ประวัติวง Backstreet boys 5หนุ่มบอยแบนด์ขวัญใจแฟนเพลงทั่วโลก
สมาชิก
· Brian Littrell
· Kevin Richardson
· Howie Dorough
· A.J. Mclean
· Nick Carter
ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 4 คน โดย Kevin Richardson ให้เหตุผลที่ลาออกจากวงว่าเขาต้องการไปทำสิ่งที่สนใจในด้านอื่นบ้าง เช่น เล่นละครบรอดเวย์ ทำสตูดิโอส่วนตัวที่ผลิตซาวน์เพลงประกอบต่างๆ สำคัญที่สุดคือเขาต้องการมีเวลาให้กับครอบครัว ล่าสุดเควินและภรรยาคริสติน ริชาร์ดสันกำลังรอคอยลูกชายตัวน้อยที่จะถือกำเนิดในเดือน กรกฎาคม 2007 นี้
คนส่วนใหญ่มักจะนึกว่า Backstreet Boys เป็นวงจากฝั่งยุโรป แบบว่าอัลบั้มเปิดตัว Backstreet Boys ที่ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงดันปล่อยออกมากระหน่ำชาร์ตทางฝั่งยุโรปและแคนาดาซะก่อนอีกเกือบ 2 ปีต่อมานู่นแหละ ถึงจะดังเปรี้ยงทางฝั่งอเมริกา โดยนำสไตล์เพลงหลายๆ แนว ทั้งบัลลาด ฮิปฮ็อป อาร์แอนด์บีหรือกระทั่งป๊อปแดนซ์มาผสมผสานกันอยู่ในอัลบั้มคล้ายๆ กับการผสมผสานของสมาชิกในวงที่มีทั้งผิวขาวและผิวสีนั่นเอง
Backstreet Boys (BSB) เจ้าของฉายาวง Boy Bands อันดับหนึ่งตลอดกาลของวงการเพลงป็อบ ซึ่งมีผลงานสุดคลาสสิคอย่าง I Want It That Way, Larger than Life, Everybody (Backstreet's Back) และเพลงสุดเพราะอย่าง As Long As You Love Me แน่นอนว่าแฟนเพลงของพวกเขาทั่วโลก ต่างจดจำกับบทเพลงเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี และสมาชิกของวง ประกอบด้วย Nick Carter Howie Dorough, Brian Littrell และ AJ McLean และ Kevin Richardson
Backstreet Boys (BSB) นั้นได้สร้างสถิติให้กับวงการเพลงมากมาย อาทิเช่น พวกเขาเป็นวง Boy Band ที่สามารถทำยอดขายอัลบั้มทั่วโลกได้มากกว่า 50 ล้านแผ่น!! โดยอัลบั้ม Back Street Back และ Millennium นั้น ขึ้นแท่นเป็นอัลบั้มขายดีตลอดกาลของ Billboard 200 Chart ตั้งแต่ที่เคยมีการจัดอันดับเพลงของอเมริกามาเลยทีเดียว
Backstreet Boys เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในปี 1995 โดยมี 2 หนุ่ม Kevin Richardson และBrian Littrell เป็นแกนหลักทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ และรักในเสียงดนตรีด้วยกันทั้งคู่ส่วน 3 หนุ่มที่เหลือ Howie Dorough A.J. Mclean Nick Carter ก็รู้จักกันมาก่อนเช่นกันกระทั่งวันเวลาดึงให้หนุ่มๆ ที่รักในเสียงดนตรีทั้ง 2 กลุ่มมาเจอกันกลายเป็นวงควินเต็ตที่แรงที่สุดวงหนึ่งในช่วงปลายปี 90
ระหว่างปี 1996 ถึง 2001 พวกเขาขึ้นเวทีแสดงสดมากถึง 350 โชว์ กับยอดขายบัตรคอนเสิร์ตมากกว่า 5 ล้านใบ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 ที่ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาถูกเล่นทางวิทยุ ตอนนั้นเป็นยุคทองของดนตรีกรันจ์ ไม่ใครคิดว่าเพลง Weve Got It Going On จะถูกเปิดมากไปกว่า Smell Like Teen Spirit ของ Nirvana แต่แล้ว backstreet boys ก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดนตรีป็อปขึ้นเมื่ออัลบั้มแรกของพวกเขาขายได้มากว่า 8 ล้านชุดในอเมริกา และค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตไปยังประเทศเยอรมนีและแคนาดา
ทันทีที่ปล่อยซิงเกิลแรก "We've Got It Going On" ออกมาBackstreet Boys ก็คว้า Best Newcomers จาก Smash Hits Awards ตามมาด้วยซิงเกิลที่ 2 "I'll Never Break Your Heart" ก่อนจะออกอัลบั้มเต็มอีกเกือบ 2 ปีนู่นแหละ ทั้ง 5 หนุ่มจึงออกอัลบั้มนี้เป็นเวอร์ชั่นอเมริกาซึ่งได้รับการต้อนรับจากแฟนๆ ฝั่งอเมริกาแบบท่วมท้นล้นหลาม
โดยมี "Quit Playing Game (With My Heart)" และ "Everybody" เป็นตัวชูโรงพร้อมกับดึงยอดจำหน่ายไปหยุดอยู่ที่ 13 ล้านก็อปปี้ทั่วโลกอัลบั้มต่อมา "Millennium" ออกมาเพิ่มความฮอตให้ซัมเมอร์ปี 1999 แค่ออกจำหน่ายสัปดาห์แรกขายไปแล้วกว่า 1 ล้านก็อปปี้มีซิงเกิลฮิตเพียบ ตั้งแต่ "I Want It That Way", "Larger Than Life" และอีกหนึ่งซิงเกิลที่ไม่มีใครไม่รู้จัก "Show Me The Meaning of Being Lonely" พอ "Millennium" เริ่มซาลง ทั้ง 5 หนุ่มก็ไม่ยอมให้ซาง่ายๆ ปล่อยอัลบั้ม "Black & Blue" ตามมาในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2000 ทันทีแล้วก็เป็นไปตามความคาดหมาย กับอันดับหนึ่งของชาร์ตอัลบั้มขายดีแต่งานนี้หนักหน่อยเพราะ N'Sync ออกอัลบั้ม "No Strings Attached" มาตีประกบไปๆ มาๆ ประโยชน์ก็เลยตกอยู่กับคนฟังที่ได้ฟังเพลงเพราะๆ เพียบในปีนั้น
2 อัลบั้มถัดมาคือ Backstreets back และ Millennium ขายทั่วโลกไปกว่า 24 ล้านก็อปปี้ และทัวร์คอนเสิร์ตของพวกเขาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ปีต่อมา Backstreet Boys ออกรวมฮิต The Hits: Chapter One แล้วก็ห่างหายไปนานจนแฟนๆ นึกว่าปิดฉากไปแล้วแต่แล้วก็ได้เวลากลับมาอีกครั้งในปี 2005 กับสตูดิโออัลบั้ม "Never Gone" ทว่ามาออกช่วงเดียวกับ Cold play แถมยังชนกับ Fool Fighter เข้าไปอีกอันดับในฝั่งอเมริกาก็เลยอยู่แค่อันดับ 3 และยังแซงหน้าไม่สำเร็จสำหรับ "Incomplete" ซิงเกิลแรกและเป็นแทร็กเปิดอัลบั้มนั้นมีเสียงเปียโนเคร่งขรึมบอกความเป็นผู้ใหญ่ของทั้ง 5 หนุ่มอย่างชัดเจน
แทร็กที่ 2 "Just Want You to Know" มากับอินโทรเก๋ๆ Looking at your picture from when we first met you gave me a smile that I could never forget
แทร็กที่ 3 "Crawling Back to you" เปิดด้วยเสียงกีตาร์ผสานดับเบิลเบสจากนั้นก็พาเข้าสู่อารมณ์เศร้าๆ ของผู้ชายที่ละทิ้งสิ่งดีๆ ไปและอยากจะได้คืนงานนี้ก็เลยต้องคลานเข้าไป ทั้งเข่า ทั้งมือ ถลอกปอกเปิกตกลงแล้วจะ "สงสาร" หรือจะ "สมน้ำหน้า" ดีล่ะเนี่ย!!!
แทร็กที่ 4 "Weird World" ว่าด้วยเรื่องราวหลัง 11 กันยายนที่กลั่นกรองจากสมองและสองมือของ จอห์น ออนดราซิก แห่ง Five For Fighting เป็นอีกหนึ่งแทร็กที่ทำให้เราเห็นว่า Backstreet Boys ไม่ใช่เด็กๆ แล้วอย่างน้อยๆ ก็สนใจสิ่งรอบตัวระดับชาติ ไม่ใช่มีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างเดียวต่อด้วย "I Still..." กับอินโทรเสียดโสตประสาท ชวนขนลุกและน่าค้นหาพร้อมด้วยสไตล์การร้องประสานแบบ Backstreet Boys ที่เราคุ้นเคยกันดี
แทร็กที่ 8 เป็นหน้าที่ของ "Climbing the Walls" มากระจายความหวานขึ้นต้นด้วยอินโทรท้าทาย ก่อนจะพาเราเข้าสู่จังหวะสดใสด้วยเนื้อหาอีกมุมมองหนึ่งของความรักที่ไม่อยากแยกจากกันพร้อมกันท่อนคอรัสที่ทั้ง 5 หนุ่มร้องประสานกันหวานหยดสดใสซาบซ่าอีกเพลงรักที่หวานหยดไม่แพ้กันก็ต้อง "Safest Place To Hide" แทร็กที่ 10
Can you see me, here I am
I need you like I need you then
When I feel like giving up
I climb inside your heart and still find
You're my safest to hide.
ก่อนจะปิดอัลบั้มด้วยไทเทิลแทร็ก "Never Gone" บัลลาดเศร้าๆที่ เควิน ร่วมแต่งเนื้อกับ แกรี เเบเกอร์ และ สตีฟ ไดอะมอนด์พร้อมทั้งเล่นเปียโนเอง เพื่ออุทิศเพลงทั้งเพลงให้กับพ่อของตัวเองและอีกนัยหนึ่ง เพื่อบอกแฟนๆ Backstreet Boys ว่าพวกเขา "ไม่ได้หายไปไหน"
Backstreet boys คือวงบอยแบนด์ ซึ่งสมาชิกในวงนั้นเป็นชาวอเมริกันผิวขาวที่มาจากชนชั้นกลาง ทางวงร้องเพลงในแนวลูกผสมระหว่าง new jack balladry, hip-hop, R&B, และ dance club pop ซึ่งเป็นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางฝั่งแคนนาดาและยุโรป ด้วยอัลบั้มเปิดตัวของพวกเขาในปี 1996 ด้วยการขึ้นไปผงาดอยู่ในท๊อปเท็นชาร์ตทั่วทุกประเทศในทวีปยุโรป แต่ที่น่าแปลกคือในบ้านเกิดของพวกเขา อเมริกา กว่าจะเปิดตัวได้ก็เกือบอีกสองปีถัดมา
แกนหลักของวง Backstreet Boys คือ 2 ลูกพี่ลูกน้อง Kevin Richardson และ Brian Littrell ซึ่งทั้งสองนั้นมาจาก Lexington, KY ทั้งสองเริ่มร้องเพลงตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกเขายังเป็นเด็ก โดยเริ่มจากเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ ที่ๆพวกเขาทั้งสองร้องเพลงในสไตล์ของ Boyz II Men ส่วนอีกสองสมาชิกหลักอย่าง Howie Dorough และ A.J. Mclean นั้นชาว Orlando รัฐฟลอริด้า ซึ่งเจอกันขณะที่ย้ายมาอยู่นิวยอร์ก และสมาชิกคนสุดท้ายของวงคือ Nick Carter จากการออดิชั่น (คัดเลือกตัว) ของสื่อโฆษณาท้องถิ่น ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ ในการออดิชั่นครั้งหนึ่งของพวกเขาทั้ง 3 นั้นต่างก็ค้นพบว่าตัวเองชอบแนวเพลง classic soul และสามารถร้องเข้าขากันได้เป็นอย่างดี พวกเขาร่วมร้องเพลงกันในนามของวง Trio band ซึ่งภายหลังไม่นานนักหลังจากทำการฟอร์มวง Trio band ขึ้นมา Richardson สมาชิกลำดับที่ 4 ของวงก็ได้ย้ายมาที่ Orlando เป็นที่ๆนี้เขาได้กลายมาเป็นไกด์นำทัวร์ Disney World แต่ทว่าในยามค่ำคืน เขามีความมุ่งมั่นฝึกฝนที่จะผันตัวเองมาเป็นนักดนตรีมืออาชีพ ในที่สุดเขาก็ได้พบกับ Dorough, Carter และ McLean โดยผ่านทางเพื่อนร่วมงาน จากนั้นทั้งสี่จึงตัดสินใจฟอร์มวงกันขึ้น โดยตั้งชื่อวงของพวกเขา ตามชื่อตลาดนัดขายของเก่าแห่งหนึ่ง (คล้ายๆคลองถมบ้านเรา) ที่ Orlando และ Litterell เองก็ถูกชักชวนให้เข้าร่วมกับวงเพื่อให้กลายเป็นวงบอยด์แบน 5 ชีวิต
ด้วยความเป็นเพื่อนกับโปรดิวซ์เซอร์อย่าง Louis J. Pearlman ทางวงจึงได้รับการจัดการบริหารที่ไว้วางใจได้จาก Donna และ Johnny Wright ผู้ซึ่งดึงพวกเขาขึ้นมาจรัสแสงด้วยการเชิญตัวแทน A&R จากหลายๆสังกัดมาดูการแสดงสดคอนเสิร์ตแรกของพวกเขา และแล้วในที่สุดทางสังกัดค่ายเพลงอย่าง Jive Records เริ่มสนใจทางวง และเซ็นสัญญากับทางวงในปี 1994 ทางค่าย Jive/ Zomba ได้จัดให้ทางวงได้ทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์อย่าง Veit Renn และ Tim Allen ซึ่งพวกเขาทั้งสองยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำอัลบั้มร่วมกับวงหลายต่อหลายเดือน อัลบั้มระดับตำนานอัลบั้มนี้ออกวางขายทั่วยุโรปในช่วงปลายปี 1995 ซึ่งได้เสียงตอบรับอย่างดีและติดอันดับท็อปเท็นในชาร์ตต่างๆของประเทศภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ในยุโรป (ไม่รวมอังกฤษเพราะอังกฤษเป็นเกาะ) ในปี 1995 ส่วนที่ประเทศอังกฤษนั้น Backstreet Boys ได้รับรางวัลวงดนตรีหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัล Smash Hits ต้องขอบคุณซิงเกิ้ลยอดฮิตที่ดังระเบิดทั่วโลกของพวกเขาอย่าง Weve got it going onภายหลังจากที่พวกเขาปล่อยซิงเกิ้ลยอดฮิตในทวีปยุโรปอีกเพลงอย่าง Ill never break your heart ทางวงก็ปล่อยอัลบั้มเปิดตัวอันยอดเยี่ยมที่ยุโรปและแคนนาดาในปี 1996 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นและทะยานขึ้นไปติดท็อปเท็นชาร์ตหลายสัปดาห์ในหลายๆประเทศ แต่แม้ว่าพวกเขาจะเป็นที่นิยมในทวีปยุโรปและแคนาดาก็ตามทีทว่าซิงเกิ้ล "We've Got It Goin' On" นั้นอยู่ในอันดับที่ต่ำมากๆในอเมริกาในปี 1995 ซึ่งอาจเกิดมาจากสาเหตุโดยตรงที่ว่าอัลบั้ม Backstreet boys เวอร์ชั่นอเมริกันนั้นไม่มีวางจำหน่ายจนกระทั่งในปี 1997 ที่นำเอาซิงเกิ้ลยอดนิยมและเพลงใหม่มารวมไว้ (ซึ่งมีการนำเพลงหลักๆของอัลบั้ม Backstreet's Back ที่ขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้นมาบรรจุอยู่ในอัลบั้มด้วย) นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของพวกเขาในอเมริกาด้วยซิงเกิ้ลฮิตๆ อย่าง "Quit Playin' Games (With My Heart)" และ "As Long as You Love Me" อัลบั้มนี้ยังคงได้รับกระแสการตอบรับอย่างไม่หยุดยั้งไปจนถึงปี 1999 ด้วยซิงเกิ้ล "Everybody (Backstreet's Back)," "I'll Never Break Your Heart," and "All I Have to Give" ซึ่งทุกซิงเกิ้ลที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เข้าไปเทียบท่าในชาร์ตเพลงแทบทั้งสิ้น ซึ่งทั้งสองเพลงแรกและสองเพลงหลัง และยอดขายสรุปรวมของอัลบั้มนี้นั้นขายได้มากกว่า 13 ล้านก้อปปี้ ในระหว่างนั้นทางวงก็กำลังประสบกับความอลหม่านวุ่นวาย ส่วน Littrell ต้องเผชิญกับการผ่าตัดหัวใจที่บกพร่องมาตั้งแต่กำเนิดตั้งแต่ต้นปี 1998 และทางวงก็เป็นคดีความกับ Pearlman และทีมผู้บริหารของเขาเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ลิขสิทธิ์เป็นปีๆ พอคดีเริ่มซาลง Pearlman ยังคงเป็นผู้จัดการวงตามเดิม (คนอื่นๆโดนไล่ออกไปหมด) และทางวงก็กลับมาเริ่มทำงานในอัลบั้มต่อไป
อัลบั้ม Millennium ซึ่งออกวางขายในหน้าฤดูของปี 1999 นั้นเปิดตัวสูงสุดด้วยอันดับหนึ่งในสัปดาห์แรกและขายได้ถึงหนึ่งล้านก็อปปี้ทั่วโลก แม้ว่าความจริงซิงเกิ้ลเพลงเหล่านี้จะไม่ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการในสหรัฐอย่างเพลง I want it that way, larger than life, Show me the meaning of being lonely และเพลง The One แต่ทุกเพลงล้วนเป็นเพลงยอดนิยมติดลมบนสูงสุดบนชาร์ตด้วยตัวของมันเอง ทางวงก็ได้ปล่อยอัลบั้ม Christmas album ออกมาก่อนจะถึงสิ้นปี ซึ่งในขณะนั้นอัลบั้ม Millennium ยังคงเป็นอัลบั้มครองใจมหาชนขายได้ถึง 12 ล้านก็อปปี้เฉพาะในอเมริกา และอีกครั้ง และแล้วทางวงก็จู่โจมอย่างสายฟ้าแลปต่อจากอัลบั้มก่อน หลังจากการหยุดทำอัลบั้มฮิตมานาน
ปี 2000 backstreet boys ฉลองการออกอัลบั้ม Black & Blue ด้วยการบินโปรโมทอัลบั้มโดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวไปยัง 5 เมืองสำคัญของแต่ละทวีปคือ สต๊อกโฮล์ม โตเกียว ซิดนีย์ เคปทาวน์ ริโอเดอจาเนโร และนิวยอร์ก ในเวลา 5 วันติดต่อกัน
อัลบั้ม Never Gone ได้โปรดิวเซอร์ชื่อดังมากมายมาร่วมกันทำงานในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์อย่าง Max Martin ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก John Ondrasik (ในนาม Five For Fighting), Billy Mann (Pink) และ John Shanks (Michelle Branch) ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้คือเพลง Incomplete สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 มีซิงเกิ้ลแรก คือ เพลง Inconsolable ที่ได้ Emanuel Kiriakou (โปรดิวซ์ให้นิค ลาเช่ เพลง Whats Left of Me และ Katherine McPhee เพลง Ordinary World) มาโปรดิวซ์เพลงนี้ให้ ร่วมกับนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง Lindy Robbins และ Jess Cates แต่ภายหลังจาก 7 ปีแห่งการทัวร์คอนเสิร์ตและการบันทึกเสียงอัลบั้มอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง จึงทำให้สมาชิกทุกคนในวงเห็นพ้องต้องกันว่าควรถึงเวลาหยุดพักซักทีโดยที่ Brian Littrell ได้กลายมาเป็นพ่อคน ในขณะเดียวกับที่ Kevin Richardson ได้ก้าวไปแสดงในละครบอร์ดเวย์อย่างละครเพลงเรื่อง Chicago ส่วน Nick Carter ก็ทำงานอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองโดยที่อัลบั้มชุดนี้มีชื่อว่า Now or never ในปี 2002 ส่วน Howie Dorough ทำงานการกุศลกับมูลนิธิ Dorough Lupus เพื่อเป็นเกียรติแก่น้องสาวของเขาที่เสียชีวิตไปด้วยโรคภัย และ A.J. McLean เสนอตัวเองไปอยู่บนพาดหัวข่าวเรื่องการถูกควบคุมความประพฤติของตัวเอง และแล้วในปี 2004 ทางวงก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง และเริ่มต้นทำงานในอัลบั้มใหม่ ซึ่งผลสรุปสุดท้ายจากประสบการณ์ที่เพิ่มพูนและพัฒนาการของพวกเขาที่กลั่นกรองบวกกับความละเมียดละไม ของงานเพลงของพวกเขาจึงได้ อัลบั้ม Never Gone ออกมาซึ่งออกวางขายในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2005 นี่เอง
สำหรับปี 2007 นี้ พวกเขาทั้ง 4 (หรือ 5) กำลังกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาสมควรได้รับ หลังจากห่างหายไปจากวงการเพลงมานาน ทำให้การกลับมาครั้งนี้แฟนๆของ Backstreet Boys ต่างรอคอยกันอย่างอย่างใจจดใจจ่อ ถึงแม้ว่าแฟนเพลงส่วนใหญ่จะผ่านเลยวัย Teen มาพอสมควรแล้วก็ตาม รวมถึงสมาชิกของ BSB เองก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลาด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า การกลับมาของพวกเขาด้วยเพลงเปิดตัวอย่าง Inconsolable จะสามารถเรียกศรัทธาต่อพวกเขาเหมือนอย่างเคยหรือไม่ หรือจะเป็นแค่การกลับมาตามกระแสความสำเร็จของวงรุ่นพี่ Take That และ Spice Girls ที่กลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ที่เกาะอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนเพลงพันธุ์แท้ของพวกเขา Backstreet Boys นั้น จะยังคงเป็นวง Boy Band อันดับหนึ่งในดวงใจตลอดไป
ผลงานอัลบั้ม
Backstreet Boys (ออกครั้งแรกปี 1996 และได้ออกอีกเวอร์ชันในปี 1997)
Backstreet's Back (1997)
Millennium (1999)
Black & Blue (2000)
Never Gone (2005)
Unbreakable (2007)
อัลบั้มรวมฮิต
The Hits: Chapter One (2001)
ความคิดเห็น