ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระมาตุลาคู่บัลลังก์:The Prince Uncle ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #5 : พิธีสวมกวาน

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 60




    บทที่ 3 : พิธีสวมกวาน


    สมุหกลาโหมมู่หรงซู่หงุดหงิดใจนักหนาที่โดนผู้สำเร็จราชการพระมาตุลาหลี่หยางจื้อเหยียบเท้าของเขาซะจนเป็นแผลฟกซ้ำ แล้วในใจของเขาก็เริ่มทั้งเคืองแค้นและปรารถนาในผู้สำเร็จราชการมากขึ้นเท่านั้น


    ...หลี่หยางจื้อ...หลี่หยางจื้อ...อย่างไรเสีย ชาตินี้ข้าจะต้องได้เจ้ามาเชยชมบนเตียงให้ได้...


    จมูกหนาของมู่หรงซู่ยังโหยหาความหอมอบอวลจากเกศาดำขลับยาวสลวยนั้น


    ข้าจะยอมได้เช่นไร...ข้าเป็นถึงสมุหกลาโหม เป็นแม่ทัพเอกแห่งแคว้นเหวิ่น


    ...แต่เจ้ากับอ๋องห้าก็แค่พี่เลี้ยงเด็กกำพร้าพ่อ หึๆ ถ้าข้าใช้อำนาจทางทหารถล่มพวกเจ้า...


    ...มันก็จะง่ายขึ้นมาก...ยามข้ากุมตัวหนูน้อยมังกรทองจ้าวเทียนอี้ของเจ้า...


    ...เจ้าต้องร้องขอความเมตตาจากข้า แล้วข้าก็นำเจ้ามาเสพอภิรมย์ไปจนตลอดชีวิต...


    ...ถ้าข้าได้ขึ้นครองแผ่นดิน เจ้าจะได้ครองตำแหน่งเป็นจักรพรรดินีของข้าไงล่ะ ฮ่าๆ...



    มู่หรงซู่คิดแผนง่ายไปหรือไม่ แต่ถ้ารีบทำแบบนั้น เขาก็ก้าวสู่ความตายโดยง่ายเหมือนกัน


    แผนยุทธการในสงคราม มันก็ควรเอามาใช้ในวังหลวงนี้ได้เหมือนกัน...


    โจมตีจากภายใน แล้วนำภายนอกเข้าทำลายมัน!



    จนกระทั่ง เขาได้สั่งให้คนรับใช้ให้ตามบุคคลหนึ่งมาพบเขาในห้องทำงานส่วนตัว


    ...แขกผู้มาเยือนนั้น...ดูไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ เพราะร่างนั้นบอบบาง...


    ...ผิวซีดขาวราวกับกระดาษ และใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางมาเป็นอย่างดี...


    ...มือซ้ายนั้นประคอง ผีผา ซึ่งเป็นเครื่องพิณที่มีความไพเราะและต้องใช้ฝีมือในการเล่นระดับสูง...


    ริมฝีปากหนาประดับหนวดเคราของแม่ทัพหนุ่มปรายยิ้มออกมาได้แล้ว...


    ~*~*~*~*~*~


    อรุณรุ่งแสนงดงามของการเข้าพิธีสวมกวานครั้งแรกของจ้าวเทียนอี้หรือเฉวียนหวังตี้ฮ่องเต้

    เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักรู้สึกยินดีนีกที่ได้สวมอาภรณ์สีขาว เรือนผมสีดำมัดเกล้าเหนือศีรษะจากฝีมือของพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ แน่นอนว่า เสด็จน้าพระองค์นี้จัดแจงเกศาของเจ้าหลานซะจนเรียบร้อย แทบไม่มีเส้นผมออกมารุ่ยร่ายออกมาได้เลย สำหรับแคว้นเหวิ่น เด็กหนุ่มมีอายุได้สิบหกปีจะได้รับการสวมกวาน เป็นครั้งแรกจากทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรกเรียกว่า สือเจีย หมายถึงการเริ่มต้นวัยผู้ใหญ่ แต่ยังต้องพัฒนาตนเองต่อไป ทว่าอาการตื่นเต้นของฮ่องเต้ระงับไว้ไม่อยู่เหมือนกัน เมื่อได้พบพระญาติทุกพระองค์

    หน้าลานพิธี เพราะพระญาติผู้มีพระชนมายุมากที่สุดอย่างพระหมื่นปีอู๋เซียง พระมารดาเลี้ยงที่ยังพระชนม์ชีพของพระบิดาผู้ลาลับไปแล้วก็เสด็จมา แม้จะมีพระชนมายุถึงแปดสิบห้าพรรษาแล้ว


    เสด็จย่า!” จ้าวเทียนอี้เสด็จไปรับพระอัยยิกาซึ่งเป็นสตรีชราในอาภรณ์สีเทาม่วง ทรงถือไม้เท้าใหญ่ ประคองกาย พระนางมีเกศาขาวโพลน และหลังค่อม ทั้งต้องมีนางกำนัลสาวใหญ่ประคองเพื่อให้ดำเนินไป ซึ่งกระนั้นพระองค์ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของฮ่องเต้น้อยได้


    ซือเทียน...เจ้าเอง...หรือ...”


    เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งเมื่อพระอัยยิกาทรงเรียกเขาด้วยนามเดิมของพระบิดา


    เออ...”


    เจ้าอ้วนหรือเปล่านะ ซือเทียน...” หัตถ์เรียวย่นประคองต้นแขนของเทียนอี้ แม้ว่าทรงสั่นเล็กน้อย


    เด็กหนุ่มจึงหันไปหาพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ ชายหนุ่มเปรยรอยยิ้มจางๆ เทียนอี้ยอมเข้าใจแล้ว


    ลูกคิดถึงเสด็จแม่อู๋เซียงมากเลย”


    นางสรวล แล้วประคองดวงหน้านวลของเทียนอี้ “ แม่ก็คิดถึงเจ้า..อือม..มาก”


    ขณะนั้นเอง พระพันปีหลี่เยียนฮวาก็รู้สึกละอายพระทัย ทำอย่างไรได้ นางต้องรักษาภาพลักษณ์ของพระพันปีไว้ให้มั่นคง ใช่ว่า นางไม่ได้ต้องการใกล้ชิดโอรสผู้เป็นฮ่องเต้ของนาง แต่ว่าความเจ็บปวดในอดีตบางอย่างที่นางไม่อาจลืมได้...ทำให้นางไม่ต้องการใกล้ชิดเทียนอี้...แม้แต่หยางจื้อผู้เป็นน้อง...


    เมื่อเข้าสู่พิธีการแล้ว จ้าวเทียนอี้พร้อมสมาชิกในราชวงศ์และเหล่าขุนนางทั้งหมดต้องทำความเคารพต่อเทพยดาทั้งฟ้าดินและพระราชวังแห่งนครฉางหลิง จนไปถึงการแสดงความเคารพต่อเหล่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนจนกระทั่งถึงพระบิดาของจ้าวเทียนอี้เอง


    หลังจากนั้น เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายผู้มีพระชนมายุสูงที่สุดคือ อ๋องหนิงหลี่เคอ หรือพระปิตุลาอันดับสอง ผู้ทรงเข้าวัยหกสิบแล้วก็ทรงแสดงความเคารพต่อพระนัดดาผู้เป็นฮ่องเต้


    หม่อมฉันดีใจที่ได้พบเสด็จอาสองด้วย พระเจ้าค่ะ”


    หลานรัก” รอยยิ้มของท่านอ๋องผู้อาวุโสกว้างขึ้น เมื่อประคองไหล่บางของหลานชาย


    ฝ่ายพระปิตุลาอ๋องห้าและพระมาตุลาเองก็สนทนากับท่านอ๋องผู้ทรงวัยสูงสุดในฝ่ายบุรุษ


    เขาเติบโตขึ้นมาก พี่ไม่ได้เห็นเขาบ่อย เพราะสุขภาพไม่ค่อยดี ถึงต้องอยู่แต่ในตำหนักของตัวเอง”


    เสด็จพี่สอง สบายพระทัยเถิด เทียนอี้เข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว อีกไม่กี่ปี เขาจะได้เป็นจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์พร้อมด้วยอำนาจและบารมี พวกเราก็ไม่ต้องห่วง”


    อิงหลิว” ท่านอ๋องสองรับสั่งต่อพระอนุชาต่างมารดาซึ่งห่างกันถึงยี่สิบห้าปี คนทั่วไปก็คิดว่า ทั้งสองพระองค์เป็นพ่อลูกกันมากกว่าพี่น้อง


    อิงหลิวกับหยางจื้อ เจ้าทั้งสองต่างได้รับหน้าที่ดูแลฮ่องเต้น้อยตามเสด็จพี่ผู้ลับลาไป...อือม...สิบปีแล้วนะ...ที่ข้าเห็นพวกเจ้าอยู่กับเทียนอี้...เด็กคนนั้น สูงขึ้น โตขึ้น แต่พวกเจ้าก็ยังคงเดิม”


    หลี่หยางจื้อจึงกราบทูลท่านอ๋องอาวุโส “หม่อมฉันทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้อะไรที่เป็นเรื่องร้ายเกิดกับฝ่าบาท”


    ขอบใจนะ หลี่หยางจื้อ ถ้าเสด็จพี่ทรงอยู่คงพอพระทัยต่อวาจาของเจ้าเป็นแน่”


    ท่านอ๋องห้าเองก็แย้มยิ้มตาม เมื่อเห็นแววตาสดใสของหลี่หยางจื้อ เขาเองก็พอใจนัก


    พอใจที่จะแอบรักหลี่หยางจื้อแบบเงียบๆ...แบบนี้ต่อไป...


    เมื่อเสียงดุริยางค์ดังขึ้น เชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์และขุนนางสำคัญแห่งวังหลวง


    ต่างหมอบกราบลงฮ่องเต้องค์น้อยก็หยิบกวานทองคำขึ้นมาสวมแล้วประดับบัลลังก์


    พร้อมเสียงสดุดีดังกังวาน “ เสวียนหวังตี้! ขอทรงพระเจริญหมื่นๆปี !”


    ~*~*~*~*~*~


    หลังจากนั้น การแสดงร่ายรำแสนตระการตาในฉลองวันประสูติและพิธีสวมกวานก็ตามมาเพื่อให้ฮ่องเต้องค์น้อยในอาภรณ์ขาวผ่องดังแสงจันทร์กระทบหิมะสบายพระทัย


    วันนี้ก็ไม่ต้องมีการเรียนหนังสือและการบ้าน...แน่นอนว่า เทียนอี้พอใจเป็นอย่างยิ่ง...


    พอเสร็จพิธีนี้ จะไปหาอะไรสนุกๆเล่นกับเสด็จน้าจื้อและเสด็จอาหลิวดีกว่า!...


    ดวงตาสีนิลส่องประกายของพระมาตุลาหนุ่มยังมองแผ่นหลังกว้างของเจ้าสมุหกลาโหม


    ด้วยความไม่ไว้วางใจนักเลย...ถ้าเจ้านั่นแตะต้องข้าอีก ข้าจะเอาให้หนักแน่!


    หยางจื้อ เจ้าเคร่งเครียดอะไร วันนี้เป็นวันมงคลของเทียนเอ๋อร์นะ”


    อ๋องจ้าวอิงหลิวถามอีกครั้ง ดวงพักตร์งามคมคายบ่งบอกถึงความห่วงใย


    พี่อิงหลิว ข้ากำลังเฝ้ามองความเป็นไปของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังดักเหยื่อ”


    พยัคฆ์ร้ายนะหรือ...เจ้าหนวดเครานั้น...”


    ใช่แล้ว พี่อิงหลิว ได้โปรดระวังเขาด้วย”


    ท่านอ๋องหนุ่มจึงตอบ “ พี่เข้าใจแล้ว พี่จะไม่ให้เขามาแตะต้องฟงเอ๋อร์เช่นกัน”


    ดวงเนตรของอ๋องอิงหลิวก็เฉียบคมไม่แพ้กัน ทั้งสองต่างไม่วางใจแม่ทัพเอกแห่งแคว้นเหวิ่น


    ซึ่งเสแสร้งสนทนากับเหล่าขุนนางผู้เฒ่าคนอื่นๆ ที่มีปัญญาไม่ฉลาดนักเพื่อให้หลงเชื่อตน


    หลังจากนั้น เลขาธิการแห่งวังหลวงก็ได้ประกาศผู้ที่จะมาแสดงดนตรีคนต่อไป



    เปิดตัว เฉียงลีฉิน นักดีดพิณ”


    แล้วผู้คนทั่วทั้งลานพิธีต่างตกตะลึง เมื่อได้เห็นร่างบอบบางในอาภรณ์แดงยาวสยายจรดพื้น


    ใบหน้างดงามรูปทรงหัวใจ เรือนผมประดับดอกท้อชมพูและปิ่นสีเงิน ดวงตาดำเรียวดังเมล็ดข้าวได้รูปสะสวย ริมฝีปากแดงจัดราวกับชุบชาดจนเหมือนกลีบกุหลาบแท้มากกว่าปากของมนุษย์


    เขาเป็นบุรุษหรือ...แต่ทำไมช่างดูคล้ายคลึงอิสตรีนัก...แถมงดงามเสียด้วย...


    หลี่หยางจื้อคิดในใจ ขณะมองหลานชายฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้ ซึ่งก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน


    เสด็จน้าจื้อ...แน่ใจเหรอว่า เขาเป็นผู้ชาย...ทำไม สวยกว่าผู้หญิงนัก...”


    น่าประหลาดจริง...เขาผู้นี้เป็นใคร...”


    หลี่หยางจื้อรำพึง เมื่อดวงตาเรียวงามได้เห็นร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงนั้นกำลังดีด ผีผา ด้วยรอยยิ้มงามแสนประหลาด แถมกล่าวบทกวียอพระเกียรติถวายฮ่องเต้น้อยด้วยน้ำเสียงแสนไพเราะ



    พระบารมีเหนือกษัตริย์ใดในหล้า

    แคว้นเหวิ่นเหลือคณามหาศาล

    สวรรค์ได้ประทานโอรสในมงคลกาล

    ให้ทวยราษฎร์ทั่วทุกย่านสุขร่มเย็น


    พระพักตร์งามเยาว์น่ายลสมสมร

    พระกรแก้วทรงสวยสะอาดศรี

    พระจริยาวัตรงามล้นสุขเปรมปริดิ์

    พระภูมีดนัยน้อยทรงพระเจริญ


    ...เป็นบทกลอนที่ชมข้าได้เพราะมากๆเลย...เจ้าวทียนอี้คิดแล้วก็ปรบมือดังลั่น


    จึงทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายปรบมืออย่างพร้อมเพรียง กระนั้นพระมาตุลาหนุ่มผู้สำเร็จราชการกลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์มาอีกครั้ง เมื่อนักดีดพิณรูปงามได้คุกเข่าลง พร้อมกับกล่าวว่า


    เกล้ากระหม่อมมีนามว่า เฉียงลีฉิน ขอถวายพระพร พระเจ้าค่ะ”


    เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าชอบกลอนของเจ้า” ฮ่องเต้หนุ่มน้อยสรวลด้วยความพอใจ


    แล้วริมฝีปากงามของนักดีดพิณผีผาก็ปรายรอยยิ้มชวนมองนักหนา ขณะที่มู่หรงซู่ สมุหกลาโหมหรือแม่ทัพหนุ่มก็ผายเรียวมือกว้าง


    กระหม่อมได้เชิญนักดนตรีผู้งดงามคนนี้มาถวายพระพรองค์ฮ่องเต้พระเจ้าค่ะ”


    เหล่าขุนนางต่างพากันมองและชื่นชมท่านมู่หรงซู่ที่แสดงความจงรักภักดี ฝ่ายจ้าวอิงหลิวกับหลี่หยางจื้อต่างใช้สายตาอย่างคาดคะเน โดยเฉพาะหลี่หยางจื้อ...สายตาเย้ายวนของเจ้ามู่หรงซู่ยังปรากฏให้เห็นอยู่...เจ้าคิดนำบุรุษหน้าสวยคนนี้มาทำอะไรในวันเกิดของหลานชายข้า...


    ข้าต้องขอบใจ ท่านมู่หรงมาก และข้ายินดีที่พบเจ้าด้วยนะ ท่านเฉียงลีฉิน”


    ฮ่องเต้น้อยรับสั่งด้วยความอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่าสายตาของนักดีดพิณนั้นจับจ้องเขา...


    เช่นเดียวกันสายตาของแม่ทัพหนุ่มมู่หรงก็มองยังพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ...


    ...สายตาเปล่งประกายที่มีความประสงค์ร้ายแอบแฝง...


    ~*~*~*~*~*~


    ข้าดีใจนักหนาที่ได้สวมกวานเป็นครั้งแรก อาเปา” เทียนอี้นำเจ้ากระรอกน้อยออกจากกระเป๋าไม้ไผ่ที่แอบติดตัวมาด้วย ขณะที่เขายืนกันอยู่ในหน้าลานอาชาประจำวังหลวง เขารู้สึกดีใจที่เสด็จอาหลิวกับเสด็จน้าจื้อชวนเขาไปขี่ม้าเล่นกันในสนามหญ้าแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง


    พระอัยกาหรือเสด็จปู่ของฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้โปรดให้สร้างอุทยานกว้างใหญ่แถมด้วยสนามหญ้าไว้สำหรับฝึกเหล่าพระโอรสทั้งหลายได้ออกกำลังกายและฝึกอาวุธในยามว่างจากราชการ


    ข้อดีของการขี่ม้าก็คือ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเป็นอิสระจากงานหลวงที่ต้องรับผิดชอบกัน


    ฮ่องเต้น้อยก็ได้เห็นบุคคลหนึ่งที่เขาคุ้นเคย ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ งดงามคมคายประกอบกับดวงตาเรียวคมแสดงความจริงจัง ริมฝีปากบางได้รูปสวย เขาอยู่ในชุดองครักษ์สีขาวอมฟ้าและที่รัดผมสีดำยาวสลวยเป็นสีน้ำตาลเข้ม จ้าวเทียนอี้ก็จำได้ดีเลย!


    พี่ฮุยๆ” ร่างเล็กบางของฮ่องเต้่น้อยวิ่งร่าไปยังชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่า


    ชายหนุ่มรีบถวายบังคมโดยพลัน “ ฝ่าบาท...ทรงพระเจริญพระเจ้าค่ะ”


    พี่ฮุย ข้าดีใจที่ท่านมากๆ ท่านไปขี่ม้ากับข้านะ”


    เหอจวิ้นฮุยผู้นี้ น้อมรับบัญชา”


    ข้ารู้น่า พี่ฮุยฟังข้าเสมอแหละนะ ฮี่ๆ เอ้อ!” เทียนอี้แสดงเจ้ากระรอกน้อยหรือสัตว์เลี้ยงตัวใหม่

    ให้เหอจวิ้นฮุยได้ทักทายมันอีกคน ชายหนุ่มประหลาดใจนักที่ว่าฮ่องเต้น้อยจะเลี้ยงกระรอกป่าตัวนี้เหรอเนี่ย...


    พระองค์ทรงเลี้ยงกระรอกด้วยเหรอ ฝ่าบาท” คิ้วเรียวของเขาขมวดลง


    ข้าเรียกมันว่า อาเปา เสด็จน้าตั้งชื่อว่า เปาชิงเทียน ให้มีชื่อคล้ายข้าเลย”


    เหอจวิ้นฮุยจึงทักทายเจ้าตัวน้อย และแปลกใจที่เจ้าเปาชิงเทียนคลานมากอดแขนของเขาด้วย


    ท่าทางของเจ้าเปา ดูชอบพี่ฮุยนะเนี่ย ฮ่าๆ”


    ใบหน้าคมคายขององครักษ์หนุ่มนามว่า เหอจวิ้นฮุย ผู้นี้ยินดีนักที่ได้พบจักรพรรดิน้อย

    รอยยิ้มของจ้าวเทียนอี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมากทีเดียว...เพราะเขาก็รับราชการมาเป็นมหาดเล็กมาแต่สิบขวบ และได้เห็นฮ่องเต้น้อยนี้ ได้เคยวิ่งเล่นกันจนถึงวันนี้...เขาสุขใจที่ได้ใกล้ชิด...


    ...ฮ่องเต้องค์น้อย ดวงพักตร์งามน่ารักดังเทวดา ร่างเล็กที่เขาเคยอุ้มก็มีเค้าความสูงแล้ว...


    ...เหอจวิ้นฮุย จะกล้ากอดและอุ้มจักรพรรดิน้อยได้เหมือนเดิมมั้ยนะ...


    อะแฮ่ม” พระมาตุลาหนุ่มกระแอมจนเป็นสัญญาณให้ฮ่องเต้องค์น้อยกลับไปยืนเคียง


    เสด็จน้า ไปขี่ม้ากันเถอะนะๆ” มือเล็กของเทียนอี้แตะเรียวแขนงามของพระมาตุลา


    มือเรียวของหลี่หยางจื้อประคองไหล่น้อยทั้งสองข้าง “ เทียนอี้ไปขี่ม้าเล่นกับเสด็จอาก่อน


    น้ามีเรื่องคุยกับเหอจวิ้นฮุย”


    ได้เลย ข้าไปก่อนนะ”


    เหอจวิ้นฮุยเป็นหัวหน้าองครักษ์ในการปกครองของพระมาตุลาหนุ่มมาตั้งหลายปีแล้ว เขาย่อมเข้าใจปฏิกิริยาของเจ้านายของตนเองดี ยามแลเห็นใบหน้างามคมกริบของหลี่หยางจื้อดูเคร่งเครียด


    พระมาตุลา ทรงเป็นกังวลอะไรหรือ”


    ข้า...ข้า ไม่ไว้ใจเจ้าสมุหกลาโหมผู้นั้นเลย เหอจวิ้นฮุย”


    พระองค์...ทรงเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทใช่หรือไม่...”


    ทำนองนั้น แต่ข้าใจร้อน รีบตัดสินอะไรไม่ได้” หลี่หยางจื้อตอบเสียงเข้ม


    ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลเทียนเอ๋อร์ เวลาที่ข้าห่างจากเขาให้มากกว่าเดิมได้หรือไม่ เหอจวิ้นฮุย”


    ใบหน้าหล่อเหลาขององครักษ์หนุ่มแดงขึ้นเล็กน้อย จะด้วยความเขินอายหรือยินดี...


    น้อมรับพระบัญชา พระมาตุลา”


    สองบุรุษหนุ่มผู้เป็นอาหลานต่างนั่งบนอาชาสีขาว โดยอ๋องอิงหลิวโปรดให้ฮ่องเต้น้อยประทับบนเจ้าอาชาขาวนามว่า “ ไป๋หมิง” ซึ่งเป็นลูกม้าเพศผู้ที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่ม ฝ่ายท่านอ๋องห้าก็ประทับบนหลังของเจ้าอาชานามว่า “ ไป๋เซิน” ซึ่งเป็นบิดาของไป๋หมิงอีกที


    ดีมากๆ เทียนเอ๋อร์ เจ้าขี่ม้าได้คล่องขึ้นแล้ว” ท่านอ๋องห้าทรงสอนการขี่อาชาให้แก่หลานชายที่ใกล้ชิดเพียงคนเดียว โดยที่ฮ่องเต้องค์น้อยก็พยายามไล่ตามอาชาของพระปิตุลา

    ขอบพระทัย เสด็จอาหลิว...เอ่อ...วันนี้ข้าได้สวมกวานแล้ว...ข้าดีใจมากๆ และข้าก็ได้ขี่ม้ากับท่าน แต่ว่า...”


    อะไรเหรอ เทียนเอ๋อร์” พระปิตุลาหนุ่มรับสั่งถาม


    ก็...” ฮ่องเต้หนุ่มน้อยพยายามจะบอก เมื่อเห็นเสด็จน้าหลี่หยางจื้อยังสนทนากับเหอจวิ้นฮุย


    เสด็จน้าจื้อไม่ชอบท่านมู่หรงคนนั้นเลย เหมือนว่าเขาจะทำให้เสด็จน้าเครียดทุกครั้งที่เจอหน้าเขา...แล้วข้าชมนักดีดพิณหน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้น ผิดหรือเปล่า...”


    อาก็ไม่ชอบ...แววตาคู่นั้นของเขาน่าสงสัย แต่ว่า อาหลิวคนนี้เองก็ทำอะไรมากไม่ได้ แม่ทัพมู่หรงซู่เป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ทรงอำนาจของพระบิดาเจ้าผู้ลาลับไป แถมตระกูลของเขาปกป้องแคว้นเหวิ่นของเราให้พ้นจากผู้รุกรานทางเหนือและทางตะวันตกมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าจะลงโทษเขา เหล่าพลทหารจะเข้ามาทำร้ายฝ่ายเรามากกว่า”


    ข้า...ข้าเป็นฮ่องเต้มาตั้งสิบปี แต่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย”


    ท่านอ๋องห้าพยายามยิ้มให้กำลังใจหลานชาย “ ค่อยๆเรียนรู้ไปเถอะ เทียนเอ๋อร์”


    แต่ก็มีอย่างหนึ่งด้วย ข้าเห็นท่านมู่หรงซู่มองเสด็จน้าจื้อด้วยสายตาจริงจัง”


    คราวนี้ หัตถ์ใหญ่ของจ้าวอิงหลิวก็จับบังเหียนแน่นขึ้น...เจ้ามู่หรงซู่...


    ...เจ้าคิดสนใจอะไรหลี่หยางจื้องั้นหรือ...เจ้าแม่ทัพร้ายนั้น!


    เสด็จอาหลิว...” ฮ่องเต้น้อยเรียกพระปิตุลา


    ทันใดนั้น อาชาหนุ่มสีน้ำตาลเข้มอีกสองตัว พร้อมกับบุรุษหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่บนหลังของพวกมัน


    มาเร็ว เทียนเอ๋อร์ ไปทางโน้นเถอะ” หลี่หยางจื้อยกหัตถ์เรียวงามชี้ไปยังทางซ้าย


    ฮ่องเต้น้อยพยักหน้ารับ “ ไปกัน ตามเสด็จน้าไป ไป๋หมิง ย่ะๆ”


    ท่านพี่หลิว ตามข้าไปเถอะ”


    เฮ่อ...สองน้าหลาน...หนีนำหน้าไปอีกแล้วนะ...


    ท่านอ๋องห้าก็เร่งอาชาสีขาวร่างใหญ่ของพระองค์ติดตาม


    ฝ่ายองครักษ์หนุ่มเหอจวิ้นฮุยนั้นไม่ได้ขับอาชา เพราะเขาต้องปลอบเจ้ากระรอกน้อยตัวสั่น


    ไม่ต้องกลัวนะ อาเปา ถ้าเจ้าไม่ชอบขี่ม้า เจ้าก็อยู่กับข้าแล้วกัน”


    แล้วอาเปาก็ขึ้นมานั่งบนศีรษะมนขององครักษ์หนุ่มนามว่า เหอจวิ้นฮุย แถมมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ทั้งสามที่สนุกกับการขี่ม้าอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น...แต่ว่า อาเปาไม่ชอบเลย ถ้าต้องไปนั่งบนไหล่ของเทียนอี้ด้วยความเร็วสูงบนเจ้าสัตว์ตัวใหญ่เท่าขุนเขาแบบนั้นนี่นา!


    ~*~*~*~*~*~


    รู้สึกว่า เรื่องดำเนินมาแล้ว มีหนุ่มหน้าสวยมาเพิ่มอีกสองนาย...กลายเป็นว่า วังของเทียนเอ๋อร์และน้าจื้อ...มันคือ ฮาเร็มหนุ่มหน้าตาสะสวย เหรอเนี่ย...55555+


    ขอบคุณมากๆที่อ่านกันค่ะ หนูเทียนเข้าพิธีสวมกวานหรือเครื่องประดับมวยผมของจีนที่เราเห็นหนุ่มๆสวมกันนั่นแหละค่ะ หมายถึงว่า โตเป็นหนุ่มแล้วไง // ได้ฤกษ์เข้าเลิฟซีน เอ้ย ไม่ใช่ๆ ><








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×