ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระมาตุลาคู่บัลลังก์:The Prince Uncle ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #7 : วรยุทธขั้นต้น

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 59


    ตอนที่ 7 : วรยุทธขั้นต้น


    พระมาตุลาหนุ่มแห่งนครฉางหลิงประทับนั่งตรวจเอกสารว่าราชการแผ่นดินตามปกติ ภายในห้องทรงงานของเขาด้วยสมาธิแสนสูงส่ง...แต่ว่าความไม่สบายใจยังคงทำให้เขากังขายิ่งนัก...เจ้ามู่หรงซู่...เจ้าคิดการอะไรของเจ้ากันแน่...


    อย่าได้คิดว่าอำนาจทางทหารจะทำให้เจ้านึกต้องการมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม!


    ...ข้าต้องหาวิธีปรามเจ้าแม่ทัพแสนร้ายนั่นไม่ให้เหิมเกริมมากกว่านี้...


    ...แถมนำบุรุษงามดังสตรีแสนแปลกตาผู้นั้นมาทำไม...ในวันเกิดที่ผ่านมาของเทียนเอ๋อร์...


    ...บางที ข้าควรใช้วรยุทธที่เรียนมาถ่ายทอดให้หลานชายคนนี้เพื่อป้องกันตัวได้แล้ว!


    หลี่หยางจื้อจึงบอกให้มหาดเล็กนำสมุหกลาโหมมาพบเขาอีกครั้งพร้อมกับเตรียมสิ่งบางอย่างป้องกันตัวไว้ให้พร้อมมากกว่าเดิม จะได้ไม่ต้องถูกเจ้าแม่ทัพหื่นกามผู้นั้นล่วงเกินได้อีกครั้ง...



    แม่ทัพหนุ่มใหญ่นึกกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยลรูปโฉมร่างสูงสง่า หากเพรียวบางของพระมาตุลาหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าเข้ม เรือนผมสีดำขลับเกล้าขึ้นเป็นมวย ประดับด้วยกวานทองคำ ดวงตาเรียวงามหันมองไปยังนอกพระบัญชรของห้องทรงงาน พร้อมกับใบหน้าเรียวมนงามพิสุทธิ์หยุดสายตาของเหล่าสตรีทั้งหลาย หลีหยางจื้อกำลังถือพัดใบใหญ่อย่างงามสง่าดังภาพเขียนเทวดาของจิตรกรเอก


    พระมาตุลาหลี่หยางจื้อ ไฉนจึงเรียกข้ามาพบเล่า”


    ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเยี่ยงนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน นำร่างสูงใหญ่ของตนเองมายืนพิงโต๊ะทรงงานอย่างสบายอารมณ์ ประหนึ่งว่าตนเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ไม่มีผิด


    มู่หรงซู่...เจ้ารับราชการได้ดีและเป็นแม่ทัพเอกแห่งนครฉางหลิงแห่งนี้ สิ่งนี้ข้าชื่นชมนักหนา

    ...แต่ข้ากลับกังขาในตัวเจ้านัก ข้าไม่ได้วางใจเจ้า คราวก่อน เจ้ากล้าพูดว่าต้องการแบ่งอำนาจกับข้าเช่นนั้นหรือ...”


    ดวงหน้างดงามเหลียวกลับมา พร้อมกับเม้มริมฝีปากอิ่มเรียวสวยแน่น


    เพราะอะไรเล่า เพราะข้าเป็นแม่ทัพสมุหกลาโหมหรือ...แล้วคนทั้งแคว้นต่างพากันนับถือข้ามากกว่าท่านสินะ พระมาตุลาแห่งฉางหลิง ท่านจะเข้าใจเรื่องสงครามและการขยายอาณาเขตไปมากกว่าข้าได้เช่นไร ท่านทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆในวังของหลานชายของท่านเท่านั้นเอง นั่นเป็นหน้าที่ของแม่บ้านมากกว่ามิใช่หรือไร หึๆ...”


    รอยยิ้มประดับหนวดเคราเข้มกว้างขึ้น มู่หรงซู่กอดหน้าอกกว้างแสนแกร่งของตนเองราวกับทำตนเองให้มีอำนาจเหนือผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นเหวิ่น...ยามได้มองใบหน้านวลผ่องกระจ่างของหลี่หยางจื้อ...ความกำหนัดในอารมณ์ก็ย่อมเกิดขึ้นเสมอ...รอให้ถึงเวลาสมควรก่อนแล้วกัน!...


    จะมองว่าข้าเป็นแม่ศรีเรือนสินะ มู่หรงซู่” ชายหนุ่มรูปงามกล่าว แล้วสะบัดพัดเล่มงามเหนือหน้าอกของตน “ ข้ายินดีโดนทั้งใต้หล้าว่าให้เป็นแม่บ้านที่มีความกรุณามากกว่าแม่ทัพผู้แสนร้ายกาจดังปีศาจจากขุมนรกอันสะพรึงกลัวเช่นเจ้า”


    ฮ่าๆ วาจาของท่านแหลมคม น้ำผึ้งอาบคมดาบโดยแท้ หลี่หยางจื้อคนงาม”


    ถึงเจ้าแม่ทัพมู่หรงซู่ยังเจ็บแผลบนเรียวเท้าไม่หายสนิท ทว่าความเจ็บปวดนั้น กลับทำให้เขาปรารถนาในเรือนร่างงดงามของหลี่หยางจื้อมากขึ้นไปอีก...รอแค่แผนการลุล่วง...


    ข้ามีคำถามสำคัญ...เจ้าต้องการอะไรกันแน่...” น้ำเสียงทุ้มไพเราะเข้มขึ้น


    คนฉลาดอย่างท่าน ย่อมทราบสิ พระมาตุลาคนดี” เสียงทุ้มหนักอย่างชังใจ


    ถ้าเพียงท่านจะยอมให้ข้าได้สนิทกับท่านมากขึ้น ข้าจะนำความมั่นคงแห่งแสนยานุภาพทางทหารมามอบแทบเท้าบอบบางของท่าน เพราะข้าหลงใหลในความงดงามดังเทพบุตรแดนสุขาวดีของท่านเหลือเกิน ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ทุกครั้งที่ได้พบท่าน พระมาตุลาหลี่หยางจื้อ”


    ความงามมีมา ไม่เคยเที่ยงแท้...สลายไปในยามแก่ชรา...ดังบุปผาแบ่งบาน ย่อมมีวันโรยรา สัจธรรมแห่งชีวิตแค่นี้ เจ้าไม่มีปัญญาจะเข้าใจหรือไรเล่า ท่านแม่ทัพเอก...ข้าย้ำว่า ข้าไม่มีทางร่วมทางเดียวกับเจ้า!”


    ยามริมฝีปากสวยเผยอขึ้นคล้ายกุหลาบงามแบ่งบานกลับทำให้มู่หรงซู่หมดความอดทน


    จึงตรงเข้าประชิดใกล้ร่างเพรียวบางอีกครั้ง แต่เขากลับโดนสิ่งที่คาดไม่ถึง


    ป้าบ! ป้าบ! ป้าบ!


    หลี่หยางจื้อได้คลี่พัดงามเล่มสวยสีขาวมาฟาดใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มผู้กระหายหื่นนั้นถึงสามครั้ง


    ด้วยพลังวรยุทธที่ซ่อนอยู่ภายในร่างของพระมาตุลาหนุ่ม ทำให้แม่ทัพร่างใหญ่ถึงกับล้มลงกับพื้น


    พร้อมใบหน้าคมสันที่กลายเป็นแผลแสบร้อนบนโหนกแก้มสูงทั้งสองข้าง


    อ๊าก...อ๊าก...” มู่หรงซู่รู้สึกว่าตนเองเห็นดวงดาวลอยเหนือศีรษะของตนจนมึนไปหมดแล้ว


    แถมพระมาตุลาหนุ่มยังพัดให้กับตนเองอย่างสบายอารมณ์


    เจ้ายังรู้จักข้าหน่อยไป มู่หรงซู่ ไม่ต้องห่วง พลังพัดนี้จะทำให้เจ้าลุกไม่ขึ้นเพียงครึ่งก้านธูปหมด


    เท่านั้น เจ้าก็ลุกขึ้นมาได้เช่นเดิม”


    ทันใดนั้นเอง ร่างเล็กบางแสนคุ้นตาก็เข้ามาพร้อมกับเจ้ากระรอกน้อยที่นั่งเล่นบนไหล่


    เสด็จน้าจื้อ! เกิดอะไรขึ้น!”


    ชายหนุ่มรูปงามหัวเราะเสียงขรึม แล้วโอบเรียวไหล่บางของฮ่องเต้น้อยแห่งแคว้นเหวิ่น


    ให้มู่หรงซู่คนดี พักผ่อนไปเถอะ เทียนเอ๋อร์ มากับน้าเถอะ”


    ดวงตาสดใสของเทียนอี้ยังแสดงความงุนงงเหลือเกิน...น้าจื้อของข้าแกล้งอะไรท่านมู่หรงหรือ?


    ~*~*~*~*~*~


    เมื่อจักรพรรดิน้อยดำเนินมาถึงสวนเล็กหน้าพระตำหนักฝ่ายหน้าด้วยความสงสัย ยามพระมาตุลาหนุ่มของตนสะบัดพัดแล้วหุบลงเสีย สองน้าหลาน แถมเจ้ากระรอกหนึ่งกำลังยืนใต้ต้นพลับ


    เสด็จน้า...ท่านจะสอนวิทยายุทธของท่านให้ข้าจริงๆหรือ”


    ริมฝีปากงามของหลี่หยางจื้อคลี่รอยยิ้มอีกครั้ง “ ในขั้นต้นเท่านั้น เหมาะสมกับร่างกายของเจ้า”


    ข้าอยากรู้ว่า ท่านไปฝึกที่ไหนมา ไกลมาไหม ข้าอยากไปนะ”


    เด็กน้อยของข้า...เทียนเอ๋อร์...เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นเหวิ่น...ถ้าฝึกหนักไป ร่างกายของเจ้าจะต้านพลังไม่ไหวเสีย...ให้อยู่ในระดับที่พอปกป้องอันตรายได้แล้วกัน...


    ความจริงที่เจ้าควรทราบอีกประการหนึ่ง หลี่หยางจื้อ พระมาตุลาของเจ้ามีวิชาวรยุทธพอติดกายอยู่บ้าง เพราะฝึกฝนมาตั้งแต่สิบขวบที่ผาหลันเซิงจนถึงอายุยี่สิบปี”


    จริงหรือ เสด็จน้า! ” ฮ่องเต้น้อยเทียนอี้อ้าปากค้าง


    น้าไปฝึกฝนวิชาวรยุทธมาตามพระบัญชาของพระบิดาเจ้า ถ้าวิชาใดพอเป็นประโยชน์ น้าคิดว่าเจ้าก็ควรเรียนรู้ไว้เพื่อดูแลตัวเจ้าเองได้...”


    ว่าแล้ว หลี่หยางจื้อก็โยนพัดสีขาวเล่มงามเหนือขึ้นศีรษะไปไกลแล้วมันก็หมุนในเรียวมือของเขา


    ทำให้จ้าวเทียนอี้ยิ่งอยากศึกษาวรยุทธแบบนี้...น่าสนใจกว่าหลักปรัชญาของท่านขงจื๊อด้วย...


    ข้าก็จะได้มีวิชาตัวเบา เหมือนกับน้าจื้อใช่หรือเปล่า”


    ดวงตาเรียวคมราวกับดวงตาของพญานกอินทรีของพระมาตุลาหนุ่มยังมองหลานชายคนเดียวของเขา ราวกับประเมินความคิดอ่านของจ้าวเทียนอี้


    เจ้ามีจุดอ่อนหลายอย่าง ถ้าเจ้าไม่สามารถ เอาชนะจุดอ่อนนั้นได้ วรยุทธจะไม่สามารถอยู่ในร่างกายของเจ้าได้เหมือนกัน”


    คือ...เสด็จน้าเลี้ยงเทียนเอ๋อร์คนนี้...ย่อมรู้ว่า ข้ากลัวความ...”


    เปาชิงเทียนกระโดดลงจากไหล่บางของจักรพรรดิวัยเยาว์แล้วนั่งบนฝ่ามือเรียวขาวของพระมาตุลาหนุ่มซึ่งคุกเข่ารอมันให้นั่งบนฝ่ามือ


    เปาชิงเทียน เจ้าต้องไปอยู่บนยอดไม้”


    ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าก็กระโดดขึ้นไปยังกิ่งไม้ใหญ่ที่สูงราวสามวา แล้ววางกระรอกน้อยให้อยู่บนนั้น ปล่อยให้หนุ่มน้อยไร้เดียงสาอย่างจ้าวเทียนอี้มองด้วยความสงสัยนัก


    เสด็จน้า ท่านให้ข้าทำอย่างไรล่ะ”


    เจ้าต้องขึ้นไปนำเจ้าเปาชิงเทียนลงมาเอง แล้วกระโดดลงมา”


    แต่ว่า...มันสูงเกินไป...” คราวนี้ จ้าวเทียนอี้รู้สึกว่าเหงื่อไหลจากหน้าผากของตน


    จุดอ่อนของฮ่องเต้องค์น้อยวัยสิบหกปีคือ กลัวความสูงเป็นที่สุด!


    เทียนเอ๋อร์ ถ้าเกิดอะไรขึ้น น้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้ไง”


    หากว่าสายตาแสนมั่นคงของพระมาตุลา ทำให้เขาก็ต้องปฏิบัติ...ตามนั้นก็ได้...


    ร่างเพรียวเล็กเก้งก้างตามวัยรุ่นของฮ่องเต้องค์น้อยจึงยอมไต่ขึ้นไปบนยังกิ่งไม้ใหญ่ ทว่าเปาชิงเทียนกลับเล่นสนุกด้วยสัญชาตญาณก็ไม่รู้ มันกลับปีนขึ้นไปยังยอดไม้ที่สูงกว่าเดิม


    เทียนอี้จึงต้องขยับตัวเองเพื่อปีนขึ้นไปหาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา


    อาเปา อย่าปีนขึ้นไปสูงนักสิ” เรียวเท้าของเทียนอี้ยังต้องระวังไม่ให้กิ่งไม้ที่เหยียบอยู่ไม่นำให้เขาร่วงไปเหมือนครั้งที่ได้เจอเปาชิงเทียนครั้งแรกให้ได้ แถมเด็กหนุ่มเองไม่อยากให้เสด็จน้าหลี่หยางจื้อต้องตำหนิเขาอีกครั้ง จึงต้องยอมปีนป่ายเพื่อไปคว้าเจ้ากระรอกน้อยนี้กลับลงมา...


    โดยที่เขารู้ไหมว่า น้าชายตัวดีของเขานั่นแหละ เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน


    เทียนเอ๋อร์ เจ้าต้องเอาชนะจุดอ่อนของเจ้าให้ได้นะ...”


    ฝ่ายนางกำนัลเสี่ยวเชียน กำลังถือตะกร้าเพื่อนำไปซักล้างซึ่งเป็นกิจวัตรของนาง


    นางก็ต้องตกตะลึง เมื่อฮ่องเต้เฉวียนหวังตี้ทรงปีนต้นพลับที่สูงที่สุดในบริเวณนั้น


    ตายแล้ว ฝ่าบาท!” นางรีบวิ่งไปหาบุรุษยอดดวงใจของนาง...พระมาตุลาหลี่หยางจื้อ...


    ท่านอ๋องมาตุลาเพคะ ทรงปล่อยพระภาคิไนยของพระองค์ให้ขึ้นไปได้อย่างไรเพคะ ฮ่องเต้น้อยของพวกเราทรงกลัวความสูงเป็นที่สุดนะเพคะ” นางกล่าวด้วยความตกใจอย่างยิ่ง


    ข้ากำลังให้เทียนเอ๋อร์ชนะจุดอ่อนตนเองให้ได้ เสี่ยวเชียน”


    ถ้าพวกขันทีเช่น ท่านเฉากงกงมาเห็นเข้า...”


    ช่วงเวลาประจวบเหมาะสมอะไรถึงเพียงนี้ เฉากงกงกับคณะขันทีบริวารต่างร้องขานฝ่าบาท


    แถมท่านอ๋องห้าอิงหลิว ซึ่งพาองค์ชายน้อยเจิ่งฟง พระอนุชาของเทียนอี้ตามเสด็จมา


    แสดงความตกใจพร้อมกันทั้งหมด องค์ชายน้อยชี้เรียวนิ้วอย่างตื่นเต้น


    เสด็จอาหลิว! ดูนั่น! พี่เทียนเอ๋อร์อยู่บนต้นไม้!”


    เทียนเอ๋อร์!” พระปิตุลาหนุ่มรีบก้าวฝีบาทไปยังจุดเกิดเหตุทันที


    หลี่หยางจื้อ! ทำไม ปล่อยให้ฝ่าบาทขึ้นไปบนต้นไม้” อิงหลิวทรงตวาดลั่น


    หากว่าพระมาตุลาหนุ่มกลับนิ่งเฉย “ ข้าสอนวิทยายุทธขั้นต้นให้เขาอยู่ ท่านพี่อิงหลิว”


    ข้าจะขึ้นไปพาเขาลงมา...” แต่มือเรียวของพระมาตุลาหนุ่มกลับห้าม


    ให้เขาลงมาเองเถอะ ฝ่าบาททรงปรีชาพอจะเสด็จลงมาเอง”


    ฝ่ายเฉากงกงซึ่งทำหน้าตกใจรีบกราบทูล “ พระมาตุลาทรงโปรดเถอะ พระองค์ก็ทรงทราบว่า ฝ่าบาททรงกลัวความสูงเพียงไหนพะย่ะค่ะ”


    ท่านเงียบไปดีกว่า เฉากงกง เทียนเอ๋อร์ เจ้าจับอาเปาของเจ้าได้หรือยัง!”


    เสียงดังทุ้มจากข้างล่าง ทำให้ฮ่องเต้องค์น้อยขานรับ “ ข้า...ข้าจะจับมันได้แล้ว...”


    ฝ่ายท่านอ๋องห้าก็เริ่มทนไม่ไหว “ ข้ากลัวว่า อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับฝ่าบาท”


    พี่เทียนเอ๋อร์ จะลงได้หรือเปล่านะ” เด็กชายร่างป้อมยังลุ้นตามด้วยอีกคน


    พวกท่านไม่ต้องกังวล เขาทำได้”


    ถ้าฝ่าบาททรงมีบาดแผลขึ้นมา ข้าโกรธเจ้าแน่! หยางจื้อ!”


    ท่านพี่อิงหลิว เขาเป็นหลานชายของข้า” ชายหนุ่มผู้มีอายุน้อยกว่าเน้นย้ำ


    เขาก็เป็นหลานชายคนโตของข้าเหมือนกันนะ! ถ้าเทียนเอ๋อร์เป็นอันตราย แล้วจะเป็นเช่นไร เจ้าจะโดนลงทัณฑ์หนัก แม้จะเป็นถึงพระมาตุลาก็ตามที หลี่หยางจื้อ!”


    ดวงตาเรียวคม พร้อมกับใบหน้างามคมคายแสดงถึงความเป็นพญามังกรหนุ่มอย่างชัดเจน


    สิ่งสำคัญที่สุดคือ องค์จักรพรรดิต้องมีความกล้าหาญ สง่างามและดูแลพระองค์เอง พ้นจากความกลัวทั้งปวงได้ สิ่งนี้ต่างหากคือคุณสมบัติของสายโลหิตอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพญามังกรต้าเหวิ่น!”


    หยางจื้อ...” คำพูดของพระปิตุลาจ้าวอิงหลิวเหมือนหลุดหาย


    สาวน้อยเสี่ยวเชียนก็อุทานว่า “ ดูนั่น! ฝ่าบาทจับอาเปาได้แล้วเพคะ!”


    ฮ่องเต้หนุ่มน้อยตะโกนลั่น “ อาเปาอยู่กับข้าแล้วล่ะ!”


    เทียนเอ๋อร์!” หลี่หยางจื้อเรียกขาน “ กระโดดลงมา!”


    ไม่นะ ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!”


    ดวงตากลมโตคู่งามของจ้าวเทียนอี้มองไปยังฝูงชนเบื้องล่าง ซึ่งมีเสด็จน้าของเขา เสด็จอาหลิว


    เสี่ยวเทียน น้องฟงเอ๋อร์ กับพวกขันที...พวกเขารอข้าให้ลงไป แต่ความสูงจากยอดไม้กับพื้นดินเบื้องล่างนี้สิ...


    ข้าจะไม่กลัว...” เด็กหนุ่มในอาภรณ์สีนวลกัดริมฝีปากตัวเอง แล้วสบตาเจ้ากระรอกน้อย


    อาเปา พร้อมลงไปกับข้าไหม”


    กระรอกน้อยกระพริบตาเหมือนพยายามเข้าใจเจ้านายของตน...ลงไปเถอะ...เทียนเอ๋อร์...


    แต่ว่า จักรพรรดิหนุ่มน้อยก็รู้สึกว่าตนเองหายใจติดขัด และเหงื่อไหลรินทั่วหน้า


    อาการแห่งความกลัวมากเพียงนี้...ต้องหลับตาแล้วกระโดดลงไปเท่านั้นเอง...


    หลับตาแล้ว...กระโดดลงไปให้เสด็จน้าเห็นว่า เขาหายกลัวจากอาการกลัวความสูง...


    ร่างบอบบางจึงตกลงจากยอดไม้ในวินาทีนั้น อ้อมแขนแข็งแรงที่รับน้ำหนักของเทียนอี้ไว้


    แล้วเสียงทุ้มนุ่มที่เขาได้ยินก่อนหมดสติกับกลิ่นหอมละมุนในยามนั้น คือ


    เทียนเอ๋อร์! เทียนเอ๋อร์!”


    หลี่หยางจื้อ...พระมาตุลาผู้แสนประหลาดของเขาคนเดียว...


    ~*~*~*~*~*~


    โถ่ๆ สงสารเทียนเอ๋อร์ชอบกล ฮ่องเต้น้อยกลัวความสูงนิคะ...


    มีรูปน่ารักของสองน้าหลานให้ชมด้วยนะคะ ฮี่ๆ // เซอร์วิสๆ ><


    https://www.facebook.com/narwainwen.fangirltolkien/posts/482840591910033




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×