คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ชันษาครบสิบหกปี
ตอนที่ 1 : ชันษาครบสิบหกปี
ในยามรุ่งอรุณแห่งวังหลวงใหญ่แห่งนครฉางหลิง อากาศเย็นสบายชวนให้นอนหลับต่อภายในผ้าห่มสีขาวแสนอบอุ่น ร่างเพรียวบางของหนุ่มน้อยผู้หนึ่งยังคงหนอนกอดหมอนข้าง แล้วด้วยความเคลิบเคลิ้มว่า เช้านี้เป็นวันหยุดสำหรับเขา จนกระทั่งได้ยินเสียงปลุกของชายหนุ่มอีกคนเรียกเขา
“เทียนเอ๋อร์ๆ ตื่นได้แล้ว” เสียงทุ้มใหญ่บ่งบอกว่า เขาเป็นบุรุษที่มีนิสัยเข้มงวดเป็นแน่ หากว่าเด็กหนุ่มยังคงแสดงอาการงัวเงีย พร้อมยังกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความรู้สึกขัดใจที่ต้องมาตื่นในยามอรุณรุ่ง...แสงตะวันเพิ่งพ้นขอบท้องฟ้า ทำไมข้าต้องรีบตื่นด้วยเล่า...
เด็กหนุ่มยังเอาหมอนที่ตนเองหนุนมาทับศีรษะอีกครั้งเพื่อกันเสียงปลุกของอีกฝ่าย
“ เทียนเอ๋อร์...เจ้านี่...เทียนเอ๋อร์!”
ผู้มีอายุมากกว่าถอนหายใจ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้จึงกล่าวกับขันทีประจำห้องพระบรรทม พลางกระซิบให้เขา ขันทีรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็คำนับลงอย่างนอบน้อม
“ พะย่ะค่ะ พระมาตุลา ”
แล้วเด็กหนุ่มกำลังอมยิ้มซึ่งคิดว่าตัวเองจะได้หลับอีกครั้งก็ได้ยินเสียงดังลั่นก้อง
ฉาด! ฉาด! ฉาด!
“ เสด็จน้า! ข้าหนวกหูนะ!”
ใครจะทนเสียงการตบของฉาบสีทองที่เอาไว้ในงานเฉลิมฉลองตามประเพณีแล้วนอนหลับได้เล่า
“ เจ้าก็ตื่นได้แล้ว เทียนเอ๋อร์ วันนี้เป็นวันอะไร”
เด็กหนุ่มซึ่งถูกเรียกว่า เทียนเอ๋อร์ ก็ยังตอบว่า “ วันธรรมดาที่น่าเบื่อ ที่ข้าต้องไปนั่งบัลลังก์แล้วฟังเหล่าอำมาตย์แก่ๆ บ่นแล้วบ่นอีก”
ฉาด! ฉาด! ฉาด!
เสียงการกระทบของฉาบใหญ่ซึ่งพระมาตุลาผู้มาปลุกเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นอีก
“ เสด็จน้าจื้อออออ ~!!! พอแล้วๆ”
ร่างเพรียวของเด็กหนุ่มร่วงลงบนพื้น เพราะอาการที่ดิ้นจากแท่นบรรทมของตนเอง
“ เจ้าตอบมาก่อน วันนี้วันอะไร...”
เทียนเอ๋อร์จึงยอมเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นใบหน้างดงามราวกับเทพบุตรของชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าตรงหน้า และเขาก็พบว่า ชายหนุ่มผู้นี้แต่งกายในอาภรณ์สีน้ำเงินปนเทาในแบบเชื้อพระวงศ์สมฐานะของเขา...ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือ เสด็จน้าจื้อ หรือ พระมาตุลาแห่งวังหลวง ผู้เป็นน้าแท้ น้าบังเกิดเกล้า น้าจอมวุ่นวายของเทียนเอ๋อร์ แน่นอนว่า เทียนเอ๋อร์ก็คือจักรพรรดิองค์น้อย นั่นเอง
“ วัน...วันนี้เป็นวันเกิดของข้า” หนุ่มน้อยยังตอบด้วยเสียงงัวเงีย
“ แล้วจะช้าอยู่ไย รีบลุกขึ้น”
อีกฝ่ายก็อ้อยอิ่งกับผ้าห่มขาว พร้อมหาวหวอด
“ งืมมๆ ข้าอยากนอนต่อ”
ฉาด! ฉาด!
“น้าจื้อ ! พอแล้ว !”
พระมาตุลาหนุ่มยิ้มเล็กน้อย เพราะร่างบอบบางของเทียนเอ๋อร์ก็ยอมลุกขึ้นมา
“ เฉากงกง! พาองค์ฮ่องเต้ไปสรงน้ำและแต่งองค์ให้เรียบร้อย เขาต้องพบกับขุนนางที่มาเข้าเฝ้าในวัง”
“ พะย่ะค่ะ พระมาตุลา”
ก่อนที่จะมองร่างบอบบางซึ่งยืนหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน
“ จ้าวเทียนอี้! เสด็จเร็ว!”
หนุ่มน้อยผู้เป็นหลานชายจึงตอบว่า “ พระเจ้าข้า! อ๋องซื่อต้ากง!”
ฝ่ายฮ่องเต้องค์น้อยก็ทำริมฝีปากเบี้ยวไปมา จะเคืองใจเสด็จน้าก็ไม่ลง...แต่พระองค์ก็ไม่ชอบให้เสด็จน้าเอาฉาบมาตีเพื่อปลุกในวันเกิด ทั้งๆที่วันเกิดควรเป็นวันหยุดที่พระองค์ไม่ต้องการตื่น...ฮ่องเต้ก็เป็นคนเหมือนกัน...ย่อมอยากนอนตื่นสายบ้างนี่นา!
~*~*~*~*~*~
ในงานฉลองวันประสูติครบรอบพระชันษาครบสิบหกปีแห่งองค์จักรพรรดิน้อย “เฉวียนหวังตี้” ซึ่งมีพระนามจริงว่า “ จ้าวเทียนอี้ ” พระองค์เป็นจักรพรรดิที่ยังทรงพระเยาว์ แม้จะปกครองแผ่นดินแคว้นเหวิ่นมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว จึงยังผู้สำเร็จราชการจึงทำหน้าที่ดูแล ควบคุมให้บ้านเมืองดำเนินไปอย่างเรียบร้อย แม้ว่าจะมีสงครามฝ่ายเหนือต่อสู้มาเป็นระยะ แต่ว่าฮ่องเต้น้อยยังไม่ต้องทรงกังวลพระทัยอะไรมาก เพราะทรงมีพระญาติชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ และขุนนางที่จงรักภักดีมาตั้งแต่สมัยของพระบิดาเสวียนเหวินตี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว และพระองค์ก็เป็นจักรพรรดิที่ไพร่ฟ้าประชาชนรักมากที่สุด...ไฉนพวกเขาจะไม่รักฮ่องเต้องค์น้อยผู้เป็นกำพร้าพระบิดาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ได้เล่า...
ผู้สำเร็จราชการฝ่ายหน้ามีอยู่หลายท่าน ทว่าผู้ที่สามารถสนิทและเข้าเฝ้าฮ่องเต้องค์น้อยได้สะดวกมากที่สุดคือ “ พระปิตุลาอ๋องเคอโจว” หรือ อ๋องห้า ซึ่งมีพระนามเดิมว่า ”จ้าวอิงหลิว” แต่ฮ่องเต้น้อยของเราทรงเรียกเขาว่า เสด็จอาหลิว ตอนนี้มีพระชันษาสามสิบห้าปี ทรงมีร่างสูงงามสง่า เป็นผู้นิ่งขรึมตามเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และผู้สำเร็จราชการอีกท่านหนึ่งคงไม่ต้องบอกว่าใคร เขาคือ “พระมาตุลาอ๋องซื่อต้ากง” หรือชื่อจริงของเขาคือ “หลี่หยางจื้อ” ซึ่งเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในนครหลวงฉางหลิง และเป็นพระอนุชาองค์เดียวของ” พระพันปีไทเฮาหลี่เยียนฮวา “ ผู้ทรงสิริโฉมงดงามดังนางฟ้าในสวรรค์ ทว่านางได้รับเลือกเป็นอัครมเหสีสาวงามขององค์ฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นบิดา และเขาก็เป็นบุรุษหนุ่มผู้ได้รับหน้าที่เป็นพระอภิบาลองค์ฮ่องเต้น้อย โดยไม่ต้องเป็นขันที เพราะว่าหนึ่ง เขาเป็นพระอนุชาของไทเฮาที่คุ้นเคยกับการอยู่ในวังมาตั้งแต่เด็ก และสอง เขาได้รับหน้าที่ให้เลี้ยงดูฮ่องเต้องค์น้อยผู้เป็นหลานชายคนเดียวของเขาจากองค์ราชาผู้ลาลับไปยังสรวงสวรรค์
ในวันนี้เป็นวันสิริมงคลที่ฮ่องเต้น้อยจ้าวเทียนอี้มีพระชันษาครบสิบหกนับว่า พ้นวัยเด็กแล้วตามประเพณีของแคว้นเหวิ่น แต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจนกว่าจะมีอายุยี่สิบปี เหล่าเสนาบดีต่างทำความเคารพและถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงต่อเด็กหนุ่มในอาภรณ์เหลืองอ่อนปักลายมังกรสีทอง ยิ่งทั้งเหมี่ยนที่สวมบนศีรษะก็ประดับด้วยลูกปัดสีเงิน ทำให้เขาดูงามสง่าขึ้น แต่แววตากลมโตและพวงแก้มนิ่มที่ยังแสดงว่ายังเยาว์วัยมาก เมื่อเทียบกับท่านอ๋องผู้เป็นเสด็จอา ซึ่งยืนอยู่ฝ่ายขวา ขณะที่หลี่หยางจื้อยืนอย่างสง่าผ่าเผยในอีกฝั่งหนึ่ง ดวงพักตร์ของเขายังดูงามหมดจดดังแสงจันทร์ ทำให้นางกำนัลแอบมองเขาอย่างไม่เบื่อหน่ายที่ต้องมายืนเฝ้าอีกด้วย
“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นๆปี”
“พวกท่าน เหล่าเสนาบดี อำมาตย์ทั้งหลาย ลุกขึ้นเถอะ ข้าดีใจที่พบพวกท่าน”
เหล่าเสนาบดีต่างรู้สึกชื่นชมองค์ฮ่องเต้น้อยนัก พระพักตร์งามน่ารักและมีเค้าว่าจะทรงรูปงามสง่าคล้ายกับฮ่องเต้เฉวียนเหวินตี้ แต่มีหลายคนออกความเห็นว่า ฮ่องเต้น้อยก็ละม้ายคล้ายคลึงกับพระมาตุลาผู้มีรูปงามสะสวยดังอิสตรีเช่นเดียวกัน...สำหรับเหล่าประชาชนจะมีอะไรให้น่าภูมิใจไปมากกว่ามีกษัตริย์รูปงาม พระทัยเมตตาดังเทพยดาแล้วพระสติปัญญาก็สมบูรณ์...แต่ว่าฮ่องเต้น้อยยังเยาว์นัก ต้องให้เวลาเรียนรู้กันไป...
ฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้ก็ทรงรับของกำนัลมากมายเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนแต่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ส่วนมากที่แต่เสนาบดีที่มีอายุมาก เข้าขั้นชราแล้ว ผู้สำเร็จราชการทั้งสองท่านกลับจะดูเป็นหนุ่มน้อยที่สุดในท้องพระโรง ถ้าไม่นับรวมร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบ เกราะทองของเขาเสริมรูปร่างเขาให้ดูใหญ่โต น่าเกรงขาม เหล่าขุนนางผู้ชราต่างหลบให้กับสมุหกลาโหมผู้มีนามว่า “ มู่หรงซู่” และเขาเป็นผู้กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือของเขา จริงอยู่ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการทั้งสองจะมีฝีมือในการรบ ต่างยอมรับว่า มู่หรงซู่ ผู้นี้มีพลังและทักษะในการรบดีเยี่ยม
“ ขอถวายพระพร ฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีๆ พระเจ้าข้า”
ฮ่องเต้องค์น้อยจึงรับสั่ง “ ลุกขึ้นเถอะ ท่านสมุหกลาโหม มู่หรง”
“ เนื่องในวันครบวันประสูติปีที่สิบหกของพระองค์ กระหม่อมได้ไปโจมตีเมืองฉิ่น ซึ่งแข็งข้อกับเราจนได้รับชัยชนะแล้วพระเจ้าค่ะ”
เหล่าขุนนางต่างพากันชื่นชม ยกเว้นเพียงท่านอ๋องหลี่หยางจื้อ เพราะเขารู้สึกว่า แม่ทัพแห่งแคว้นเหวิ่นผู้นี้ บ้าคลั่งทำสงครามมากเกินไป และชอบให้ทหารไปทำร้ายเหล่าเชลย หรือฉุดคร่าสตรี พรากจากครอบครัว แม้เมืองเล็ก ประชากรน้อยก็ควรมีเมตตากันเสียบ้าง
“ ข้าไม่เห็นด้วยกับ ท่านมู่หรง ที่ไปรบศึกกับเมืองเล็กเช่นนั้น จริงอยู่ที่เมืองฉิ่นแข็งข้อ แต่ข้าได้รับข่าวว่า ท่านใช้กำลังทหารทำร้ายประชาชนไปด้วย ข้าไม่เห็นสมควร”
น้ำเสียงทุ้มไพเราะของพระมาตุลาหนุ่มที่ทรงตำหนิ ทำให้แม่ทัพร่างสูงใหญ่หัวเราะ หากว่านั้นไม่ใช่เสียงหัวเราะที่แสดงความจริงใจเลย ถ้าผู้ฉลาดในการมองใจคนย่อมทราบ
“ หามิได้ พระมาตุลา กระหม่อมเพียงนำศึกที่ชนะครั้งนี้มาถวายฝ่าบาท”
“ การเข่นฆ่า และทำสงครามไม่ใช่ของขวัญที่เป็นสิริมงคลขององค์จักรพรรดิ ท่านสมุหกลาโหม
ถ้าเป็นของขวัญอย่างอื่นเช่น การบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือผู้คน คงดีมากกว่า”
พระมาตุลามองยังแม่ทัพหนุ่มอย่างไม่พอใจนัก...เขาไม่ค่อยพอใจมู่หรงซู่นัก...ดวงตาของหลี่หยางจื้อ...มีความเฉียบคมพอที่จะมองว่าใครดีใครร้าย...แน่นอนว่า มู่หรงซู่ จัดว่าอยู่ในข้อหลัง...
“ กระหม่อมเป็นทหาร การปกป้องบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของทหาร และถ้าเมืองใดแข็งข้อแล้ว เราก็ควรกำหราบมันเสียให้หมดไป จริงหรือไหม พระปิตุลา...”
อ๋องเคอโจวผู้เป็นเสด็จอาของฮ่องเต้น้อยกลับตอบว่า “ เราเห็นด้วยที่ท่านบอกว่า การปกป้องบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของทหาร แต่ว่าการไปทำร้ายชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้แล้ว ก็หาใช่วิสัยของทหารเช่นเดียวกัน เรากล่าวเช่นนี้เพียงความเป็นธรรมของทั้งสองท่าน”
เหล่าขุนนางต่างพากันกลุ้มใจนัก เป็นที่รู้กันมาหลายปีว่า ท่านสมุหกลาโหมไม่ถูกกับสองผู้สำเร็จราชการเท่าไหร่เลย...และมันจะมีผลกระทบต่อราชบัลลังก์ในเวลาต่อไป...
หลังจากนั้น เทียนอี้ก็เข้าไปรับพิธีการฉลองวันประสูติในเขตพระราชฐานฝ่ายใน
ซึ่งมันก็ดีเหมือนกันที่เขาจะได้พบกับน้องชายและน้องสาวฝาแฝดวัยสิบขวบ
น้องชายนั้นมีชื่อว่า องค์ชายจ้าวเจิ่งฟง และน้องสาวมีชื่อว่า องค์หญิงจ้าวหยงหลิน
ทั้งสองมีพระมารดาคือ พระสนมเอกฉางกุ้ยเฟย ซึ่งมีจิตใจงดงามอ่อนโยน
และนางก็เป็นพระญาติสนิทของท่านพระปิตุลาอ๋องเคอโจวหรืออ๋องห้า ดังที่กล่าวไปข้างต้น
“ พี่เทียนเอ๋อร์มาแล้ว!”
เด็กชายคนโตเตรียมวิ่งเพื่อจะกอดฮ่องเต้หนุ่มผู้เป็นพี่ชายด้วยความดีใจ
“ พี่เทียนเอ๋อร์ สุขสันต์วันเกิดเพคะ” เด็กหญิงคนถัดมากล่าว
เด็กชายก็ไม่น้อยหน้า “ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นๆปีเลย ฮ่าๆ”
“ พี่ดีใจที่ได้พบเจ้า ฟงเอ๋อร์ หยงเอ๋อร์ แห่งตำหนักท่านแม่กุ้ยเฟย”
สาวน้อยผู้มีแก้มแดงอิ่มได้ทีกอดเอวบางของพระเชษฐาอารมณ์ดี
แม้ว่าเฉากงกงจะบอกว่า พระองค์เป็นฮ่องเต้ไม่สมควรแสดงอาการเหมือนเด็ก
เพราะเขาอายุตั้งสิบหกแล้ว ควรทราบว่า อะไรบ้างที่เป็นกฎมณเทียรบาลสำคัญ
“ ข้ากอดน้องที่มีแค่สองคนเท่านั้น มันจะเป็นไรไปล่ะ”
“ แต่ว่า...”
องค์พระมาตุลากลับปราม “ ให้ฝ่าบาททรงกอดพระอนุชาและพระขนิษฐา”
“ขอบพระทัยเสด็จน้ามาก เอาล่ะ ฟงเอ๋อร์ หยงเอ๋อร์ เราไปหาอะไรกินกัน
วันนี้เป็นวันเกิดของพี่ พวกเจ้าอยากเสวยอะไรล่ะ”
“ ซาลาเปาไส้หมูแดง!!!” ของโปรดของสามพี่น้องนี้ก็คือ ซาลาเปาชนิดนี้นั่นเอง!
“ ตามบัญชา องค์ชายองค์หญิงฝาแฝด ฮ่าๆ”
แล้วฮ่องเต้หนุ่มน้อยก็จูงเรียงมือเล็กของพวกเขาไปยังศาลาซึ่งอยู่ริมขอบสระน้ำกว้างของเขตพระราชฐานชั้นใน โดยที่พระสนมฉางกุ้ยเฟยก็ทรงสนทนากับพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ กับพระปิตุลาจ้าวอิงหลิว หรือท่านอ๋องห้าผู้เป็นญาติผู้น้องของนาง
“ หม่อมฉันดีพระทัยนัก ในวันนี้ได้พบพระมาตุลา เพราะนานๆทีจะได้พบ หลังจากพระองค์ทรงนำองค์เทียนอี้ไปยังฝ่ายหน้าก็เกือบสามปีแล้วสิเพคะ”
“ ข้าก็ขอบพระทัยพระสนมเอกที่ทรงดูแลองค์ชายและองค์หญิงได้สำราญพระทัยและเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะองค์ชายเจิ่งฟง เขาจะเป็นท่านอ๋องใหญ่ในรัชกาลนี้ แทนข้าได้แล้วกระมัง”
ขณะที่ท่านอ๋องห้าทรงส่ายพระพักตร์ “ ข้าก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ว่า ข้ารู้สึกถึงบางอย่าง”
“ อะไรหรือ ท่านอ๋องห้า” พระสนมเอกรับสั่งถาม
“พี่หญิง...ข้าไม่ไว้ใจ สมุหกลาโหมเลย เหมือนข้าจะเห็นบางอย่างที่ไม่ดีมาจากเขา...ข้าเป็นห่วงองค์เทียนอี้ และองค์เจิ่งฟงเหลือประมาณ หรือท่านพระมาตุลาเห็นอ่านอย่างไร”
ฝ่ายหลี่หยางจื้อกลับรู้สึกมากกว่านั้น...สายตาของท่านสมุหกลาโหม...ที่มองมายังเขาและฮ่องเต้น้อย...มีความเป็นไปได้สูงมาก...ว่าเขาคิดไม่ซื่อ...
“ ข้าก็ไม่ไว้ใจหรอก ท่านอ๋องห้า เพื่อแต่เราต้องสังเกตกิริยาของเขาให้ดี และอย่าให้เขารู้ตัวไปได้”
พระสนมเอกทรงก็รู้สึกว่า ขอให้ฮ่องเต้น้อยที่ทรงรักกับพระโอรสธิดาของนางปลอดภัยก็พอ...
ฮ่องเต้องค์น้อยซึ่งมองเห็นผู้ใหญ่สามคนสนทนากัน จึงได้แผนอย่างหนึ่งก็คือ ชวนพระอนุชาและพระน้องนางแอบเอาซาลาเปาไปกินกันใต้ต้นไม้ใหญ่ริมสระน้ำแทน
“ พี่ดีใจมาก ที่ได้เหวยซาลาเปาลูกใหญ่กับพวกเจ้าสองคน มีความสุขมากกว่ารับของขวัญพวกขุนนางหลายเท่าเลย”
องค์ชายเจิ่งฟงก็ถามว่า “ พี่เทียนเอ๋อร์ แล้วตอนที่พี่ออกขุนนางมีอะไรตื่นเต้นหรือเปล่า”
“ ก็...” เทียนอี้ยังเคี้ยวซาลาเปาอยู่ “ เสด็จอากับเสด็จน้าเถียงกับแม่ทัพที่เขาบอกว่า ยึดเมืองมาให้”
“ แล้วแม่ทัพคนนั้นหล่อไหม หล่อเหมือนเสด็จน้าหรือเปล่า”
องค์หญิงหยงหลินนั้นกำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วก็เริ่มสนใจในความหล่อเหลาของบุรุษ
“ ก็...หล่อนะ แต่ผิวคล้ำกว่าหน่อย ตาก็ดุกว่า ไว้หนวดเคราด้วย”
“ ไม่เอาๆ งามแบบเสด็จน้าหลี่หยางจื้อดีกว่า”
มันก็จริง...ใครๆก็ว่า พระมาตุลาองค์เดียวของเขานั้น งดงามดังเทพบุตร แถมมีใบหน้าสะกดสายตาของสตรีเพศให้มองไปที่เขา...เพราะว่า หลี่หยางจื้อ จะมีอายุสามสิบสองแล้ว ทำบุญด้วยอะไรจึงมีใบหน้ายังเยาว์วัยได้ ราวกับชายหนุ่มอายุยี่สิบปี จนใครๆพากันว่า เขาเหมาะสมเป็นพระเชษฐา มากกว่า พระมาตุลาของฮ่องเต้
“ เทียนเอ๋อร์ เจ้าพาน้องๆมานั่งเล่นซะไกล”
เสียงทุ้มของพระมาตุลาเรียกขาน ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มน้อยพยายามฝืนยิ้มแก้เขิน
“ เสด็จน้ายังเหลือซาลาเปา นี่ๆ ท่านเสวยนะ”
ชายหนุ่มในอาภรณ์ครามปนเทาส่ายหน้า “ เจ้าเสวยเถอะ”
“ เสด็จน้า มันอร่อยมากเลยนะ” ฮ่องเต้องค์น้อยยังเคี้ยวอยู่ดี เล่นเอาสองพี่น้องฝาแฝดพากันขำ
ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าก็กล่าวว่า “ เจ้าต้องไปพบไทเฮาแล้ว”
“ เสด็จแม่...อือม...” เทียนอี้เกิดอาการอ้ำอึ้ง “ นางคงไม่อยากพบข้าเท่าไหร่”
“ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เจ้าควรไปเคารพมารดาผู้บังเกิดเกล้า แสดงความเป็นโอรสสวรรค์ผู้มีความกตัญญูด้วย เทียนเอ๋อร์”
“ เสด็จน้า เสวยซาลาเปาลูกสุดท้ายก่อนแล้วกัน แล้วข้าจะยอมไป”
มือเรียวบางของฮ่องเต้น้อยยื่นซาลาเปามายังพระมาตุลาของตน แถมส่งสายตาวิงวอน
“ เสด็จน้า...เสวยเถอะ...”
“ อือม...”
หลี่หยางจื้อก็ยอมทานซาลาเปา โดยที่สามพี่น้อง พากันรู้สึกดีใจที่ได้เห็นพระมาตุลารูปงามขบเคี้ยวซาลาเปาที่พวกเขาโปรดปรานมากที่สุด
~*~*~*~*~*~
ไทเฮาหลี่เหยียนฮวา ผู้เป็นพระพันปีแห่งวังหลวงนั้น เป็นที่กล่าวได้ว่า นางทรงโฉมงดงามพิลาสดังเทพธิดา และความงามของนางก็ถ่ายทอดมาสู่พระโอรสองค์เดียวของนาง ซึ่งก็คือ จ้าวเทียนอี้
จึงไม่น่าแปลกใจสำหรับผู้คุ้นเคยในวังหลวงว่า ฮ่องเต้องค์น้อยจึงมีรูปลักษณ์ละม้ายพระมาตุลาของพระองค์เองอีกทีตามกัน แต่ว่าพระนางกลับห่างเหินพระโอรส หลังจากที่พระสวามีสวรรคตไป
นางมักสนใจแต่การดูแลฝ่ายใน กับส่วนของทรัพย์สินส่วนต่างๆมากกว่า เพราะนางคิดว่า น้องชายของนางก็ดูแลโอรสของนางได้ ดังนั้น เทียนอี้จึงไม่ค่อยทรงคุ้นเคยกับผู้เป็นมารดาเท่าไหร่
และนางก็เห็นว่า เขาเป็นกษัตริย์ ไม่ใช่ลูกชายของนางด้วยซ้ำ
“ ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
“ เอ้อ...เสด็จแม่ลุกขึ้นเถอะ”
นางตอบว่า “ ไม่เป็นไรหรอก แม่ทำความเคารพเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นจักรพรรดิ
ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีเพคะ”
การแสดงท่าทางเช่นนี้ของพระมารดา ทำให้เทียนอี้เคืองใจ แล้วเดินหนีไปยังด้านนอกของตำหนักทันที โดยไม่สนใจพวกนางกำนัลน้อยที่มองเขาด้วยความชื่นชมปนสงสัยไปพร้อมกัน
“ ท่านพี่หญิง น่าจะทรงคุยกับเทียนเอ๋อร์บ้าง” ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าเอ่ยขึ้น
เมื่อสตรีร่างระหงกลับนิ่งเฉยเสีย...
“ ท่านพี่หญิง วันนี้เป็นวันเกิดของเทียนเอ๋อร์”
หยางจื้อเคารพพี่สาวของเขามาก เพราะนางมีอายุมากกว่าเขาถึง 12 ปี แม้ว่าจะเป็นพี่น้องต่างมารดา แต่นางก็เคยดูแลเขามาตั้งแต่เยาว์วัยในวังหลวงแห่งนี้ ทว่า นางระทมทุกข์กับการเสียพระสวามีของนางไป จนนางไม่ต้องการใกล้ชิดกับบุรุษผู้ใด ทั้งน้องชายและลูกคนเดียวของนาง
“พี่รู้น่า พี่ก็เตรียมป้ายหยกให้เขา เจ้าก็นำไปฝากแล้วกันเถอะ”
“ ท่านคิดจะห่างเขาไปถึงเมื่อไหร่กัน”
นางกลับตอบว่า “ พี่เป็นพระพันปีม่าย เขาเป็นฮ่องเต้แล้ว เจ้าเองก็เป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ เราต่างทำหน้าที่ของเราไปเถอะ อาจื้อ...พี่ต้องไปจัดการเรื่องนางกำนัลที่วิวาทกัน...ฝากให้เทียนเอ๋อร์ด้วย”
ฝ่ายพระมาตุลาหนุ่มก็มาพบร่างเพรียวบอบบางในอาภรณ์สีเหลืองอ่อน ซึ่งนั่งปลงความรู้สึก มือเรียวเท้าคางได้รูป แล้วกระดิกเรียวเทาไปมา
“ เทียนเอ๋อร์ เจ้าจะกลับไปยังฝ่ายหน้าหรือยัง”
“ กลับก็ดี เสด็จน้า...” ดวงตากลมโตหันมาสบกับดวงเนตรเรียวคม “ ข้าบอกแล้ว เสด็จแม่ไม่ค่อยต้องการพบหน้าของข้าหรอก”
“ นางนำป้ายหยกมาให้เจ้า” มือเรียวใหญ่กว่าวางของขวัญจากมารดาบนเรียวมือบอบบางของจักรพรรดิหนุ่มน้อย “ เจ้าเก็บรักษาให้ดี เทียนเอ๋อร์”
“ ข้าต้องการทราบอย่างหนึ่ง”
“ ว่ามาเถอะ” พระมาตุลากล่าวเสียงเรียบ
“ เสด็จแม่เองก็ทรงเลี้ยงท่านตั้งแต่เด็ก ดังที่พี่สาวเลี้ยงน้องชาย แต่ทำไม ท่านไม่ยอมเลี้ยงข้าล่ะ...”
หลี่หยางจื้อถอนหายใจ “ ท่านพี่หญิงทรงรักเสด็จพ่อของเจ้ามาก แล้วพระองค์ก็สวรรคตไป...นางก็รู้สึกว่า ส่วนนึงในจิตใจของนางได้สิ้นตามเสด็จไปแล้วด้วย...เลยทำให้ น้าถึงเข้าใจในพิษแห่งความรักของชายหญิง...”
“ ฮ่าๆ” หนุ่มน้อยหัวเราะระรื่น “ เพราะอย่างนี้ ท่านถึงไม่ต้องการแต่งงาน หรือมีสาวๆเป็นชายาเลยสินะ เสด็จน้าจื้อ !”
“ ข้าทำหน้าที่เป็นพระมาตุลาของฮ่องเต้น้อยตลอดเวลา จะหาเวลาไหนไปชอบสตรีได้”
เทียนอี้ก็ได้ทีโอบแขนแกร่งของน้าชาย “ ข้าจะช่วยหาให้ดีไหม”
“ ไม่จำเป็นหรอกน่า...เทียนเอ๋อร์ ” มือเรียวงามของชายหนุ่มลูบหน้าผากมน
“ เจ้าหา ฮองเฮา ของเจ้าเองจะง่ายกว่าหาเมียให้น้าหลายร้อยเท่า”
“ จะดีเหรอ เสด็จน้า”
“ เจ้าเป็นฮ่องเต้ เจ้าต้องมีอัครมเหสีนะ หลานชาย”
“ เอ่อ...อือม...” คราวนี้ เทียนอี้ไปไม่เป็น เพราะว่าเขายังไม่เคยชอบสาวคนไหน เอาจริงๆก็แทบไม่สนใจด้วยซ้ำไป...เขามีเสด็จน้าจื้ออยู่แล้ว...จะไปสนทำไม...เสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ...
“ เรากลับไปฝ่ายหน้ากันก็ได้” ครั้นพระมาตุลาหนุ่มลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน ฮ่องเต้น้อยก็เห็นสัตว์ตัวหนึ่งวิ่งบนยอดไม้สูงแล้วกระโดดไปอีกต้นหนึ่ง เทียนอี้จึงมองตาม ก่อนจะวิ่ง
“ เจ้าตัวอะไรนะ มานี่สิ” เด็กหนุ่มตะโกนร้อง ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงเริ่มรู้สึกว่า
...งานเข้าแน่ๆ...ฮ่องเต้น้อยของข้า...ที่ยังไม่ยอมโตซักที...อายุเป็นเพียงตัวเลขแท้ๆ...
~*~*~*~*~*~
จบไปหนึ่งตอนนะคะ สำหรับหนูเทียนเอ๋อร์กับเสด็จน้าจื้อ พอน่ารักไหมคะ ><
สงสารเทียนเอ๋อร์หน่อยๆ เพราะแม่เค้าไม่สนใจเลย...เฮ่อ.... T^T
ติดตามดูรูปน้าจื้อที่เพจนี้กัน
ตัวอะไรน่าที่อยู่บนยอดไม้?? ตอนหน้าเจอกันค่า ^__^
ความคิดเห็น