คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ผมกำลังจะกลายเป็นเด็กมีปัญหา...รึเปล่านะ?
....................................................................................................
เสียงสวดมนต์ที่ไพเราะดังออกมานอกโบสถ์ มันช่างเป็นเสียงที่ไพเราะ เหมือนเสียงของสวรรค์ไม่ผิดเพี้ยน...แต่นั่นต้องไม่ใช่ความคิดของผม
ภายนอกโบสถ์สีขาวที่สะอาดสะอ้าน เหมาะแก่การมาสวดมนต์ขอพรแก่พระเจ้าที่พวกเขานับถือกัน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าโบสถ์เลย แม้แต่คนเดียว
แววตาที่บ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายของเขา ไม่ได้ทำให้ใครหันมาสนใจเลยแม้แต่น้อย กลับมีแต่คนนึกว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน
เพราะการกระทำแบบนี้ในขณะที่ผู้คนคนอื่นๆยังสวดมนต์กันอยู่อย่างมีความสุขนั้น ถือว่าไม่มีมารยาทอย่างยิ่ง จึงไม่มีใครสนใจเขาแม้แต่คนเดียว
เด็กหนุ่มวัย 16 ปี ที่แต่งกายด้วยชุดสุภาพ แต่กลับมานั่งอยู่หน้าโบสถ์ด้วยแววตาที่แข็งกร้าว และเบื่อหน่าย ไร้ความอ่อนโยน เขามองไปข้างหน้าโบสถ์ ที่มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ และรูปปั้นของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ที่ศาสนาคริสต์นับถือ
เด็กหนุ่มไม่มีอะไรให้ทำ นอกจากนั่งอยู่หน้าโบสถ์ กับการที่ต้องเข้าไปสวดมนต์ที่แสนน่าเบื่อหน่ายสำหรับเขา
เขาถอนหายใจยาวออกมา หลังจากที่เก็บไว้นาน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สวยงาม แต่กลับมีเขาคนเดียว ที่คิดว่ามันก็เหมือนกับท้องฟ้าทั่วไปที่เขาเห็นทุกวัน...
“ทำไมไม่เข้าไปในโบสถ์ล่ะ?” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นข้างเขา เด็กหนุ่มหันไปมองที่ต้นเสียง ภาพที่เขาเห็นทำให้เขาหงุดหงิดขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กสาววัย 13 ปี ที่ยืนอยู่ เป็นซิสเตอร์ฝึกหัด
“รู้ไหมว่ามานั่งอยู่ตรงนี้มันเสียมารยาท” เด็กสาวกล่าว แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เด็กสาวมองใบหน้าใสสะอาดของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเดินเข้าไปภายในโบสถ์
เด็กหนุ่มหันไปมองประตูโบสถ์ที่ค่อยๆปิดลง กับภาพที่เขาเห็นตั้งแต่เด็ก คือการยืนขึ้นและสวดมนต์สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
“เบื่อเหรอครับ?” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น เด็กหนุ่มเงยหน้ามองตามเสียง สายตาของเขาเปลี่ยนไปทันที เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้า
ผ้าคลุมสีดำ ผมสีชมพูอมแดง กับผิวที่ขาวเหลืองสวย ชายหนุ่มตรงหน้าสะกดเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ได้ เพราะในใจของเด็กหนุ่มนั้นรู้สึกถึงบางอย่างกับชายหนุ่มตรงหน้า แต่นั่นไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความเข้าใจ
“อ้อ ขอโทษด้วยครับ ผมลืมแนะนำตัว...” ชายหนุ่มยื่นมือถือสีดำให้เด็กหนุ่ม เขามองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ เพราะเด็กหนุ่มเองก็มีปฏิกิริยาที่ดี เป็นที่พึงพอใจแก่ชายหนุ่มอย่างยิ่ง
“คุณคงเคยได้ยินเกมที่มีชื่อว่า Liar Game แล้วสินะ...”
“ผมไม่เล่นหรอก” เด็กหนุ่มยื่นมือถือสีดำของชายหนุ่มคืน แววตาที่คอกริบของเขาไม่ได้แสดงถึงความต่อต้านในสิ่งที่ชายหนุ่มยื่นให้เลยสักนิด ทำให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มออกด้วยความพอใจ
“ไม่เป็นไรครับ อ้อ โทร.มาหาผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ...” ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือลาเด็กหนุ่มที่อยู่ในความงุนงง
เมื่อชายหนุ่มเดินออกห่างไปแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาทันที และพบกับเบอร์โทรศัพท์เบอร์ใหม่ที่ลงชื่อว่า ‘ซีโร่’
“แล้วเจอกันนะครับ...ออย” ชายหนุ่มพูดขึ้นลอยๆ เขามองรูปภาพของเด็กหนุ่มที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเด็กหนุ่มผู้นี้ เป็นเด็กหนุ่มที่เขารู้จักดี เพราะไอ...
ไม่นานชายหญิงนับสิบก็เดินออกมาจากโบสถ์ รวมถึงพ่อแม่ของเด็กหนุ่มด้วย พวกเขาดูมีความสุขและอิ่มบุญเป็นที่สุดสำหรับวันนี้
“ออย ออกมาจากโบสถ์ทำไมกันน่ะลูก มันเสียมารยาทนะ” หญิงสาวผู้เป็นแม่กระซิบข้างหูของลูกชายที่สูงพอๆกับเธอ
“ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ใส่ใจและเดินไปที่รถยนต์ทันที หญิงสาวมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มด้วยความไม่พอใจ ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อ จึงเข้ามาจับไหล่ของเธอเพื่อให้กำลังใจ
เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐสวยงาม สายตาของเขาเองก็กวาดมองดูธรรมชาติรอบข้างแทนพี่สาวที่เสียไปเมื่อห้าปีก่อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก สำหรับเขา ที่แทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่สาวมากนัก ทั้งๆที่เธอมีแววตาคล้ายกับเขาเองแท้ๆ...
“พี่ พี่ค่ะ” เสียงหวานๆดังขึ้นด้านหลังของเขา มันเป็นเสียงที่เขารู้จักดี เพราะเขาเพิ่งได้ยินเสียงนี้เมื่อไม่นานมานี้ “นี่ค่ะ เอาไว้สวดภาวนานะค่ะ”
เด็กสาวตัวน้อยยื่นสายประคำสีขาวที่สามารถเรืองแสงได้เมื่ออยู่ในที่มืด เด็กสาวยิ้มให้เด็กหนุ่มที่สูงกว่าอย่างอ่อนโยน ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มตอบอย่างฝืนๆ
เด็กสาวเดินกลับเข้าไปที่โบสถ์อย่างใจเย็น ผิดกับเด็กหนุ่มที่มองสายประตำสีขาวอย่างเย็นชา แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจที่จะใส่สายประคำจากซิสเตอร์ฝึกหัดที่อุตส่าห์เอามาให้เลย
เด็กหนุ่มมองพ่อและแม่ที่กำลังเดินใกล้เขามากขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูยิ้มแย้ม ผิดกับเขา พ่อกดรีโมทปลดล็อคประตูทันที เมื่อเดินเข้าใกล้รถ
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นดังนั้น จึงกระชากประตูรถอย่างแรงด้วยท่าทีประชดประชัน ทำให้สายตาที่ยิ้มแย้มของพ่อและแม่หายไปทันที
ในตอนนี้ เด็กหนุ่มนั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว มือข้างซ้ายของเขายังคงลูกคลำสายประคำ ที่มีจี้เป็นรูปไม้กางเขนอย่างใจเย็น เขาเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งๆที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด...
“...ออย...” เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงทันที เมื่อได้ยินเสียงของผู้หญิงเรียกชื่อเขา เมื่อเด็กหนุ่มหันหน้าไปทางเสียงนั้น เขาก็เห็นเด็กสาวร่างบางคนหนึ่งนั่งข้างเขา ผมของเธอยาวสวย กับเสื้อสีดำที่ดูลึกลับ
แต่เด็กหนุ่มมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ เพราะผมที่ยาวจนปกปิดใบหน้าของเธอจนหมด แต่สิ่งที่เขาตกใจมากกว่านั้นคือ เธอเข้ามาในรถได้อย่างไร?
เสียงน้ำหยดดังขึ้น เด็กหนุ่มหันไปมอง ก็พบกับเลือดที่ซึมไปตามเบอะที่นั่งด้านหลังที่เขานั่งอยู่อย่างรวดเร็ว
“ช่วยฉันด้วย! พาฉันออกมาจากที่นั่น! จะไม่ทันเวลาอยู่แล้ว!!...” เด็กสาวหันหน้ามาหาเขา มือข้างซ้ายของเธอบีบต้นแขนของเด็กหนุ่มอย่างแรง สายตาของเธอดูเศร้าสร้อยมาก คราบน้ำตาที่มีอยู่ตามแก้มมากมายเสียจนพื้นที่บริเวณนั้น เป็นคราบแข็งๆที่ติดอยู่
“อย่างเข้ามานะ!!!”
ออยร้องเสียงหลง ทำให้พ่อและแม่ที่เข้ามาในรถแล้วต้องหันไปมอง เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น มองไปรอบๆก็พบเพียงพ่อและแม่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
ท่านทั้งสองมองหน้าของกันและกัน ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังคลืบคลานมาหาเขา โดยที่เขาลืมบางอย่างที่พึ่งเห็นไปเมื่อครู่...
ภายในรถที่กำลังแล่นไปบนถนนอย่างปกตินั้น ตอนนี้เงียบไปอย่างผิดธรรมชาติ ทำให้หญิงสาวผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ถามขึ้น
“วันนี้ออยเป็นอะไรน่ะ ตั้งแต่อยู่ที่โบสถ์แล้วนะ”
เด็กหนุ่มมองผู้พูดด้วยสายตาไร้อารมณ์ “ผมเบื่อ” เด็กหนุ่มตอบ “จริงๆไม่ต้องพาออยออกมาเข้าโบสถ์ก็ได้นะ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ!” หญิงสาวตวาดลูกชายขึ้น ก่อนที่เธอจะถอนหายใจออกอย่างแรงเพื่อระบายความโกรธทั้งหมด “ลูกเปลี่ยนไปมากนะ...” หญิงสาวพูดขึ้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนใจที่จะฟังเลยสักนิด
มือข้างขวาของเด็กหนุ่มที่ลูบคลำไม่กางเขนอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปของไม้กางเขนอย่างเห็นได้ชัด
ออยรีบหยิบจี้ไม้กางเขนขึ้นมาดูทันที และก็เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ไม้กางเขนเปลี่ยนเป็นสีดำ ลวดลายเองก็ผิดแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด
“...คิดไปเองมั่ง”
เมื่อถึงบ้านของเด็กหนุ่ม ทั้งสามคนก็ลงจากรถทันที โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ออยเปิดประตูบ้าน และรีบวิ่งขึ้นห้องนอนของเขาไปทันที
เสียงปิดประตูที่บอกถึงความไม่พอใจดังขึ้น หญิงสาวใช้มือขวาแตะที่หน้าผากของเธอเบาๆ ด้วยความเหนื่อยล้าของตัวเองที่มีต่อลูกชาย
“วัยหัวเหลี้ยวหัวต่อก็อย่างนี้แหละ”ชายหนุ่มพูดปลอบพร้อมกับบีบที่ไหล่ของภรรยาเบาๆ
“แต่แกเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนะ แก้ยังไงก็ไม่หาย...” หญิงสาวนั่งลงที่โซฟาด้วยท่าทางอ่อนล้า “ขนาดไอยังว่าง่ายกว่าเลย...”
ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวทันที สายตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นความโกรธเคืองและประชดประชัน “นี่คุณยังจำเด็กคนนั้นได้อีกเหรอ?”
“ทำไมล่ะ!?”
“ฮึ คุณดูเธอสิ หายออกจากบ้านไปเป็นปี ไปตายแล้วมั้ง...เฮ้ย!!!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง เมื่อได้ยินเสียงแก้วแตก และสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจมากกว่าคือ แก้วน้ำนั้นถูกโยนมาใส่กำแพงโดยมือของลูกชายของเขาเอง
เด็กหนุ่มกำมือแน่นด้วยความโกรธ เขาเดินเข้ามาใกล้พ่อของเขาอย่างไม่กลัว ทั้งๆที่เมื่อกี้เขาเพิ่งปาแก้วน้ำใส่กำแพงไปอย่างไม่กลัวว่าจะโดนพ่อหรือแม่ของเขาเองเลยสักนิด
“พ่อพูดอย่างนั้นได้ยังไง!?” เด็กหนุ่มจับคอเสื้อของชายหนุ่มไว้ “พี่หายตัวไปโดยที่ไม่บอกผมเนี่ยนะ”
“ทำอะไรน่ะ นี่พ่อลูกนะ” หญิงสาวผลักออยออกไป พร้อมกับการตระหนักได้ว่า ลูกของเขาเปลี่ยนไปมาก มากเสียจนเดาไม่ออกเลยว่าต่อจากนี้ เขาจะทำอะไรต่อไป และเดาไม่ออกเลยว่า เขาไปได้นิสัยพวกนี้มาจากไหน...
“ไหนพ่อกับแม่บอกว่าพี่ไปอยู่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไง” เด็กหนุ่มมีสีหน้าที่ผิดแปลกไปมาก “พ่อกับแม่นี่เชื่อไม่ได้เลย...” ออยเดินออกจากบ้านไป พร้อมกับเสียงของแม่ที่ไล่หลังมา
เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกจากบ้านทันที เพื่อรีบลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แล้วเด็กหนุ่มก็หยุดฝีเท้าทันที เมือรู้สึกตัว เขาลูบไปที่กางเกงยีนต์ และพบว่า...
“ลืมหยิบกระเป๋าเงินมา”
เด็กหนุ่มเดินไปตามถนนที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน และนั่นทำให้เด็กหนุ่มสบายใจมากขึ้นกว่าเดิมมาก ออยเดินอย่างสบายใจก่อนจะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
เสียงของโทรศัพท์มือถือของเขา ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเงียบรอบตัว เพราะเสียงของโทรศัพท์มือถือของเขานั้น ดังเสียจนได้ยินอย่างชัดเจน ชัดเสียจนไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิด แต่เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตามสันชาติญาณ และเบอร์ที่ปรากฏตรงหน้าเขานั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลยสักนิด เพราะมันเป็นเบอร์ของชายหนุ่มชุดดำคนนั้น...
เด็กหนุ่มกวาดมองอย่างลังเล ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ “...ฮัลโหล”
‘สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้างครับ เงียบสงบสมใจไหมล่ะครับ?’
ออยมองไปมารอบตัว เพื่อหาต้นเสียงของชายหนุ่ม ที่อาจจะแอบอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่สามารถเห็นการกระทำของเขาทุกอย่างได้
‘อย่าสงสัยให้เปลืองสมองเลยครับ’ ชายหนุ่มชุดดำพูด ‘เพราะยังไงคุณก็หาผมไม่เจออยู่ดี’
“...คุณใช่คนหรือเปล่าเนี่ย?...” เด็กหนุ่มถามขึ้น ชายหนุ่มหัวเราะฮึๆในลำคอ
‘คุณคิดว่านี่มันปีอะไรแล้ว เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องเลยดีกว่านะ ที่ผมโทร.มาหาคุณเนี่ย ผมก็แค่ต้องการให้คุณรู้ความจริงบางอย่างก็เท่านั้น’
“...”
‘ผมอยากให้คุณเดินตรงไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะบอกให้หยุด’
เด็กหนุ่มกวาดดวงตาสีน้ำตามเข้มไปมา เขาไม่ยอมทำตามคำพุดของชายหนุ่ม เพราะชายหนุ่มที่พูดอยู่ อาจจะพาให้เขาไปตายก็ได้...
‘อย่าดื้อสิครับ เดินตรงไปเลย’
ชายหนุ่มพูดอีกครั้ง หากฟังจากคำพูดของเขาแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่า ชายหนุ่มกำลังยิ้มอย่างพอใจ เด็กหนุ่มเดินตรงไปตามที่ชายหนุ่มบอก จนกระทั่งมาถึงทางแยกสองทาง
“จะไปทางไหน?” ออยถาม
‘ฮึ จะไปทางไหนก็เหมือนกันนั่นแหละครับ’
เด็กหนุ่มมองทางแยกทั้งสองทาง ไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่หมอก ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกขำตัวเองไม่น้อย กับการที่ได้มายืนอยู่ตรงกลางหมอกที่หนาทึบ แต่ที่เด็กหนุ่มไม่ขำก็คือ หมอกทั้งหมดนั้น เป็นของจริงทั้งสิ้น
ออยเลือกเดินไปทางซ้าย การเดินของเขานั้นไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิด เพราะทางเดินที่เขาเดินอยู่นั้นไม่ขรุขระมากนัก
ไม่นานรอบข้างของเขาก็เปลี่ยนไป อิฐที่วางเรียงรายกันเป็นบล็อกๆ เมื่อมองดุดีๆแล้ว มันช่างเหมือนกับกำแพงของปราสาทโบราณไม่ผิดเพี้ยน
‘เอาละครับ คุณวางโทรศัพท์ได้แล้วล่ะ’
เด็กหนุ่มวางสายของชายหนุ่มไปเมื่อได้ยินคำสั่ง และแล้ว กลิ่นที่เขาไม่อยากได้กลิ่นก็เข้ามาในจมูก เด็กหนุ่มใช้มือขวาปิดจมูกไว้ด้วยความทรมาน
กลิ่นที่เด็กหนุ่มรับรู้นั้น ทำให้เขาลืมตาแทบไม่ขึ้น เพราะกลิ่นนั้นคือ กลิ่นคาวเลือด เลือดที่มีมหาสาร เด็กหนุ่มมองตรงไปด้านหน้า และเขาก็ได้เจอกับบางสิ่ง
เส้นผมสีดำหนาที่ยาวสวย กับเสื้อสีดำที่มีสีแดงของเลือดประดับตามร่างกาย ข้างกายของเธอคือ เด็กหนุ่มในเสื้อคลุมยาวสีดำ ซึ่งมีใบหน้าไม่ผิดเพี้ยนไปจากเธอเลยสักนิด
“จำพี่สาวบุญธรรมของเธอไม่ได้เหรอ?” ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มตรงหน้าไว้
“พี่สาวผม!”
“ไอไงล่ะครับ” ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง แต่เด็กหนุ่มกลับเงียบไป ก่อนจะทรุดนั่งลง น้ำตาของเขาไหลออกมาพร้อมกันทั้งสองข้าง
ทำให้ชายหนุ่มชุดดำยิ้มอย่างพอใจกับผลงานที่อุตส่าห์เก็บไว้นานถึงห้าปี โดยไม่มีส่วนไหนเน่าสลายเลยแม้แต่จุดเดียว
“พี่สาวของเอเข้ามาเล่นเกมนี้ เพราะเธอเกิดมานะ รู้ไหม?” ชายหนุ่มพูดขึ้น ออยหันมามองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งน้ำตา ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา ผิดกับชายหนุ่มที่มีสีหน้าพอใจไม่น้อย
“คุณไอได้รับความรักมาตลอด จนกระทั่งเธอเกิดมา การที่คุณไอเข้ามาเล่นเกมนี้ ก็เพราะว่าเธอรู้ชะตาชีวิตข้างหน้าของเธอ ว่าเธอจะต้องออกจากบ้านนั้นไป”
“ทำไม?” เด็กหนุ่มถามเสียงสะอื้น
“เพราะไม่มีใครต้องการเธอยังไงล่ะ...” ชายหนุ่มตอบ “แล้วที่เธอต้องมาตาย ก็เพราะว่า เธอกำจัดเด็กผู้ชายคนนั้นไม่สำเร็จ” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปที่หมอก “เกมของฉันกำลังจะจบลงด้วยการที่ คุณไอจะเป็นผู้ชนะแล้วแท้ๆ แต่เพราะเธอถูกฆ่าเสียก่อน...” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงเศร้าตามสถานการณ์ ออยยืนขึ้นและถามชายหนุ่มด้วยท่าทางปกติทั้งๆที่น้ำตาของเขายังคงไหลอยู่
“ใครฆ่าเธอ?”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็ชี้ไปด้านหลัง หมอกควันที่ปิดอยู่ เปิดออกอย่างง่ายดาย และภาพตรงหน้าที่เด็กหนุ่มเห็น ก็คือร่างของเด็กหนุ่มในเสื้อสีดำที่นอนคว่ำอยู่กับพื้น แต่มือของเขาก็ยังคงกำปืนในมือแน่น
“...” เด็กหนุ่มหลับตาลง แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังคงยิ้มอยู่ไม่หาย
“คุณอยากจะสานต่อในสิ่งที่พี่สาวของคุณทำค้างไว้ไหมล่ะครับ?”
“...” เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มใบหน้าเรียว กับผมสีชมพุอมแดง
“คุณอยากจะเป็นผู้เล่นหรือซีโร่ครับ?”
“...ผมจะเป็นผู้เล่นครับ...”
ความคิดเห็น