คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : การลงทัณฑ์ครั้งแรก
บทที่ 8 : การลงทัณฑ์ครั้งแรก
ร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเร่งฝีเท้าของตนมาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิผู้ทรงงามสง่า แม้จะมีพระชนมายุในวัยกลางคนแล้ว พระองค์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงไพเราะสดใสกับพระโอรสซึ่งเป็นทารกซึ่งกำลังอยู่ในวัยหัดคลาน ดวงตากลมโตสดใสมองไปยังเด็กหนุ่มผู้ที่มาพบเขาอย่างสงสัย
“ หยางจื้อ เข้ามาสิ มาเล่นกับหลานของเจ้า” องค์ฮ่องเต้รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน
เด็กหนุ่มร่างโปร่งจึงถวายบังคม แล้วมองทารกน้อยในอ้อมกอดหนาขององค์จักรพรรดิ
“ ขอถวายบังคมฝ่าบาทและองค์รัชทายาท”
“ เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ หยางจื้อ เด็กคนนี้เป็นหลานของเจ้านะ คำนับหลานตัวเองพาอายุสั้นเสียเปล่า”
องค์จักรพรรดิเฉวียนเหวินตี้นั้น แม้จะทรงวัยเครายาวตามประเพณีนิยมของบุรุษวัยกลางคน แต่รอยยิ้มของพระองค์นั้นสดใส นุ่มนวลดุจแสงจันทรา ทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงยิ่งเกรงอกเกรงใจมากขึ้น
“ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นรัชทายาทในอนาคต และเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ไฉน กระหม่อมจะไม่ถวายบังคมเสียเล่าพระเจ้าค่า”
“ เด็กเอ๋ย เด็ก...หลี่หยางจื้อ ข้าไม่คิดว่าฐานันดรศักดิ์จะมีค่ามากไปกว่าสายเลือดเดียวกัน เด็กคนนี้เป็นลูกชายคนแรกของข้า แต่เขาก็เป็นสายเลือดของเจ้าด้วย เอาเถอะ...เทียนเอ๋อร์ ไปหาน้าของเจ้า”
องค์จักรพรรดิทรงวางทารกน้อยซึ่งมีดวงตากลมใสแจ๋วคลานไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังจะเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่ปี หลี่หยางจื้อยังรู้สึกเขินเล็กน้อยที่เขามาใกล้ชิดกับหลานชาย ซึ่งเป็นสายพระโลหิตแห่งองค์จักรพรรดิ ทว่ามือเล็กของรัชทายาทองค์น้อยจับหัวเข่าของเขา หลี่หยางจื้อจึงไม่มีทางเลือก จำต้องยกร่างป้อมของทารกในชุดเอี๊ยมแดงลายมังกรมานั่งบนตัก
“ องค์รัชทายาทจ้าวเทียนอี้...”
“ เรียกเขาว่า เทียนเอ๋อร์ จำไว้นะ หยางจื้อ ข้าตั้งใจเลี้ยงลูกคนแรกโดยไม่ให้เขาต้องผยองในจิตใจว่า เขาเป็นรัชทายาทหรือเป็นจักรพรรดิ จะเป็นผู้ปกครองสูงส่งเพียงไหน ต้องคืนสู่สามัญ”
“ กระหม่อมน้อมรับพะย่ะค่ะ”
“ จำไว้ว่า เขาคือ หลานน้าของเจ้า สายเลือดของเจ้า ไม่ใช่คนอื่น”
“ เทียนเอ๋อร์” เด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็ดกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มือใหญ่เล่นกับนิ้วเรียวเล็กของทารก
“ เจ้าเป็นหลานชายคนแรกของข้า ข้าจะดูแลเจ้าเอง เพื่อสนองคุณฝ่าบาทและพี่สาวที่ข้ารัก”
องค์รัชทายาทสบดวงตาเรียวสวยของน้าชายในวัยหนุ่มน้อย แล้วหลับตาลงอีกครั้ง...
แล้วนอนซบแผ่นอกบางราวกับฝากชีวิตไว้แล้ว
~*~*~*~*~*~
จักรพรรดิหนุ่มน้อยค่อยๆเปิดเปลือกเนตรกลมใหญ่ของตนเอง เมื่อรู้สึกถึงความนุ่มของขนสัตว์ที่มาประข้างเรียวแก้มของเขา...หางม้วนของกระรอกน้อย...แถมมือเล็กที่วางบนหน้าอกของเขา
“อาเปาเองเหรอ” ร่างบอบบางทักทายสัตว์เลี้ยงของตนเอง เจ้ากระรอกน้อยแสนรู้ตัวนี้...
แล้วเจ้าของมือเล็ก เป็นเด็กชายที่ยังเกล้าผมเป็นมวยเล็กกลางกระหม่อม
ร่างน้อนในชุดองค์ชายสีเขียวอ่อนกำลังนอนบนหน้าอกของพระเชษฐาผู้เป็นที่รักของเขา
“ ฟงเอ๋อร์” เทียนอี้กล่าวขึ้น ทำให้พระอนุชาองค์เดียวของเขายอมลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตา
“ พี่เทียนเอ๋อร์ ท่านตื่นแล้วเหรอ ค่อยยังชั่ว!”
เด็กชายในชุดสีเขียวอ่อนอุทานอย่างดีใจ ขณะที่ฮ่องเต้หนุ่มส่ายหน้าไปมาแล้วพบว่า ตนเองอยู่ในชุดขาวสำหรับนอนแล้ว “ ข้าจำได้ว่า ข้ากระโดดลงจากต้นพลับ แล้ว...น้าจื้อก็รับไว้...น้าจื้อ!อยู่ไหน!”
“ พี่เทียนเอ๋อร์...พี่...จากการที่พี่ตกจากต้นไม้ ถึงพี่ไม่เป็นอะไร แต่ว่า...เสด็จน้า...ต้องได้รับการลงทัณฑ์ในฐานะที่ให้ท่านอยู่ในอันตราย...”
มือเรียวบางของเทียนอี้เขย่าไหล่เล็กกว่า พร้อมสีหน้าที่หวาดผวายิ่งนัก
“ ไม่ๆ ข้าจะรีบไปหาเขา ข้าไม่ยอมให้เสด็จน้าจะได้รับการลงทัณฑ์เด็ดขาด มาเร็วเข้า เร็วสิ!
อาเปา! และเจ้าด้วยน้องฟงเอ๋อร์!”
พระมาตุลาหนุ่มยอมคุกเข่าหน้าบัลลังก์ทอง ซึ่งมีฉลองพระองค์ลายมังกรทองเป็นสัญลักษณ์แทน
องค์จักรพรรดิ เขาอยู่ในชุดสีขาวตัวบาง และปลดกวานประจำตำแหน่งของเขา รวมถึงชุดฟ้าครามเข้มของเขาออกเสียด้วย
แม้ว่าพระปิตุลาอ๋องเคอโจวจะห้ามปรามอย่างไร เขาก็ยินดีรับให้ตนเองได้รับลงทัณฑ์ต่อหน้าขุนนางผู้คนซึ่งต่างตกตะลึงมาก ที่เขายอมรับโทษทัณฑ์ตามกฎระเบียบโดยไม่คำนึงถึงตนเองเลย
“ ข้าทำให้องค์จักรพรรดิอยู่ในสถานการณ์อันตรายต่อพระชนม์ชีพ บทลงทัณฑ์คือ โบยด้วยไม้หนักห้าสิบครั้ง พวกเจ้า! ลงมือเถิด!”
เหล่ามหาดเล็กต่างอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก เพราะองค์พระมาตุลาสูงศักดิ์รองจากองค์จักรพรรดิเท่านั้น
อีกทั้งเป็นเจ้านายสูงส่งที่พวกเขานับถือเป็นอย่างยิ่ง...พวกเขารักและเคารพท่านอ๋องมาตุลาผู้นี้ยิ่งนัก...จะให้มาลงทัณฑ์คนดีมีคุณธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร...
“ หลี่หยางจื้อ! ได้โปรดอย่าทรมานตัวเองแบบนี้เลย!” แม้อ๋องห้าจะทรงปราม แต่ว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับส่งสายตาประกายคมกริบไปยังพระปิตุลาหนุ่มผู้เป็นสหาย
“ ข้าต้องปฏิบัติตามกฎมณเทียรบาล เรื่องการรักษาความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิ”
ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าพยายามยับยั้ง “ ถ้าเจ้าได้รับการโบย โดยที่ฝ่าบาทไม่รับทราบ คิดว่าดีแล้วเหรอไง! หลี่หยางจื้อ!”
...ดีแล้ว...เพราะว่า เทียนเอ๋อร์ไม่มีทางยอมให้ข้าถูกโบยต่อหน้าเขา...แต่ข้าเป็นถึงซื่อต้ากงอ๋อง...
...ผู้สำเร็จราชการแห่งต้าเหวิ่น...ผู้ปกครองแผ่นดินในนามขององค์จักรพรรดิ...
...ข้าดูแลเทียนเอ๋อร์ไม่ดีเอง...ในฐานะผู้ปกครองที่ปล่อยให้บุตรหลานอยู่ในอันตราย...
จะเป็นเจ้าหรือไพร่ต้องได้รับโทษเสมอกัน!
หลี่หยางจื้อก็หันไปสั่งเหล่ามหาดเล็กรอบกายของเขา “ พวกเจ้าลงมือเข้าสิ!”
“ แต่...พระมาตุลา...ได้โปรด...”
“ พวกขี้ขลาด สอนอะไรไม่จำ! ถ้าไม่ทำ ข้าขอสาปแช่ง! ให้พวกเจ้าหัวหลุดจากบ่าทั้งหมด!”
“ ...พะ...พะ...ย่ะค่ะ...”
แล้วร่างสูงโปร่งงามสง่านอนคว่ำหน้าลงกับพื้น โดยไม้หนักก็ฟาดกลางหลังของเขา
“ ครั้งที่หนึ่ง!”
“ครั้งที่สอง!”
หลี่หยางจื้อพยายามผ่อนลมหายใจเพื่อให้ร่างกายของตนเจ็บปวดน้อยลง
“ ครั้งที่สาม!”
ทันใดนั้น ขันทีหนุ่มผู้หนึ่งก็ประกาศว่า “ ฝ่าบาทเสด็จ!”
“ น้าจื้อ! น้าจื้อ!” เด็กหนุ่มซึ่งห่มเสื้อคลุมสีเหลืองผุดผ่องของเขามาพร้อมกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อย และเด็กชายที่แสดงความตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“ พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี่นะ! หยุดโบยเสด็จน้าของข้า หยุดนะ! หยุด!”
เหล่ามหาดเล็กจึงลดไม้หนักลงแล้ว คุกเข่าถวายบังคมทันที
“ พวกเจ้า ข้าสั่งให้โบยต่อไป เดี๋ยวนี้!”
“ เสด็จน้าจื้อ ลุกขึ้น! จะไม่มีการลงทัณฑ์อะไรทั้งนั้น ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าสั่ง! ข้าสั่ง! ห้ามโบยเสด็จน้าของข้า คนที่โบยพระมาตุลาของข้า จะเอาไปประหารเดี๋ยวนี้เลย!”
“ ข้าบอกให้เจ้าโบยข้า! โบยต่อไปเซ่!”
“ น้าจื้อ!” ร่างเพรียวบางรีบวางเปาชิงเทียนในมือน้อยของพระอนุชา แล้วทรงไปคุกเข่าลงเบื้องหน้าของพระมาตุลาหนุ่ม แล้วหมอบลงด้วยความรู้สึกสำนึกผิด ใบหน้านวลผ่องเริ่มมีน้ำตาอาบแก้ม
ทว่าหลี่หยางจื้อจะให้คนอื่นในท้องพระโรงเห็นว่า องค์จักรพรรดิทรงอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้
เขาไม่ยอมให้ใครมาหยามเกียรติของจ้าวเทียนอี้!
“ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ฝ่าบาท!” หลี่หยางจื้อกำชับเสียงแผ่วเบา หากว่าหนักแน่นดังภูผา
“ ไม่...ข้าไม่ลุกขึ้น...จนกว่าน้าจื้อจะลุกขึ้น...ฮือ...ฮือ...”
“ อย่าร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นได้ไหม เทียนเอ๋อร์...เด็กคนนี้นิ...” น้ำเสียงเข้มทุ้มหนัก
เหมือนพร้อมจะดุหลานชายอีกครั้ง อย่างที่ทำมาเสมอ...
“ ไม่...ไม่...” ฮ่องเต้องค์น้อยเริ่มสะอื้น “ ข้าผิดเองที่ไม่สามารถเอาชนะความกลัวของข้าได้ และทำให้ท่านได้รับการลงทัณฑ์จากกฎบ้าๆพวกนั้น ข้าขอสั่งท่าน เสด็จน้า ลุกขึ้นเถอะ ลุกสิ...”
“ ฝ่าบาท...ทรงอยู่ต่อหน้าใครรู้ไหม ต่อหน้าขุนนาง ข้ารับใช้ของพระองค์ ข้าไม่สามารถปกป้องท่านจากอุบัติเหตุครั้งนี้ กฎย่อมเป็นกฎ ผู้พิทักษ์แห่งองค์จักรพรรดิ ถ้าทำผิดแล้วต้องได้รับโทษเช่นนี้!”
“ ไม่...ไม่...ข้าอยู่ต่อหน้าเสด็จน้าคนเดียว...ลุกขึ้นๆ หลานคนนี้ขอร้องล่ะ! น้าจื้อ! น้าจื้อ!”
แต่ว่าพระมาตุลาหนุ่มไม่สามารถตอบสนองคำวิงวอนของจักรพรรดิน้อยซึ่งหมอบและผงกศีรษะของเขาไปมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มซีดทั้งสองข้าง
...นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการแสดงให้เห็นว่า ต่อให้เขาเป็นถึงผู้ปกครองสูงส่งของฮ่องเต้แห่งต้าเหวิ่น...
...เขาก็ย่อมอยู่ใต้กฎมณเทียรบาลเพื่อรักษาเสถียรภาพของราชวงศ์จ้าวไว้...
...เขาต้องปฏิบัติเพื่อรักษาเกียรติยศของเทียนเอ๋อร์...ให้เห็นว่า เขาไม่ได้เหนือกว่าหรือดีกว่า
พระภาคิไนย ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของเขา...นี่คือ ความจงรักภักดีที่เขายึดถือมาเป็นเวลาสิบปี!
“ พระปิตุลาอ๋องเคอโจว...ได้โปรด...นำฝ่าบาทเชิญเสด็จนอก...พวกเจ้าจงโบยข้าเดี๋ยวนี้...”
“ แต่...หลี่หยางจื้อ...”
พระมาตุลาหนุ่มประกาศก้องดังราวกับสีหนาทแห่งพนาไพร
“ เชิญเสด็จฝ่าบาทประทับนอก! จงโบยข้าต่อไป!”
“ ไม่เอานะ! น้าจื้อไม่ฟังข้าเลย! อาหลิวปล่อยข้า! น้าจื้อ! น้าจื้ออออออ!!!”
ฝ่ายท่านอ๋องเคอโจวจำพระทัยแสนขมขื่น ยามต้องอุ้มฮ่องเต้องค์น้อยที่ดิ้นรนพร้อมเสียงร้องไห้ออกไปจากท้องพระโรง ซึ่งพวกมหาดเล็กต้องยอมปฏิบัติตามคำสั่งของพระมาตุลาเอกองค์น้อมรับบทลงโทษด้วยพระองค์เอง!เสียงไม้หนักกระทบนั้น...ดังขึ้นอีกครั้งและอีกหลายครั้ง!
~*~*~*~*~*~
“ เทียนเอ๋อร์...ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรแล้ว...”
จ้าวอิงหลิวทรงลูบแผ่นหลังบางของหลานชาย ซึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนทรวงอกของเขา จนน้ำตาขององค์จักรพรรดิน้อยเปื้อนเสื้อผ้าสีครามแถมองค์ชายจ้าวเจิ่งฟงเองก็ร้องไห้ตามด้วยอีกพระองค์หนึ่งด้วยความตกใจและสงสารพระเชษฐา
“ เสด็จอาหลิว...ข้าผิดเอง ข้าผิด ทำให้เขาต้องได้รับโทษแบบนี้...ข้าผิดเอง...ฮือๆ”
“ เสด็จน้าเพียงได้รับการโบยเท่านั้น ไมไ่ด้รับโทษต้องประหาร เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว
ฝ่าบาทต้องทรงเข้มแข็ง...เข้าไว้ แล้วอย่ากันแสงนะ เข้าใจไหม...”
“ น้าจื้อไม่ฟังข้าเลย...” ฮ่องเต้องค์น้อยยังร้องไห้ต่อไป ฝ่ายเปาชิงเทียนก็คลานมานั่งบนตักของเขา
เทียนอี้ลูบหลังของมัน แล้วยังไม่อาจทำให้น้ำตาหยุดไหลได้...
“ เขาไม่เป็นไรอยู่แล้ว...เทียนเอ๋อร์ หลี่หยางจื้อ พระมาตุลาของเจ้า ไม่ธรรมดา อย่าได้กังวล
ฝ่าบาทต้องเข้าพระทัย เขาต้องดำรงหน้าที่ของตนเอง ถ้าเขาทำผิด เขาต้องรับโทษตามกฎมณเทียรบาล แม้แต่พระองค์เองก็เช่นกัน”
จ้าวเทียนอี้ยังปล่อยน้ำตายังไหลจนถึงริมฝีปาก “ เสด็จอาหลิว...ข้า...จะเลิกไอ้กฎบ้าๆนั้น ในวันพรุ่งนี้ มันทำให้เสด็จน้าจื้อต้องเจ็บ...ข้าจะเลิกมัน !”
“ อย่าเอาแต่พระทัยตนเองเป็นที่ตั้งเชียวนะ! ฝ่าบาท!”
พระปิตุลาอ๋องห้า ผู้ซึ่งนานๆครั้งจะตำหนิหลานชาย ทำให้เด็กหนุ่มตะลึงงัน
องค์ชายน้อยเจิ่งฟงผู้เป็นพระอนุชาจึงดำเนินมากอดองค์ฮ่องเต้
“ พี่เทียนเอ๋อร์ พี่ต้องไม่เป็นไรเหมือนกันนะ พี่เทียน...”
จ้าวเทียนอี้โอบกอดร่างป้อมแสดงความขอบคุณในน้ำใจของน้องชายอย่างแนบแน่น
แววตาของเจ้ากระรอกน้อยยังคงโศกเศร้าตามไปด้วย...
ท่านอ๋องห้าจึงต้องโอบกอดฮ่องเต้และองค์ชายน้อยไว้ด้วยความรักดุจดังบิดาบังเกิดเกล้า
~*~*~*~*~*~
ร่างสูงโปร่งของพระมาตุลาหนุ่ม ซึ่งหมดสติของตนไปจากการโบยด้วยไม้หนักห้าสิบครั้ง
ได้รับการอัญเชิญกลับสู่ห้องบรรทมของพระองค์เอง โดยมีหมอหลวงผู้เฒ่าเหลียงหวัน
ซึ่งเป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบิดาเสวียนหวังตี้
เขาต้องรักษาด้วยยาสมุนไพรชั้นเลิศเพื่อรักษาและฟื้นฟูพระวรกายของผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นเหวิ่นด้วยความสามารถของเขาทั้งหมด จนกระทั่งเขาได้ถวายบังคมต่อจักรพรรดิองค์น้อย
“ หมอหวัน เป็นอย่างไรบ้าง น้าจื้อของข้าล่ะ น้าข้าเป็นอย่างไร”
“ พระทัยเย็นลงก่อนพะย่ะค่ะ พระมาตุลาทรงต้องพักอิริยาบถเป็นเวลาสามวันสามคืน เพื่อให้ลมปราณภายในกลับสู่ปกติ โชคดีว่าพระองค์ทรงมีสติสมบูรณ์จนถึงการโบยครั้งสุดท้าย ทำให้พลังในจิตของพระองค์มั่นคง อวัยวะภายในไม่กระทบกระเทือนมาก นับว่าพ้นขีดอันตราย”
“พระมาตุลาจะตื่นบรรทมยามใด” ท่านอ๋องห้าอิงหลิวถามเสียงขรึม
“ ประมาณรุ่งสางของวันพรุ่งนี้พระเจ้าค่ะ” หมอหลวงกราบทูล
ฮ่องเต้องค์น้อยจึงดำเนินเข้าไปในห้องบรรทมของพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ มือเรียวบางแตะหัตถ์ใหญ่ พร้อมกับกันแสงอีกครั้ง โดยที่น้ำตาหยดน้อยนั้นหยดลงบนเรียวมือแข็งแรง
“ พวกท่านออกไปเถอะ ข้าจะเฝ้าเสด็จน้าเอง จนกว่าจะทรงตื่น”
นางกำนัลและขันทีพากันอำ้อึ้ง แต่ว่าเทียนอี้ยังตอกย้ำดังลั่น
“ บอกให้ไปไงเล่า ไปเถอะ ไป๊!”
เมื่อพวกเขาทยอยกลับออกไป พระปิตุลาอ๋องอิงหลิวยังมองใบหน้างามคมคายของชายหนุ่มที่กำลังหลับสนิท เขาเองก็อยากอยู่เฝ้าด้วยความรัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจหลานชาย
“ อากลับก่อนนะ เทียนเอ๋อร์ พรุ่งนี้พบกัน”
ฮ่องเต้องค์น้อยจึงตรงเข้าโอบกอดชายหนุ่มผู้เป็นอา ผู้ใกล้ชิดที่รักอีกคนหนึ่งด้วยความขอบคุณ
“ ขอบพระทัย เสด็จอาหลิว...ขอบพระทัยจริงๆ”
“ แล้วพบกัน ฝ่าบาท” อ๋องอิงหลิวทรงโอบตอบแน่น แล้วลาจากไป
ฝ่ายฮ่องเต้องค์น้อยก็ทรงกลับมานั่งบนเก้าอี้ข้างพระแท่น พร้อมกับนอนซบมือแกร่งของหลี่หยางจื้อ ด้วยความรักของผู้เป็นหลานชาย...ทำไมเสด็จน้าจื้อต้องมาเจ็บตัวเพราะข้าด้วย...
จ้าวเทียนอี้สางเกศาดำขลับยาวสยายของร่างสูงสง่าซึ่งนอนหลับไร้สติสมประดี แถมน้ำตาก็ยังไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้าง...
...ข้าผิดเอง ถ้าข้าไม่กลัวความสูง...น้าจื้อ...ก็ไม่ต้องยอมให้ตนเองได้รับโทษ...
...ข้าผิดเอง...ที่ทำให้เสด็จน้าต่้องเป็นแบบนี้....ข้าผิดเอง...ข้าผิดเอง...
แล้วร่างบอบบางก็ลุกจากเก้าอี้แล้วแสดงความเคารพต่อพระมาตุลาที่ยังหลับใหล
“ ข้าขอคารวะท่าน...เสด็จน้าจื้อ...ห้าสิบครั้ง ให้ครบจำนวนเท่ากับท่านได้รับการโบยในวันนี้!”
องค์จักรพรรดิผู้ยังเยาว์วัยจึงคารวะต่อพระมาตุลาผู้นิทราพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินไปดังสายลำธารที่ไม่อาจหยุดไหลได้เลย...ราวกับฝันร้ายที่ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น...
~*~*~*~*~*~
เสียงสกุณาน้อยร้องออกหากินรวมถึงแสงตะวันสาดส่องผ่านในยามรุ่งอรุณ ชายหนุ่มผู้ได้รับการลงทัณฑ์เริ่มรู้สึกขยับกายของตนได้ ดวงตาเรียวงามของเขากระพริบไปมา พร้อมทั้งรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแผ่นหลังกว้างของเขา แล้วน้ำหนักของศีรษะที่วางบนเรียวหัตถ์ซ้าย เรือนผมสีดำนุ่มยุ่งเหยิง กับใบหน้านวลกระจ่าง อ่อนเยาว์แสนเอ็นดู หากว่ามีคราบน้ำตาอาบแก้มนิ่มทั้งสองข้าง...เทียนเอ๋อร์...เทียนเอ๋อร์...ฮ่องเต้องค์น้อย...หลานชายของข้า...เขาปลอดภัยดีแล้ว...
หลี่หยางจื้อจึงอมยิ้มและอยากลูบศีรษะหลานรัก แต่อาการเจ็บที่เขาเลือกให้มันเกิดขึ้น
ทำให้เขาขยับกายไม่สะดวกนัก...เขาจึงต้องทำหน้าที่พระมาตุลาต่อไป...
“ เทียนเอ๋อร์...เทียนเอ๋อร์...ตื่นได้แล้ว”
ดวงตากลมโตของโอรสสวรรค์องค์น้อยกระพริบขึ้น แล้วรู้สึกตัวเช่นเดียวกัน ลืมตามาก็พบใบหน้างามคมคายที่คุ้นเคยมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่เขาจำความได้...ใบหน้าของพระมาตุลาแย้มยิ้มงดงาม...
“ น้าจื้อ...น้าจื้อ! ท่านตื่นแล้วๆ”
ด้วยความดีใจจนเกินขอบเขต ทำให้ฮ่องเต้องค์น้อยกระโดดกอดร่างสูงสง่าบนเตียงทันที
“ เทียนเอ๋อร์! โอ้ยๆ”
“ เสด็จน้าจื้อตื่นแล้ว ข้าดีใจจริงๆ ข้าคิดว่า ท่านจะเป็นอะไรไป...เสด็จน้า ฮือๆ”
ชายหนุ่มจึงต้องผละหลานชายออก พร้อมกับกระแอมว่า “ เจ็บแล้วๆ ฝ่าบาททรงลุกก่อน”
“ ข้าจะไปหาอาหารเช้าถวายท่าน และท่านต้องเสวยยา ใช่ๆ ต้องกินยา”
“ เฮ่อ...เฮ่อ...” พระมาตุลาหนุ่มถอนหายใจ “ เทียนเอ๋อร์นี่นะ ไปแต่งองค์ก่อนได้ไหม ไปทำองค์ให้เรียบร้อยก่อน...โอ้ย...” ชายหนุ่มเอื้อมไปกุมแผ่นหลังกว้างของตนเอง
“ เสด็จน้า...ท่านยังเจ็บมาก...งั้นนอนต่อเถอะนะ”
“ ทำตามที่ข้าทูลได้แล้ว ฝ่าบาทจ้าวเทียนอี้”
เวลาสำคัญจริงๆสินะ...ฮ่องเต้องค์น้อยพยักหน้ารับโดยดุษฎี
เสด็จน้าของข้า...ท่านจะเรียกชื่อจริงของข้าทุกครั้งในเวลาสำคัญ...
ร่างโปร่งบางของหนุ่มน้อยจึงยอมเดินออกจากห้องบรรทม โดยที่เหลียวกลับมองชายหนุ่ม
พร้อมกับหลั่งน้ำตาแล้วคลอเสียงสะอึกสะอื้นชวนสงสาร
“ เสด็จน้าจื้อ...ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นเพื่อข้าอีกได้ไหม...”
หากว่าน้าชายผู้นี้กลับส่ายพักตร์ “ ได้โปรดไปทำหน้าที่ของพระองค์เถิด ฝ่าบาท...”
เทียนอี้จึงต้องเช็ดน้ำตาเม็ดโตที่ยังไหลอยู่แล้ว เดินออกไปเพื่ออาบน้ำและแต่งองค์อีกครั้ง
…แม้ว่าออกมาจากนอกพระตำหนัก...มือเรียวเล็กเช็ดน้ำตาแล้วถอดเสียงสะอื้น
เมื่อพบกับร่างสูงโปร่งซึ่งคุกเข่ารอคำบัญชาจากเขา แถมกระรอกน้อยเปาชิงเทียนก็นั่งเล่น
อยู่บนไหล่ของชายหนุ่ม ฮ่องเต้หนุ่มน้อยวัยสิบหกปีรู้สึกยินดีนัก
“ พี่ฮุยกับอาเปา รอข้าอยู่เหรอ...”
~*~*~*~*~*~
โอ...ดราม่าไปนิดนะคะ...แต่ความรักของเสด็จน้าจื้อ สุดยอดมากกกก ~!!!
ความคิดเห็น