ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พระมาตุลาคู่บัลลังก์:The Prince Uncle ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #4 : สหายใหม่ตัวน้อย

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 60



    บทที่ 2 : สหายใหม่ตัวน้อย



    หลี่หยางจื้อ พระมาตุลาแห่งแคว้นเหวิ่นคนปัจจุบัน วิ่งตามฮ่องเต้องค์น้อย ผู้เป็นพระภาคิไนยของเขา


    จนกระทั่งดวงตาเรียวคมสวยต้องเบิกกว้าง เมื่อเห็นจักรพรรดิน้อยกำลังปีนขึ้นไปยังต้นไม้สูง เพื่อไล่


    จับบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนที่ไปมา


    เทียนเอ๋อร์! เทียนเอ๋อร์ ! เลิกเล่นซนได้แล้วนะ!”


    ทว่าผู้เป็นหลานชายกลับปฏิเสธที่จะลงมา เพราะเขากำลังจะจับมันได้อยู่แล้ว


    ประเดี๋ยวน่า! เสด็จน้า ข้ารู้แล้วล่ะ! มันคือ กระรอก นั่นเอง ข้ากำลังจะลงไป...แล้ว...”


    กิ่งไม้นั้นที่เหยียบอยู่นั้นไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของเด็กหนุ่มไหว


    ทำให้ร่างบอบบางเกิดพลัดจากยอดไม้ทันที


    เทียนเอ๋อร์!!!”


    พระมาตุลาหนุ่มจึงใช้วิชาตัวเบาที่เคยฝึกมาเมื่อครั้งยังเยาว์ อ้อมแขนแกร่งรีบรับร่างของหลานชาย

    ก่อนที่จะหล่นสู่พื้นดิน...ให้ตายเถอะ...


    เสด็จน้าจื้อ คือว่า...”


    เลิกซนได้ซะทีเถอะน่า เด็กคนนี้ แย่จริง!”


    ทั่วทั้งใต้หล้า มีเพียงบุรุษผู้เดียวที่ตำหนิต่อโอรสสวรรค์แบบนี้ได้ก็คือ หลี่หยางจื้อ


    น้าจื้อ คือ ข้าเห็นกระรอกตัวหนึ่ง มันวิ่งผ่านยอดไม้ แต่ว่ามันบาดเจ็บที่หัวของมันด้วย”


    หลี่หยางจื้อนั้นมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งคือ เป็นคนรักสัตว์มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าได้ยินว่าสัตว์ตัวไหนบาดเจ็บ เขาจะรีบไปช่วยทันที


    มันหลบอยู่ตรงไหนแล้ว”


    จ้าวเทียนอี้จึงชี้นิ้วไปยังยอดไม้ที่เขาเพิ่งเหยียบมา ทำให้ชายหนุ่มในอาภรณ์ครามใช้วิชาตัวเบากลับขึ้นไปอีกครั้ง ดวงตากลมใหญ่ของฮ่องเต้น้อยมองพระมาตุลาด้วยความชื่นชม เพราะเขาเองก็ต้องการมีวิทยายุทธแบบนี้เหมือนกัน...เขาควรบอกเสด็จน้าดีไหม...


    อ๋องหยางจื้อก็เห็นเจ้าตัวน้อยที่หลานชายของเขาบอกแล้ว เขาจึงพบว่า มันเป็นกระรอกน้อยสีน้ำตาล และมีหางฟูเรียวงอนได้รูปม้วน ดวงตาของมันเป็นสีดำสนิท และก็บนศีรษะของมันมีบาดแผลให้เห็น


    มาสิ...เจ้ากระรอกน้อย ไม่ต้องกลัวข้านะ”


    ชายหนุ่มผายเรียวมือออกให้เจ้าตัวน้อยคลานมาหาเขา แล้วท่านอ๋องหนุ่มก็กระโดดกลับลงไปยังตำแหน่งเดิม ทำให้จ้าวเทียนอี้สรวลด้วยความยินดี


    เสด็จน้า ท่านได้ช่วยมันแล้ว ให้ข้าดูหน่อยนะ”


    แต่ว่าหลี่หยางจื้อปฏิเสธ “ เนื้อตัวของมันสกปรก ให้น้าเช็ดก่อน”


    ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็หยิบผ้าซับพักตร์สีขาวของตนออกจากอกเสื้อเพื่อเช็ดคราบสกปรกและคราบเลือดบนหัวของเจ้ากระรอกน้อย ซึ่งตอนนี้ เจ้าตัวน้อยมองด้วยความรู้สึกขอบคุณ มนุษย์หนุ่มที่ได้ช่วยมันไว้ แต่ก็อยากจะกระโดดออกไป เพราะความตื่นเต้นด้วย


    เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นไรแล้ว ข้าพาเจ้ากลับไปทำแผล”


    มันเอาต้นไม้ชนหัวหรือไงนะ”


    มันก็คงซุ่มซ่ามเหมือนเจ้านั่นแหละ เทียนเอ๋อร์”


    ...เสด็จน้าเอาอีกแล้ว...ได้ทีก็ยอกย้อนเลยนะ...


    ข้าจะทำแผลให้มันเอง”


    เจ้าเทียนอี้ได้ทีรับกระรอกมาบนเรียวมือบอบบางของตนเอง คราวนี้เจ้าตัวน้อยรู้สึกตื่นเต้น


    เพราะว่า มนุษย์หนุ่มคนนี้ดูสะดุดตา และเยาว์วัยกว่าชายหนุ่มที่เพิ่งช่วยมันเมื่อครู่


    ฮ่องเต้องค์น้อยรู้สึกเอ็นดูมันมากเสียจริง จนยิ้มกว้าง ทำให้หลี่หยางจื้อพลอยแย้มยิ้มตามไปด้วย


    ข้าจะพาเจ้ากลับไปทำแผลนะ แล้วจะหาผลไม้ให้เจ้ากินเอง”


    คราวนี้ ท่านอ๋องหนุ่มผู้เป็นน้ารู้สึกเหงื่อตกจากหน้าผาก...อย่าได้คาดเดานะ...


    เสด็จน้า ข้าพาเจ้ากระรอกน้อยตัวนี้ไปเลี้ยงได้หรือไม่”




    ...ว่าแล้วเชียว...มันต้องเป็นแบบนี้...


    ชายหนุ่มร่างสูงกว่าเม้มริมฝีปากอิ่มงามของตนอย่างคาดคะเน


    เจ้าแน่ใจหรือว่า เจ้าจะดูแลมันได้ดี กระรอกไม่เหมือนสุนัขกับแมว มันพึ่งพอใจอยู่บนยอดไม้ ถ้าเจ้ากลับไปเลี้ยง จะฝืนธรรมชาติของมัน”


    ถ้าบอกว่า ข้าเป็นสหายของมัน มันต้องไว้ใจข้าแน่”


    รอยยิ้มงามน่ารักที่ประดับด้วยลักยิ้มของจ้าวเทียนอี้ ทำให้เขาใจอ่อนทุกทีสินะ...


    พามันกลับไปทำแผลก่อนแล้วกัน...อย่าลืมว่าวันพรุ่งนี้ มีงานสวมกวานครั้งแรกของเจ้า...เตรียมตัวให้เรียบร้อยด้วย...”


    ได้เลย! เสด็จน้า” ฮ่องเต้หนุ่มน้อยรับคำ พลางลูบหางม้วนของเจ้ากระรอกน้อย


    ริมฝีปากอิ่มน่ารักกล่าวกระซิบให้ได้ยินเพียงคนเดียว


    ขอบพระทัย เสด็จน้าจื้อ...”



    หลังจากนั้น จ้าวเทียนอี้ก็นำสมุนไพรที่บดละเอียดมาทาบนศีรษะของมัน โดยมีนางกำนัลสาวอีกคนให้ความสนใจตามมา


    ฝ่าบาท ทรงได้กระรอกนี้ มาจากไหนเพคะ” แม่นางกำนัลน้อยถามด้วยความสนใจ


    เสด็จน้าทรงเก็บมันมาจากยอดไม้ให้ข้าน่ะ เสี่ยวเชียน ข้าดีใจที่รู้สึกว่า เสด็จน้าทรงให้เจ้ากระรอกน้อยนี้เป็นของขวัญวันเกิดครบสิบหกปีของข้า ข้าจะเลี้ยงมันเอง”


    เสี่ยวเชียนซึ่งเป็นนางกำนัลวัยสาว หน้าตาสดใส น่าเอ็นดู และนางยังเป็นนางกำนัลต้นห้องของฝ่าบาทกับพระมาตุลาหลี่หยางจื้อ นางมีกิริยาที่น่ารักและขี้เล่นพอสมควร


    โอ...ท่านอ๋องทรงเมตตานัก แล้วตอนนี้ ท่านไปอยู่ไหนแล้วล่ะเพคะ”


    มือบางของนางกุมอกด้วยความรู้สึกวาบหวิวในใจ เพราะนางหลงใหลในความงามของพระมาตุลาแห่งวังหลวงมากเสียจริง ขณะที่ฮ่องเต้องค์น้อยยังสนใจกับเจ้ากระรอกน้อยไม่สร่างเลย


    ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าอะไรดีนะ...รอน้าจื้อมาตั้งให้เจ้าดีกว่านะ”


    ดวงตากลมโตของกระรอกน้อยสบกับดวงเนตรเปล่งประกายของเทียนอี้ แถมกวัดแกว่งหางม้วนด้วยความใคร่รู้ว่า บุรุษหนุ่มน้อยนี้จะดีกับมันจริงหรือ...



    ~*~*~*~*~*~


    ร่างสูงเพรียวของหลี่หยางจื้อนั่งในเก้าอี้ทรงงานตัวใหญ่ประจำตำแหน่งของเขา

    ในฐานะเป็นพระมาตุลาซื่อต้ากงอ๋อง เขามีภาระสำคัญในการตรวจเอกสารสำคัญทั้งในส่วนภาคราชการ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี เพราะว่ามีปัญญาหลักแหลมเป็นที่กล่าวขาน ไม่แพ้รูปโฉมงดงามสะท้านวังหลวงแห่งนี้ หากว่า หลี่หยางจื้อ ไม่สนใจในคำยกยอปอปั้นอะไรนัก เพราะว่า ท่านอาจารย์แห่งผาหลันเซิงที่เขาเคยศึกษาในวัยเยาว์ได้สอนแล้วว่า “คำหวานคือยาพิษ คำขมคือกำลัง” ดังนั้น เขามักพอใจที่ให้คนมาตำหนิเขาเสียมากกว่า...นี้ก็เป็นความคิดประหลาดที่ทำให้เขาต่างจากคนทั่วไปในวังหลวง...หลี่หยางจื้อมีความคิดอ่านแบบเสรีชน เป็นแนวคิดใหม่ที่เขาไม่เหมือนใคร...แม้แต่การเลี้ยงดูพระภาคิไนยน้อยหรือฮ่องเต้จ้าวเทียนอี้ก็ขัดหูขัดตาเหล่าขันทีหัวโบราณ


    ประทานโทษพะย่ะค่ะ พระมาตุลา” มหาดเล็กผู้หนึ่งเข้ามากราบทูล


    มีอะไรหรือ ”


    สมุหกลาโหมมู่หรงซู่ ขอเข้าเฝ้า”


    พู่กันจีนในเรียวหัตถ์ของหลี่หยางจื้อเกร็งขึ้นมาทันที


    ให้เข้ามา”


    บุรุษผิวเข้ม กร้ามแดดในอาภรณ์สีแดงเข้มทำความเคารพต่อหลี่หยางจื้อ ใบหน้าหล่อเข้ม ดวงตาเรียวคมมองยังพระมาตุลาหนุ่มผู้มีรูปงามนักหนา สายตาของมู่หรงซู่คล้ายกับพยัคฆ์หนุ่มที่กำลังจ้องจะจับเหยื่อแสนโอชารส ทว่าเหยื่อตนนี้คือพญามังกรใหญ่แห่งแคว้นเหวิ่น ฮ่องเต้องค์น้อยยังเป็นเพียงมังกรห้าเล็บที่กำลังเติบโตและไม่รับรู้ความจริงอะไร ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงยามนี้คือ หลี่หยางจื้อ


    ว่าอย่างไร ท่านสมุหกลาโหม ท่านมีธุระสำคัญมากหรือถึงมาพบข้า”


    ดวงตาเรียวสวยของพระมาตุลาหนุ่มจ้องมองกิริยาที่แสดงความไม่อ่อนน้อมถ่อมตนของมู่หรงซู่ เพราะเขาคาดคะเนได้ว่า ผู้เป็นใหญ่ในการสงครามย่อมคิดอ่านลึกล้ำประกอบกับความเชื่อใจของฝ่ายทหารทั้งเมืองแล้ว ทุกคนพร้อมเป็นพรรคพวกของสมุหกลาโหมผู้นี้


    พระมาตุลา ข้าต้องการถามท่าน ทำไมท่านถึงตำหนิข้า เรื่องข้าไปตีเมืองแข็งข้อ


    ข้าอุตส่าห์ทำไปเพื่อนำมาถวายฝ่าบาทแท้ๆ”



    หลี่หยางจื้อเดินออกจากเก้าอี้ทรงงานของเขา ร่างสูงเพรียวงามดังคมกระบี่ยืนเบื้องหน้าของบุรุษร่างสูงใหญ่ จริงว่า เขาก็มีรูปร่างสูงโปร่ง แข็งแรง หากว่าเทียบมู่หรงซู่แล้ว เขากลับดูบอบบางไปเสีย...




    การไปเข่นฆ่าผู้อื่น หาใช่ของขวัญของฝ่าบาท มันเป็นผลงานของเจ้าเพื่อนำความสะใจมาให้ตนเอง ข้ากับท่านอ๋องห้าไม่ได้สั่งให้เจ้าไปทำเช่นนั้น”


    มู่หรงซู่ยิ้มกริ่ม “ พระมาตุลาคนดี ท่านมัวแต่อยู่ในวังจะไปทราบอะไรถึงภายนอก ข้าอยู่ กิน นอนในสนามรบกับเหล่าทหารมาหลายสิบปี ตั้งแต่ข้ายังทำสงครามกับบิดาของข้าแล้ว ข้าทำไปทั้งหมดเพื่อแคว้นของเราแท้ๆ แต่ว่าท่านพึงพอใจแค่ดูแลองค์จักรพรรดิน้อยของเรา”



    ข้ามีหน้าที่พิทักษ์จ้าวเทียนอี้ หลานชายของข้า ตามพระบัญชาแห่งฮ่องเต้ผู้ลาลับเท่านั้น


    ข้ามีหน้าที่สำคัญยิ่งชีวิต แต่ข้าขอให้ฟ้าดินเป็นพยานว่า ข้าพิทักษ์รักษาฮ่องเต้ไว้เป็นอย่างดี”



    ฝ่ายมู่หรงซู่ยังใช้สายตาเจ้าเล่ห์จับจ้องใบหน้าเรียวผ่องนวล งดงามดังจันทราในวันเพ็ญของพระมาตุลาหนุ่มรวมถึงเรือนผมสีดำขลับยาวเรียบราวกับน้ำตกสายยาวลงกลางหลัง แล้วมัดเป็นมวยประดับเกี้ยวสีเงิน ดวงเนตรสีนิลหลุบต่ำลงจนมองเห็นขนตางอนคล้ายอิสตรี เรียวคิ้วโค้งเข้มราวกับธนูงามประณีต นาสิกโค้งมนรูปหยดน้ำใสบนยอดไม้ และริมฝีปากอิ่มดังแต้มชาดทั้งบนและล่าง


    เจตนาของมู่หรงซู่นั้น...เขาต้องการเชยชมพญามังกรมาตุลาหนุ่มผู้นี้นักหนา...


    ...ทั้งที่ผ่านมาหลายปี เขาร่วมอภิรมย์กับสตรีแสนงามทั้งนครหลวง แม้แต่บุรุษที่เป็นทหารคนโปรดของเขาบ้าง 

    ไปจนถึงเหล่าเชลยหน้าตาดีที่เขาพอใจนำมาระงับความหื่นกระหายของตนเอง....


    ...แต่ไม่มีใครน่าดึงดูดใจเท่ากับซื่อต้ากงอ๋องหรือว่า หลี่หยางจื้อ ผู้ยืนตรงหน้าในเวลานี้เลย...


    ...บุรุษรูปงามทั้งสามแห่งวังหลวง...หลี่หยางจื้อ จัดได้ว่า งามพิศ...หมายถึง ยิ่งมองยิ่งงาม!..


    ...มู่หรงซู่คนนี้จะทำทุกวิถีทางที่จะนำพญามังกรหนุ่มผู้นี้ขึ้นแท่นเตียงใหญ่ของตนให้ได้!...



    ข้าทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด มันก็เพียงพอ”



    เอาอย่างนี้ไหม พระมาตุลา” แม่ทัพหนุ่มใหญ่ยิ้มกริ่ม “ เรามาขบคิดกันว่า จะพัฒนาบ้านเมืองของเราให้ดีขึ้นอย่างไร ท่านดูแลเวียงวัง ข้าดูแลบ้านเมือง ดังเช่นว่า ฝ่ายหน้าเป็นของข้า และฝ่ายในเป็นของท่าน เราต่างคนต่างมีความสามารถ แบ่งกันได้เสมอ”


    น้ำเสียงของมู่หรงซู่เข้มขึ้นด้วยความกระหายต่อความงามของผู้สำเร็จราชการแห่งแคว้นเหวิ่น


    ร่างสูงใหญ่ประชิดใกล้แผ่นหลังบาง นิ้วกร้านของมู่หรงซู่ได้ทีลูบไล้เรือนเกศาสีดำขลับ



    เจ้าคิดการใหญ่อะไร มันเป็นเรื่องของเจ้า ขอเพียงว่า อย่าทำให้ระบบภายในวังหลวงแห่งนี้


    ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในมีปัญหาได้หรือไม่”


    รับสั่งได้ดีนี่นา พระมาตุลา ”


    แม่ทัพหนุ่มเลื่อนกายเข้ามาประชิดด้านเรียวหลังงามสง่าของหลี่หยางจื้อ


    จมูกใหญ่เรียวได้รูปได้ทีลูบไล้ปลายเกศายาวเป็นมันขลับ ซึ่งมีกลิ่นหอมราวบุปผาละมุนละไม


    แถมมือกร้านหนาก็ได้ทีโอบเรียวไหล่กว้าง หากยังบอบบางเมื่อเทียบกับร่างกำยำเบื้องหลัง


    เจ้าจะทำอะไรนะ”


    พระมาตุลาคนดีผู้งามประหนึ่งรูปปั้นหินอ่อนสลักสวย ถ้าข้าใช้กำลังแค่นิดเดียว หินอ่อนก็แตกกระจาย...ง่ายๆ”


    หึ...ลวนลามข้า มีโทษตายสถานเดียว...” ริมฝีปากอิ่มสวยเย้ยหยัน


    มู่หรงซู่ก็กล่าวมาประชิดเรียวหูได้รูปงามว่า “ หรือจะข้าให้ไปเชยชมฝ่าบาท จะดีกว่าไหมเล่า”


    ประโยคนี้ ทำให้พระมาตุลาหนุ่มรู้สึกว่า เรียวหน้านวลกลายเป็นสีแดงจัด


    อย่านะ อย่ายุ่งกับหลานข้า ห้ามยุ่งนะ!”


    ฮ่าๆ ข้ายังพอมีจรรยาบรรณพอที่จะไม่แตะต้องหนุ่มน้อยไร้เดียงสา แค่ได้เชยชมความงามของบุรุษผู้งามพร้อมทั้งวัยวุฒิและปัญญามากมายของท่าน ก็ดีแล้วไงล่ะ”


    ใบหน้าหยาบกร้านประดับด้วยหนวดเคราซุกลงบนเรือนผมดกหนาของหลี่หยางจื้อ


    ขณะที่ร่างเพรียวพยายามดิ้นรนจากอ้อมแขนหนาใหญ่ของมู่หรงซู่


    อย่าแตะต้องข้านะ!”




    หึๆ หลี่หยางจื้อคนงามของข้า” เรียวมือขวาบางถูกฉวยขึ้น “ ท่านจะครองความบริสุทธิ์ไปอีกนานแค่ไหน จนกว่าฮ่องเต้น้อยจะเกศาหงอกหรือไงกันนะ เรามาหาอะไรที่มันเพลินใจเล่นกันดีกว่าไหมล่ะ”


    ไม่นะ...ข้าไม่ต้องการ...อ๊ะ...”


    ริมฝีปากหนาของมู่หรงซู่พรมจูบซุกไซ้เรือนผมสีดำขลับแสนนุ่มปานจะกลืนกิน


    ข้าจะบำเรอท่านอย่างดี จนท่านต้องลืมความเป็นเสด็จน้าของฮ่องเต้น้อย ฮ่าๆ”


    มือกร้านของแม่ทัพหนุ่มใหญ่เลื่อนลงมายังเรียวเอวของร่างเพรียวบาง


    แต่หลี่หยางจื้อได้ทีก่อนจึงเหยียบเท้าของแม่ทัพหนุ่มจอมลามกให้เต็มแรงซะเลย!


    จนร่างใหญ่ต้องผละหลี่หยางจื้อออกเพื่อมากุมเท้าซ้ายของตนเอง พร้อมร้องครวญคราง


    ออกไปซะดีกว่า ก่อนที่ข้าจะตามพวกมหาดเล็กนำเจ้าไปโบยให้หนัก”


    ดวงตาเรียวคมของพระมาตุลาหนุ่มยามนี้คือ ดวงตาของพญามังกรยามพิโรธ


    มู่หรงซู่ปรารถนาต้องการทำมากกว่านั้น...แต่ก็รั้งสติของตนไว้ก่อน...


    โอ้ย...แรงดีขนาดนี้...ข้าพอใจนัก...เสียจริง”


    แต่ว่าความคิดแสนชั่วร้ายของแม่ทัพมู่หรงซู่ก็ยังไม่หมดไปได้!


    ถึงไม่ใช่ตอนนี้...ข้าก็ต้องการได้เจ้ามาเป็นของข้าให้ได้...ใช่เลย...


    ...ถ้าได้เจ้าแล้ว...ก็เท่ากับได้บัลลังก์แห่งนครฉางหลิง...มาไว้ในมือคู่นี้!...


    เมื่อเจ้าแม่ทัพผู้นั้นออกไปแล้ว หลี่หยางจื้อขบเรียวทนต์ของตนเอง แล้วรีบสางผมสลวยที่ยุ่งเหยิงจาก


    การกระทำของมู่หรงซู่ให้เรียบร้อย...ขยะแขยงสัมผัสแบบนี้เหลือเกิน...ขยะแขยง!



    ~*~*~*~*~*~



    ในยามราตรีแสนสงบ ฮ่องเต้น้อยกำลังท่องตำราการปกครองด้วยความสนใจ ฝ่ายเจ้ากระรอกน้อย


    กำลังกินเมล็ดพืชแห้ง ขณะที่รอเทียนอี้อ่านหนังสือเรียนเล่มหนามาระยะหนึ่งแล้ว


    หลักการปกครองของจักรพรรดิที่ดี...ท่านปราชญ์ขงจื้อได้กล่าวว่า...”


    เทียนเอ๋อร์...” เสียงทุ้มละมุนเรียก


    เสด็จน้าเองเหรอ”


    ดวงตากลมโตของจ้าวเทียนอี้มองยังผู้มาตักเตือนให้เข้าบรรทม


    เจ้าควรนอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าพิธีสำคัญ”


    ร่างเล็กบางในชุดนอนจึงยอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรงงานของตนเอง แล้วกลับไปยังบนเตียงนุ่ม


    โดยที่พาเจ้ากระรอกน้อยในอุ้งมือด้วย


    เจ้าคุ้นเคยกับมันเร็วจังนะ เทียนเอ๋อร์”


    ฮ่องเต้หนุ่มน้อยหัวเราะ “ มันชอบข้านะ เอ้อ! เสด็จน้าตั้งชื่อให้มันได้หรือเปล่า”


    เจ้าก็ตั้งของเจ้าเองสิ เจ้าเลี้ยงมันใช่ไหม”


    ก็ใช่...แต่ข้าอยากให้ท่านตั้งนี่นา ถือว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดของข้า จากท่าน...”


    น้ำเสียงอ้อนของฮ่องเต้น้อยมักใช้ได้ดีกับพระมาตุลาผู้เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่หกขวบ


    อือม...ไม่รู้สิ”


    น้าจื้อ...สีหน้าของท่านดูเป็นกังวล มีอะไรหรือ”


    ชายหนุ่มผุ้มีอายุมากกว่าส่ายหน้าไปมา “ เจ้าไปหยิบหวีมาหวีให้น้าคนนี้ได้หรือเปล่า”


    ได้ๆ”


    เวลาที่สองน้าหลานจะสนทนากันได้อย่างสนิทสนมมากที่สุดก็คือ เวลาก่อนนอน แบบนี้


    เวลาที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ไม่ต้องเป็นฮ่องเต้หรือท่านอ๋อง เป็นเพียงคนในครอบครัว


    มือเรียวบางของเทียนอี้บรรจงหวีให้กับน้าหนุ่มของเขา และเขาพอใจนักที่จะได้เล่นผมดกหนาของ


    หยางจื้อไปตามอารมณ์ของเด็กน้อย


    เทียนเอ๋อร์ ไม่เอาน่า หวีดีๆสิ”


    ข้าชอบผมยาวๆของเสด็จน้า ดกหนา เอามือเข้าไปทีมือก็หายไปเลย ฮ่าๆ”


    แถมเจ้ากระรอกน้อยก็สนใจที่จะมุดเข้าไปในเรือนผมยาวสีดำขลับของชายหนุ่มแล้วขึ้นมานั่งบนไหล่


    กระรอกน้อย เจ้าสนใจข้าด้วยเหรอ เจ้าช่างแสนรู้นัก”


    ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว เขาจึงให้เจ้าตัวน้อยมาเกาะเรียวแขน แล้วให้มันยืนบนฝ่ามือขาว


    อือม...เปาชิงเทียน...ดวงตาทำให้ฟ้ากระจ่าง...ก็เป็นนามที่ดี”


    ห๊า...” ฮ่องเต้น้อยอุทาน “ ท่านตั้งชื่อเร็วมากเลยนะเนี่ย”


    เจ้าชอบชื่อนี้ไหม”


    เรียกสั้นๆว่า อาเปา แล้วกัน ” เทียนอี้ตอบ


    ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา “ข้าถามมัน ไม่ใช่เจ้า เทียนเอ๋อร์”


    โธ่เอ้ย”


    หลังจากนั้น ท่านอ๋องหนุ่มร่างสูงโปร่งก็ลุกกลับไปนอนในห้องบรรทมของตนที่อยู่ด้านข้าง

    แต่ว่าฮ่องเต้องค์น้อยกลับขอพระมาตุลาหนุ่มให้...


    คืนนี้ น้าจื้อนอนกับข้าได้หรือเปล่า”


    ทำไมล่ะ”


    อยากให้ท่านเล่านิทานเรื่องหนึ่งจนข้าหลับ”


    หลี่หยางจื้อถอนหายใจกับความไม่ยอมโตของจ้าวเทียนอี้ผู้เป็นหลานชาย


    ก็ได้ๆ”


    แท่นบรรทมของฮ่องเต้น้อยมีขนาดใหญ่พอที่ให้สองบุรุษสามารถนอนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเบียดเสียดกัน...ดวงตาสดใสของทั้งสองน้าหลานมองยังเพดานเตียงที่มืดสลัวแล้วมากกว่ามองให้กัน


    นิทานเรื่องอะไร เทียนเอ๋อร์”


    นิทาน...เรื่องตอนข้าเกิด ท่านอายุเท่ากับข้าใช่ไหม”


    ใช่...ตอนนั้น น้าอายุเท่ากับเจ้า อายุสิบหกปี วันที่เจ้าเกิด เสด็จพ่อของเจ้าอนุญาตให้น้าได้พบเจ้า...เจ้าก็เป็นที่นอนในอ้อมกอดของท่านพี่หญิง แล้วก็เอาแต่ร้องไห้...เวลามันก็ผ่านไปเร็วนะ...เจ้าโตขึ้นมากแล้ว...จะเป็นผู้ใหญ่...ที่ปกครองแคว้นนี้”


    จ้าวเทียนอี้กลับเม้มริมฝีปากเล็กอิ่ม “ แต่ข้าไม่อยากโตเลย”


    เจ้าต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ เทียนเอ๋อร์”


    ถ้าข้ามีอายุยี่สิบแล้ว น้าจื้อจะไปไหน ถ้าไม่ได้ทำหน้าที่เป็นมาตุลาของข้า...”


    ไม่รู้...น้ายังไม่ได้คิดอะไร...”


    จริงๆเหรอ...เสด็จน้า”


    ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าถอนหายใจดัง “ ยังไม่รู้...เอาล่ะ เทียนเอ๋อร์ นอนได้แล้ว”


    นอนก็นอน พรุ่งนี้ ท่านอย่าฉาบมาปลุกข้านะ”


    ข้าไม่ทำแน่ ถ้าเจ้าไม่ตื่นสาย เจ้าเด็กขี้เซา”


    ฮ่องเต้องค์น้อยก็เคลื่อนไปหยิบหมอนเล็กให้เจ้ากระรอกน้อยเปาชิงเทียนได้นอนข้างๆกัน


    ก่อนที่จะหันหน้าหนีซุกกับหมอนใบใหญ่ของตนเอง ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งวัน


    จ้าวเทียนอี้จึงหลับไปก่อนที่จะรู้สึกว่าน้าชายลูบเรือนผมของเขาด้วยความห่วงใย


    ไม่รู้เลย...ข้าคิดอย่างอื่นอะไรไม่ได้...ข้าต้องปกป้องเจ้าให้ดี ให้เจ้าเป็นจักรพรรดิที่ดีก่อนจะคิดอ่านเรื่องในอนาคต...ข้าไม่จากเจ้าไปไหนหรอก”


    แม้ว่าจะยังเคืองใจที่เจ้ามู่หรงซู่มาลวนลามเขาในยามสนธยาที่ผ่านมา แต่พอได้อยู่กับหลานชายคนเดียว ก็ทำให้หลี่หยางจื้อคลายทุกข์ไปบ้าง...เจ้ามู่หรงซู่ ถ้าคิดแตะเทียนเอ๋อร์ ก็ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ...ข้ารักและห่วงใยเด็กคนนี้จนพอสละชีวิตของตนให้ได้...หลานชายข้า...


    ริมฝีปากสวยจุมพิตหน้าผากมนของจักรพรรดิน้อยแผ่วเบา


    เชิง ยื่อ ไคว่ เล่อ ( สุขสันต์วันเกิด) เทียนเอ๋อร์น้อยของน้า ”



    แล้วพระมาตุลาหนุ่มก็หลับตานิ่งเพื่อหวังว่า พรุ่งนี้จะพาหลานชายเข้าพิธีสวนกวานอย่างเต็มภาคภูมิ


    สมเกียรติยศแห่งจักรพรรดิน้อยเสียที...เทียนเอ๋อร์กำลังก้าวสู่ช่วงเวลาสำคัญแล้ว...


    ~*~*~*~*~*~


    โอ...กลับมาต่อด้วยอารมณ์พาฟินนาเร่ในโหมดวายซะทีค่ะ อิอิ ><


    เจ้ากระรอกน้อยชื่อ เปาชิงเทียน หรือว่า อาเปา ตัวนี้มีบทบาทต่อแน่ๆค่ะ แถมนะ...หมั่นไส้อีตาแม่ทัพขี้หื่น รู้สึกสะใจให้เด็จน้าแกเหยียบไปเลย ฮ่าๆ ช่วงนี้จะพยายามมาอัพบ่อยนะคะ แล้วมีนิยายจีนที่อยากเขียนอีกหลายเรื่อง...ขอแบ่งเวลาก่อนนะคะ...อยากรู้จัง รีดเดอร์จะให้เด็จน้าจื้อ เคะ ป่ะ ฮี่ๆ >,.<



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×