คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พิธีสวมกวาน
บทที่ 3 : พิธีสวมกวาน
สมุหกลาโหมมู่หรงซู่หงุดหงิดใจนักหนาที่โดนผู้สำเร็จราชการพระมาตุลาหลี่หยางจื้อเหยียบเท้าของเขาซะจนเป็นแผลฟกซ้ำ แล้วในใจของเขาก็เริ่มทั้งเคืองแค้นและปรารถนาในผู้สำเร็จราชการมากขึ้นเท่านั้น
...หลี่หยางจื้อ...หลี่หยางจื้อ...อย่างไรเสีย ชาตินี้ข้าจะต้องได้เจ้ามาเชยชมบนเตียงให้ได้...
จมูกหนาของมู่หรงซู่ยังโหยหาความหอมอบอวลจากเกศาดำขลับยาวสลวยนั้น
ข้าจะยอมได้เช่นไร...ข้าเป็นถึงสมุหกลาโหม เป็นแม่ทัพเอกแห่งแคว้นเหวิ่น
...แต่เจ้ากับอ๋องห้าก็แค่พี่เลี้ยงเด็กกำพร้าพ่อ หึๆ ถ้าข้าใช้อำนาจทางทหารถล่มพวกเจ้า...
...มันก็จะง่ายขึ้นมาก...ยามข้ากุมตัวหนูน้อยมังกรทองจ้าวเทียนอี้ของเจ้า...
...เจ้าต้องร้องขอความเมตตาจากข้า แล้วข้าก็นำเจ้ามาเสพอภิรมย์ไปจนตลอดชีวิต...
...ถ้าข้าได้ขึ้นครองแผ่นดิน เจ้าจะได้ครองตำแหน่งเป็นจักรพรรดินีของข้าไงล่ะ ฮ่าๆ...
มู่หรงซู่คิดแผนง่ายไปหรือไม่ แต่ถ้ารีบทำแบบนั้น เขาก็ก้าวสู่ความตายโดยง่ายเหมือนกัน
แผนยุทธการในสงคราม มันก็ควรเอามาใช้ในวังหลวงนี้ได้เหมือนกัน...
โจมตีจากภายใน แล้วนำภายนอกเข้าทำลายมัน!
จนกระทั่ง เขาได้สั่งให้คนรับใช้ให้ตามบุคคลหนึ่งมาพบเขาในห้องทำงานส่วนตัว
...แขกผู้มาเยือนนั้น...ดูไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ เพราะร่างนั้นบอบบาง...
...ผิวซีดขาวราวกับกระดาษ และใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางมาเป็นอย่างดี...
...มือซ้ายนั้นประคอง ผีผา ซึ่งเป็นเครื่องพิณที่มีความไพเราะและต้องใช้ฝีมือในการเล่นระดับสูง...
ริมฝีปากหนาประดับหนวดเคราของแม่ทัพหนุ่มปรายยิ้มออกมาได้แล้ว...
~*~*~*~*~*~
อรุณรุ่งแสนงดงามของการเข้าพิธีสวมกวานครั้งแรกของจ้าวเทียนอี้หรือเฉวียนหวังตี้ฮ่องเต้
เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักรู้สึกยินดีนีกที่ได้สวมอาภรณ์สีขาว เรือนผมสีดำมัดเกล้าเหนือศีรษะจากฝีมือของพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ แน่นอนว่า เสด็จน้าพระองค์นี้จัดแจงเกศาของเจ้าหลานซะจนเรียบร้อย แทบไม่มีเส้นผมออกมารุ่ยร่ายออกมาได้เลย สำหรับแคว้นเหวิ่น เด็กหนุ่มมีอายุได้สิบหกปีจะได้รับการสวมกวาน เป็นครั้งแรกจากทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรกเรียกว่า สือเจีย หมายถึงการเริ่มต้นวัยผู้ใหญ่ แต่ยังต้องพัฒนาตนเองต่อไป ทว่าอาการตื่นเต้นของฮ่องเต้ระงับไว้ไม่อยู่เหมือนกัน เมื่อได้พบพระญาติทุกพระองค์
หน้าลานพิธี เพราะพระญาติผู้มีพระชนมายุมากที่สุดอย่างพระหมื่นปีอู๋เซียง พระมารดาเลี้ยงที่ยังพระชนม์ชีพของพระบิดาผู้ลาลับไปแล้วก็เสด็จมา แม้จะมีพระชนมายุถึงแปดสิบห้าพรรษาแล้ว
“ เสด็จย่า!” จ้าวเทียนอี้เสด็จไปรับพระอัยยิกาซึ่งเป็นสตรีชราในอาภรณ์สีเทาม่วง ทรงถือไม้เท้าใหญ่ ประคองกาย พระนางมีเกศาขาวโพลน และหลังค่อม ทั้งต้องมีนางกำนัลสาวใหญ่ประคองเพื่อให้ดำเนินไป ซึ่งกระนั้นพระองค์ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของฮ่องเต้น้อยได้
“ ซือเทียน...เจ้าเอง...หรือ...”
เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งเมื่อพระอัยยิกาทรงเรียกเขาด้วยนามเดิมของพระบิดา
“ เออ...”
“ เจ้าอ้วนหรือเปล่านะ ซือเทียน...” หัตถ์เรียวย่นประคองต้นแขนของเทียนอี้ แม้ว่าทรงสั่นเล็กน้อย
เด็กหนุ่มจึงหันไปหาพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ ชายหนุ่มเปรยรอยยิ้มจางๆ เทียนอี้ยอมเข้าใจแล้ว
“ ลูกคิดถึงเสด็จแม่อู๋เซียงมากเลย”
นางสรวล แล้วประคองดวงหน้านวลของเทียนอี้ “ แม่ก็คิดถึงเจ้า..อือม..มาก”
ขณะนั้นเอง พระพันปีหลี่เยียนฮวาก็รู้สึกละอายพระทัย ทำอย่างไรได้ นางต้องรักษาภาพลักษณ์ของพระพันปีไว้ให้มั่นคง ใช่ว่า นางไม่ได้ต้องการใกล้ชิดโอรสผู้เป็นฮ่องเต้ของนาง แต่ว่าความเจ็บปวดในอดีตบางอย่างที่นางไม่อาจลืมได้...ทำให้นางไม่ต้องการใกล้ชิดเทียนอี้...แม้แต่หยางจื้อผู้เป็นน้อง...
เมื่อเข้าสู่พิธีการแล้ว จ้าวเทียนอี้พร้อมสมาชิกในราชวงศ์และเหล่าขุนนางทั้งหมดต้องทำความเคารพต่อเทพยดาทั้งฟ้าดินและพระราชวังแห่งนครฉางหลิง จนไปถึงการแสดงความเคารพต่อเหล่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนจนกระทั่งถึงพระบิดาของจ้าวเทียนอี้เอง
หลังจากนั้น เชื้อพระวงศ์ฝ่ายชายผู้มีพระชนมายุสูงที่สุดคือ อ๋องหนิงหลี่เคอ หรือพระปิตุลาอันดับสอง ผู้ทรงเข้าวัยหกสิบแล้วก็ทรงแสดงความเคารพต่อพระนัดดาผู้เป็นฮ่องเต้
“หม่อมฉันดีใจที่ได้พบเสด็จอาสองด้วย พระเจ้าค่ะ”
“หลานรัก” รอยยิ้มของท่านอ๋องผู้อาวุโสกว้างขึ้น เมื่อประคองไหล่บางของหลานชาย
ฝ่ายพระปิตุลาอ๋องห้าและพระมาตุลาเองก็สนทนากับท่านอ๋องผู้ทรงวัยสูงสุดในฝ่ายบุรุษ
“ เขาเติบโตขึ้นมาก พี่ไม่ได้เห็นเขาบ่อย เพราะสุขภาพไม่ค่อยดี ถึงต้องอยู่แต่ในตำหนักของตัวเอง”
“ เสด็จพี่สอง สบายพระทัยเถิด เทียนอี้เข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว อีกไม่กี่ปี เขาจะได้เป็นจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์พร้อมด้วยอำนาจและบารมี พวกเราก็ไม่ต้องห่วง”
“ อิงหลิว” ท่านอ๋องสองรับสั่งต่อพระอนุชาต่างมารดาซึ่งห่างกันถึงยี่สิบห้าปี คนทั่วไปก็คิดว่า ทั้งสองพระองค์เป็นพ่อลูกกันมากกว่าพี่น้อง
“ อิงหลิวกับหยางจื้อ เจ้าทั้งสองต่างได้รับหน้าที่ดูแลฮ่องเต้น้อยตามเสด็จพี่ผู้ลับลาไป...อือม...สิบปีแล้วนะ...ที่ข้าเห็นพวกเจ้าอยู่กับเทียนอี้...เด็กคนนั้น สูงขึ้น โตขึ้น แต่พวกเจ้าก็ยังคงเดิม”
หลี่หยางจื้อจึงกราบทูลท่านอ๋องอาวุโส “หม่อมฉันทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้อะไรที่เป็นเรื่องร้ายเกิดกับฝ่าบาท”
“ ขอบใจนะ หลี่หยางจื้อ ถ้าเสด็จพี่ทรงอยู่คงพอพระทัยต่อวาจาของเจ้าเป็นแน่”
ท่านอ๋องห้าเองก็แย้มยิ้มตาม เมื่อเห็นแววตาสดใสของหลี่หยางจื้อ เขาเองก็พอใจนัก
พอใจที่จะแอบรักหลี่หยางจื้อแบบเงียบๆ...แบบนี้ต่อไป...
เมื่อเสียงดุริยางค์ดังขึ้น เชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์และขุนนางสำคัญแห่งวังหลวง
ต่างหมอบกราบลงฮ่องเต้องค์น้อยก็หยิบกวานทองคำขึ้นมาสวมแล้วประดับบัลลังก์
พร้อมเสียงสดุดีดังกังวาน “ เสวียนหวังตี้! ขอทรงพระเจริญหมื่นๆปี !”
~*~*~*~*~*~
หลังจากนั้น การแสดงร่ายรำแสนตระการตาในฉลองวันประสูติและพิธีสวมกวานก็ตามมาเพื่อให้ฮ่องเต้องค์น้อยในอาภรณ์ขาวผ่องดังแสงจันทร์กระทบหิมะสบายพระทัย
วันนี้ก็ไม่ต้องมีการเรียนหนังสือและการบ้าน...แน่นอนว่า เทียนอี้พอใจเป็นอย่างยิ่ง...
พอเสร็จพิธีนี้ จะไปหาอะไรสนุกๆเล่นกับเสด็จน้าจื้อและเสด็จอาหลิวดีกว่า!...
ดวงตาสีนิลส่องประกายของพระมาตุลาหนุ่มยังมองแผ่นหลังกว้างของเจ้าสมุหกลาโหม
ด้วยความไม่ไว้วางใจนักเลย...ถ้าเจ้านั่นแตะต้องข้าอีก ข้าจะเอาให้หนักแน่!
“หยางจื้อ เจ้าเคร่งเครียดอะไร วันนี้เป็นวันมงคลของเทียนเอ๋อร์นะ”
อ๋องจ้าวอิงหลิวถามอีกครั้ง ดวงพักตร์งามคมคายบ่งบอกถึงความห่วงใย
“ พี่อิงหลิว ข้ากำลังเฝ้ามองความเป็นไปของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังดักเหยื่อ”
“ พยัคฆ์ร้ายนะหรือ...เจ้าหนวดเครานั้น...”
“ ใช่แล้ว พี่อิงหลิว ได้โปรดระวังเขาด้วย”
ท่านอ๋องหนุ่มจึงตอบ “ พี่เข้าใจแล้ว พี่จะไม่ให้เขามาแตะต้องฟงเอ๋อร์เช่นกัน”
ดวงเนตรของอ๋องอิงหลิวก็เฉียบคมไม่แพ้กัน ทั้งสองต่างไม่วางใจแม่ทัพเอกแห่งแคว้นเหวิ่น
ซึ่งเสแสร้งสนทนากับเหล่าขุนนางผู้เฒ่าคนอื่นๆ ที่มีปัญญาไม่ฉลาดนักเพื่อให้หลงเชื่อตน
หลังจากนั้น เลขาธิการแห่งวังหลวงก็ได้ประกาศผู้ที่จะมาแสดงดนตรีคนต่อไป
“เปิดตัว เฉียงลีฉิน นักดีดพิณ”
แล้วผู้คนทั่วทั้งลานพิธีต่างตกตะลึง เมื่อได้เห็นร่างบอบบางในอาภรณ์แดงยาวสยายจรดพื้น
ใบหน้างดงามรูปทรงหัวใจ เรือนผมประดับดอกท้อชมพูและปิ่นสีเงิน ดวงตาดำเรียวดังเมล็ดข้าวได้รูปสะสวย ริมฝีปากแดงจัดราวกับชุบชาดจนเหมือนกลีบกุหลาบแท้มากกว่าปากของมนุษย์
เขาเป็นบุรุษหรือ...แต่ทำไมช่างดูคล้ายคลึงอิสตรีนัก...แถมงดงามเสียด้วย...
หลี่หยางจื้อคิดในใจ ขณะมองหลานชายฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้ ซึ่งก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
“ เสด็จน้าจื้อ...แน่ใจเหรอว่า เขาเป็นผู้ชาย...ทำไม สวยกว่าผู้หญิงนัก...”
“ น่าประหลาดจริง...เขาผู้นี้เป็นใคร...”
หลี่หยางจื้อรำพึง เมื่อดวงตาเรียวงามได้เห็นร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงนั้นกำลังดีด ผีผา ด้วยรอยยิ้มงามแสนประหลาด แถมกล่าวบทกวียอพระเกียรติถวายฮ่องเต้น้อยด้วยน้ำเสียงแสนไพเราะ
พระบารมีเหนือกษัตริย์ใดในหล้า
แคว้นเหวิ่นเหลือคณามหาศาล
สวรรค์ได้ประทานโอรสในมงคลกาล
ให้ทวยราษฎร์ทั่วทุกย่านสุขร่มเย็น
พระพักตร์งามเยาว์น่ายลสมสมร
พระกรแก้วทรงสวยสะอาดศรี
พระจริยาวัตรงามล้นสุขเปรมปริดิ์
พระภูมีดนัยน้อยทรงพระเจริญ
...เป็นบทกลอนที่ชมข้าได้เพราะมากๆเลย...เจ้าวทียนอี้คิดแล้วก็ปรบมือดังลั่น
จึงทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายปรบมืออย่างพร้อมเพรียง กระนั้นพระมาตุลาหนุ่มผู้สำเร็จราชการกลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์มาอีกครั้ง เมื่อนักดีดพิณรูปงามได้คุกเข่าลง พร้อมกับกล่าวว่า
“ เกล้ากระหม่อมมีนามว่า เฉียงลีฉิน ขอถวายพระพร พระเจ้าค่ะ”
“ เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าชอบกลอนของเจ้า” ฮ่องเต้หนุ่มน้อยสรวลด้วยความพอใจ
แล้วริมฝีปากงามของนักดีดพิณผีผาก็ปรายรอยยิ้มชวนมองนักหนา ขณะที่มู่หรงซู่ สมุหกลาโหมหรือแม่ทัพหนุ่มก็ผายเรียวมือกว้าง
“ กระหม่อมได้เชิญนักดนตรีผู้งดงามคนนี้มาถวายพระพรองค์ฮ่องเต้พระเจ้าค่ะ”
เหล่าขุนนางต่างพากันมองและชื่นชมท่านมู่หรงซู่ที่แสดงความจงรักภักดี ฝ่ายจ้าวอิงหลิวกับหลี่หยางจื้อต่างใช้สายตาอย่างคาดคะเน โดยเฉพาะหลี่หยางจื้อ...สายตาเย้ายวนของเจ้ามู่หรงซู่ยังปรากฏให้เห็นอยู่...เจ้าคิดนำบุรุษหน้าสวยคนนี้มาทำอะไรในวันเกิดของหลานชายข้า...
“ข้าต้องขอบใจ ท่านมู่หรงมาก และข้ายินดีที่พบเจ้าด้วยนะ ท่านเฉียงลีฉิน”
ฮ่องเต้น้อยรับสั่งด้วยความอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่าสายตาของนักดีดพิณนั้นจับจ้องเขา...
เช่นเดียวกันสายตาของแม่ทัพหนุ่มมู่หรงก็มองยังพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ...
...สายตาเปล่งประกายที่มีความประสงค์ร้ายแอบแฝง...
~*~*~*~*~*~
“ ข้าดีใจนักหนาที่ได้สวมกวานเป็นครั้งแรก อาเปา” เทียนอี้นำเจ้ากระรอกน้อยออกจากกระเป๋าไม้ไผ่ที่แอบติดตัวมาด้วย ขณะที่เขายืนกันอยู่ในหน้าลานอาชาประจำวังหลวง เขารู้สึกดีใจที่เสด็จอาหลิวกับเสด็จน้าจื้อชวนเขาไปขี่ม้าเล่นกันในสนามหญ้าแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวัง
พระอัยกาหรือเสด็จปู่ของฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้โปรดให้สร้างอุทยานกว้างใหญ่แถมด้วยสนามหญ้าไว้สำหรับฝึกเหล่าพระโอรสทั้งหลายได้ออกกำลังกายและฝึกอาวุธในยามว่างจากราชการ
ข้อดีของการขี่ม้าก็คือ ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกเป็นอิสระจากงานหลวงที่ต้องรับผิดชอบกัน
ฮ่องเต้น้อยก็ได้เห็นบุคคลหนึ่งที่เขาคุ้นเคย ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าอ่อนเยาว์ งดงามคมคายประกอบกับดวงตาเรียวคมแสดงความจริงจัง ริมฝีปากบางได้รูปสวย เขาอยู่ในชุดองครักษ์สีขาวอมฟ้าและที่รัดผมสีดำยาวสลวยเป็นสีน้ำตาลเข้ม จ้าวเทียนอี้ก็จำได้ดีเลย!
“ พี่ฮุยๆ” ร่างเล็กบางของฮ่องเต้่น้อยวิ่งร่าไปยังชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่า
ชายหนุ่มรีบถวายบังคมโดยพลัน “ ฝ่าบาท...ทรงพระเจริญพระเจ้าค่ะ”
“ พี่ฮุย ข้าดีใจที่ท่านมากๆ ท่านไปขี่ม้ากับข้านะ”
“ เหอจวิ้นฮุยผู้นี้ น้อมรับบัญชา”
“ ข้ารู้น่า พี่ฮุยฟังข้าเสมอแหละนะ ฮี่ๆ เอ้อ!” เทียนอี้แสดงเจ้ากระรอกน้อยหรือสัตว์เลี้ยงตัวใหม่
ให้เหอจวิ้นฮุยได้ทักทายมันอีกคน ชายหนุ่มประหลาดใจนักที่ว่าฮ่องเต้น้อยจะเลี้ยงกระรอกป่าตัวนี้เหรอเนี่ย...
“ พระองค์ทรงเลี้ยงกระรอกด้วยเหรอ ฝ่าบาท” คิ้วเรียวของเขาขมวดลง
“ ข้าเรียกมันว่า อาเปา เสด็จน้าตั้งชื่อว่า เปาชิงเทียน ให้มีชื่อคล้ายข้าเลย”
เหอจวิ้นฮุยจึงทักทายเจ้าตัวน้อย และแปลกใจที่เจ้าเปาชิงเทียนคลานมากอดแขนของเขาด้วย
“ ท่าทางของเจ้าเปา ดูชอบพี่ฮุยนะเนี่ย ฮ่าๆ”
ใบหน้าคมคายขององครักษ์หนุ่มนามว่า เหอจวิ้นฮุย ผู้นี้ยินดีนักที่ได้พบจักรพรรดิน้อย
รอยยิ้มของจ้าวเทียนอี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมากทีเดียว...เพราะเขาก็รับราชการมาเป็นมหาดเล็กมาแต่สิบขวบ และได้เห็นฮ่องเต้น้อยนี้ ได้เคยวิ่งเล่นกันจนถึงวันนี้...เขาสุขใจที่ได้ใกล้ชิด...
...ฮ่องเต้องค์น้อย ดวงพักตร์งามน่ารักดังเทวดา ร่างเล็กที่เขาเคยอุ้มก็มีเค้าความสูงแล้ว...
...เหอจวิ้นฮุย จะกล้ากอดและอุ้มจักรพรรดิน้อยได้เหมือนเดิมมั้ยนะ...
“ อะแฮ่ม” พระมาตุลาหนุ่มกระแอมจนเป็นสัญญาณให้ฮ่องเต้องค์น้อยกลับไปยืนเคียง
“ เสด็จน้า ไปขี่ม้ากันเถอะนะๆ” มือเล็กของเทียนอี้แตะเรียวแขนงามของพระมาตุลา
มือเรียวของหลี่หยางจื้อประคองไหล่น้อยทั้งสองข้าง “ เทียนอี้ไปขี่ม้าเล่นกับเสด็จอาก่อน
น้ามีเรื่องคุยกับเหอจวิ้นฮุย”
“ ได้เลย ข้าไปก่อนนะ”
เหอจวิ้นฮุยเป็นหัวหน้าองครักษ์ในการปกครองของพระมาตุลาหนุ่มมาตั้งหลายปีแล้ว เขาย่อมเข้าใจปฏิกิริยาของเจ้านายของตนเองดี ยามแลเห็นใบหน้างามคมกริบของหลี่หยางจื้อดูเคร่งเครียด
“ พระมาตุลา ทรงเป็นกังวลอะไรหรือ”
“ ข้า...ข้า ไม่ไว้ใจเจ้าสมุหกลาโหมผู้นั้นเลย เหอจวิ้นฮุย”
“ พระองค์...ทรงเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทใช่หรือไม่...”
“ ทำนองนั้น แต่ข้าใจร้อน รีบตัดสินอะไรไม่ได้” หลี่หยางจื้อตอบเสียงเข้ม
“ ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลเทียนเอ๋อร์ เวลาที่ข้าห่างจากเขาให้มากกว่าเดิมได้หรือไม่ เหอจวิ้นฮุย”
ใบหน้าหล่อเหลาขององครักษ์หนุ่มแดงขึ้นเล็กน้อย จะด้วยความเขินอายหรือยินดี...
“ น้อมรับพระบัญชา พระมาตุลา”
สองบุรุษหนุ่มผู้เป็นอาหลานต่างนั่งบนอาชาสีขาว โดยอ๋องอิงหลิวโปรดให้ฮ่องเต้น้อยประทับบนเจ้าอาชาขาวนามว่า “ ไป๋หมิง” ซึ่งเป็นลูกม้าเพศผู้ที่กำลังเติบโตเป็นหนุ่ม ฝ่ายท่านอ๋องห้าก็ประทับบนหลังของเจ้าอาชานามว่า “ ไป๋เซิน” ซึ่งเป็นบิดาของไป๋หมิงอีกที
“ ดีมากๆ เทียนเอ๋อร์ เจ้าขี่ม้าได้คล่องขึ้นแล้ว” ท่านอ๋องห้าทรงสอนการขี่อาชาให้แก่หลานชายที่ใกล้ชิดเพียงคนเดียว โดยที่ฮ่องเต้องค์น้อยก็พยายามไล่ตามอาชาของพระปิตุลา
“ ขอบพระทัย เสด็จอาหลิว...เอ่อ...วันนี้ข้าได้สวมกวานแล้ว...ข้าดีใจมากๆ และข้าก็ได้ขี่ม้ากับท่าน แต่ว่า...”
“ อะไรเหรอ เทียนเอ๋อร์” พระปิตุลาหนุ่มรับสั่งถาม
“ก็...” ฮ่องเต้หนุ่มน้อยพยายามจะบอก เมื่อเห็นเสด็จน้าหลี่หยางจื้อยังสนทนากับเหอจวิ้นฮุย
“เสด็จน้าจื้อไม่ชอบท่านมู่หรงคนนั้นเลย เหมือนว่าเขาจะทำให้เสด็จน้าเครียดทุกครั้งที่เจอหน้าเขา...แล้วข้าชมนักดีดพิณหน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้น ผิดหรือเปล่า...”
“อาก็ไม่ชอบ...แววตาคู่นั้นของเขาน่าสงสัย แต่ว่า อาหลิวคนนี้เองก็ทำอะไรมากไม่ได้ แม่ทัพมู่หรงซู่เป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ทรงอำนาจของพระบิดาเจ้าผู้ลาลับไป แถมตระกูลของเขาปกป้องแคว้นเหวิ่นของเราให้พ้นจากผู้รุกรานทางเหนือและทางตะวันตกมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าจะลงโทษเขา เหล่าพลทหารจะเข้ามาทำร้ายฝ่ายเรามากกว่า”
“ ข้า...ข้าเป็นฮ่องเต้มาตั้งสิบปี แต่ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย”
ท่านอ๋องห้าพยายามยิ้มให้กำลังใจหลานชาย “ ค่อยๆเรียนรู้ไปเถอะ เทียนเอ๋อร์”
“ แต่ก็มีอย่างหนึ่งด้วย ข้าเห็นท่านมู่หรงซู่มองเสด็จน้าจื้อด้วยสายตาจริงจัง”
คราวนี้ หัตถ์ใหญ่ของจ้าวอิงหลิวก็จับบังเหียนแน่นขึ้น...เจ้ามู่หรงซู่...
...เจ้าคิดสนใจอะไรหลี่หยางจื้องั้นหรือ...เจ้าแม่ทัพร้ายนั้น!
“ เสด็จอาหลิว...” ฮ่องเต้น้อยเรียกพระปิตุลา
ทันใดนั้น อาชาหนุ่มสีน้ำตาลเข้มอีกสองตัว พร้อมกับบุรุษหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่บนหลังของพวกมัน
“ มาเร็ว เทียนเอ๋อร์ ไปทางโน้นเถอะ” หลี่หยางจื้อยกหัตถ์เรียวงามชี้ไปยังทางซ้าย
ฮ่องเต้น้อยพยักหน้ารับ “ ไปกัน ตามเสด็จน้าไป ไป๋หมิง ย่ะๆ”
“ ท่านพี่หลิว ตามข้าไปเถอะ”
เฮ่อ...สองน้าหลาน...หนีนำหน้าไปอีกแล้วนะ...
ท่านอ๋องห้าก็เร่งอาชาสีขาวร่างใหญ่ของพระองค์ติดตาม
ฝ่ายองครักษ์หนุ่มเหอจวิ้นฮุยนั้นไม่ได้ขับอาชา เพราะเขาต้องปลอบเจ้ากระรอกน้อยตัวสั่น
“ ไม่ต้องกลัวนะ อาเปา ถ้าเจ้าไม่ชอบขี่ม้า เจ้าก็อยู่กับข้าแล้วกัน”
แล้วอาเปาก็ขึ้นมานั่งบนศีรษะมนขององครักษ์หนุ่มนามว่า เหอจวิ้นฮุย แถมมองบุรุษผู้สูงศักดิ์ทั้งสามที่สนุกกับการขี่ม้าอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น...แต่ว่า อาเปาไม่ชอบเลย ถ้าต้องไปนั่งบนไหล่ของเทียนอี้ด้วยความเร็วสูงบนเจ้าสัตว์ตัวใหญ่เท่าขุนเขาแบบนั้นนี่นา!
~*~*~*~*~*~
รู้สึกว่า เรื่องดำเนินมาแล้ว มีหนุ่มหน้าสวยมาเพิ่มอีกสองนาย...กลายเป็นว่า วังของเทียนเอ๋อร์และน้าจื้อ...มันคือ ฮาเร็มหนุ่มหน้าตาสะสวย เหรอเนี่ย...55555+
ขอบคุณมากๆที่อ่านกันค่ะ หนูเทียนเข้าพิธีสวมกวานหรือเครื่องประดับมวยผมของจีนที่เราเห็นหนุ่มๆสวมกันนั่นแหละค่ะ หมายถึงว่า โตเป็นหนุ่มแล้วไง // ได้ฤกษ์เข้าเลิฟซีน เอ้ย ไม่ใช่ๆ ><
ความคิดเห็น