ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระมาตุลาคู่บัลลังก์:The Prince Uncle ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #13 : ความทรงจำที่ผ่านมา

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 59



    ตอนที่ 13 : ความทรงจำที่ผ่านมา


    หลังการประสูติพระโอรสองค์แรกของฮ่องเต้เสวียนเหวินตี้ ทำให้หนุ่มน้อยหลี่หยางจื้อนั้นได้มีโอกาสมาร่วมแสดงความยินดีกับพระเชษฐภคินีของเขา เพราะนางเป็นฮองเฮาองค์เดียวขององค์จักรพรรดิและหลานชายของเขาจะได้เป็น “ไท่จือ” หรือเจ้าชายรัชทายาทที่เฝ้ารอคอยกันมานานหลายปี สำหรับเด็กหนุ่มที่กำลังศึกษาอยู่ในสำนักเรียนภูผาหลันเซิง ซึ่งเป็นสำนักเรียนวิทยายุทธแห่งนครฉางหลิง เขานั้นได้รับอนุญาตจากเล่าซือหรือท่านอาจารย์ให้นำของขวัญล้ำค่ามาแสดงความยินดีต่อพระโอรสองค์น้อยแห่งฮ่องเต้ด้วยความจงรักภักดีของสำนักวิชาที่จักรพรรดิทรงอุปถัมภ์


    ร่างสูงเพรียวของหลี่หยางจื้อนั้นอยู่ในชุดนักศึกษาสีขาวอมฟ้า แถบปลายเสื้อและกางเกงเป็นสีดำ ทว่าศีรษะนั้นยังสวมหมวกสีดำสูงอยู่ เขาคิดว่าจะต้องไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ พบท่านพี่หญิงของเขา อีกทั้งทารกน้อยที่กำเนิดใหม่แล้วด้วย...ยังไม่รู้ว่า ฝ่าบาทจะประทานพระนามของพระโอรสของพระองค์เองว่าอะไร....


    หนุ่มน้อยถอนหมวกแล้วสะบัดไปมาเพื่อลดความร้อนของอากาศในยามนี้


    ฟุ้ย...ฟุ้ย...อากาศร้อนในช่วงนี้...ทำให้เหงื่อไหลตลอดเวลาเลยนะ...


    ว่าแล้ว หลี่หยางจื้อก็หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาจากย่ามพร้อมกับใช้พู่กันเติมลงในขวดหมึก


    เขียนตัวอักษรที่เข้าจะถวายองค์รัชทายาทของจักรพรรดิที่เคารพดังบิดาบังเกิดเกล้า


    หลี่หยางจื้อก็รู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องเขาอยู่ไม่ห่าง แล้วมันก็เป็นความจริง...


    ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นในชุดทหารสีน้ำตาลปนทอง เขาสวมกวานสูงสีทองซึ่งบ่งบอกว่าเขาอยู่ในสกุลขุนนางชั้นสูง ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วหนาเรียวเหนือสายตาเรียวดังพญานกอินทรี รับกับเคราบางรอบคาง แถมสายตาเจ้าเล่ห์ที่พาเหล่าสตรีงามทั้งแท้และไม่แท้หลอมละลายได้ในบัดดล...เขาคือ มู่หรงซู่ บุตรแห่งสมุหกลาโหม มู่หรงเฉิน...เขาเป็นทายาทคนต่อไป ที่จะได้ครองตำแหน่งแม่ทัพเอกของนครฉางหลิง แคว้นเหวิ่นอย่างเต็มภาคภูมิ


    หลี่หยางจื้อประหลาดใจนักที่ไม่ได้พบกับชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มตรงหน้าของหลี่หยางจื้อก็เหมือนตะลึงงันไม่แพ้กัน...งดงาม...ช่างงดงามนัก...ทำไมข้าถึงได้เห็นเทพบุตรองค์น้อยเบื้องหน้าของข้าด้วย...ผิวพรรณขาวผ่องดังแสงจันทรากระทบหิมะ... เรือนผมสีดำขลับยาวสลวยดกหนามัดเกล้ากลางกระหม่อมดังหมึกได้ละลายลงบนศีรษะกลมได้รูปสวย...ใบหน้างดงามราวกับหยกสลักชั้นดีแล้วริมฝีปากแดงเรื่อสดใสดังทาด้วยชาดอ่อนๆ...น่าจุมพิตเสียเหลือเกิน...


    ...น่าเสียดายนัก ความงามล้ำเลิศดังภาพเขียนของจิตรกรเอกต้องมาอยู่ในเสื้อผ้าที่ดูแสน...


    ...แสนกระจอกนักหนาในความคิดของมู่หรงซู่...ชายหนุ่มพยายามนึก...


    ...หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือ ปันอัน...บุรุษนักปราชญ์รูปงามที่สุดในตำนานกลับชาติมาเกิดกันเล่า...


    มู่หรงซู่ก็ไม่ใช่บุรุษพรหมจรรย์ เพราะเขานั้นเชยชมการร่วมอภิรมย์ในหอคณิกาก่อนเข้าพิธีวิวาห์เสียอีก...แล้วเขาก็หย่าร้างกับภรรยาไปเมื่อสองเดือนเท่านั้น...แม้จะรู้สึกคิดถึงนางอยู่...หากว่า หนุ่มน้อยผู้นี้นั่นแหละ...ทำให้หัวใจของเขาเต้นสั่นดังกลองในสนามรบไปหมดแล้ว...


    ...ถ้าได้ร่างบอบบางนั้นมาอยู่ในอ้อมกอดเสียล่ะ...จะดีไหม เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ดูมีอายุไม่เกินสิบหกหรือสิบเจ็ดปี...ยังนับว่า ยังเยาว์วัย เพิ่งผ่านพิธีสวนกวานบนศีรษะด้วยล่ะมั้ง...


    ยินดีที่ได้พบเจ้า...บัณฑิตหนุ่มน้อย” มู่หรงซู่เริ่มทักทายก่อน


    หากว่า ดวงตาเรียวกลมคู่นั้นกลับแสดงถึงความไม่วางใจต่อชายหนุ่มหน้าเข้มผู้นี้เลย..


    ขออภัย ได้โปรด อย่าเรียกว่า บัณฑิต ข้ายังไม่จบการศึกษาในสำนักของข้า แล้วท่านคือใคร”


    ข้ามีนามว่า มู่หรงซู่ บุตรแห่งสมุหกลาโหมคนปัจจุบัน แล้วเจ้าล่ะ หนุ่มน้อย เจ้าเป็นใคร ถึงได้เข้ามาในวังหลวง ทั้งที่แต่งกายเป็นนักศึกษาแสนธรรมดา...ไม่เหมาะสมกับเจ้าเลยนะ”


    อะไรกัน! อย่าตำหนิชุดเครื่องแบบจากสำนักศึกษาของข้านะ”


    ดวงตาแสนสวยคู่นั้นแสดงความเคืองใจนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มผู้มีร่างสูงกว่าหัวเราะ


    ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง เจ้าก็แนะนำตัวมาสิ...หนุ่มน้อยคนสวย...”


    น้ำเสียงทุ้มของมู่หรงซู่เข้มขึ้น แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ตอบอย่างไม่เกรงกลัว


    หลี่หยางจื้อ คือนามของข้า ข้าเป็นบุตรของท่านอ๋องหลี่หยางเหวิน พระมาตุลาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกับสนมรองของเขา...”


    ดวงตาเรียวสวยของเด็กหนุ่มหม่นลง เมื่อกล่าวถึงท่านแม่ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว...


    อ๋องหลี่หยางเหวินงั้นหรือ...” ชายหนุ่มผุ้มีอายุมากกว่าพึมพำ


    ข้าได้ยินกิตติศัพท์มาว่า เป็นอ๋องที่โปรดสุรานารี เป็นชีวิตจิตใจนี่เอง...


    ไม่น่าเชื่อว่า ท่านอ๋องขี้เหล้าแบบนั้นจะมีบุตรชายงดงามเพียงนี้ได้


    เช่นนั้น เจ้าก็คือ องค์ชายหลี่หยางจื้อ ผู้อยู่ในอุปการะของฝ่าบาทนะหรือ”


    แล้วแต่ท่านดำริแล้วกัน”


    มู่หรงซู่ปรายยิ้มกว้าง “ ฮองเฮาหลี่เหยียนฮวา ก็คือพี่สาวแท้ๆของเจ้า...อา...ข้าคงต้องคารวะเสียแล้วกระมัง...องค์ชายหลี่หยางจื้อ...”


    ครั้นชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าจะคารวะ องค์ชายหลี่หยางจื้อก็ห้ามเสีย


    อย่าเลย ท่านมู่หรง ท่านมีตำแหน่งข้าราชการแล้ว แต่ข้ายังไม่มี เพราะข้าเป็นเพียงนักศึกษา...ข้ายังต้องสอบผ่านก่อนจะกลับมาเป็นเสวียซื่อหรือขุนนางของวังหลวงแห่งนี้”


    ถ่อมตนเสียด้วยหรือ...ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากหนาของตน ยามจับจ้องพวงแก้มนวลผ่องน่าจุมพิตนั้น...


    ...ถ้าได้จุมพิตซักฟอดสองฟอดจะเป็นอะไรหรือไม่...แววตาจับจ้องนั้น ทำให้ฝีเท้าบางของหนุ่มน้อยเริ่มถอยหลังลง...


    ท่านมู่หรง อย่าได้มองข้าด้วยสายตาแบบนี้”


    อะไรเหรอ องค์ชายหลี่” ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม “ ข้ามองท่านด้วยสายตาแบบไหนกันล่ะ”


    ข้าไม่ชอบสายตาที่จับจ้องข้ามากเกินไปของท่านแล้วกัน!”


    เถียงเก่งเสียด้วย...น่ารักจริงๆ...น่ารักกว่า ผู้หญิงที่ข้าเคยพบเป็นไหนๆ...


    ครั้นพอชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อใกล้ร่างในชุดนักศึกษาของหลี่หยางจื้อ เพื่อหวังว่าจะทำให้ร่างบอบบางนั้นหลงใหลในความหล่อเหลาสมชายชาญของตน


    ก็ได้ยินเสียงทักแสนสดใสของบุคคลหนึ่ง


    คุณชายมู่หรง! หยางจื้อ!”


    ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้หนึ่งขานชื่อของสองบุรุษ เขาอยู่ในชุดสีน้ำเงินครามประจำราชสำนักแห่งวังหลวง ใบหน้าของเขางามคม ประกอบดวงตากลมโตดังดวงตาของลูกกวางน้อยในพนาไพร แม้ว่าเรียวจมูกโด่งใหญ่และคิ้วเข้มจะดูสมชายชาตรีมากกว่าหลี่หยางจื้อ ประกอบกับสง่าราศีที่บ่งบอกว่าเขาต้องเป็นเชื้อพระวงศ์แน่แท้...ฝ่ายมู่หรงซู่ก็จับจ้องใบหน้าหมดจดของชายหนุ่มผู้มาทัก แล้วก็รำพึงว่า เหล่าเจ้าชายเชื้อพระวงศ์จ้าวนี่งดงามน่ารักน่าใคร่กันหมดหรืออย่างไรนะ...แล้วความกำหนัดก็เกิดขึ้นในห้วงแห่งจิตสำนึกของเขา...อยากได้เสียจริง...อยากได้หมดเลย...


    ท่านพี่อ๋องอิงหลิว” หลี่หยางจื้อเร่งเก็บกระดาษและเครื่องเขียน แล้ววิ่งกลับไปยังชายหนุ่มผู้มาอายุมากกว่าตนเพียงสามปี “ ข้าดีใจทีี่ท่านเรียกข้าได้เหมาะสมมาก”


    อะไรเล่า เสด็จพี่...ฝ่าบาทรับสั่งให้เจ้าไปหาฮองเฮา แล้วก็...หลานชายของเราไง”


    ข้ารู้ดี ท่านพี่อ๋องห้า แล้วข้าจะได้อุ้มเขาไหม...” ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏรอยยิ้มให้เห็นขึ้น ฝ่ายพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้กยิ้มตามด้วยความสุขใจ ขณะที่บุตรชายของแม่ทัพเอกแห่งนครฉางหลิง ก็เริ่มคิดด้วยดำริอกุศลขึ้น...


    ...หนุ่มน้อยหลี่หยางจื้อ องค์ชายผู้นี้น่าสนใจกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ท่าทางสนิทสนมได้ดีกับชายหนุ่มคนนี้ด้วย...งดงามไม่แพ้กัน...แต่ข้าชอบบุคลิกขัดขวางข้าแต่แรกเห็นของหลี่หยางจื้อมากกว่า...

    ...ไม่มีใครกล้าปฏิเสธข้าตั้งแต่แรกเห็น เพราะความหล่อเหลาของข้า...มีเพียงเจ้าเด็กคนนี้!...


    เจ้าพบคุณชายมู่หรงแล้วแนะนำตัวแล้วสิ”


    ก็ทำนองนั้น...เอาเถอะ! ข้าอยากเข้าไปในวังแล้วล่ะ”


    คุณชายมู่หรง พวกข้าต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน แล้วพบกัน”


    จ้าวอิงหลิวรับสั่ง แล้วจูงหัตถ์บางขององค์ชายผู้มีอายุน้อยกว่าตนขึ้นระเบียงของตำหนัก


    ทูลลา พระอนุชาและองค์ชายหลี่ พะย่ะค่ะ”


    ...หลี่หยางจื้อ...นามก็ไพเราะสมกับหน้าตาเหมือนกัน...ปัญญาสว่างดังดวงตะวัน...


    ...วันหนึ่ง...ถ้าเป็นไปได้...ข้าจะได้เจ้ามาเคียงคู่ประดับบารมีของข้าให้ได้ด้วยตนเอง...


    มือแกร่งของมู่หรงซู่จับดอกแพงพวยข้างกายแล้วเด็ดมันด้วยอารมณ์คุกรุ่นในใจ...


    ผ่านไปถึงสิบหกปีแล้ว...


    ฝ่ายพระมาตุลาหลี่หยางจื้อเองก็ไม่ลืมสายตาน่ารำคาญของเจ้าแม่ทัพคนนั้นได้!


    แล้วท่าทางจะไม่เลิกมองข้าแบบนั้นตลอดชีวิตด้วย!


    ~*~*~*~*~*~


    หลังจากนั้น ฮ่องเต้องค์น้อย นามว่า จ้าวเทียนอี้ ก็มานั่งบนบัลลังก์มังกรทองโดยที่พระมาตุลาหนุ่มประทับนั่งบนเก้าอี้ฝ่ายขวาเคียงกาย และเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เมื่อเสนาบดีทั้งหมดต่างถวายบังคมโดยการคุกเข่าลงต่อองค์จักรพรรดิน้อยและพระมาตุลาอย่างพร้อมเพรียง


    พวกท่านทำไม คุกเข่ากันหมดล่ะเนี่ย” ฮ่องเต้เทียนอี้รู้สึกประหลาดใจ


    พวกท่านล้วนชราแล้วทั้งสิ้น ลุกขึ้นเถิด” พระมาตุลาเสริมด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างจากหลานชาย


    ฝ่ายเสนาบดีถังกราบทูล “ เหล่าข้าพระองค์ต่างได้ทราบข่าวพระมาตุลายอมสละพระองค์เพื่อรับการลงทัณฑ์โบยห้าสิบครั้ง และฝ่าบาททรงเข้ามาปกป้องพระมาตุลาของพระองค์...หากพระมาตุลาซื่อต้ากงอ๋อง กลับทรงปฏิเสธความช่วยเหลือจากพระนัดดาผู้เป็นจักรพรรดิแล้วรับพระราชอาญาแสนศักดิ์สิทธิ์ตามกฎมณเทียรบาล เป็นวีรกรรมที่กล้าหาญ กล้าเสียสละอย่างยิ่งเพื่อรักษาเกียรติยศของราชวงศ์จ้าวแห่งแคว้นเหวิ่น ข้าพระองค์ขอถวายพระพรฝ่าบาทและพระมาตุลา ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปีๆ”


    คราวนี้ ฮ่องเต้องค์น้อยสรวลด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง


    พวกท่านเคารพข้าเช่นไร ก็ขอให้เคารพเสด็จน้าจื้อของข้าเช่นนั้นต่อไปเถอะนะ”


    ฝ่าบาท อย่าพูดเล่นเหมือนเด็กน้อย” หลี่หยางจื้อปราม


    ข้าหมายถึงว่า” เทียนอี้รับสั่ง “ ขอให้ทุกคนในวังหลวงที่อยู่ในที่แห่งนี้ จงบันทึกวีรกรรมของพระมาตุลาอ๋องซื่อต้ากงลงในพงศาวดารประจำรัชกาลของข้า และขอให้ชนรุ่นหลังได้จดจำและเจริญรอยตามคุณธรรมที่น่านับถือของเสด็จน้าหลี่หยางจื้อของข้าต่อไปด้วยเถิด”


    ...เริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อยแล้ว...วันนี้ เทียนเอ๋อร์กล่าวได้สมเป็นจักรพรรดิมาก...


    ...ขอบใจมากนะ เทียนเอ๋อร์...


    หลี่หยางจื้อผงกศีรษะแล้วคำนับรับราชโองการ


    ฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปีๆ” เหล่าขุนนางต่างขานรับดังกังวาน


    จนกระทั่ง เสนาธิการประกาศดังนี้


    ท่านสมุหกลาโหมมู่หรง คุณชายมู่หรงและนักดนตรีเฉียง ขอเข้าเฝ้า!”


    เหล่าขุนนางในท้องพระโรงทุกท่านต่างหลีกทางให้กับร่างสูงใหญ่สมเป็นนักรบในอาภรณ์สีแดงเลือดหมูของมู่หรงซู่ ยามนี้เขาแต่งกายในเครื่องแบบขุนนางพร้อมกับลายพยัคฆ์ใหญ่กำลังคำรามประจำสกุลของเขา โดยมีชายหนุ่มผิวสีขาวปนน้ำผึ้ง มีความสูงน้อยกว่ามู่หรงซู่ประมาณสองนิ้ว เรือนผมเกล้าเป็นหางม้าเหนือศีรษะด้วยรัดเกล้าทอง ยามนี้ยงหลางดูดีขึ้นมากในอาภรณ์สีเขียวเข้ม ลายเดียวกับมู่หรงซู่ ผู้เป็นบิดาบุญธรรมของเขา หากว่าสายตาอ่อนโยนของเขาดูราวกับยังประหลาดใจให้กับความอลังการและผู้คนมากมายในท้องพระโรงแห่งนี้ ฝ่ายเฉียงลิฉินนั้น เขากลับดูงดงามชวนค้นหาราวกับอิสตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินอ่อนประกายทอง ถึงไม่ได้แต่งหน้าตาด้วยเครื่องสำอางใดๆทั้งสิ้น ทุกคนต่างก็ยังมองเข้าด้วยความตื่นตะลึงงันอยู่ดี...ผู้ชายอะไรจะมีหน้าตาสวยเหมือนสตรีขนาดนี้...


    ข้าพระองค์ มู่หรงซู่ ถวายบังคมฝ่าบาท”


    ข้าพระองค์...มู่หรงยงหลาง...ขอถวายบังคม...ฝ่าบาท” ยงกลางยังไม่หายตื่นเต้น


    ฝ่ายเฉียงลีฉินก็ถวายบังคมด้วยลีลาอ่อนช้อย “ ขอถวายบังคม โอรสสวรรค์แห่งต้าเหวิ่น”


    ฮ่องเต้องค์น้อยยิ้มรับ แล้วสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น ขณะที่พระมาตุลาซื่อต้ากงพร้อมกับพระปิตุลาอ๋องเคอโจวก็ยังมองมาที่มู่หรงซู่ พร้อมผู้ติดตามทั้งสองคนอย่างไม่วางใจ


    ท่านสมุหมู่หรง ท่านมีอะไรบอกกับข้าล่ะ”


    ฝ่าบาท ฟากขวานี้คือ บุตรชายบุญธรรมของกระหม่อม และฟากซ้ายคือ นักดนตรีผู้มากความสามารถ นามว่า เฉียงลิฉิน นั่นเอง”


    ฮ่าๆ ท่านมู่หรงไม่ต้องแนะนำหรอก ก็ข้าพบทั้งสองคนแล้ว พี่เฉียงในวันเกิดของข้า เมื่อสัปดาห์ก่อน และก็พี่หลางคนนี้ เมื่อวานไงเล่า ดีใจที่พบท่านพี่ทั้งสองคนอีกครั้งนะ”


    พี่หลางเหรอ...คราวนี้ ยงหลางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิม องค์จักรพรรดิองค์น้อยบนบัลลังก์มังกรเรียกเขาว่า “พี่หลาง” ขนาดท่านพ่อยังเรียกเขาว่า “ยงหลาง” เต็มชื่อเลยนะ...


    ฝ่าบาท ขอให้เรียบร้อยด้วยเถิด” พระมาตุลาหนุ่มรับสั่งเสียงขรึม


    คราวนี้ องค์จักรพรรดิน้อยตอบว่า “ เสด็จน้าจื้อ ข้าแค่ทักทายเพื่อไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นเกินไป”


    พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการจึงกล่าวต่อผู้อยู่เบื้องล่างทั้งสามคน


    ท่านมู่หรง ท่านนำบุตรชายของท่านและนักดนตรีของท่าน มาเพื่อการอันใดเล่า”


    กระหม่อมจะขอลาไปดูแลกองทหารในชายแดนส่วนใต้ และนำบุตรชายเพื่อเข้ารับราชการเป็นผู้ดูแลส่วนทหารภายในนครฉางหลิงสนองคุณแห่งองค์จักรพรรดิแทนกระหม่อม และเฉียงลีฉิน เป็นนักดนตรีผู้มากความสามารถมารับราชการฝ่ายมโหรีพระเจ้าค่ะ”


    ท่านอ๋องเคอโจวหรือท่านอ๋องห้าคิดว่า หลี่หยางจื้อจะปรามพวกเขา...แต่ว่า สายตาของพระมาตุลาหนุ่มผู้เป็นที่รักของฮ่องเต้กลับมีบางอย่างที่คาดเดาได้ยากยิ่ง...ขนาดเติบโตมาด้วยกัน ท่านอ๋องห้าก็ยังไม่อาจอ่านสายตาของหลี่หยางจื้อได้...


    มู่หรงยงหลาง ชายหนุ่มผู้นี้นะหรือ บุตรชายของท่าน ไม่ค่อยเหมือนท่านเท่าไหร่เลยนะ”


    เขาเป็นบุตรบุญธรรมของกระหม่อม พระมาตุลา”


    นักรบหนุ่มแสนองอาจทั้งสนามรบและสนามรัก ไม่มีบุตรชายสืบสกุลด้วยตนเองหรือไร...”


    ทุกคนในท้องพระโรงอ้ำอึ้ง แม้แต่เทียนอี้เองก็ประหลาดใจในวาทะแสนตรงไปตรงมาของน้าชาย


    คราวนี้ มู่หรงซู่รู้สึกเจ็บใจนัก...ได้ทีก็ยอกย้อนข้า...หลี่หยางจื้อ...


    ทีตัวเอง...หลงหลานคนนี้จนน่าหมั่นไส้..อย่ามาดูถูกยงหลางของข้าแล้วกัน!


    หามิได้ พระมาตุลา...” แม่ทัพหนุ่มรับสั่ง “ เด็กผู้นี้เป็นบุตรบุญธรรมของกระหม่อมก็จริง แต่เขาก็ได้รับความรักจากข้า และความสามารถในการรบศึก...เขาเป็นบุรุษวัยยี่สิบปีที่ฉลาดหลักแหลม...และเป็นความหวังแห่งสกุลมู่หรงของกระหม่อมพระเจ้าค่ะ”


    แล้วเฉียงลีฉินเล่า เจ้ายินดีเป็นฝ่ายมโหรีของวังฝ่ายหน้าหรือไม่”


    นักดนตรีหนุ่มหน้าสวยก็กราบทูล “ กระหม่อมผู้นี้ยินดีเข้ามารับราชการในวังหลวง เป็นพระกรุณาอย่างหาที่สุดมิได้สำหรับสามัญชนธรรมดาเช่นกระหม่อม”


    งั้นก็ดีเลย ข้าต้อนรับพวกท่านนะ!” ฮ่องเต้องค์น้อยตบหัตถ์อย่างยินดี


    ...แต่ว่าพระมาตุลาหนุ่มยังส่งสายตาตำหนิ...เทียนเอ๋อร์ ทำองค์ให้เรียบร้อยหน่อยเถอะ...


    ขณะที่สายตาของมู่หรงยงหลางได้สบกับดวงตากลมโตไร้เดียงสาของฮ่องเต้องค์น้อย


    ...คราวนี้ เทียนอี้ก็รู้สึกหน้าแดงเหมือนกัน...ทำไม เขาถึงดูดีขึ้นกว่าเมื่อวาน หรือเพราะเครื่องแบบบุตรแห่งขุนนางที่เขาสวมอยู่ทำให้ยงหลางคนนี้สง่างามขึ้น...แต่ก็ดูซื่อๆน่าแกล้งดีแฮะ...


    ...ชายหนุ่มก็รู้สึกว่า ตนเองไม่สมควรจับจ้องฮ่องเต้องค์น้อยนานเกินไป จึงหลบสายตาด้วยความละอาย...พยายามระงับความตื่นเต้นของตนเองไว้


    ฝ่ายหลี่หยางจื้อนั่นยังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอย่างสง่างาม...


    ...ลูกบุญธรรมของมู่หรงซู่...ก็สมควร...ภายนอกของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีอะไรเหมือนเจ้าแม่ทัพที่ชอบมา


    หื่นกามใส่ข้าเลย...และจัดว่าหน้าตาดีแบบคนเรียบร้อยและซื่อตรง...น่าจะพอเป็นประโยชน์ได้บ้าง...


    ...แต่ว่า ทำไมเขาถึงมองเทียนเอ๋อร์ด้วยความสนใจเล่า...อย่าประพฤติคล้ายบิดาของเจ้าเลย...


    ...มู่หรงยงหลาง บุตรแห่งมู่หรงซู่...


    ~*~*~*~*~*~


    วันนี้มาส่งหนุ่มใหม่เข้าวังเต็มตัวค่ะ ฮี่ๆ ช่วงนี้เหนื่อยนะคะ แถมมีสอบด้วยแหละ


    เอาน้าจื้อสมัยเท่าเทียนเอ๋อร์มาฝากด้วยแหละ คงถูกใจกันนะ ฮี่ๆ


    เราจะได้เห็นมาดใหม่ของเสด็จน้าจื้อกันแล้วนะคะ >///<



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×