คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : แผนการหนึ่ง
บทที่ 9 : แผนการหนึ่ง
องครักษ์หนุ่มเหอจวิ้นฮุยทำความเคารพต่อองค์กษัตริย์แห่งแคว้นเหวิ่น ใบหน้าคมคายแสดงถึงความเศร้าหมองตามฮ่องเต้เฉวียนหวังตี้ ร่างบอบบางนั้นยังลูบเจ้ากระรอกน้อยเปาชิงเทียนราวกับว่าเขาไม่อยากรับรู้อะไรที่จะนำพาสถานการณ์ให้เศร้าใจไปมากกว่านี้
“ พี่ฮุย...ข้าผิดเอง ข้าอยากเรียนวิทยายุทธจากเสด็จน้า แต่ว่าข้าเอาชนะความกลัวไม่ได้
แล้วเสด็จน้าต้องรับโทษด้วยพระองค์เอง...”
“ ฝ่าบาทได้โปรด อย่าเศร้าพระทัยไปเลย ดูนั้นสิ” นิ้วเรียวงามขององครักษ์หนุ่มชี้ไปยังแสงตะวันที่สาดส่องประดับหมู่เมฆสีขาวสะอาดตา แถมเมฆก้อนนั้นดูคล้ายคลึงกับมังกรอีกด้วย
“ เมฆมังกรเป็นนิมิตหมายอันดีของพระองค์ แสดงถึงความโชคดีที่กำลังจะเกิดขึ้นพะย่ะค่ะ”
“ มันจะดีกว่านี้ ถ้าเสด็จน้าจื้อต้องไม่มาเจ็บเพราะข้า...”
ดวงหน้าผ่องนวลสลดลงอย่างเห็นได้ชัด องครักษ์หนุ่มนั้นเล่ากลับมีความรู้สึกว่า...ถ้าไม่มีฐานันดรที่มาคั่นกลางระหว่างเรา...ข้าจะโอบกอดร่างบอบบางนี้แนบอกของข้า...แล้วจุมพิตหน้าผากรับขวัญเพื่อปลอบโยนเขา...เรียกชื่อของเขาแล้ว...ให้กำลังใจอย่างเต็มเปี่ยม...
หากว่าท่านเป็นกษัตริย์พระองค์น้อย ส่วนข้าเป็นเพียงองครักษ์
ข้าย่อมรู้ฐานะของตนดี...ข้าไม่ควรแตะต้องพระองค์เลย...ข้าแค่รักพระองค์ในใจเท่านั้น...
“ พี่ฮุย ข้าขอคำปรึกษา ข้าอยากยกเลิกกฎบ้าๆที่ทำให้น้าของข้าต้องเจ็บปวด ข้าควรทำอย่างไร”
“ ฝ่าบาท การแก้ไขกฎมณเทียรบาลนั้นต้องได้รับคำอนุมัติจากเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางสำคัญก่อนถึงจะเปลี่ยนได้ แล้วที่สำคัญ พระองค์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พระองค์ยังไม่สามารถใช้พระราชาอำนาจได้อย่างเต็มที่พระเจ้าค่ะ”
เรียวเท้าบางของเจ้าเทียนอี้กระทืบลงกับพื้น “ กฎบ้าๆ ที่ทำให้เสด็จน้าจื้อต้องเจ็บปวด ข้าจะยกเลิกมันให้หมดเลย!”
“ ฝ่าบาท...พระทัยเย็นๆก่อนเถิด” เหอจวิ้นฮุยพยายามปลอบเด็กหนุ่มเอาแต่ใจ
หากว่าดวงตากลมโตคู่นั้นแสดงถึงความมุ่งมั่นในจิตใจของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
“ ข้าจะเปลี่ยนมันเอง พี่ฮุย คอยดูเถิด ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น! เพราะข้าเป็นฮ่องเต้!”
น้ำเสียงหวานที่เริ่มแตกทุ้มตามวัยเติบโตขึ้น เริ่มคล้ายคลึงพระมาตุลามากไปทุกที...
องครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งวังหลวงถอนหายใจอย่างระอาในทรวง
...ข้าภักดีต่อพระมาตุลาเช่นไร ข้าก็ภักดีต่อพระองค์เช่นนั้น...จ้าวเทียนอี้...
แล้วเสียงประกาศของขันทีผู้หนึ่งดังขึ้น “ พระพันปีหลี่เหยียนฮวาเสด็จ!”
หัวใจของฮ่องเต้น้อยเทียนอี้ก็เต้นสั่นระรัวดังกลองในสนามรบ
“ เสด็จแม่!”
เด็กหนุ่มในอาภรณ์สีเหลืองนวลจึงได้พบกับพระมารดาบังเกิดเกล้า สตรีร่างสูงระหงในอาภรณ์สีม่วงเข้ม ศีรษะสวยประดับเกี้ยวทองล้ำค่า ใบหน้างดงามหมดจดดังภาพเขียนของจิตรกรชั้นเอก และดวงตางดงามคมกริบดังคมมีดพิมพ์เดียวกับพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ...เทียนอี้ ผู้เป็นพระโอรสตั้งตัวแทบไม่ทัน...
“ ถวายบังคม ฝ่าบาทเพคะ” นางแสดงความเคารพ
ผู้เป็นพระโอรสก็ค้อมศีรษะลง “ เช่นกัน เสด็จแม่...”
ใบหน้างดงามของนางไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ราวกับรูปปั้นในอุทยานหลวง
“ หม่อมฉันทราบข่าวว่า พระมาตุลาประชวรจากการลงทัณฑ์งั้นหรือ”
“ ใช่แล้ว...เสด็จแม่...”
ความห่างเหินระหว่างมารดากับบุตรชายเป็นที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด จ้าวเทียนอี้ไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของพระมารดาอีกเลย หลังจากการสวรรคตของพระบิดา
“ ให้หม่อมฉันไปเยี่ยมเขาได้หรือไม่” พระพันปีรับสั่งถาม
ฮ่องเต้องค์น้อยผู้เป็นโอรสพยักเรียวพักตร์รับ ขณะที่เจ้ากระรอกน้อยได้คลานมาจับชายกระโปรงหรูหราจากการถักทอมาอย่างประณีตของพระนาง
“ อาเปา! ไม่เอาน่า!”
แต่เปาชิงเทียนยังเกาะไปตามรอยเย็บงามประณีตนั้นอย่าสนใจ
“ อาเปา! อย่าแตะเสด็จแม่!”
หากว่าพระนางทรงจับกระรอกน้อยขึ้นมาในพระหัตถ์ พร้อมกับแย้มสรวล
ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มน้อยตกตะลึงนักหนา เพราะเขาไม่ได้เห็นเสด็จแม่แสดงอาการเช่นนี้มานานแล้ว
หรือ...สองพี่น้องคู่นี้ต่างชอบสัตว์ตัวน้อยเหมือนกัน...
“ อาเปาเหรอ ฝ่าบาททรงไปเก็บมาจากไหน”
“ น้าจื้อจับมันมาให้ข้าเอง” เทียนอี้ทรงตอบพระมารดา
“ น้าจื้อแสนใจดีนักเชียว” พระพันปีรับสั่งแล้วพระนางก็วางเจ้าเปาชิงเทียนคืนให้พระโอรส
“ ขอบพระทัย เสด็จแม่...”
“ ให้แม่ไปเยี่ยมเขาแล้วกัน” ริมฝีปากแดงอิ่มรับสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงกว่าที่เทียนอี้คาดคิด
~*~*~*~*~*~
พระมาตุลาหนุ่ม ผู้สำเร็จราชการรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้พบกับพระพี่นาง ผู้ดำรงศักดิ์เป็นผุ้สำเร็จราชการฝ่ายใน ดวงตาของนางแสดงความห่วงใยต่อน้องชายคนเดียวของนาง
“ ถวายบังคม ท่านพี่หญิง” ชายหนุ่มผู้นอนบนเตียงทำความเคารพ
“ อย่ามากพิธีไปเลย หยางจื้อ น้องชายของพี่...อือม พี่ทราบข่าว เมื่อยามเย็นที่ผ่านมาว่า เจ้ายอมรับบทลงโทษที่ว่าด้วยการดูแลองค์จักรพรรดิงั้นหรือ”
“ ใช่แล้ว” ผู้อ่อนวัยกว่าตอบ
ขณะที่ฮ่องเต้องค์น้อยก็ได้ทีตอบว่า “ ข้าบอกให้ท่านหยุด แต่ท่านไม่ยอมฟังข้าเลย!”
“ เทียนเอ๋อร์! พอได้แล้ว!” พระมาตุลาหนุ่มตวาดลั่นใส่ทันที
ผู้เป็นหลานชายก็เมินหน้าหนี ดังนั้นพระมารดาจึงรับสั่ง
“ เทียนเอ๋อร์ ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ แม่จะคุยกับน้าของเจ้าเสียหน่อย”
“ แต่...”
เทียนอี้สบดวงตาคู่งามของพระมารดาแล้ว เขาก็ต้องยอมจำนนเหมือนกัน
จึงพาเจ้าเปาชิงเทียนซึ่งอยู่ในอุ้งมือของเขาออกไปเป็นเพื่อน
“ เจ้าย่อมให้ตัวเองเจ็บตัวถึงเพียงนี้เชียวเหรอ จื้อเอ๋อร์...”
หลี่เหยียนฮวาเรียกชื่อเล่นของพระมาตุลาหนุ่มด้วยความห่วงใยของพี่สาว
“ท่านพี่หญิง อย่าเคืองข้า ข้าทำไปเพราะปกป้องลูกชายของท่าน ข้าต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎมณเทียรบาลไว้ เพื่อไม่ให้ใครใช้ช่องว่างนี้ทำร้ายเทียนเอ๋อร์ได้”
“ พี่ต้องขอบคุณเจ้ามาก แต่ก็อย่าให้เกิดกรณีเช่นนี้บ่อยครั้ง ร่างกายของเจ้าจะอ่อนแรงไปเสีย พี่ไม่ต้องการสูญเสียเจ้าไป...แม้แต่เทียนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องการเช่นกัน”
“ ท่านก็รักเทียนเอ๋อร์ไม่ต่างกัน”
“ เขาก็เป็นลูกชายของนาง เวลาเห็นหน้าเขา ทำให้พี่นึกถึงตอนที่เจ้าอายุเท่าเขาเสียจริง”
หลี่หยางจื้อไม่รู้ว่าสมควรยินดีมากเพียงใด เมื่อนางชมว่าเทียนเอ๋อร์คล้ายคลึงกับเขา...
เพราะเขาเห็นว่า เทียนเอ๋อร์เป็นตัวแทนขององค์จักรพรรดิผู้ลาลับเสียมากกว่า
พระนางทรงรินถ้วยยาสมุนไพรซึ่งพระนางทรงเตรียมเพื่อพระอนุชา
“ ยาโต๊วต๋งชนิดนี้ มีสรรพคุณบำรุงหลังของเจ้าพี่เตรียมไว้ให้แล้วในยามค่ำ เจ้าต้องทานให้หมด”
“ ท่านพี่หญิงท่านเป็นห่วงข้า ข้าสมควรรับโทษทัณฑ์ เพราะข้าให้เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แต่ว่า ลืมคิดไปเสียว่า เขากลัวความสูงมากเพียงนั้น ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็ไม่รู้จะทนฟ้าทนดินได้อย่างไร”
เขารับถ้วยยาแล้วกระดกลงอย่างมั่นคง
“ แต่ข้าก็ต้องการให้เทียนเอ๋อร์มีวรยุทธติดกายเพื่อป้องกันอันตรายที่ข้าคาดว่าจะเกิดขึ้น”
“ อันตรายจากใคร หรือผู้ใด...”
พระมาตุลาหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย “ จากสมุหกลาโหมผู้นั้น เขาคิดร้ายกับข้า”
“ เจ้าระแวงไปหรือเปล่า จื้อเอ๋อร์ของพี่”
“ ไม่...” ชายหนุ่มวางถ้วยยาลง “ เจ้ามู่หรงซู่ต้องการข้า และต้องการมากกว่านั้น...”
ดวงเนตรงามของหลี่เหยียนฮวาหลับลง “ ต้องการเจ้าหรือ...แล้วทำไมเจ้าไม่จับกุมเขาเสียเลย”
“ ไม่ได้...เจ้าแม่ทัพคนนี้ มีอิทธิพลสูงมาก เขาครอบงำเหล่าขุนนางขี้ขลาดทั้งหลายได้หมด และเขามีผลงานในการรบดีเสมอมา หากว่าข้ารีบจับกุมเขามาไว้ในคุก...ข้ากับเทียนเอ๋อร์ อาจจะยิ่งอยู่ในอันตราย ไม่เพียงเท่านั้น คนอื่นๆที่ไม่ทราบเรื่องนี้จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย”
ความรอบคอบของพระอนุชา ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินทำให้พระนางจำนนโดยดี
“ น้องชาย...ขอให้เจ้าและเทียนเอ๋อร์ ปลอดภัย...พี่ก็พอใจแล้ว...”
หลี่หยางจื้อได้รับเรียวหัตถ์อุ่นของพระพี่นางดังที่เขาเคยได้รับ ครั้งยังเยาว์วัย...เขายินดีนัก...
ที่นางยังให้กำลังใจเขาเสมอมา...นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องปกป้องฮ่องเต้องค์น้อยมากขึ้น
~*~*~*~*~*~
ข่าวคราวที่พระมาตุลาอ๋องซื่อต้ากงยอมได้รับการโบยห้าสิบครั้งแพร่ไปถึงจวนของสมุหกลาโหมมู่หรงซู่ ซึ่งได้แต่นอนทำแผลเป็นใบหน้าของตนที่โดนพัดวรยุทธของหลี่หยางจื้อตบเขา
“ หึๆ หลี่หยางจื้อน่ะหรือ คนผยองแบบนั้น ยอมให้ตนถูกลงทัณฑ์...ข้อหาปล่อยหลานให้ปีนขึ้นต้นไม้แล้วตกลงมา...ฮ่าๆ...เสด็จน้าของฮ่องเต้...คนดีหาได้ยากเพียงนี้...ถ้าข้าได้เขามาในอ้อมกอดแล้ว...บารมีของข้าต้องเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ฮ่าๆ”
“ เมื่อไหร่ ท่านจะเลิกหวังสูงเช่นนั้นเล่าขอรับ ท่านแม่ทัพ”
เสียงพิณใหญ่ซึ่งบรรเลงด้วยฝีมือบุรุษรูปงามดังอิสตรี เขาอยู่ในอาภรณ์สีเทาเข้มดังสีของเมฆฝน แต่ก็ไม่ได้ความงดงามของเขาน้อยลงเลย เรียวนิ้วงามบรรจงเล่นพิณไปมาอย่างสบายอารมณ์
“ เจ้าถือดีอะไร มาขัดใจข้า เฉียงลีฉิน”
“ ข้าไม่ได้ขัดท่าน ข้าตอบตามความจริง ท่านควรเลิกหวังได้ร่างกายของพระมาตุลาแห่งต้าเหวิ่นมาครองเถิด มิฉะนั้น หนทางที่ท่านเลือกก็คือ มรณา นั่นเอง”
มู่หรงซู่เลื่อนกายขยับมาประชิดใกล้บุรุษผู้มีอายุน้อยกว่า พร้อมกับคลอเคลียเรือนผมยาวสลวย จนมาถึงเรียวแก้มผ่องดังทาแป้งของนักดีดพิณ
“ เจ้าคิดอะไรกัน...เจ้าก็คงอยากให้ข้าตายมากสินะ...แต่จำไว้...เฉียงลีฉิน...ถ้าไม่ได้ข้าช่วย เจ้าก็คงถูกนำไปขายในซ่องที่มันต่ำต้อย แล้วเจ้าก็จะถูกย่ำยีจนตายเหมือนกัน”
เขากระตุกเรือนผมยาวสลวยโดยแรง หากว่าหนุ่มรูปงามกลับไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
“ ท่านแม่ทัพ...พระคุณของท่าน...ข้าไม่มีทางลืม...” เฉียงลีฉินตอบด้วยน้ำเสียงไพเราะเกินชาย
“ แต่... ข้าได้เห็นใบหน้างามอ่อนโยนของฝ่าบาทแล้ว...ข้ากลับพบว่า ในโลกนี้ มีอะไรที่ดีกว่า ความใคร่ของท่านที่มีต่อพระมาตุลาและบัลลังก์ของเมืองนี้ด้วยซ้ำ...เด็กหนุ่มน้อยมีบารมีพร้อมเป็นจักรพรรดิ...เด็กหนุ่มผู้น่ารัก งดงามดังเทวดามาโปรดพวกเรา...”
“ เจ้าเด็กกำพร้าพ่อคนนั้น อ่อนแอเกินไป จิตใจอ่อนโยนไม่เหมาะกับการเป็นฮ่องเต้! ข้าต่างหาก! ข้าจะเป็นฮ่องเต้ โดยมีหลี่หยางจื้อ เคียงกายของข้า และเจ้า...ถ้าเจ้าทำหน้าที่ตามข้าสั่ง...ข้าก็ให้เจ้าเป็นสนมเอก...”
ริมฝีปากงามดังแต้มชาดเม้มแน่น...ข้าไม่ต้องการ...อยู่กับเจ้า...ขอเพียงให้ข้าได้ทราบข่าว...
คนผู้นั้น...คนที่ข้ารัก...หลงทางไปจากข้า...นั้นย่อมดีกว่า...
ทันใดนั้น ทหารรับใช้ก็ได้เข้าพบมู่หรงซู่แล้วกล่าวว่าบุตรบุญธรรมของเขากลับมาจากค่ายที่ตนดูแล
“ คุณชายมู่หรงยงหลาง มาถึงแล้วขอรับ”
“ มู่หรงยงหลาง มาแล้วหรือ ให้มาได้”
แม่ทัพหนุ่มพึงพอใจนัก เมื่อเขาได้พบกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกบุญธรรมที่ตนรักและห่วงใย
ชายหนุ่มร่างสูงวัยยี่สิบปี เรือนผมยาวสลวยสีดำปนน้ำตาลเป็นประกายมัดรวบยาวเป็นหางม้า ใบหน้าคมสันสมเป็นนักรบ แต่มีความอ่อนหวานน่าคบหาได้สนิทใจ ประกอบผิวพรรณนวลละเอียดตาแลสายตาที่ดูอ่อนโยนผิดกับมู่หรงซู่ผู้เป็นบิดาบุญธรรม เขาตรงเข้าคุกเข่าและทำความเคารพอย่างสุภาพนอบน้อม
“ คารวะ ท่านพ่อขอรับ...”
“ ว่าไงคนเก่ง เจ้านี่นะ กลับมาล่าช้านัก ติดใจอะไรในป่าเขาหรือ...”
“ มิได้ขอรับ...ข้าเพียงดูแลทหารที่กำลังพากันเป็นโรคภายในค่าย ข้าจึงต้องการกลับมาเพื่อนำหมอไป แล้วหาเสบียงให้พวกเขาด้วยขอรับ...”
“ เฮ่อ...พ่อพระซะจริง...” มู่หรงซู่พร่ำบ่น แต่ว่าเฉียงลีฉินกลับอมยิ้ม เขาพึงพอใจที่เห็นว่าคุณชายหนุ่มน้อยแห่งสมุหกลาโหมผู้นี้ มีจิตใจดีกว่าบิดาบุญธรรมตั้งกี่ร้อยเท่า
นักดีดพิณหนุ่มคนงามนามว่า เฉียงลีฉินคนนี้ขอภาวนา
“ขอให้เจ้ามู่หรงซู่ผู้นี้อายุสั้นแล้วให้มู่หรงยกหลางขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทน
บ้านเมืองคงสงบสุขเป็นแน่!”
“ มิได้ขอรับ ท่านพ่อ ข้าต้องการเพิ่มอำนาจให้กองทัพของท่าน” ชายหนุ่มกล่าว
“ ตามใจๆ เอาล่ะ เฉียงลิพิณ เล่นเพลงให้คุณชายฟังซะ ข้าจะขอตัวไปตรวจข้างในห้อง”
หลังจากร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มมู่หรงซู่จากไป นักดีดพิณคนสวยก็ขยับมาเล่นยังพิณของตน
โดยที่มู่หรงยงหลางกลับเหมือนไม่สนใจในนายบำเรอของบิดาบุญธรรม
“ คุณชายยงหลาง สนใจฟังเพลงของข้าไหมขอรับ”
“ อือม...พี่เฉียงจะเล่นอะไรก็เล่นมาเถอะ...ข้าพอใจมองสวนด้านหน้าไปเรื่อยๆ...”
“ เสียดายจริง...คุณชายมาไม่ทันการเข้าร่วมงานฉลองพิธีประสูติและพิธีสวมกวานของฝ่าบาท
ตอนนี้พระชันษาสิบหกปีแล้ว กำลังเติบโตขึ้น แถมทรงสิริโฉมงามน่ารักทีเดียว”
ชายหนุ่มในชุดเกราะยังคงส่ายหน้าไปมา “ พวกคนชั้นสูงในวังแสนสุขสบาย แถมเป็นเด็ก ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะปกครองอะไรเป็น พระมาตุลาคนนั้นต่างหากคือ ฮ่องเต้ที่แท้จริง!”
“อ่า...คุณชายมู่หรง อย่าประมาทไป ขนาดข้าได้ร้องเพลงถวาย...ข้าก็ยังชื่นชมฮ่องเต้องค์น้อย...และข้าก็คิดว่า ท่านพ่อของท่าน จะต้องนำท่านไปรับราชการในเร็ววันนี้ด้วย...”
“ แต่ข้าอยากไปช่วยพวกทหารตรงชายแดนมากกว่า” มู่หรงยงหลางตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ ฟังข้าชื่นชมฮ่องเต้องค์น้อยก่อนดีกว่า...คุณชายมู่หรง...ฟังเสียๆ”
ขณะที่เฉียงลีฉินแอบยิ้มแพรวพราวแล้วบรรเลงเพลงดังนี้
แคว้นต้าเหวิ่นแห่งนี้มีบุญแน่แท้
โดยไร้ข้อแม้กังขาใดใดหมดสิ้น
เพียงได้ยลองค์จักรพรรดิภูมินทร์
ก็แล้วสิ้นความโศกาหมดสิ้นไป
พระพักตร์งามดังดวงแขไขจรัสฟ้า
พระเนตรนาเปล่งประกายแสนสุกใส
พระโอษฐ์อิ่มหวานปรางนั้นหวานละไม
พระหทัยทรงงดงามดังเทพยดาจุติแดน
ชายหนุ่มกระพริบตาเล็กน้อยต่อบทกวีของนักดีดพิณรูปสวยที่ยอยศองค์จักรพรรดิน้อย เขาก็ไม่ได้เห็นฮ่องเต้องค์น้อยมาก่อน เพราะเขามาจากชนบทแสนไกล แล้วพ่อแม่ของเขาก็ได้ขายลูกน้อยให้เป็นเด็กรับใช้ภายในค่ายทหาร แต่โชคดีที่มู่หรงซู่เอ็นดูเขาจึงรับมาเป็นบุตรบุญธรรมนั่นเอง แล้วเขาก็เป็นนายกองในค่ายทหารประจำมากกว่า จึงไม่เคยเข้าไปในวังหลวงแห่งนครฉางหลิง
...หน้าตาของเขาจะเป็นอย่างไร...หน้าตาขององค์จักรพรรดิ...
“ รับรอง คุณชายมู่หรง ท่านได้เห็นเขาอีกครั้ง ท่านต้องยินดีมากเช่นเดียวกับที่ข้าเจอ”
“ พระนามของฮ่องเต้นั้นชื่ออะไร...เสวียนหวังตี้หรือ...”
เฉียงลีฉินส่ายศีรษะ “ พระนามจริงคือ จ้าวเทียนอี้ แต่ข้าได้ยินมาว่า
พระนามเล่นที่เรียกขานในราชวงศ์คือ เทียนเอ๋อร์...”
...เทียนเอ๋อร์...ท้องฟ้าน้อยนะเหรอ...ฟังดูน่ารักดีเหมือนกัน...
มู่หรงยงหลางรู้สึกสบายใจอย่างประหลาดได้ยินชื่อนี้...เทียนเอ๋อร์...
~*~*~*~*~*~
อัพยาวเลยค่ะแฮะๆ ขอเปิดตัวพ่อดีดพิณที่อยู่ในงานสวมกวานของเทียนเอ๋อร์
แถมลูกบุญธรรมของมู่หรงซู่แสนหื่น...แต่ลูกชายท่าทางน่าสนใจ...
เขาจะได้เข้าวังแน่นอนแล้วพบหนูเทียนแน่ๆค่ะ >///<
ความคิดเห็น