าปูสีเหลืองอ่อนแทบจะหลุดติดมือ เหงื่อเม็ดใหญ่น้อยผลัดกันไหลย้อยจากข้างขมับลงสู่เตียงโดยที่เจ้าของร่างยังคงทุรนทุรายราวกับเจ็บปวดปานจะขาดใจ....แต่ไม่ตาย

    "ไม่!!!.....!......" ดวงตาที่ปิดแน่นจู่ๆ ก็เบิกกว้างขึ้นอย่างทันที ร่างที่ดิ้นทุรนทุรายกลับนิ่งสนิท ก่อนที่จะค่อยๆ ผ่อนมือและปรับท่านอนของตัวเองให้เป็นปกติ

    " อีกแล้ว....เสียงนั่นมาอีกแล้ว" ริมฝีปากอิ่มพึมพำกับตัวแล้วถอนหายใจ ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งเหม่อมองไปยังภายนอกหน้าต่างที่ไม่มีแสงจันท์สาดส่อง

    อย่าว่าแต่แสงจันทร์เลย....

    ....แสงดาวเพียงริบหรี่ก็ไม่มีให้เห็นแม้เพียงสักดวง

    นับวันเขายิ่งเกลียดคืนเดือนมืด เพราะทุกครั้งที่รอบตัวมีเพียงแสงสว่างจากดวงไฟประดิษฐ์แห่งยุคสมัยใหม่ เสียงแหบใหญ่ทุ้มต่ำนั่นจะดังขึ้นด้วยประโยคเดิมๆ ราวกับถูกปลดปล่อยออกมาจากลำโพงที่มองไม่เห็น แต่มันดังก้องอยู่ในหัวของเขาเพียงคนเดียว เสียงนั้นราวกับ....

    การคำรามของพญาราชสีห์ที่โกรธเกรี้ยวเตรียมพร้อมทำลาย!!

    "ฝันบ้าๆ อีกล่ะ....มาโกรธเคือง ทำอย่างกับเราเคยไปทำอะไรให้งั้นแหละ"

    เขาเหวี่ยงผ้าห่มออกจากตัว ก่อนลุกลงจากเตียงนุ่ม พึมพำอมยิ้มกับตัวประหนึ่งเป็นเรื่องขำขัน ร่างโปร่งสมส่วนก้าวเท้าไปตามห้องชุดหรูตรงสู่ห้องครัวเพื่อหาเครื่องดื่มมาดับกระหาย ไม่ได้สนใจเงามืดทะมึนที่เคลื่อนติดตามร่างของตัวเองมาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเพียงเงามืดในคืนเดือนมืดที่ยากจะสังเกตเห็น....

    'เวลาที่ข้าจะสามารถปรากฏกายให้เจ้าเห็น มันเคลื่อนเข้ามาแล้ว... เจ้ามิเคยเปลี่ยนไปเลย จิตใจและกายาของเจ้า ภาพสะท้อนแห่งหายนะ...!!...'

    " แค่ก ๆ… " เขาสำลักน้ำดื่มที่กำลังจะไหลลงคอจนกระฉอกออกมา เมื่อความรู้สึกที่สัมผัสนั้นเป็นรสชาติอันไม่สมควรที่จะให้มนุษย์ดื่มกิน แก้วราคาแพงแทบแตกเป็นเสี่ยงเมื่อเขาเขวี้ยงมันลงพื้นทันทีในแสงสลัวที่ส่องมาจากห้องรับแขก เห็นได้ว่าเพียงครู่เดียวน้ำดื่มใสบริสุทธิ์กลับเปลี่ยนเป็นน้ำสีโสโครกราวกับน้ำโคลนนองทั่วพื้นกระเบื้อง เพราะพรมผืนหนาที่ปูรอบห้องทำให้แก้วก้านยาวราคาสูงลิ่วนั่นยังคงความงามอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง 

    " มันอะไรกัน?..." ของเหลวที่กระจายลงพรมไม่ได้มีสีน่ารังเกียจอย่างที่เขาเห็นเมื่อครู่ มันเป็นเพียงน้ำแร่ใสสะอาดที่บัดนี้เปียกชุ่มผืนพรมจนไม่สามารถดื่มได้อีกแล้ว  แต่เขาว่าเขาไม่ได้ตาฝาด กลิ่นและรสชาติอันแสนโสโครกเมื่อครู่นั่นเขายังจดจำได้ดี.... มันเรื่องอะไรกัน??!!

    "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!...!..." เขาเอ่ยเสียงแหบกับตัวเองด้วยความตกใจเหลือประมาณ ร่างเล็กหันมองรอบครัวสลัวด้วยแววตาหวาดหวั่น

    'ร่ำร้องอย่างนั้นหรือ เจ้าใคร่อยากรู้มากนักหรือ แล้วใยยามข้าถามเจ้า เจ้าใยไม่ตอบข้าสักคำ ....แม่ทัพยู'



    ********************************************




    เสียงกรีดร้องดังไปทั่วทุ่งหญ้ากว้างกลางแคว้นเล็กที่แสนไกลห่างจากเมืองหลวง มันจึงถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของแดนประหารขนาดใหญ่อันเรียกว่าสมรภูมิรบ  สีแดงสดสาดทั่วราวกับชโลมด้วยสีชาดในตลอดเส้นทาง ต่างกันที่มันมีกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียนของเลือดสดๆ เท่านั้น  สีส้มร้อนแรงของเปลวเพลิงประดับทั่วดั่งแสงไฟฉายงานศิลป์แห่งเลือดอันงดงาม

    ร่วมด้วยเสียงโหยหวนดุจดั่งมโหรีเข้าขับขานบทเพลงชื่นชมงานศิลป์แห่งเลือดเนื้อเหล่านั้น งานศิลป์แห่งการฆ่าฟัน เสียงกรีดร้องที่เกิดจากคมดาบกรีดกรายจนของเหลวและชิ้นเนื้อสาดกระจายทุ่งหญ้า ผืนทราย และกำแพงเมืองอันอ่อนแอ เพลิงกองใหญ่แผดเผาทุกอย่างที่ขวางหน้ามัน ดับสูญเหล่าวิญญาณของชีวิตที่ถูกธนูสังหารและคมดาบซึ่งเหลือเพียงลมหายใจแผ่ว ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วไล่แผดแสงสีส้มเพลิงไปตามเส้นทางที่มีผลงานแห่งซากศพหลากหลายชิ้นประดับไว้ก่อนแล้ว

    ...ช่างงามเหลือเกิน

    จิตใจผู้เสียสละทั้งหลายช่างงามเสียเหลือเกิน

    ส่วนผู้สร้างเหตุ อันใดเล่าถึงไม่ปรากฏโฉมหน้ามาให้ข้าได้ยลสักนิด....

    กรอบหน้าแสนซื่อบริสุทธิ์ที่บรรจุความฉิบหายไว้ อีกไม่นานหรอกคนดีของข้า ความวายวอดจะประดังสู่ชีวิตเจ้าจนต้องสิ้นชีพ..!..

     

    “คืนนี้ท่านจะไปไหนกัน ท่านแม่ทัพผู้ไม่เหมาะสมเลยกับยศศักดิ์นี้”  รอยยิ้มขันและเสียงกลั้วหัวเราะทำเอาผู้รับฟังอมลมแก้มป่องหันไปค้อนขวับ เปลี่ยนการก้าวเดินออกจากห้องโถงใหญ่เป็นเร่งเท้าเข้ามากระชากคออีกคน

    “อย่ามาดูถูกข้านะ ท่านเสนาบดี!”

    ผู้ที่ถูกเรียกว่า เสนาบดี แย้มยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม มือหยาบกร้านจับมือบางที่ขยุ้มคอเสื้อนอนของตน แม้ผ้าแพรเรียบลื่นจะไร้รอยยับย่น แต่เขาคงต้องหาเรื่องทำโทษท่านแม่ทัพผู้ใจร้อน ผู้ช่างแกร่งกล้าในการต่อสู้ซึ่งขัดกับใบหน้าเรียวมนที่ช่างงดงามอ่อนหวาน

    'เจ้าทำเสื้อนอนข้ายับนะแม่ทัพยู” เขาล่ะชอบเสียเหลือเกินกับใบหน้าหวานที่แดงก่ำโดยที่ต้นเหตุนั้นเกิดมาจากตน 

    ท่านแม่ทัพหนอ ท่านแม่ทัพ.... แกร่งกล้าเพียงใดแต่กับคนที่ท่านมีใจก็มิสามารถฝืนร่างกายให้แข็งแกร่ง ข้าล่ะชอบเสียจริง...

     

    มือคนสูงกว่ายังคงกอบกุมมืออีกฝ่ายที่สั่นอย่างไม่ต้องจับสังเกต ร่างสูงจ้องดวงหน้าหวานที่แม้จะคิดต่อต้านแต่แน่นอนว่ากายเขาแข็งแรงพอที่จะจับยึดไว้ ใบหน้าคมเลื่อนเข้าหาใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อย่นระยะห่างระหว่างกัน จมูกโด่งคมสันเสียดสีเข้าที่จมูกอีกคนอย่างหยอกล้อ...

    “คืนนี้อยู่กับข้านะยองแจ”

    โดยไม่รอคำตอบริมฝีปากก็ประกบรุกไล่ต้อนเจ้าของชื่อทันที มือบางพยายามยันอีกคนออกห่าง ช่างน่าสมเพชนักเป็นถึงแม่ทัพใยถึงไร้เรี่ยวแรงกว่าเสนาบดีที่วันๆ ทำเพียงออกเอกสารคำสั่ง

    “อ อื้อ..!...ป.. ปลปล่อยข้ายงกุก!!”

    มิใช่ว่ารังเกียจ มิใช่ว่าหวาดกลัว เพียงแต่เวลานี้มีสิ่งสำคัญกว่าที่เขาต้องทำ และมันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถละทิ้งหรือปฏิเสธได้…....

    …….และเขาไม่สามารถเล่าให้อีกฝ่ายฟังได้จริงๆ

    “ขข้ามีธุระ...ท่านยงนัมเรียกข้า!!” ยูยองแจไม่ได้โกหก ยูยองแจไม่ได้พูดพล่อยเพื่อเอาตัวรอด แค่เพียงเขาพูดความจริงออกมาไม่หมดเท่านั้น ผู้ซึ่งอยู่ในยศตำแหน่งเดียวกับเขาและขณะเดียวกันก็เป็นพี่ชายของคนตรงหน้าเรียกตัวเขาเข้าไปพบ แน่นอนว่าเขารู้ว่าเรื่องอะไร แต่ไม่สามารถเอ่ยเรื่องทุเรศเหล่านี้ได้เลยจริงๆ

    “ยองแจ....”

    “ท่านยงนัมเรียกข้า ข้าต้องไป”

    “ในยามวิกาลเช่นนี้อย่างนั้นรึ!!!”

    “ยงกุก ข ข้า...”

    “เจ้ายังเป็นของข้าผู้เดียวใช่หรือไม่”

     

    ยองแจเงยมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตากับคำถามที่เปี่ยมด้วยความระแวง ทั้งยังแฝงด้วยแววเหยียดหยันหัวใจอันมั่นคงของเขา ไม่ว่าบังยงกุกจะกำลังคิดอะไรอกุศลเกี่ยวกับเขาและแม่ทัพบังยงนัมก็ตาม ยองแจไม่ได้รู้สึกน้อยใจเพราะยงกุกคิดเช่นนั้น แต่เขาน้อยใจที่ยงกุกเป็นคนคิด

    “เจ้าคงมี ธุระสำคัญของทางการ กับท่านพี่ ข้าสมควรเข้านอนเสียเดี๋ยวนี้.... แต่แม่ทัพยูคนดี....” เสนาบดี บัง ยงกุก ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้คนรัก แต่มันไม่เหมือนรอยยิ้มในทุกที

    “เจ้าคงยังพอระลึกได้ว่าข้ามิชอบคนโป้ปด...”

     

    สายตาคมปลาบของเสนาบดีหนุ่มทอดมองตามแผ่นหลังบางของคนรักที่ลับหายเข้าไปในเรือนที่พักของแม่ทัพบังยงนัม เพียงครู่เดียวไฟในห้องทำงานของผู้เป็นพี่ชายของตนก็สว่างขึ้น ยงกุกยืนนิ่งคอยจับสังเกตตามรูปเงาทั้งสองที่เคลื่อนตัวมานั่งประจันหน้ากันบนโต๊ะรับรอง ทั้งสองร่างนั่งตัวตรง แม้ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยและมองเห็นเพียงรูปเงาอันวูบไหว แต่บรรยากาศแห่งความตึงเครียดกลับฉายออกมาจนยงกุกที่ยืนแอบมองอยู่รับรู้ได้

    คุยเรื่องอะไรกันนะ? ดวงใจของเขาเต้นเร่าด้วยความใคร่รู้

     

     

    ********************************************

     

     

    ยองแจรินน้ำดื่มแก้วใหม่แล้วเดินมาตามโถงทางเดินมืดๆ ช่วงรอยต่อระหว่างครัวกับห้องรับแขกที่เปิดไฟสลัวเป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดแง้มไว้ เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดเพราะตนเป็นคนปิดประตูบานนี้และลั่นกุญแจด้วยตัวเอง ยองแจพุ่งเข้าไปสำรวจลูกบิดทันที

    ไม่มีร่องรอยงัดแงะ ยองแจค่อยๆ ผลักบานประตูหนาหนักเข้าไปในห้องมืดนั้น

    เงามืดร่างหนึ่งผลุบโผล่อยู่ระหว่างเก้าอี้พนักพิงสูงและชั้นหนังสือหลังเก้าอี้ ที่ตรงนั้นเป็นโต๊ะทำงานและขณะเดียวกันก็เป็นที่วางตู้นิรภัยรวมถึงชั้นเก็บเอกสารสำคัญมากมาย เจ้าของโต๊ะทำงานยังไม่กลับเข้าบ้าน แล้วใครกันที่ทำลับล่ออยู่ตรงนั้น

    ร่างบางกลั้นหายใจ ก่อนสืบเท้าเข้าไปหาแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความลุ้นระทึก เขาคว้าแจกันกระเบื้องใกล้ๆ มือขึ้นมาถือเป็นอาวุธ

    ไฟแช็กถูกจุดสว่างขึ้นโดยเงาร่างนั้น เพียงชั่วครู่ที่ได้เห็นเค้าโครงของเสี้ยวหน้าที่คุ้นเคย ยองแจก็วางแจกันแล้วโผเข้ากอดร่างสูงทันที

    “พี่ยงนัม!!

    “โอ๊ะ!!” ร่างสูงอุทานด้วยเสียงทุ้มก่อนจะอ้าแขนรับการโถมกอดจากร่างเล็ก ยงนัมหัวเราะออกมาเบาๆ เขาโอบเอวของร่างบางไว้แน่นอย่างโหยหา

    “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นึกว่าโจรเสียอีก” ยองแจย่นจมูกให้อีกคนอย่างงอนๆ

     แสงไฟแช็กดับลงแล้ว ตอนนี้ทั้งห้องทำงานกว้างของยงนัมก็มืดสนิท แต่ยงนัมรู้ได้ว่าอีกคนกำลังทำสีหน้าเช่นไรเขาจึงกล่าวอย่างออดอ้อน “เห็นว่ายังอยู่เลยไม่อยากเข้าไปทัก อยากจะเซอไพรส์ยองแจ”

    ชายหนุ่มร่างสูงกว่ายกร่างของคนรักอุ้มขึ้นสูงแล้วตัวเองก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะวางยองแจลงบนตักอุ่นของตัวเอง ใบหน้าทั้งสองหันเข้าหากันในความมืด ยงนัมจึงเอื้อมมือเปิดไฟหลอดเล็กที่มุมโต๊ะ

    จึงได้เห็นว่าพวงแก้มชื้นเหงื่อของคนบนตักนั้นแดงระเรื่อ

    ยองแจยิ้มดุแต่เสียงพูดนั้นแผ่วหวาน “กลับมาไม่ยอมบอกก่อนจะได้ทำอะไรไว้ให้กิน ตอนนี้ก็ไม่มีของสดเหลือแล้วล่ะ มีแต่รามยอนถ้วย” เขาเอื้อมมือบีบจมูกโด่งคมของอีกคนอย่างหยอกล้อ

    ยงนัมยิ้มกรุ้มกริ่มจนแก้มตอบทั้งสองข้างขึ้นเป็นลักยิ้มบุ๋ม เขาเอนหัวเข้าหาเสี้ยวหน้าด้านข้างของยองแจเพื่อกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู “ไม่เป็นไร กินยองแจก็ได้” แล้วจึงเป่าลมอุ่นเบาๆ ที่ใบหูข้างนั้น ผลตอบแทนของการกระทำนั้นคือแรงบิดที่ต้นแขนแกร่งของตัวเอง ยงนัมเงยหน้าหัวเราะอย่างชอบใจ

    “จะจะอย่างนั้น….ถ้าคิดว่าจะอิ่ม….ก็ได้” เสียงพูดเบาแผ่วเกือบไม่ได้ยิน แต่อาจทำให้หัวใจของคนฟังลิงโลด ยองแจพูดไปแล้วก็นึกเสียใจกับคำพูดของตัวเองเมื่ออีกคนเริ่มเตรียมการที่จะ กิน เขาอย่างที่พูด ฝ่ามือเล็กยื้อยุดฝ่ามือใหญ่ ห้ามปรามกึ่งเชิญชวน ขยับกายไปมาอย่างเขินอายอยู่บนต้นขาหนั่นแน่นของอีกคน

    “คิดถึงที่สุด คิดถึงเหลือเกิน ต้องออกบินเป็นว่าเล่นไม่ได้อยู่กับยองแจนานๆ อย่างที่ต้องการเลย”

    “ตอนนี้ก็พบกันแล้วนี่ครับ หายคิดถึงหรือยัง”

    “ไม่ยังคิดถึงอยู่ ต้องใกล้ให้มากกว่านี้….ต้องอยู่ด้วยกันนานๆ กว่านี้”

     

    เสื้อนอนตัวบางของยองแจถูกปลดออกเคลียกับไหล่เนียน ยงนัมไล้จมูกไปตามเนื้อผ้าก่อนใช้เรียวฟันลากสาบเสื้อให้หล่นลงมายังต้นแขน อีกคนไม่ขัดขืนกลับหัวเราะแผ่วออกมาด้วยความจั๊กจี้เมื่อไรหนวดแข็งๆ ลากผ่านผิวเนื้อของตัวเอง

    บุคคลทั้งสองที่กำลังพร่ำพลอดรักกันและกันอยู่ในโลกของตัวเอง คงไม่อาจจะละสายตามาสังเกตเงามืดเงาหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ข้างชั้นวางหนังสือได้ อีกทั้งคงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงไอควันสีแดงสดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นคลุมเงานั้น ควันสีแดงที่เกิดเป็นม่านหนาขึ้นตามแรงอารมณ์แห่งความเคียดแค้นนั้นม้วนตัวเข้าไปใกล้แจกันที่ยองแจวางไว้ ก่อนที่พวยควันจะสะบัดกระทบแจกันกระเบื้องตกลงกระแทกพื้นเสียงดังก้องห้อง

    ยองแจกับยงนัมผละออกจากกัน สายตาทั้งสองคู่มองตามเสียงแจกันแตกก่อนหันมาสบตากันอย่างงุนงงสงสัย

    “หืม? แจกัน”

    “แจกันที่ผมหยิบมานี่ ทำไมถึงหล่นมาได้ล่ะ” ยองแจมองหน้าคนรักด้วยดวงตากลมโต

    “ช่างเถอะ ฮะฮะ ยองแจคงตกใจแย่ นี่ก็ดึกมากแล้ว ยองแจไปนอนพักต่อแล้วกันนะ พี่จะทำงานต่ออีกสักนิด

    หึ ตัณหา ราคะ ครอบงำวิญญาณไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน โสมมพอกัน นี่หรือ อดีตคนรัก และพี่ชาย ช่างน่าขันนัก

    น่าขันตัวข้าเอง ที่โง่งมมาได้นานถึงเพียงนี้….

     


    ********************************************



     

    ยองแจเร่งไฟหม้อซุปเพื่อเดือดโดยเร็ว แล้วจึงผละไปหยิบผักสดที่วางสะเด็ดน้ำเพื่อมาหั่นใส่หม้อ ชายหนุ่มบรรจงปอกเปลือกแครอทแล้วเซาะเป็นร่องเพื่อตัดเป็นแว่นรูปดอกไม้อย่างประณีต ทุกขั้นตอนทำอย่างใส่ใจเพื่อให้เป็นอาหารมื้อพิเศษต้อนรับการกลับบ้านอีกครั้งของยงนัม หลังจากที่ชายหนุ่มต้องออกไฟลท์บินไปทำงานธุรกิจในไม่กี่วันก่อน

    สมาธิของยองแจจดจ่ออยู่แต่เพียงงานที่ทำอยู่ตรงหน้า ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเงาดำทะมึนร่างหนึ่งเคลื่อนตัวมาประชิดร่างของเขา ดวงตาแดงเลือดคมปลาบจับจ้องไปยังไหล่บางของคนที่กำลังตั้งใจทำอาหาร ก่อนจะเบนสายตาดุจเปลวเพลิงคู่นั้นไปจับอยู่ที่หม้อซุปเดือดพล่านบนเตา

    เขาเพ่งสายตาเนิ่นนาน แรงขึ้น และแรงยิ่งขึ้น ของเหลวในหม้อเริ่มแปรเปลี่ยนจากสีเหลืองใสเป็นสีเข้มขึ้นตามลำดับ ก่อนที่จะเริ่มเห็นฟองสีดำเมื่อมผุดพล่านขึ้นมาจากปากหม้อ เสียงพลุ่งพล่านของของเหลวสีดำเรียกให้ยองแจต้องหันกลับไปมอง แล้วร่างบางก็อุทานออกมาอย่างตกใจ เขาทิ้งมีดแล้วหาทางเข้าไปดับไฟ จนควบคุมการเดือดนั้นไว้ได้

    สายตาตื่นตระหนกจ้องมองฟองฟอดสีดำสนิทที่เปรอะเปื้อนปากหม้อด้วยความหวาดหวั่น

    ลางร้าย

    ลางร้ายแน่ๆ ….ยองแจกำลังหายใจไม่ทั่วท้อง เขาหันมองรอบห้องครัวอ้างว้างแล้วห่อตัวกอดตัวเองอย่างเดียวดาย

    พี่ยงนัม รีบกลับมาเถอะครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว

     

    มันคงได้กลับมาหาเจ้าในเร็ววันแน่ หากแต่กลับมาในสภาพของร่างไร้วิญญาณ

    เงามืดที่เคยยืนเคียงข้างเขาอยู่เมื่อครู่เริ่มมีกลุ่มควันสีแดงเข้าปกคลุมก่อนที่จะหายวับไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะแหบต่ำที่ผะแผ่วอยู่ในบรรยากาศ แต่ทิ้งความสะเทือนไว้ในโสตประสาทของยองแจ ซึ่งกำลังมองรอบห้องอยู่อย่างหวาดหวั่นกับเสียงที่ได้ยิน

     

    ควันสีเลือดที่เขามองเห็นเมื่อครู่ กับเสียงหัวเราะชั่วร้ายที่ได้ยินนั้นมันคืออะไรกัน

     

     

    ********************************************


     

    "ว่าไงนะครับ!!!" เสียงที่รับสายโทรศัพท์ตะโกนลั่นหน้าล็อบบี้ทำเอาคนรอบตัวพากันหันมาให้ความสนใจ รวมถึงร่างสูงกว่าที่พึ่งเดินออกมาจากลิฟต์เช่นกัน เมื่อเห็นเจ้าของเสียงที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปรองรับไว้ทันที

    เกิดอะไรขึ้น...??...

    "ยองแจ ใจเย็น...ยองแจอา..." คนมาใหม่พยายามโอบกอดเพื่อเรียกสติเมื่ออยู่ๆอีกคนก็ฟูมฟายปล่อยน้ำตาไหลรินอย่างไม่บอกไม่กล่าว มือบางพยายามปิดปากตัวเองอย่างพยายามกลั้นสะอื้น แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะยึดเหนี่ยวไหล่แกร่งโผซบอีกคน ปล่อยโฮไม่แคร์สายคนมากมายภายในห้องโถงของคอนโดสุดหรูแห่งนี้...

    "พาฉันไปโรงพยาบาลที….แดฮยอน"

    แสงจากดวงไฟส่องกระทบเงาสีดำสนิทของร่างสูงที่กำลังก้าวเดินเข้ามายังบุคคลทั้งสอง ไม้ได้ทำสิ่งใดเพื่อเรียกร้องความสนใจ มีเพียงจังหวะการก้าวเดินที่เนิบเช้า เต็มไปด้วยความมั่นใจ หยิ่งยโส และกระแสอารมณ์อันคุกรุ่นรายล้อมอยู่รอบตัวเขา ตามสองคนที่กำลังประคองกันออกไปยังจุดหมายที่ยองแจร้องขอ

    ดวงหน้าที่คุ้นตาทำให้เงามืดแสยะยิ้ม ก่อนที่ทั้งกายของเขาจะถูกปกคลุมด้วยควันสีแดงเลือดและเลือนหายไปอีกครั้ง...

    'จองแดฮยอน....จะกี่ชาติ เจ้าก็ยังชอบมายุ่งกับคนของข้าเสียเหลือเกิน'

     

     

    “เข้าไม่ได้นะคะ ตอนนี้แพทย์กำลังช่วยเหลือชีวิตคนไข้อยู่ขอให้ญาติรอข้างนอกค่ะ”

    ยองแจถูกพยาบาลผลักออกห่างจากประตูห้องฉุกเฉิน เขาทิ้งตัวอย่างอ่อนแรงลงในอ้อมแขนของแดฮยอนที่ยืนประคองอยู่ สายตาละห้อยมองเข้าไปยังบรรยากาศแห่งความเป็นความตายภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

    บังยงนัม พี่ยงนัม อยู่ข้างในนั้น

    ทางโรงพยาบาลติดต่อมาว่าบัง ยงนัมประสบอุบัติเหตุรถชนระหว่างการเดินทางกลับจากสนามบินเพื่อกลับสู่คอนโดที่พัก แดฮยอนฟังข่าวแล้วใจหายวูบ เขาลูบหลังปลอบเพื่อนสนิทอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ในขณะที่ยองแจก็ดูเหม่อลอย ปล่อยให้หยาดน้ำใสไหลรินออกจากดวงตาราวกับคนไร้วิญญาณ

     

     

    สัญญาณชีพของคนไข้ที่แสดงบนหน้าจอเริ่มแผ่วลง เส้นกราฟชีพจรเริ่มลดระดับความสูงลงก่อนจะราบเรียบขนานกับเส้นอ้างอิง ทิ้งเสียงตื้ด---ยาวๆ กระชากใจคนฟังให้ท้อถอย ทีมแพทย์และพยาบาลพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกู้ชีพของผู้ประสบภัยขึ้นมาให้ได้ แต่ไร้การตอบรับใดๆ จากกราฟสัญญาณชีพ จนกระทั่งทุกคนต้องรามือ นายแพทย์วัยกลางคนดึงหน้ากากอนามัยลงมาที่ต้นคอแล้วส่ายหน้าอย่างยอมแพ้ เมื่อไม่ว่าจะทำวิธีใดคนไข้ก็ไม่มีทางกระเตื้องขึ้น

    “ผมจะไปแจ้งญาติ” เขากล่าวกับพยาบาลผู้ช่วยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน ความตายที่ได้พบเห็นมามากสร้างกำแพงแห่งความชาชินจนไม่สามารถทำให้เขาเศร้าได้อีก มีเพียงความปลงตกในโชคชะตาของมนุษย์เราเท่านั้น

     

     

    บังยงนัมลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งแรกที่มองเห็นคือหลอดไฟกลางเพดานที่กำลังสว่างจ้า สายยางน้ำเกลือระโยงระยางอยู่รอบกายเช่นเดียวกับสายไฟที่ต่อเชื่อมร่างของเขากับอุปกรณ์กู้ชีพ แขนขวาของเขาหักแต่กลับสามารถจะขยับร่างได้อย่างใจต้องการ แล้วยงนัมก็มองเห็นว่าเขาสามารถยกแขนแยกออกจากท่อนแขนของตัวเองได้

    “นี่เรา ….ตายแล้วอย่างนั้นหรือ” เขารำพึงกับตัวเอง แทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ จากบาดแผลทั่วร่างอีกเลย

    “ใช่ เจ้าตายแล้ว ยงนัม”

    “น..นาย นายเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง แล้วทำไมถึง….นี่นายหน้าตาเหมือนฉัน” ยงนัมจ้องมองชายผู้เข้ามาใหม่ที่อยู่ในชุดขุนนางสมัยโบราณแบบที่เคยได้เห็นจากซีรีส์ชื่อดัง ยิ่งไปกว่านั้น ชายคนนั้นยังมีใบหน้าและรูร่างลักษณะเหมือนกับเขาทุกประการ ราวกับเห็นเงาสะท้อนของตัวเองยืนอยู่ตรงหน้า ต่างกันที่ท่าทางสง่างามน่าเกรงขามที่ฉายออกมาจากร่างสูงนั้นเป็นสิ่งที่ยงนัมสัมผัสได้ว่าคือความยโสของจริง

    แล้วยงนัมก็ชาวาบไปทั้งร่าง ก่อนที่กระแสภาพสีหม่นจะไหลทะลักเข้าสู่สมองของเขา แล้วเขาก็จดจำได้ทุกอย่าง

    “ย..ยงกุก”

    “จำได้เสียทีนะ ท่านพี่”

    “เจ้าเจ้ายังไม่ได้ไปเกิดหรอกหรือทำไมถึงยังอยู่ในสภาพนั้น”

    “ข้ารอวันเวลานี้มานาน วันที่จะได้พูดคุยกับท่านอีกครั้ง ไม่นึกเลยว่ามันจะมาถึงรวดเร็วเช่นนี้ ท่านพี่ ข้าแทบจะอดทนรอที่จะได้เอ่ยเรื่องต่อไปนี้กับท่านแทบไม่ไหวแล้ว แต่ข้าจำต้องรีบบอกเพราะ….เวลาของท่าน มันใกล้จะหมดลงแล้วล่ะ”

    “ฉันฉันตายไปแล้วใช่มั้ย” วิญญาณโปร่งแสงของยงนัมลุกขึ้นมายืนมองร่างโชกเลือดของตัวเอง พลางหันมองผู้เป็นน้องชายที่เหมือนกับเขาทุกระเบียดนิ้ว ต่างกันแต่นั่นคือสภาพก่อนตายเท่านั้น

     

    “ใช่แล้ว และถึงเวลาแล้วที่ร่างนี้ จะตกเป็นของข้า” ยงกุกกล่าวคำจบเงาร่างของเขาก็เลื่อนไหล กลายเป็นกลุ่มควันอันหมุนวนแล้วม้วนตัวแทรกเข้าตรงกลางกระหม่อมของร่างไร้วิญญาณของบัง ยงนัม เพียงชั่วอึดใจ กราฟสัญญาณชีพก็เริ่มมีร่องรอยกระเตื้องขึ้น ก่อนจะกลับมาแสดงผลอย่างสม่ำเสมอเต็มหน้าจออีกครั้ง



     

    ********************************************



     

    “ท่านเสนาบดีขอรับ ข้าศึกกำลังบุกล้อมเข้ามาทางปราการด้านนี้ทุกทีแล้วครับ” นายทหารหนุ่มกล่าวละล่ำลัก ยงกุกขมวดคิ้วสีหน้าเครียดจัด

    นี่มันวิกฤติแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมามัวนั่งอยู่ในกระโจมแล้วคอยสั่งการอีกแล้ว ไฟสงครามกำลังกระจายไปทั่วทุ่งกว้างในเขตนอกเมืองหลวง อีกไม่นานมันจะต้องคืบคลานเข้ามาในตัวเมืองเป็นแน่ เสนาบดีหนุ่มคิดพลางแต่งกายด้วยชุดออกศึก

    “เจ้าไปเตรียมม้าศึกให้ข้า ข้าจะออกไปสมทบกับพวกด่านหน้า”

    ร่างสูงสง่าในชุดขุนศึกควบม้าออกไปอย่างร้อนรน แม้ยามปกติเขาจะดำรงตำแหน่งเสนาบดีคอยดูแลงานเอกสารและการบริหารภายใน แต่ยามศึกสงครามทุกฝ่ายต่างไม่อาจนิ่งเฉย

    แม่ทัพร่างเล็กคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดแล้วก็ให้บัง ยงกุกร้อนใจเป็นยิ่งนัก

    เสียงทะเลาะอย่างเกรี้ยวกราดดังแว่วมาเรียกให้เขาต้องหยุดม้าเพื่อแวะเข้าไปดุ ในยามศุกสงครามแบบนี้ยังจะมีศึกภายในของเหล่าทหารหาญอยู่อีกอย่างนั้นหรอ ชายหนุ่มย่องม้าเข้าไปหวังจะสังเกตการณ์ผู้ก่อเหตุเพื่อตักเตือนลงทา แต่บุคคลที่เขาได้เห็นนั้นทำให้สันหลังตลอดร่างของเสนาบดีหนุ่มชาวาบ

     

    “ท่านทำได้อย่างไร ท่านชักนำพวกเขาเข้ามา”

    “ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพื่อล้มล้างระบอบอันไม่เป็นธรรมของเมืองนี้”

    “แต่การกระทำของท่านทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อน ท่านมองไปในทะเลสงครามนั่นสิ ท่านเห็นอะไรบ้าง ทหารมากมายต่างจับอาวุธเข้าห้ำหั่นกันด้วยเหตุผลการทรยศของท่าน”

    “ข้าจำเป็นต้องทำ แม่ทัพยู

    “ที่ข้าตักเตือนท่านไปในราตรีนั้น มันมิได้ฉุดรั้งให้ท่านคิดถึงความถูกต้องเป็นธรรมเลยใช่ไหมแม่ทัพบัง ยงนัม…..ท่านยังพาคนพวกนี้เข้ามา” แม่ทัพยู ยองแจในชุดพร้อมออกศึกชี้นิ้วสั่นเทาด้วยความโกรธเคืองไปยังกลุ่มชายในชุดดำรัดกุมที่ปกปิดหน้าตาของตัวเอง กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นมีอาวุธครบมือ ขยับตัวอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทีเหี้ยมเกรียม ยองแจตกอยู่ในวงล้อมนั้นส่วน บัง ยงนัม เองก็ยืนม้าอยู่ในกลุ่มชายเหล่านั้น หลบตาลงมองพื้นหญ้าแห้งเหี่ยวของสนามรบ

    “คนพวกนี้ จะไม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรของระบบในเมืองเราหรอกท่าน แต่มันจะมาทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง….ท่านมันชักศึกเข้าบ้านแท้ๆ”

    ยงกุกเฝ้ามองภาพดังกล่าวอยู่ด้วยสายตาลุกวาวไม่ต่างจากเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่ในสมรภูมิ ด้วยระยะที่ไกลเกินไปทำให้เขาไม่อาจได้ยินเสียงพูดคุยนั้นอย่างชัดเจน แต่ภาพที่เขาเห็นก็ทำให้เข้าใจทุกสิ่งอย่างกระจ่าง

    ยู ยองแจเจ้า

    คนทรยศต่อบ้านเมือง!!

     

     

     ********************************************



     

    ยองแจไล่สายตาไปบนชั้นวางสินค้าก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการ เขาเอื้อมหยิบขวดน้ำมันมะกอกบนชั้นวางแต่แล้วก็พบว่ามันอยู่สูงเกินกว่าปลายนิ้วของเขาจะแตะถึง แล้วฝ่ามือหนาข้างหนึ่งก็เอื้อมหยิบขวดน้ำมันนั้น ยองแจมองตามตั้งใจจะทักท้วง

    “โอ๊ะนั่น น้ำมันขวดนั้นผมจองแล้….อ้าว จอง แดฮยอน” ชายหนุ่มร่างสูงยืนยิ้มกว้างโชว์ฟันเรียงสวยอยู่เบื้องหน้าเขา แล้วแดฮยอนก็หย่อนขวดน้ำมันลงในรถเข็นของยองแจ ก่อนจะแย่งที่จับของรถเข็นมาเข็นเอง

    “ออกมาคนเดียวเหรอแล้ว ยงนัมล่ะ”

    “พี่ยงนัมยังไม่หายดี ฉันเลยให้นอนพักอยู่ที่คอนโดน่ะ นี่ก็ออกมาหาอะไรไปทำอาหารให้พี่เขากิน”ยองแจพูดพลางยิ้มกับตัวเองอย่างเขินๆ แดฮยอนลอบมองเสี้ยวหน้าสีเรื่อแดงที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขนั้นแล้วก็แอบถอนหายใจออกมาไม่ให้อีกคนได้ยิน

    “แล้วแดฮยอนล่ะ ออกมาซื้อของเหมือนกันเหรอ แต่ฉันไม่เห็นตะกร้าของเลยนี่”

    แดฮยอนยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร จะบอกได้อย่างไรว่าตนเองลอบตามอีกคนมาเพื่อคอยดูแลอยู่ห่างๆ เท่านั้น ตั้งแต่ที่ยองแจเปรยกับเขาถึงบรรยากาศชวนอึดอัดและน่าหวาดหวั่นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเอง แดฮยอนก็เป็นห่วงจนไม่อาจปล่อยอีกคนเอาไว้คนเดียวได้ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ไหน เพียงแต่ที่คอนโดของยองแจมีอีกคนคอยดูแลอยู่แล้วต่างหาก

    “ยองแจ….บังยงนัม ยังดูเป็นปกติดีอยู่ใช่ไหม ฉันหมายถึง นิสัยใจคอยังเหมือนเดิมใช่ไหม เขายังใจดีกับยองแจอยู่ใช่ไหม”

    ยองแจทำตาโตพลางจ้องมองเขา แล้วชายหนุ่มร่างเล็กกว่าก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางตบไหล่ของเพื่อนสนิทอย่างหยอกล้อ “ถามอะไรอย่างนั้น แปลกคนจริง พี่ยงนัมก็ยังเป็นพี่ยงนัมอย่างเดิมนั่นแหละ”

    แต่สายตาที่แดฮยอนเห็น มันเป็นสายตาแห่งความเคียดแค้นอันฝังลึกที่ไม่เคยเห็นจากยงนัม ชายคนนั้นดูแปลกไปเหลือเกินหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา

    “งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ แต่ยองแจไม่เห็นว่าเขาแปลกไปจริงๆ นะตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมาในห้องฉุกเฉิน”

    “ถ้าพี่ยงนัมแปลกไปฉันก็ต้องสังเกตเห็นสิ ฉันเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดนะ แดฮยอนอย่ากังวลเลยน่า” ชายหนุ่มกล่าวพลางเอื้อมหยิบขวดเครื่องปรุงรสอื่นๆ ใส่รถเข็น โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตากังวลล้ำลึกจากแดฮยอน คนตัวเล็กไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนข้างกายคิดอย่างไรกับตน ….มาเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว

    “ยองแจเดินทางมายังไง”

    “แท็กซี่น่ะ” ยองแจก้มลงมองใบรายการสินค้าที่จดมาเพื่อดูว่าลืมซื้ออะไรอีกบ้าง ไม่ได้หันไปมองเลยว่าดวงตาเรียวของแดฮยอนที่กำลังมองเขานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและโหยหาเพียงใด

    “งั้นเดี๋ยวให้ฉันไปส่งนะ”

    ขอเพียงได้ดูแล แม้นายจะไม่เคยเหลียวมามองมือคู่นี้ที่คอยโอบอุ้มอยู่ข้างๆ แต่ขอแค่ให้ฉันได้ดูแล…....

     

     

    ยองแจวางสินค้าที่เพิ่งซื้อมาไว้บนโต๊ะตัวใหญ่ในห้องครัวสมัยใหม่ ก่อนที่จะเดินย้อนออกมาที่ห้องรับแขกอีกครั้งเพื่อมายืนมองชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่นอนพาดตัวเองไว้บนโซฟาตัวยาว ผ้าห่มผืนบางทิ้งตัวลงจากแผงอกที่เขาห่มให้ เลื่อนหลุดลงมาม้วนอยู่ที่รอบเอว ยองแจส่ายหัวพลางอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะจับท่อนขาทั้งสองให้เหยียดตรงในท่านอนสบาย แล้วเลื่อนผ้าห่มคลุมแผงอกให้อย่างเดิม

    “หืม” บังยงนัมปรือตามองเขา ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แบบที่ยองแจไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนจะดึงข้อมือของเขาเข้าหาตัวเอง เป็นผลให้ยองแจต้องทิ้งตัวลงบนแผงอกกว้าง แต่เขาต้องขืนตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มทับแขนข้างที่สวมเฝือกอ่อนอยู่ของอีกคน

    “พี่ยงนัมเดี๋ยวก็ทับแขนข้างที่เจ็บหรอก”

    “ไม่เป็นไร ขฉันหายแล้ว” เขาขยับแขนของตัวเองให้ยองแจดู แล้วร่างสูงก็ชันตัวลุกขึ้นนั่งพลางดึงอีกคนลงมานั่งตักของตัวเอง พาดคางครึ้มไว้บนไหล่บาง

    “คิดถึงที่สุด….ในที่สุดก็ได้กอดเอาไว้อย่างนี้สักที”

    “ฮะฮะ” อีกคนหัวเราะอย่างขวยเขิน “ผมออกไปซุปเปอร์มาแป๊บเดียวเอง อะไรจะคิดถึงกันขนาดนั้นล่ะครับ”

    เจ้าไม่รู้สินะ กี่ร้อยกี่พันชาติกันเล่าที่ข้าเฝ้ารอโอกาสที่จะได้โอบกอดเจ้าเอาไว้เช่นนี้ เจ้ามันอ่อนเดียงสาและบริสุทธิ์นัก ไม่ได้รู้เรื่องสิ่งใดเลยแม้แต่น้อยเลยจริงๆ

     “ปล่อยก่อนเถอะฮะ ผมซื้อของมาทำอาหารให้พี่เยอะแยะเลย กินเยอะๆ พี่จะได้หายเร็วๆ นะครับ” ยองแจปลดข้อมือแกร่งที่โอบรอบเอวของตัวเองออกอย่างนุ่มนวล ร่างสูงยอมคลายแรงกอดรัดออกอย่างว่าง่าย

    ยองแจอมยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอื้อมมือมาบิดจมูกโด่งของคนป่วยอย่างหมั่นเขี้ยวแบบที่ชอบทำ เขาลุกเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อลงมือเตรียมอาหารบำรุงคนเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ชายหนุ่มตั้งหม้อน้ำที่ใส่ข้าวสารไว้บนเตาไฟเพื่อเตรียมต้มทำข้าวต้มกุ้งให้กับคนรัก เขาเปิดไฟแรงเพื่อเร่งให้ข้าวต้มเดือดเร็วในตอนต้น

    ยงกุกมองตามแผ่นหลังบางไปจนลับมุมบังตาของห้องครัว เขาลูบเฝือกอ่อนที่ต้นแขนอย่างเลื่อนลอย ร่างกายนี้ได้รับสัมผัสอุ่นจากอีกคน แต่ใจข้างในกลับอิ่มเอมอย่างประหลาดราวกับว่าเป็นร่างกายของตัวเองจริงๆ

    จากนี้ไป ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องอึดอัดลำบากใจอย่างในอดีตอีกแล้ว

     

    “อ๊ะ” ยองแจทิ้งชามบรรจุเนื้อกุ้งลงในซิงค์อย่างไม่ตั้งใจ อาการปวดที่จู่โจมกะทันหันทำให้สายตาของเขาพร่ามัว ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ ไล่ความรู้สึกมึนงงออกไป พลางนวดขมับทั้งสองเพื่อปลุกความรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาก่อนจะหยิบชามเนื้อกุ้งขึ้นมาวางที่เดิม

    อาการปวดศีรษะไมเกรนที่หายไปนานกลับมาเยือนเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มยันตัวไว้กับเคาน์เตอร์ครัว พลางทอดสายตามองหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพล่านด้วยแหล่งพลังงานจากประกายไฟของเตาแก๊สชั้นดี

    สายตาของเขามองผิดไปหรือเปล่า ทำไมมีความรู้สึกเหมือนประกายไฟนั้นขยายตัวขึ้นจนลุกลามขึ้นข้างหม้อ เปลวสีเหลืองส้มอันร้อนแรงนั้นโลมเลียจนหม้อสแตนเลสเนื้อดีทั้งใบต้องหลอมละลาย เทของเหลวสีแดงเข้มซึ่งกำลังเดือดพล่านไหลย้อยเปื้อนพื้นห้องครัว ยองแจบีบขมับตัวเองอย่างแรง แม้ลืมตามองอีกครั้งการลุกลามนั้นยังคงขยายไปทั่วห้องครัว

     ในสายตาของยองแจเห็นไฟกำลังลุกลามผนังด้านหนึ่ง เปลวสีส้มร้อนแรงสั่นไหวเข้าจังหวะกับเสียงแตกเปรี๊ยะเหมือนท่อนไม้สดกำลังลุกไหม้ เสียงโลหะฟาดฟันเสียดแทงเข้าไปยังส่วนลึกของจิตใจ อย่างกับมาดังอยู่ในหัวของเขาเอง เสียงกลองศึกระรัวอยู่ในแผงอกจนร่างกายสั่นสะท้าน เสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิมดังประสานขึ้นมากับเสียงหวีดร้องอย่างหวาดหวั่นของชีวิตที่ใกล้ความตาย ภาพศพมากมายซ้อนทับขึ้นมากับภาพกองทัพใหญ่ที่กำลังแตกพ่าย

     

    เลือดน้ำตาเปลวเพลิงสงครามความตาย

     

    “ยองแจ!!

    อ้อมแขนอุ่นโอบรอบตัวเขา เสียงเรียกชื่อของเขาดังรัวๆ ด้วยความตระหนก ยองแจหันหน้าหนีจากภาพชวนคลื่นเหียน หัวของเขาปวดหน่วงขึ้นสุดราวกับกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มจับท่อนแขนแข็งแรงนั้นไว้แน่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว พลางซุกหน้ากับแผงอกกว้างพยายามกลั้นเสียงหวีดร้องอย่างเสียขวัญของตัวเองเอาไว้

    ยงกุกเพ่งสายตาคมปลาบของตัวเองไปยังหม้อสแตนเลสบนเตาไฟ หม้อข้าวต้มยังคงเดือดปุดๆ อยู่ตามปกติ ไม่มีร่องรอยของไฟไหม้หรือของเหลวใดๆ ทะลักออกมาจากหม้อแต่อย่างใด ผนังครัวยังคงเป็นสีขาวราบเรียบอย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาก้มลงมองร่างสั่นเทาที่ซุกอยู่ในอ้อมแขน

    เกือบไปแล้ว เรื่องราวในอดีตที่ไม่ควรจะผุดขึ้นมาอีก

    ยงกุกกระชับอ้อมกอดแล้วก้มลงประทับจูบแผ่วเบาที่กลางกระหม่อม เป่าลมอุ่นเบาบางลงไป พลังวิญญาณที่ยังหลงเหลือของตัวเองจะกดทุกสิ่งอย่างเอาไว้ไม่ให้ผุดขึ้นมาในใจของยองแจได้อีก

    ไม่จำเป็นต้องจดจำได้แล้วก็ได้ เรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นที่มันผ่านมาล้วนเกิดจากความเข้าใจผิดของข้าเอง

    ความเข้าใจผิดทั้งหลาย….เรื่องราวในอดีต ข้าจะฝังกลบมันให้หมด อย่าได้มากล้ำกรายทำร้ายเจ้าให้ต้องเจ็บทรมานอย่างนี้อีกเลย

    และไม่จำเป็นต้องจดจำตัวข้าให้ได้แล้วก็ได้ ถ้าหากมันจะทำให้เจ้าต้องเจ็บปวดทรมานอย่างนี้



     

    ********************************************



     

    “เจ้าสารเลว!!” ยงกุกพุ่งตัวเข้าไปบีบรอบคอของร่างที่มีความสูงเท่ากับกับเขา แต่วิญญาณเช่นเดียวกันจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อย่างไร ยงนัมเอียงหน้าหลับตายอมรับอาญาทุกสิ่ง

    “เจ้าทรยศบ้านเมือง ทำให้ทุกคนต้องล้มตาย ….ซ้ำยังทำให้ข้าต้องเข้าใจยองแจผิดมาหลายสิบชาติ ซ้ำยังแย่งชิงโอกาสการมีชีวิตไปจากข้า..ซ้ำยัง….ชาตินี้เจ้ายังได้ครอบครองคนรักของข้า เจ้ามันเป็นพี่ชายที่เลวร้ายที่สุด”

    “ข้าขอโทษ..ยงกุก ขออภัยจริงๆ สำหรับเรื่องราวทุกอย่างตอนนี้เองมันก็ถึงเวลาแห่งการชดใช้กรรมของข้าแล้ว….ถึงเวลาแห่งความสุขในฐานะของการเป็นวิญญาณอิสระของข้าแล้ว” ร่างโปร่งแสงของบังยงนัมคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข การเลือกเกิดเป็นมนุษย์ของเขาทำให้ต้องผจญกับความเลวร้ายของชีวิตมานับไม่ถ้วนได้ตายเสียที ปลดเปลื้องทุกอย่างออกไปจากวิญญาณเสียที

    “สาสมต่อเจ้าแล้ว”

    “ร่างกายนี้” วิญญาณของยงนัมทอดสายตาไปยังร่างกายโชกเลือดของตัวเองพลางยิ้มละห้อย “ ฝากเจ้าใช้มันดูแลยองแจด้วย”

    เงาร่างสีมืดของ บัง ยงกุก เริ่มเจือแสงโปร่งเข้ามาจนกลายเป็นสีเทาที่ค่อยๆ สดใสขึ้นเรื่อยๆ เขามองตามสายตาของวิญญาณผู้เป็นพี่ชาย โง่งมเหลือเกิน….ตัวเขาเองที่หลงเข้าใจผิดคนที่รักที่สุดมาเป็นเวลาเนิ่นนานว่ายองแจคือคนที่ทรยศนำกบฏเข้ามารุกรานบ้านเมือง

    “ฝากด้วยนะยงกุกฝากยองแจด้วย”

    “แน่นอนอยู่แล้วล่ะเขาเป็นคนรักของข้านะ”

     



    ********************************************

     

     

    จอง แดฮยอนยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพลางเตะพื้นคอนกรีตอย่างไร้ความหมายใดพิเศษ เขาละสายตาจากลิฟต์แก้วของคอนโดหรูเมื่อเห็นว่าร่างของเพื่อนสนิทขึ้นไปถึงชั้นที่หมายแล้ว ชายหนุ่มผละออกมาจากริมฟุตบาทของถนนฝั่งตรงข้ามกับคอนโด ก่อนจะก้าวเดินต่อไปยังรถที่จอดไว้ที่ลานใกล้ๆ

    คงได้เท่านี้สินะ คนอย่างเขา….ก็ได้เพียงคอยเฝ้ามองอยู่ในมุมที่อีกคนจะไม่มีวันหันมา

    ขนอ่อนบนต้นคอของชายหนุ่มลุกเกรียวทำให้แดฮยอนต้องหันขวับไปมองเบื้องหลังที่เดินทิ้งห่างมา เขาเงยหน้ามองคอนโดสูงฝั่งตรงข้าม แล้วผละมามองอาณาบริเวณรอบตัวด้วยความสงสัย รถรายังคงวิ่งขวักไขว่อยู่บนท้องถนน แนวต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมทางมีเพียงใบไม้ปลิวสะบัดเบาๆ ตามแรงลมอ่อนๆ แดฮยอนถูต้นคอตัวเองก่อนจะก้าวเดินต่อไป

    เมเปิ้ลที่ยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ริมฟุตบาทเริ่มวูบไหว แล้วเงาร่างโปร่งแสงสูงสง่าร่างหนึ่งได้เผยตัวเองออกมาจากเงาบังของต้นไม้ สายตาคมปลาบมองตามหลังแดฮยอนไปจนลับตา

    ขอบคุณนะ ที่นายดีกับยองแจมาโดยตลอด

    เสียงขอบคุณแผ่วเบาจากเงาวิญญาณนั้นละลายหายไปกับสายลมอ่อนยามสาย

     



    .END




    มุมมืด : คนชอบบรรยายมาเจอกับคนที่ชอบเน้นคำพูด มาจับคู่กันปรุงผสมก็ได้เช่นนี้แล.... มันควรจะเป็นฟิคยาวดีไหม? อา... มันรวดรัดจบตอนไปรวดเร็วเกินหรือเปล่า อยากได้ขอเสนอจัง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×