ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเล่าจากความมืด

    ลำดับตอนที่ #1 : เงาสะท้อน

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 58


    เงาสะท้อน

    คุณเคยมองเข้าไปในกระจกที่มีเงาสะท้อนของตัวเองแล้วไตร่ตรองดูไหม...

    นั่นเป็นตัวคุณจริงๆในแบบที่คุณเป็น

    หรือเป็นแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น...

    คนเรามีความดำมืดซ่อนอยู่ภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจ

    เราบิดเบือนตัวเองให้ดูเป็นคนดี... ทั้งที่อาจจะถือมีดอยู่ข้างหลัง

    คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหนจากภาพที่มองเห็นในเงาสะท้อน

    หรือคุณแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวคุณเลย....

               

                ทำไมมนุษย์ทุกคนต้องไปโรงเรียน และทำไมต้องทำในสิ่งตัวเองไม่ชอบเลยสักนิด อย่างการนั่งเรียนคณิตศาสตร์ในคาบบ่าย ทั้งๆ ที่โคตรง่วงหัวแทบฝุบกับโต๊ะ ทำไมคุณครูต้องสอนอย่างปากเปียกปากแฉะเพื่อให้นักเรียนจำไปสอบ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจเลย ว่ามันเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร แล้วเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร หรือแค่อยู่ไปวันๆ

                ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว...

              “นักเรียนเลิกคลาสได้” ครูกล่าวหลังจากหมดเวลาเรียนตอนเย็น นักเรียนเริ่มทยอยกันเก็บของเพื่อที่จะกลับบ้าน

                “เห้ย! พวกมึงรู้เปล่า อีฝ้ายโดนไอมอสขืนใจแหละ สมน้ำหน้ามัน แรดดีนัก วันนี้ก็ไม่มาเรียน” พลอยเพื่อนในห้องมอห้าทับสี่แอบกระซิบคุยกันกับเพื่อนในกลุ่ม แล้วฉันรู้ได้ไงน่ะหรอ

                ก็ฉันอยู่ในกลุ่มน่ะสิ....

                “เออ กูก็ว่างั้นแหละ เห็นบางวันมันนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ผู้ชายคนนู้นที ผู้ชายคนนี้ที ท้องไม่มีพ่อกูจะขำให้ แกว่างั้นไหมเอ๋ย?” บิวหันมาถามเอ๋ย ที่นั่งเหม่ออยู่ในกลุ่ม ซึ่งก็คือตัวฉันเอง

                “อะ อ่อ อื้ม” เอ๋ยตอบแบบยิ้มๆ

                คนเรานี้ก็แปลก ต่อหน้าทำเป็นดี ยิ้มให้ดูเหมือนจะจริงใจ ลับหลังกลับเอามานินทาว่าร้ายต่างๆ นาๆ ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแท้ๆ

                คนพวกนี้ช่างกลับกลอก เชื่ออะไรไม่ได้สักอย่างเดียว...

                หลังจากแยกย้ายกับกลุ่มเพื่อน เอ๋ยก็ค่อยๆ เดินกลับบ้านเนื่องจากบ้านไม่ได้อยู่ไกลจากตัวโรงเรียนสักเท่าไหร่ พอเดินมาจนถึงประตูหน้าบ้าน ที่มีแต่เศษขวดเหล้ากองสุมอยู่ตรงข้างประตู เธอหยุดฟังเสียงตะโกนที่ดังมาจากภายในบ้าน กับเสียงขว้างปาข้าวของ

                “มึงเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหนอีอ้อย!! เอามาให้กูเดี๋ยวนี้!!” เสียงแห่บต่ำแบบผู้ชายแทรกผ่านช่องประตูออกมา

                “กูบอกแล้วไงว่ากูไม่มี! มึงเอาไปแล้วเมื่อวาน จนจะไม่เหลืออะไรให้กินอยู่แล้ว!!” เสียงแตกพร่าซึ่งผ่านจากการตะโกนโต้กลับไป

                เอ๋ยเดินอ้อมไปหลังบ้าน เพราะไม่อยากได้ยินเสียงแม่ กับพ่อเลี้ยงของเธอทะเลาะกันด้วยเรื่องเงินที่อีกฝ่ายนำเอาไปซื้อเหล้ามากินอยู่ทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ เอ๋ยปีนต้นมะขามที่ติดอยู่ตรงหน้าต่างห้องของตัวเองเพื่อเข้าไป

                เพื่อที่จะขังตัวเองอยู่ในห้อง อยู่ในโลกของฉัน

              เบื่อ.. เบื่อเหลือเกิน..

                ภายในห้องมีพัดลมตัวเก่าๆ ฝุ่นจับใบพัดอยู่หนึ่งตัว กับฝูกที่นอนที่อยู่ตรงมุมห้อง ตรงข้ามฝูกที่นอนที่ไม่มีอะไรแล้วนอกจากกระเป๋านักเรียน ก็มีกระจกบานใหญ่ติดอยู่กับตู้ไม้เก่าๆ ซึ่งกระจกช่างหม่นมัวเสียเหลือเกิน เอ๋ยเดินไปนั่งลงอยู่ตรงหน้ากระจก ที่ประจำของเธอ แล้วยิ้มให้กับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก

                เงาในกระจกของเธอยิ้มตอบกลับมา...

                “นี่ถามอะไรหน่อยสิ” เอ๋ยบอกกับคนใครกระจก

                “อะไรหรอ”

                “คุณรู้จักตัวคุณเองดีแค่ไหนหรอ”

                “เอ ไม่รู้สิ” ในกระจกส่ายหน้ากับคำถาม

                “แล้วคุณมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรหรอ”

                “อืม.. นั่นสินะ”

                “อยู่ไปวันๆ เพื่อที่จะรอวันตายหรือเปล่า”

                “อ่อ...”

                “แล้วทุกคนนี่อยากตายมั้ย?”

                “ใครจะอยากตายกันละ”

                “นั่นสินะ..” ความเงียบเข้ามากลืนกินประโยคสุดท้ายเพียงชั่วครู่ เอ๋ยจึงถามต่อ

                “ความตายนี่เจ็บไหมนะ?”

                “อืมมมม ก็ลองตายดูสิ” เงาในกระจกว่าพร้อมแสยะยิ้ม

                “ยังไง”

                “ทำตามฉันนะ” เงาในกระจกหันไปหยิบคัทเตอร์ในกระเป๋านักเรียนออกมาแล้วค่อยๆ เลือนใบมีดออกมาจากตัวคัทเตอร์

                แคร๊กก...แคร๊ก..แคร๊ก..

                จนสุดปายใบมีด จากนนั้นก็ค่อยๆ กรีดใบมีดตั้งแต่มุมปากไปจนถึงใบหู ปากเริ่มฉีกออกตามแนวการกรีดคัทเตอร์ เนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มเริ่มขาดออกจากกันทำให้เลือดข้นคลักค่อยๆ ทะลักออกมาจากปากเปรอะเปลื้อนฟันที่เคยเป็นสีขาวจนเปลี่ยนสี จากนั้นก็โยนคัทเตอร์ที่ติดเศษเนื้อเยื่อบางส่วนทิ้งไป คว้าเอากรรไกรข้างเตียงมาค่อยๆ ตัดก้อนเนื้อที่เรียกว่าริมฝีปากออกมาช้าๆ ก้อนเนื้อเปื้อนเลือดสีชมพูงดงาม เลือดข้นเข้มไหลออกมาไม่ยอมหยุด เงาในกระจกนั้นไม่นึกรังเกียจชิ้นส่วนของตนเองแต่อย่างใด แต่กลับใช้ส่วนที่เคยเป็นปาก บรรจงพรมจูบไปบนริมฝีปากสีแดงสดใหม่ เหมือนก้อนเนื้อบนใบหน้าแตะเศษเนื้อที่อยู่บนฝ่ามือเปื้อนเลือดเหม็นคาว

                เอ๋ยซึ่งไม่รู้ไปหยิบคัทเตอร์มาตอนไหน ในแววตาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ไร้แววและดำมืด ค่อยๆ เลื่อนใบมีดให้ออกมาจากตัวคัทเตอร์

                แคร๊กก...แคร๊ก..แคร๊ก..

                “เอาสิ ทำเลย” เงาในกระจกส่งยิ้มที่ไร้ริมฝีปากมาให้

                ใบมีดค่อยๆ มาจรดที่ตรงมุมปาก

                “ละทิ้งความโสมมของโลกนี้ไปซะ”

                เอ๋ยกำลังจะกดใบมีดลงไป

                “ทำอะไรน่ะเอ๋ย!!

                เสียงผู้เป็นแม่แสดงความตื่นตระหนกเมื่อเห็นลูกตัวเองเอาคัทเตอร์มาเล่นแบบนี้ เอ๋ยสะดุ้งกับเสียงตกใจของแม่จนหลุดออกจากภวังค์ ทำให้คัทเตอร์หลุดมือบาดปากเข้า

                “โอ๊ย!!

                ความเจ็บแล่นแปร้ดเข้ามาที่ตรงมุมปาก พร้อมเลือดไหลออกมาจากบาดแผลค่อยๆ ไหลลงมาจรดคางหยดลงบนพื้นไม้ ลิ้นรับรสสนิมเหล็กฝาดๆ พร้อมกลิ่นคาวของเลือด ทำให้รู้ว่า

                เธอยังไม่ตาย...

              และแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

                หลังจากโดนแม่ว่ากล่าวตักเตือนที่เล่นอะไรแผลงๆ และพาไปทำแผลที่โรงพยาบาลใกล้บ้านแล้วกลับมาบ้านพร้อมกับแม่ก็เวลาค่ำเสียแล้ว เอ๋ยมองหยดเลือดที่เลอะอยู่บนเสื้อนักเรียนแล้วคิดว่า...

              จะซักออกไหมเนี่ยกู

                เปล่าหรอกนั่นเป็นความคิดเพียงแว้บแรก จริงๆ แล้วเธอกลับคิดว่าคนในกระจกนั่นคงไม่ใช่เธอ แล้วเขาเป็นใคร ใครที่เธอไม่เคยรู้จักเลยสักนิด เอ๋ยกลับไปยืนที่หน้ากระจกอีกครั้ง มองหยดเลือดที่แห้งติดกับเนื้อไม้บนพื้นไปแล้ว

                “เธอเป็นใครกันแน่” เอ๋ยมองแล้วถามตัวเองในกระจก

                “ฉันเอง... ฉันไง จำไม่ได้หรอ”

                เอ๋ยหันไปมองรอบๆ โดยที่คราวนี้ไม่รู้ว่าเสียงมาจากที่ไหน เพราะทุกทีเธอจะคุยกับตัวเอง

                “หนะ.. นะ ไหน ฉันมองไม่เห็นเธอ” เอ๋ยเลิกมองกระจกแล้วหันไปมองรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง

                “นี่ไง... ฉันยืนอยู่ตรงนี้... อยู่ข้างๆเธอ..”

                เอ๋ยมองเข้าไปในกระจกอีกครั้ง ถึงเห็นผู้หญิงที่ไร้ซึ้งริมฝีปากและมีสะเก็ดเลือดแห้งกรังเกาะตามแนวรอยฉีกของกระพุ้งแก้ม กลิ่นสาปเหม็นคลุ้งลอยเตะจมูกของเอ๋ย ลิ้นยืดยาวแหวกข้างออกมาทางกระพุ้งแก้มที่เปิดออก ลิ่มเลือดเป็นก้อนสีข้นถูกสำลักออกมาจากลำคอของหญิงสาว เปลี่ยนให้ลิ้นสีชมพูเป็นสีแดงขุ่นเข้ม ซึ่งค่อยๆ ไล่เลียไปบนใบหน้าของเอ๋ยที่ยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด

                หัวใจของเอ๋ยแทบหยุดเต้น เกร็งไปทั้งตัว มือกำแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อ พยายามหลับตาเพื่อให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในกระจก แต่ก็ทำไม่ได้

                “กะ แกเป็นใคร” เอ๋ยกลั้นใจถาม

                “ฉันหรอ... ฉันก็เป็นเธอไง” หญิงสาวผู้ไม่มีปากถือคัทเตอร์ไว้ในมือ แล้วใช้ลิ้นที่มีลิ่มเลือดไล่เลียเศษเนื้อที่ติดอยู่บนใบมีดคัทเตอร์อย่างช้าๆ โดยที่ไม่กลัวว่าคมของใบมีดนั้นจะบาดลิ้นของเธอ

                “มะ..ไม่จริง ฉันยืนอยู่ตรงนี้ จะมีฉันสองคนได้ยังไง แล้วฉันจะไปทำอะไรบ้าๆ แบบที่แกทำได้ยังไง” เอ๋ยส่ายหน้าส่งเสริมความคิดของตัวเอง ว่ามันจะเป็นจริงไปได้ยังไง เธอจะกลายเป็นปีศาจร้ายอย่างที่เห็นอยู่ในกระจกได้ยังไง

                “ลองมองเข้ามาที่ดวงตาของฉันสิ” เอ๋ยมองเข้าไปในกระจกที่สะท้อนแววตาของตนเอง

                เหมือนภาพเก่าสีมัว ที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาในดวงตาสีดำคู่นั่น...

                “ฮ่าๆ มึงรู้เปล่าแม่อีเอ๋ยแม่งโคตรสำส่อน ถ้ากูเป็นลูกนะ กูคงอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเลยวะ” เพื่อนผู้หญิงในห้องน้ำพูดไปหัวเราะไป

                “เออ แม่ง คิดได้ไงวะ ไปเอากับไอขี้เมาหน้าปากซอยขับวินกระจอกๆ” เพื่อนอีกคนเสริมอย่างสนุกปาก

                “นั่นดิ อีเอ๋ยจะเป็นเอดส์ด้วยเปล่าวะเผื่อติดมาจากแม่ ฮ่าๆ”

                เสียงแห่งความเจ็บปวดซะท้อนก้องอยู่ในโสทประสาท เอ๋ยรู้สึกหมดแรงถึงกับยืนไม่อยู่จึงนั่งพิงฝาชักโครก รู้สึกหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาไม่ขาดสาย แขนขาไร้เรี่ยวแรงจนไม่รู้สึกอยากจะทำอะไร แม้แต่จะเปิดประตูออกไป

                ทำไม.. เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ...

                ทำไมนะ ทำไมเพื่อนถึงคิดกับเราแบบนี้ ฉันจำเสียงพวกเธอได้นะ พลอย ฝ้าย บิว เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ ความเป็นเพื่อนของพวกเรามันแค่ความหลอกลวงอย่างงั้นหรอ ฉันไม่คิดเลยนะว่าพวกเธอ จะคิดกับฉันแบบนี้ ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ ทำไม...

                หลักจากกลุ่มเพื่อนออกไปจากห้องน้ำ เอ๋ยที่กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนประตูห้องน้ำที่กั้นเอาไว้พังลงมา พร้อมๆกับหัวใจของเธอด้วย

                ฮืออ... ฮึกๆ.. ฮือ..

                หลังเลิกเรียนเอ๋ยกลับบ้านโดยไม่พูดกับใครเลย เธอขังตัวเองอยู่ในห้อง นั่งอยู่กับหน้ากระจกที่หมองมัว มองดวงตาสีดำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มันบวมแดงและปูดโปน

                “หึๆ พวกเพื่อนทรยศ ตอแหล จอมปลอม ปากของพวกแกน่าจะโดนมีดตัดทิ้งเสียเหลือเกินนะ ฉันจะเฉือนปากของพวกแกที่มันเน่าหนอนนั่นออกมาซะ พวกแกจะได้ไม่ต้องพูดคำพูดที่มันเฉือดเฉือนจิตใจคนอื่นไง หึๆๆ ฮ่าๆๆๆ” เอ๋ยนั่งหัวเราะอยู่หน้ากระจก ..

                ความห่ดหู่เริ่มถาโถ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำไมพวกนั้น ถึงทำแบบนั้นกับเธอ เอ๋ยหยิบคัทเตอร์ในกระเป๋าดินสอออกมาแล้วเริ่มกรีดท้องแขนตัวเองช้าๆ ผ่านผิวหนังชั้นนอก เอ๋ยกรีดซ้ำแล้วซ้ำอีกมองดูเลือดที่ค่อยๆ ไหลซิบๆ ออกมาจากท้องแขนตนเอง จนจิตใจเริ่มสงบลง เธอมองตัวเองในกระจกแล้วร้องไห้อีกครั้ง

                ฉันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม...

                เราตายไปอะไรๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้...

                ภาพในดวงตาจากเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจกเปลี่ยนฉากมาอยู่ในบ้านไม้ บ้านที่คุ้นเคย แต่ไม่เคยอบอุ่นเลยสำหรับเธอ

                “แม่!! แม่พาใครก็ไม่รู้มาอยู่บ้านได้ยังไง หัวนอนปลายเท้าก็ไม่รู้จัก” เอ๋ยตะโกนใส่แม่แล้วมองตามผู้ชายที่ลากกระเป๋าขึ้นชั้นสองไป คาดว่าจะมาอยู่ด้วยกันกับแม่ที่นี่

                “พูดให้มันดีๆ หน่อย นี่พ่อคนใหม่ของแกนะเอ๋ย” แม่ส่งสายตาห้ามปรามมาให้เอ๋ยที่ยืนกำมือแน่นด้วความโมโห

                “พ่อใหม่บ้าบออะไร!! หนูมีพ่อแค่คนเดียว! แม่จะเอาชู้มาอยู่ในบ้านที่พ่อเคยอยู่ไม่ได้นะ!!!

                เพี๊ยะ!!!

                ความร้อนบนฝ่ามือปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าด้านขวา เอ๋ยรู้สึกชาวาบไปทั้งหัวใจ...

                “พ่อแกมันตายไปแล้ว แกเขาใจมั้ย!! ถ้าแกพูดไม่ดีกับแม่อย่างนี้อีกนะ แม่จะตบซะให้ปากฉีกเลย!!” แม่ง้างมือค้างเอาไว้บ่งบอกว่าถ้าพูดอีก จะทำจริงๆ แน่

                ความร้อนผ่าวในดวงตา ถูกขับออกมาเป็นน้ำใสๆ หัวใจรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนเข็มเป็นพันๆ เล่มทิ่มแทงลงไปอย่างช้าๆ

                “หนูเกลียดแม่!! แล้วหนูก็เกลียดมันด้วย!!” เด็กสาวตะโกนใส่หน้าแม่ของเธอแล้ววิ่งออกมาจากบ้าน บ้านที่ไม่เคยมีความสุขอีกเลย นับตั้งแต่วันนั้น...

                ผ่านมาไม่นานผู้ชายคนนั้นก็เริ่มออกลาย กินเหล้า สูบบุหรี่ เสพยา ตบตีแม่ทุกครั้งที่ไม่มีเงินให้ ตอนแรกเธอก็อยากจะเข้าไปช่วยแม่ของเธอ แต่พอนึกถึงเรื่องวันนั้นทีไร ความเจ็บที่ข้างแก้มก็เหมือนจะฉายชัดทุกครั้งไป เอ๋ยเริ่มมองแม่ของเธอด้วยแววตาเฉยชา ปนสมเพช สมเพชทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเธอ อยากจะหัวเราะให้ดังๆ ที่แม่เลือกผู้ชายคนนี้เข้ามา

                สมควรแล้ว

                สมน้ำหน้า...

                เอ๋ยมองกระจกที่สะท้องบางสิ่งบางอย่างในแววตาของเธอ หลังจากที่หญิงสาวผู้ไรปากแสยะยิ้มให้กับเธอจนเห็นโพรงปากด้านใน เอ๋ยค่อยๆ ก้มมองรอยมีดคัทเตอร์ที่ท้องแขนทั้งสองข้าง

                เธอไม่เคยบอกใคร ไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟัง ไม่มีใครน่าไว้ใจทั้งนั้น โลกนี้มันสกปกโสโครก อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ตายๆ ไปอาจจะง่ายกว่า อาจจะดีกว่าถ้าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว คงจะหลุดพ้นไปจากชีวิตที่แสนเลวร้ายแบบนี้

                ฉันไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้ว..

                “เอาไปสิ จัดการเลย ปาดเส้นเลือดใหญ่ที่คอ เอาสิ ทำเลย...” ผู้หญิงไร้ปากยื่นมีดทำครัวให้เธอ เอ๋ยมองดูแล้วคิดว่า..

                แม่ง ไปเอามาตอนไหนวะ

                แต่ความคิดนั้นก็ถูกปัดตกไป เธอมองมีดปลอกผลไม้ในมือ ใบมีดเงาวับเหมือนถูกลับมาอย่างดี เธอกำด้ามมีดไว้แน่น ชั่งใจอยู่เพียงชั่วครู่แล้วเอามีดปาดคอตัวเองเต็มแรง เลือดมากมายพุ่งทะลักเปรอะเปื้อนที่นอน ย้อมผ้าสีฟ้าให้กลายเป็นสีแดงเข้ม มือของเอ๋ยสั่นจนมีดปลอกผลไม้หลุดมือ ภาพพร่ามัวจนมองไม่เห็นอะไรอีกเลย

                เราคงตายแล้วจริงๆ สินะ...

                “เอ๋ย ฮือๆ ได้ยินเสียงของแม่ไหมลูก”

                ชั่วครู่นึง เธอได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นโศกเศร้าเสียใจของผู้เป็นแม่แทรกผ่านเข้ามา เธอค่อยๆ ลืมตามองขึ้นไปพบเพดานสีขาว

                ฉันตายรึยัง... หรือยังไม่ตายกันนะ...

                นี่มันโรงพยาบาลนี่นา แล้วฉันมาทำอะไรที่นี่

                หลังจากปรับโฟกัสตาได้ เธอจึงเห็นแม่ของเธอยืนกุมมือเธออยู่ข้างเตียง

                “แม่” เอ๋ยมองหน้าผู้เป็นแม่ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ในแววตาผู้เป็นแม่ร้าวรานยิ่งกว่าสิ่งใด

                ความรู้สึกเจ็บแปร๊บอยู่ในอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายโศกเศร้าเสียใจ

                “แม่ขอโทษเอ๋ย แม่ผิดไปแล้ว แม่ผิดเองที่ดูแลลูกไม่ดีแม่ขอโทษ” แม่คร่ำครวญอยู่ข้างเตียงของเธอเหมือนคนใจสลาย

                “แม่ หนู หนูของโทษที่โกรธแม่” เอ๋ยพูดด้วยน้ำตานองหน้า

                “แม่ไม่เคยโกรธเอ๋ยเลยนะลูก แม่ขอโทษที่วันนั้นแม่ทำแบบนั้นลงไป แม่กลับมามองมือตัวเองทุกครั้งที่ทำแบบนั้นกับลูกไป แม่ขอโทษ อย่าโกรธแม่นะเอ๋ยฮือๆ..”

                “หนูไม่เคยโกรธแม่อีกแล้ว ไม่เลย” เธอคิดขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจที่เธอยังมีชีวิตอยู่

                “แม่ผิดเอง แม่ผิดเอง ฮืออออ” แม่ของยกมือปิดหน้าร้องไห้ตัวสั่นไปทั้งตัว

                “โถ่ แม่ หนูรักแม่นะ” เอ๋ยยื่นมือออกไปขว้าแขนแม่ของตน

                แต่มันกลับทะลุผ่านแขนแม่ของเธอไป ในใจของเอ๋ยชาวาบ เธอยกมือของตัวเองมามองก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เลยลองยื่นมือไปจับแขนแม่ของเธออีกครั้ง...และอีกครั้ง..

              ทะลุ ว่างเปล่า แตะต้องไม่ได้

                เอ๋ยย้อนมองร้างไร้วิญญาณที่มีผ้าขาวยาวคลุมหน้าไปจนถึงลำตัวทั้งหมด จ้องมองแม่ของเธอที่ยืนอยู่ข้างเตียง และค้นพบสิ่งที่ผิดพลาดที่สุด คือ เธอฆ่าตัวตาย โดยลืมนึกไปว่าคนที่เสียใจที่สุดถ้าเธอตายไปก็คงจะเป็นแม่ของเธอ เอ๋ยเอามือลูบต้นคอเปื้อนเลือดของตน ที่ไม่รู้สึกเจ็บหรือปวดเลยสักนิด เลือดแห้งกรังติดลำคอที่โดนมีดปาด ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาใส่อย่างไม่หยุดยั้ง

                น้ำตามากมายค่อยๆ ไหลออกมาเป็นสายเลือด

                แม่.. เอ๋ยขอโทษ.....

               

               

               

                เงาที่สะท้อนอยู่ในใบมีดของเอ๋ย มีสองด้านเสมอ

                ด้านแรกสะท้อนตัวตนอันดำมืดของตัวเอง

                ด้านที่สองสะท้อนความจริงที่ตนไม่ยอมรับ จนต้องบิดเบือนความจริงของตน

                ส่วนคมมีด คือทางเลือกที่เราเลือกที่ทำ...

     

                เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีดมันคมนะลองเอาไปปาดคอเล่นสิ (หลอกก) 

               ฝากคอมเม้นด้วยนะคะ ว่าควรปรับปรุงอย่างไรตรงไหน

               

               

     

               

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×