คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : หลักปราชญ์การปกครอง
ตอนที่ 6 : หลักปราชญ์การปกครอง
ครั้นถึงยามราตรีซึ่งมีดวงจันทราในยามข้างขึ้นส่องสว่างมาถึงพระตำหนักของฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้
แม่สาวน้อยซึ่งเป็นนางกำนัลนามว่า “เสี่ยวเชียน” ได้จัดเตรียมน้ำอุ่นในอ่างหยกขนาดใหญ่
นางฮัมเพลงร้องเล่นอย่างสบายใจที่นางได้ทำหน้าที่รับใช้พระมาตุลาหลี่หยางจื้อมากที่สุด
...แม้จะเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มเพียงฝ่ายเดียว นางก็พอใจมาก...พอใจที่สุดในชีวิต...
แล้วเสียงประตูห้องสรงน้ำก็เปิดขึ้น พร้อมปรากฏร่างสูงสง่าผ่าเผยในชุดผ้าบางสำหรับสรงน้ำ
“ เจ้าจัดเตรียมน้ำเสร็จแล้วหรือยัง เสี่ยวเชี่ยน”
“ เพคะ พระมาตุลา เชิญเสด็จลงได้เลยเพคะ”
คราวนี้ ใบหน้ากลมป้อมของนางกำนัลน้อยก็ขึ้นเฉดสีแดงราวกับลูกทับทิม เมื่อชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่สุดรองจากตำแหน่งฮ่องเต้เท่านั้น...ทำไม พระองค์ถึงได้รูปร่างและหน้าตางดงามแสนดึงดูดใจเราถึงเพียงนี้...ผิวพรรณขาวผ่องสะท้อนแสงเทียนเปล่งประกายราวไข่มุก แถมเรือนเกศาสีดำดกหนาก็น่าสัมผัสอย่างยิ่ง...ถ้าได้โอบกอดซักครั้ง นางก็คงขึ้นสวรรค์เป็นแน่แท้!
“ ขอบใจมาก เอาล่ะ เจ้าไปตามองค์ฮ่องเต้มาสรงน้ำได้แล้ว”
“ เพคะ...ท่านอ๋องมาตุลา....เอ่อ...”
ร่างสูงเพรียวงดงามปลดเสื้อคลุมสีขาว และถอดปิ่นสีทองรัดเกล้าของตนเองออก
เรือนผมนั้นยาวสยายถึงช่วงเอวเพรียวบอบบาง ทว่าดูแข็งแกร่ง ทะมัดทะแมงสมชายชาตรี
ช่วงหลังกว้างด้วยกล้ามเนื้องามพอประมาณ แล้วสะโพกเรียวขาว แถมช่วงขานั้นอีก...
ดวงตาเรียวเล็กของเสี่ยวเชี่ยน เหมือนกับเห็นภาพวาดแสนงดงามในความฝัน...
นางต้องรีบออกไปก่อนที่เลือดกำเดาจะไหลออกจากจมูกจนหมดเนื้อหมดตัว...
ฝ่ายฮ่องเต้องค์น้อยนั้นยังสนใจที่จะอ่านหลักปราชญ์ของขงจื้อต่อไป เพื่อว่าเสด็จน้าที่รักของเขานั้น มักชอบตั้งคำถามให้เขาได้คิดเกือบทุกวัน...บางที เทียนอี้เองก็คิดว่า ต้องการให้เสด็จน้าจื้อเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นเหวิ่นมากกว่าตนเองเสียอีก
“ฝ่าบาทเพคะ เสด็จน้าทรงตามให้ไปสรงน้ำแล้ว!”
“อือมๆ ข้ารู้แล้วน่า!” แล้วร่างบอบบางของเทียนอี้ก็ลุกขึ้นจากพื้น
พร้อมกับเจ้าเปาชิงเทียนที่วิ่งนำหน้าเขาไปด้วยความสนใจใคร่รู้
“ อาเปา จะรีบไปหาเสด็จน้าของข้าหรือไงนะเนี่ย!”
จ้าวเทียนอี้เดินมาเข้าในห้องสรงน้ำ แล้วพบว่าร่างสูงโปร่งของพระมาตุลาหลี่หยางจื้อแช่อยู่ในน้ำอุ่นที่ยังมีควันขึ้นอยู่ ดวงตาของเขาหลับนิ่งเหมือนใช้ความคิดบางอย่าง แต่ว่าฮ่องเต้องค์น้อยนึกอยากแกล้งเสด็จน้าให้ประหลาดใจเล่นบ้าง จึงรีบถอดชุดขาวสำหรับสรงน้ำของตนออกบ้าง
แล้วร่างบอบบางเปลือยเปล่ากระโจนลงอ่างน้ำที่เต็มไปด้วยดอกไม้ลอยซะกระจาย
“ เทียนเอ๋อร์ !!!!” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งซึ่งแช่น้ำอยู่ก่อนแล้วตวาด
“ ฟุ้ย~” ฮ่องเต้องค์น้อยพ่นน้ำออกจากริมฝีปากอิ่ม “ น้ำอุ่นดีจังเลย”
“ เอาผ้าไปเช็ดหน้าสิ” หลี่หยางจื้อโยนผ้านุ่มสำหรับเช็ดหน้าและเรือนกาย
หนุ่มน้อยผู้เยาว์วัยจึงรับผ้านั้นมาเช็ดหน้าอย่างเพลิดเพลินใจ
ฝ่ายพระมาตุลาหนุ่มรูปงามกลับหันหลังไปชมดวงจันทร์นอกหน้าต่างกว้าง
จักรพรรดิหนุ่มน้อยจึงนึกแกล้งน้าชายของเขา...แบบว่า...
มือเล็กน่าเอ็นดูเข้าไปจักกะจี้เรียวเอวแกร่งนั้นซะเลย!!
“ ไม่เอาน่าาา เทียนเอ๋อร์ !!!”
“ ฮ่าๆ” เทียนอี้หัวเราะเสียงใส “ ข้ารู้ว่าเสด็จน้าทรงกลัวการถูกจักกะจี้มากที่สุด”
“ รู้แล้ว ทำไมถึงแกล้งน้าได้ แล้วเจ้ายังไม่ถอดกวานอีกนะ!”
“ เออ...” ดวงตากลมโตแสดงความตกใจเล็กน้อย “ ก็ได้ใส่ทั้งที่แล้ว อยากใส่นานๆนี่นา”
ไม่พูดให้มากความอะไร หลี่หยางจื้อก็ขยับกายไปถอดเครื่องประดับศีรษะของหลานชายออกแล้ว วางมันบนโต๊ะเคียงอ่างน้ำหยก พร้อมกับถอนหายใจเมื่อเส้นผมยาวของหลานชายได้สัมผัสน้ำซะที!
“ อายุสิบหกแล้วนะ เทียนเอ๋อร์ เลิกทำตัวเป็นเด็กห้าหกขวบเสียทีได้ไหม”
“ แหม เสด็จน้าเองก็พูดจาอะไร ไม่เห็นว่าเทียนเอ๋อร์คนนี้จะโต ต่อให้ข้าเป็นฮ่องเต้หรือไม่ได้เป็น ข้าว่าท่านก็เห็นข้าเป็นเด็กไม่เลิกอยู่ดีนั่นแหละ”
ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าจึงรั้งเรียวไหล่บางของหลานชายให้หันหน้ากลับมา
“ งั้นเรามาคุยกันแบบคนโตๆกันสนทนาดีไหม”
“ คุยอะไร...เหรอ” ดวงตากลมโตกระพริบไปมา
ยามเทียนอี้ได้มองใบหน้าหมดจดสมเป็นบุรุษรูปงามที่สุดแห่งวังหลวงของพระมาตุลา แววตาคมคายแสนมุ่งมั่นของเขา ทำให้เทียนอี้ต้องยอมจำนนทุกครั้ง...เสด็จน้าจื้อหล่อเหลานัก...ถ้าข้าเป็นผู้หญิงก็คงหลงรักเขามากแน่ๆ...ความจริง...การอยู่กับเสด็จน้ามาตั้งแต่เด็ก...มันก็ไม่ใช่ความงามน่าหลงใหลที่ทำให้เขารักน้าจื้อ หากเป็นความอบอุ่นและความห่วงใยที่น้าชายมอบให้เขาต่างหาก...ทำให้เขารักเสด็จน้าจื้อเป็นที่สุด...
“น้าจื้อ...ท่านอยากคุยเรื่อง...”
“หลักคำสอนของท่านขงจื๊อที่เจ้าท่องมามีอะไรบ้าง”
“ เออ...” เทียนอี้ทำตาลอยไปมาเมื่อโดนตั้งคำถาม “ มี...มีอยู่ห้าประการ”
เจ้ากระรอกน้อยเปาชิงเทียนซึ่งวิ่งมานั่งบนโต๊ะข้างอ่างหยก แถมมันก็นึกสนุกที่ได้กัดกวานของเทียนอี้
“ เฮ้ย! อาเปา อย่ากัดกวานของข้านะ”
ร่างเล็กบางของฮ่องเต้องค์น้อยรีบลุกออกจากอ่างน้ำหยกไปคว้ากวานและกองผ้าที่เขาถอดแล้ววางบนที่สูง พร้อมกับส่งสายตาเคืองมาที่เจ้ากระรอกน้อย มันดูสับสนนักหนา
“ อาเปา อยู่กับข้าต้องมีระเบียบวินัยมากกว่านี้นะ”
“ ถูกต้องแล้ว วินัยสำคัญนัก” หลี่หยางจื้อกล่าว “ กลับมาอาบน้ำ แล้วตอบคำถามสิ เทียนเอ๋อร์”
กษัตริย์องค์น้อยจึงยอมมาแช่กายในอ่างน้ำ แล้ววางนิ้วชี้จิ้มบนฝ่ามือซ้ายราวกับคำนวณเลข
“คำสอนของท่านขงจื๊อมีหลักห้าประการคือ... ศรัทธา หมายถึง ศรัทธาในธรรมชาติของมนุษย์ ขงจื๊อคิดว่า คนเรามีธรรมชาติที่ดีมาแต่กำเนิด เราจึงควรศึกษาธรรมชาติของคน เพื่อจะได้เข้าใจความดีและความสมบูรณ์แบบของธรรมชาติ”
“
ข้อสองล่ะ”
“ ท่านดำริว่า การศึกษาจะช่วยให้คนเข้าใจกันดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้คนประพฤติตัวดีเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นได้ด้วย และข้อสามคือการบำเพ็ญประโยชน์ ขงจื๊อคิดว่า การมีเมตตาจิตต่อกันจะทำให้สังคมเป็นสุข”
มือเรียวบางเล่นกลีบดอกไม้เล็กๆที่ลอยน้ำ หากว่าอีกสองข้อ...เทียนอี้ดันลืมเสีย...
“ ทำไมหยุดเล่า เทียนเอ๋อร์” น้ำเสียงทุ้มละมุนของพระมาตุลาถาม
“ น้าจื้อ ขอเวลาประเดี๋ยวน่า”...ขอเวลานึกหน่อยสิ...
“ เฮ่อ...” พระมาตุลาหนุ่มถอนใจ “ ถ้านึกไม่ได้ก็ไม่ต้องลุกขึ้นจากอ่างน้ำแล้วกระมัง”
“ ข้าก็ไม่อยากแช่น้ำทั้งคืนเหมือนกันแหละ”
“ อีกสองข้อ เทียนเอ๋อร์ น้ารู้ว่าเจ้าจำได้ เพราะเจ้าท่องมาแล้วนะ”
เอาล่ะ! อีกแค่สองข้อ! เทียนอี้ เจ้าจำได้อยู่แล้ว!
ริมฝีปากน้อยจึงเม้มอีกครั้ง
แล้วตอบด้วยความมั่นใจ
“
การสร้างลักษณะนิสัยและทัศนคติที่ดี
คนเราต้องพัฒนาตนเองก่อนจะไปปฏิรูปสังคม
การติดต่อกับคนอื่นต้องอยู่บนรากฐานของความถูกต้องและมนุษยธรรม
หมายถึง “จงอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่น
ในสิ่งที่ท่านไม่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน”
ข้อสุดท้ายคือ
ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณี
สังคมจะพัฒนาได้ต้องมีระเบียบแบบแผน
การพัฒนาปัจเจกบุคคลก็คือ
การศึกษาบทกวีและดนตรีที่มีคุณค่า”
“ใช้ได้แล้ว เทียนเอ๋อร์ เจ้าต้องกลับไปบันทึกอีกครั้งด้วย”
ฮ่องเต้องค์น้อยจึงยกเรียวแขนขึ้นด้วยความดีใจ “ อา...ในที่สุด ข้าก็ท่องคำสอนของท่านขงจื๊อได้”
ขณะที่พระมาตุลาหนุ่มนั่งอิงขอบอ่างน้ำหยกราวกับครุ่นคิดสิ่งสำคัญที่ต้องทำต่อไป
“ เสด็จน้า...ข้ามีคำถามอยากถามท่านบ้าง”
“ ดูจากสีหน้าของเจ้า เจ้าคงมีคำถามมากเป็นแน่”
“ ก็...วันนี้ข้ามีอายุสิบหกบริบูรณ์แล้ว...ข้าได้สวมกวานบนหัว...ข้าได้พบเครือญาติทุกคน...แม้แต่พระหมื่นปี...ทำไมนางถึงเรียกข้าว่า...ซือเทียน...ทั้งๆที่ นามนั้นเป็นนามจริงของเสด็จพ่อ”
“ พระอัยยิกาหมื่นปีอู๋เซียง แม้จะเป็นพระมารดาเลี้ยงของพระบิดาเจ้า แต่พระนางทรงรักดังพระโอรสแท้ๆ...เพราะเจ้าละม้ายคล้ายคลึงกับองค์พระบิดามาก...องค์จักรพรรดิผู้ลาลับ...”
“ ท่านเคยบอกว่า เสด็จพ่อมีมังกรทองนำพระองค์ไปสู่ท้องฟ้าแล้ว ข้าก็เห็นแต่ป้ายหลุมพระศพบนเนินของเหล่าบรรพชนเท่านั้นเอง”
“ ผ่านไปตั้งสิบปีแล้ว เจ้ายังอุตส่าห์จำได้นะ เทียนเอ๋อร์”
ฮ่องเต้หนุ่มน้อยหัวเราะ “ ขอบคุณน้าจื้อที่ชม แต่...ข้ากลับจำเสด็จพ่อไม่ค่อยได้เลย”
“ เราก็ต่างเหมือนกัน น้าคนนี้ก็จำพ่อของตัวเองไม่ได้เท่าไหร่...”
“ จริงเหรอ...ท่านจำท่านตาไม่ได้เหรอ ก็...เสด็จตาเสียชีวิตไป หลังจากเสด็จพ่อสิ้นไปไม่กี่ปีนี่นา...”
“ จำในแง่ดีไม่ค่อยได้...” หลี่หยางจื้อรำพึง
“ ทำไม...” หลานชายถามเปรย
“ ช่างเถอะ!”พระมาตุลาหนุ่มส่ายเรียวพักตร์ “ น้าไม่ต้องการเล่าถึงเสด็จพ่อของตัวเองเท่าไหร่นัก”
จ้าวเทียนอี้ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ...เพราะว่าเขาก็พอทราบ...ในสมัยที่เสด็จพ่อของเขายังทรงพระชนม์ชีพ เสด็จตาหรือท่านอ๋องหลี่หยางเหวินได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ที่หลงแต่น้ำจัณฑ์ และชอบใช้อารมณ์ดุว่าภรรยาและบุตรของตนเอง แม้แต่กับเสด็จแม่ซึ่งเป็นธิดาคนโตของท่าน แม้แต่โอรสองค์เล็กของเขาก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ หลี่เหยียนฮวาผู้เป็นพี่สาวต้องทะเลาะกับบิดา เพื่อรับน้องชายของนางมาอยู่ในวังกับนาง ก่อนที่พระบิดาของเทียนอี้ได้ส่งหลี่หยางจื้อไปศึกษาที่สำนักผาหลันเซิงประจำนครฉางหลิง ทำให้ความห่างเหินระหว่างบิดาแท้ๆกับบุตรชายคนเดียวจึงยากที่จะมาสมานกัน...
...แม้ว่าเสด็จตาจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว...เทียนอี้ก็ยังจำภาพที่เสด็จตากับเสด็จน้าเมินหนีได้...
“ พระมาตุลาเพคะ!” นางกำนัลน้อยหน้าแป้นโผล่มาอีกครั้ง แล้วนางก็หน้าแดงอีกครั้ง
เมื่อพบว่าฮ่องเต้องค์น้อยก็นั่งแช่น้ำอุ่นกับผู้เป็นน้าชาย
...ช่างเป็นบุญตาวาสนาของข้าแท้ๆ...เมื่อได้เห็นบุรุษรูปงามอ่อนหวานทั้งสองอาบน้ำ
...องค์เทียนอี้ ฮ่องเต้ของข้า...ช่างคล้ายท่านหลี่หยางจื้อเสียจริง...แม้จะตัวเล็กไปหน่อยก็เถอะ...
“ เสี่ยวเชี่ยน เจ้ามาแบบนี้ไม่มีมารยาทเลยนะ”
นางรีบค้อมศีรษะลงด้วยความอายเป็นอย่างยิ่ง
“ ขอประทานอภัยเพคะ ขอประทานอภัย”
ฝ่ายเทียนอี้กลับตอบว่า “ ข้าอยากได้น้ำอุ่นเพิ่มอีกจังเลย พี่เสี่ยวเชียน”
“ หม่อมฉันจะรีบไปตักน้ำอีกนะเพคะ” นางกล่าวอย่างร่าเริง
แล้วร่างสูงสง่าของพระมาตุลาหนุ่มก็ลุกขึ้นจากอาบน้ำ พร้อมกับสะบัดผ้าเพื่อเช็ดตัว
“ อ้าว! น้าจื้อ ท่านจะลุกไปแล้วเหรอ”
“ เฮ่อ..น้าจะไปรอในห้องหนังสือ เจ้าเองก็ไม่ควรแช่น้ำนานเกินไป ตัวจะเปื่อยเอาได้!”
คำเตือนของเสด็จน้าหลี่หยางจื้อ ทำให้เทียนอี้ยังคงลังเลอยู่ แม้ว่าเสี่ยวเชียนจะเข้ามาแถมบ่นว่า
“ เอ้า เสด็จน้าไปแล้วเหรอเพคะ...ฮืออออ...”
“ ไม่เป็นไรน่า พี่เสียวเชี่ยน เสด็จน้าแค่ไม่สบายใจนิดหน่อย”
“ หม่อมฉันก็อยากถวายนวดแด่พระมาตุลาจังเลยเพคะ”
“ น้าจื้อเขาดูไม่ค่อยอยากให้เจ้ายุ่งกับเขา เพราะเขามีกรอบส่วนตัวสูง”
“ ว้า...ฝ่าบาททรงไม่รั้งเสด็จน้าเลยนะเพคะ”นางกำนัลน้อยสะบัดกระโปรงไปมา แถมมองมาที่เจ้าเปาชิงเทียนที่ยังคลานบนพื้นไปมาเพื่อสำรวจห้องสรงน้ำ
“ อาเปานี่นา...ก็ไม่ช่วยข้าเล้ย...” นางบ่นส่งท้าย
ฝ่ายฮ่องเต้องค์น้อยซึ่งยังคลอเคลียกับกลีบดอกไม้ในอ่างน้ำ กลับเกิดความคิดดีๆว่า
ควรทำให้เสด็จน้าสบายพระทัยขึ้นมากกว่านี้...เขาควรทำอย่างไรดี...
~*~*~*~*~*~
“ ข้าต้องการนำจื้อเอ๋อร์เข้าไปในวังมากกว่าจะอยู่กับท่าน! เสด็จพ่อ!”
“ ทำไม...เจ้าจะเลี้ยงน้องเป็นลูกเองเหรอ เหยียนฮวา...”
บุรุษวัยกลางคนยังคลอเคลียกับนารีงามข้างกายและเมรัย
“ ข้าเลี้ยงเขาได้ ท่านอย่าได้ห่วงเลย”
“ถ้าเจ้าจะเอาจื้อเอ๋อร์ไป แล้วพ่อจะเหลือลูกคนไหน นังลูกอกตัญญู!”
“ ท่านไม่ต้องการเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
เสียงหวานหนักแน่นของหลี่เหยียนฮวาผู้เป็นพี่สาวของเขาทะเลาะกับเสด็จพ่อ
เด็กชายร่างบางวัยเจ็ดแปดขวบจำได้ดี...
“ จื้อเอ๋อร์...มาหาพ่อ...มานี่!”
ร่างเล็กบางถูกผู้เป็นบิดารั้งตัวไว้ “ มานี่! เจ้าต้องอยู่กับข้า...”
ท่านอ๋องผู้เมามายยกน้ำจัณฑ์เพื่อเข้าริมฝีปากน้อยของพระโอรส
“ เสด็จพ่อ! ข้าไม่อยากกินเหล้า ไม่เอา!”
“ ถ้าเจ้าเป็นลูกข้า เจ้าต้องกิน!”
“ ไม่เอาๆ ข้าไม่อยาก...ข้าไม่เอาาาา!”
แล้วอ้อมแขนนิ่มนวลของผู้เป็นพี่สาวก็ดึงร่างน้อยออกมาจากบิดาเสีย
ทำให้ท่านอ๋องผู้ขาดสติเขวี้ยงถ้วยเหล้าจนแตกกระจาย
“ งั้นพวกเจ้าก็ไปอยู่ในวังของฝ่าบาทซะเถอะ! แล้วไม่ต้องมาอยู่ในบ้านของข้าอีกต่อไป!”
พระมาตุลาหนุ่มถอนหายใจดังอีกครั้ง เขานั้น...ไม่เคยสัมผัสความรักจากบิดาบังเกิดเกล้า...
ผู้ที่ทำหน้าที่เสมือนบิดาของเขาก็คือ ฮ่องเต้ผู้ลาลับทรงนามว่า จ้าวซือเทียน ผู้เป็นสวามีของพี่สาวคนเดียวของเขา...พระองค์นั้นยังไม่มีพระโอรสและพระธิดาเป็นของพระองค์เองเสียที พระองค์จึงโปรดปรานที่จะเลี้ยงดูเหล่าพระญาติที่ยังเยาว์วัยของพระองค์ หลี่หยางจื้อก็เป็นหนึ่งในนั้น และเขาก็เป็นน้องชายของฮองเฮา ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงโปรดปรานเขามากราวกับพระโอรสองค์น้อย...
ดวงตาเฉียบคมของชายหนุ่มมองแผ่นหลังบางของจ้าวเทียนอี้ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือการปกครองกับหลักปราชญ์โบราณที่เขามอบให้
( แถมเขาสั่งให้เทียนเอ๋อร์อ่านทุกครั้งก่อนเข้านอนอีกต่างหาก)
...องค์จ้าวซือเทียนในวัยหนุ่มน้อยจะคล้ายคลึงเทียนเอ๋อร์ในยามนี้หรือไม่นะ...
ตอนที่ข้าได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทครั้งแรก พระองค์ก็มีพระชนมายุถึงสี่สิบกว่าแล้ว...
...บางทีเทียนเอ๋อร์ก็เป็นภาพจำลองในวัยเยาว์ของพระองค์มาให้ข้าเลี้ยงดูกระมัง...
...เพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อพระองค์ ฮ่องเต้น้อยจะครองราชย์ด้วยพระองค์เองในอีกสี่ปีข้างหน้า
...อย่างสมพระเกียรติที่สุดและสง่างามที่สุด...เมื่อถึงเวลานั้น..เขาก็บรรลุหน้าที่แล้ว...
“ ฮ่าๆ อาเปา อย่าเล่นพู่กันของข้าสิ”
จักรพรรดิองค์น้อยหยิบพู่กันไม้มา แล้วจุ่มหมึกเพื่อเขียนตัวอักษรต่อไป เปาชิงเทียนนั้นก็คลานมาคลอเคลียเรียวมือบอบบางของเทียนอี้
“ ข้ารู้ว่าเจ้ามันขี้ประจบนะ อาเปา”
“ เทียนเอ๋อร์” ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้า “ อยากทราบหรือไม่ หลักคุณธรรมของท่านขงจื๊อหรือไม่”
“ หลักคุณธรรมหรือ เสด็จน้าจื้อ”
พระมาตุลาหนุ่มเปรยรอยยิ้มงามละไมแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงยิ่ง
“ ระบบคุณธรรมในปรัชญาของขงจื๊อมีสวรรค์เป็นฝ่ายควบคุม คอยให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์ในรูปของกฎหมายสากล ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “ผู้ใดทำผิด สวรรค์ย่อมลงโทษ” ระบบคุณธรรมนี้มาจากความเชื่อของชาวจีนโบราณที่ว่า สวรรค์อยู่เหนือโลก คอยสอดส่องควบคุมจริยธรรมของชาวโลก กษัตริย์เป็นโอรสของสวรรค์ ได้รับการมอบหมายจากสวรรค์ให้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างสวรรค์กับราษฎร ความมั่นคงของกษัตริย์และราชวงศ์ขึ้นอยู่กับความกรุณาของสวรรค์ ถ้าความประพฤติของกษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม สวรรค์ก็จะบันดาลให้เกิดภัยพิบัติต่างๆในแผ่นดิน ทั้งภัยธรรมชาติและความระส่ำระสายทางการเมืองและสังคม เมื่อนั้นก็จะมีผู้คบคิดกันโค่นอำนาจของกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นกษัตริย์จึงพยายามตั้งมั่นอยู่ในจริยธรรม กษัตริย์แสดงความเคารพยำเกรงสวรรค์ให้ปรากฏต่อสายตาของโลกโดยประกอบพิธีเซ่นสรวงบูชาให้ถูกต้องตามแบบแผน ส่วนประชาชนก็ทำหน้าที่โดยเชื่อฟังและภักดีต่อกษัตริย์ เมื่อถึงตรุษสารทก็ทำพิธีเซ่นไหว้ให้ถูกต้องตามประเพณี หากทำได้ดังนี้ชีวิตของแต่ละคนก็จะราบรื่น และอาณาจักรก็จะมีแต่สันติสุข”
“ท่านจดจำได้ดีถึงเพียงนี้...เลยเหรอเนี่ย...”
ความสามารถของพระมาตุลาของเขามากมายเสียจริง!
“ แน่นอนสิ เสด็จพ่อของเจ้าสอนน้าเอง ตอนที่ยังเด็กกว่าเจ้าด้วยซ้ำ”
“ อือม...ข้าก็ว่าอย่างงั้น...แต่ว่า ข้าอยากรู้ว่า ท่านฝึกวิทยายุทธมาจากไหน”
“ เจ้าจะรู้ไป ทำไมกัน เป็นฮ่องเต้ไม่จำเป็นต้องมีวิชาพวกนี้ เจ้าควรจำหลักการปกครองนะ”
“ แต่ท่านลอยขึ้นไปได้ แล้วอุ้มข้ากับเปาชิงเทียนลงมาได้ ข้าอยากฝึกบ้างนี่นา...”
แววตากลมโตแสดงถึงความมุ่งมั่นหรือความอยากรู้อยากเห็นกันแน่นะ?
“ เช่นนั้น...เจ้าต้องฝึกสมาธิมากกว่านี้ แล้วอย่าเล่นกับเปาชิงเทียนในขณะอ่านหนังสือ”
นั่นไง! เล่นเอาเจ้ากระรอกน้อยพลอยหัวหดตามไปด้วย!
“ ข้านึกอะไรอย่างหนึ่งได้นะ น้าจื้อ ข้าว่า ท่านปรมาจารย์ขงจื๊อเองก็ยังจดจำคำปราชญ์ของท่านเองไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละน่า...”
การพูดจาเล่นสนุกเช่นนี้ ทำให้ดวงตาคู่งามของหลี่หยางจื๊อฉายแววดุดันทันที
“ คุณธรรมของฮ่องเต้อีกประการหนึ่ง คือ อย่าได้ล้อเล่นกับบูรพาจารย์...เทียนเอ๋อร์...”
“ อา..เสด็จน้า...ข้าเข้าใจแล้วพระเจ้าค่ะ...”
“ ดี ” หลี่หยางจื่อเน้นน้ำเสียง “ จารีตประเพณีคืออะไร เทียนเอ๋อร์...”
“ มันเป็นหลักปฏิบัติที่ว่าด้วยระเบียบของแผ่นดินและ...”
ชายหนุ่มในอาภรณ์ขาวทั้งสองยังต้องท่องตำราแล้วตอบโต้กันต่อไป ฝ่ายเปาชิงเทียนก็ได้แต่นอนกระดิกหางม้วนจนหลับคาตักของฮ่องเต้องค์น้อยนั่นเอง
~*~*~*~*~*~
ในคืนนี้ สองน้าหลานมีสาระมากนะคะ...น้าจื้อสอนหนังสือหลานได้ดีค่ะ!
เห็นหลายคนเชียร์ให้ท่านน้าจื้อเป็นเคะ...ขอบอกว่า อุบไว้ก่อนนะคะ...><
ความคิดเห็น