ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณชายหลายใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 834
      2
      28 พ.ย. 54

    พอได้ยินว่าเหอเฟิ่งชี เจ้าสำนักหอคลื่นหมอกตัดสินใจยกเปี๋ยจือ สาวใช้ที่รักของตนให้กับฉู่อี้ลั่ง ลูกสมุนที่เขาพึ่งพาและไว้ใจยิ่งยวด ผู้คนทั้งหลายก็พากันเอะอะโวยวายด้วยความไม่พอใจ ชาวยุทธ์บางคนอดบ่มขรมในใจไม่ได้ว่าหอคลื่นหมอกชอบวิธีการเรือล่มในหนองทองไม่ไปไหนพรรค์นี้นี่เอง

    ยกแม่นางเปี๋ยเวิ่นให้แต่งกับลี่เหินเทียน รองเจ้าสำนักหอคลื่นหมอกของตน ไม่นานต่อมาก็ยกแม่นางเปี๋ยจือให้แต่งกับลูกสมุนคนสำคัญ บ่งบอกชัดว่าไม่ให้โอกาสคนนอกสักนิด!

    แม่นางเปี๋ยจือนุ่มนวลอ่อนหวาน รูปโฉมงดงาม ฉลาดหลักแหลม มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นศรีภรรยาและมารดาที่ดี นอกจากนี้นางยังเชี่ยวชาญการดนตรี ความสามารถโดดเด่นเหนือใคร ใครได้แต่งนางเป็นภรรยาก็จะเป็นที่อิจฉาริษยาของผู้คน นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ดันมาถูกจอมเสเพลเจ้าชู้ประตูดินช่วงชิงไปเป็นภรรยาได้ ให้คิดอย่างไรก็รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนแม่นางเปี๋ยจือยิ่งนัก

    ทว่าเมื่อเจ้าสำนักกล่าวออกมา ก็หมายความว่าเรื่องนี้ถูกกำหนดแล้ว บรรดาผู้ที่มาผูกใจรักจึงได้แต่ลอบโศกเศร้าน้ำตาตกในไปเงียบๆ

    เปี๋ยจือยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือนรับรอง มองของกำนัลที่วางกองเป็นภูเขาลูกย่อมหน้าห้องกำลังถูกคนมาขนขึ้นรถเข็นไปทีละคัน เตรียมจะลากไปขายเป็นเงินเพื่อจุนเจือชาวบ้านยากไร้ที่อยู่เชิงเขา

    หลังจากที่ข่าวเรื่องงานมงคลของนางและฉู่อี้ลั่งแพร่สะพัดออกไป บรรดาบุคคลนิรนามที่หวังจะใช้ของกำนัลพิชิตใจนางก็พากันหายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับเป็นภูเขาของกำนัลหน้าประตูห้องเปี๋ยถีที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นทุกวัน

    เห็นได้ชัดว่ายามนี้ผู้มาตามเกี้ยวพาได้เปลี่ยนเป้าหมายไปที่เปี๋ยถี สาวใช้เพียงหนึ่งเดียวในบรรดาสาวใช้คนงามทั้งสามที่ยังไม่ได้เลือกสามีและกำหนดวันมงคลแล้ว

    เมื่อนึกถึงสีหน้าท่าทางตระหนกตกใจแทบจะเผ่นหนีไปไม่ทันของเปี๋ยถี ยามเห็นว่าภูเขาของกำนัลของนางนับวันจะใหญ่และสูงขึ้นทุกที เปี๋ยจือก็อยากหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

    ต้องขอบคุณฉู่อี้ลั่ง นางจวนจะหลุดพ้นจากของกำนัลที่กองสูงเป็นภูเขาได้แล้ว

    พอคิดถึงฉู่อี้ลั่ง รอยยิ้มบางตรงกลีบปากของนางก็จางหายไปพลัน

    แต่ก่อนฉู่อี้ลั่งมักหาโอกาสมาเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับนางอยู่เสมอ บางครั้งบางครายังจะหยอกเย้านางเล่นอีกด้วย ระหว่างทั้งคู่แม้จะไม่ได้สนทนาวาจาที่มีความหมายอะไรต่อกัน แต่เขาก็มักเผยสีหน้าสุขใจเต็มเปี่ยม นางรับรู้ได้ว่าเขาชอบที่ได้เจอนางมาก

    ทว่านับแต่เจ้าสำนักกำหนดเรื่องการแต่งงานของนางและฉู่อี้ลั่งแล้ว ฉู่อี้ลั่งก็คล้ายระเหยไปจากโลกนี้ไม่มีผิด เกือบจะหายลับไปจากการมองเห็นของนางโดยสิ้นเชิง

    นางรู้สึกคล้ายถูกทอดทิ้ง หัวใจว่างโหวง...หนาวเหน็บ นางเกลียดความรู้สึกพรรค์นี้นัก

    เหมือนกับวันใดวันหนึ่งเมื่อในอดีตที่บิดามารดาของนางจงใจจับนางสวมเสื้อผ้าชุดเดียวที่ไม่มีรอยปะชุน แล้วพานางมาที่ตลาด ทั้งยังยัดน้ำตาลปั้นที่นางมักมองด้วยอาการน้ำลายสอแต่ก็ไม่เคยได้ลิ้มลองมาตลอดใส่มือนางแท่งหนึ่งอีกด้วย

    นางในยามนั้นยังจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีอันใหญ่หลวง ลิ้มรสชาติของน้ำตาลปั้นที่ได้มาอย่างยากเย็นแท่งนั้นอย่างระมัดระวัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมา นางก็ต้องตื่นตกใจที่พบว่าตนถูกบุพการีทิ้งไว้ตรงปากถนนที่ผู้คนขวักไขว่กลางตัวเมืองซึ่งไม่คุ้นเคยอย่างเลือดเย็นเสียแล้ว

    หากรู้ว่าตนจะถูกบิดามารดาทอดทิ้ง นางก็ไม่อยากได้น้ำตาลปั้นแท่งนั้นเลยสักนิด น้ำตาลปั้นแท่งเล็กๆ จะชดเชยความเจ็บปวดที่ถูกบุพการีทอดทิ้งในยามนั้นได้อย่างไรกัน

    “จือเอ๋อร์ เมื่อครู่ท่านเจ้าสำนักสั่งให้เจ้ากลับมานำพิณไปที่ศาลาจันทร์กระจ่างเพื่อบรรเลงพิณให้เขาฟังไม่ใช่หรือ ไฉนพอกลับมาถึงก็เอาแต่ยืนเหม่ออยู่ตรงประตูอยู่ได้ ท่านเจ้าสำนักรอจนหงุดหงิด กำลังเร่งอยู่เชียว” เปี๋ยถีถลันเข้ามาอย่างรีบร้อน พอเห็นนางก็ขานเรียก

    “ขอโทษ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เปี๋ยจือดึงสติกลับมา กล่าวยิ้มๆ ด้วยท่าทางเกรงใจ

    ยามที่เปี๋ยจือหันกายไป จู่ๆ เปี๋ยถีก็ยื่นมือมาดึงมือนางไว้แล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่า “จือเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

    นางพบว่าดวงตาของเปี๋ยจือดูคล้ายจะแดงก่ำเล็กน้อย

    นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นจนป่านนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว อารมณ์ความรู้สึกของเปี๋ยจือดูคล้ายสงบเยือกเย็นและยอมรับการจัดการของเจ้าสำนักเงียบๆ กระนั้นเปี๋ยถีก็มักรู้สึกว่าใจของเปี๋ยจือล่องลอยไปที่ไหนไม่รู้ตลอดเวลา ทำให้นางจับสีหน้าอาการใจลอยอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเปี๋ยจือได้บ่อยครั้ง

    อาศัยความสัมพันธ์พี่น้องจากการที่อยู่ใกล้ชิดกันมานานสิบปี เปี๋ยถีรู้ซึ้งว่าเปี๋ยจือมีนิสัยสุขุมหนักแน่นมั่นคง น้อยครั้งที่จะเหม่อลอยเช่นนี้ ดังนั้นอาการผิดปกติของนางจึงทำให้เปี๋ยถีกังวลใจยิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะช่วยนางอย่างไรดี

    “อืม ข้าสบายดี” นางเผยยิ้มบาง

    ดวงหน้ายิ้มแย้มของเปี๋ยจือดูว่างเปล่าอยู่บ้าง กระทั่งยามพยักหน้ายังดูใจลอย พาให้เปี๋ยถีเห็นแล้วรู้สึกเจ็บปวดสงสารยิ่งนัก

    “เจ้ารีบไปหยิบพิณแล้วไปที่ศาลาจันทร์กระจ่างบรรเลงให้ท่านเจ้าสำนักฟังก่อน ข้ายังต้องไปทำอาหารว่างยกไปอีก” เปี๋ยถีดันตัวนาง

    เปี๋ยจือพยักหน้าอย่างเรียบเรื่อย ก่อนจะหันกายเข้าห้องไปหยิบพิณ

    เปี๋ยถีมองตามเงาร่างนางไป ไม่รู้ควรกล่าวอะไรดีและจนปัญญาจะช่วยเหลืออะไรได้เช่นกัน ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับถือโอกาสสาปแช่งเจ้าเดรัจ... เอ่อ คุณชายฉู่ผู้นั้นด้วย จากนั้นค่อยหันกายวิ่งไปทางห้องครัวเพื่อทำของว่างแกล้มน้ำชาช่วยเสริมบรรยากาศขณะฟังเพลงพิณให้ผู้เป็นนาย

    เมื่ออุ้มพิณออกจากประตูห้องมาด้วยอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เปี๋ยจือก็เดินไปตามระเบียงทางเดินคดเคี้ยวอย่างเชื่องช้า ยามที่เดินไปถึงตรงหัวมุมก็ได้เผชิญหน้ากับเงาร่างสูงเพรียวที่เดินเลี้ยวมากะทันหัน นางจึงอดสะดุ้งตกใจไม่ได้

    “อุ๊ย...

    นางซวนเซไปข้างหลัง ร่างที่กอดพิณอยู่โงนเงนไม่มั่นคง เกือบจะเซล้มไป

    “ระวัง!” มือใหญ่มีพลังข้างหนึ่งยื่นมาประคองนางไว้ทันควัน

    “ขอบคุณ...

    ครั้นเงยหน้าขึ้นนางก็ตะลึงงันไป เพราะอีกฝ่ายคือฉู่อี้ลั่งผู้ที่แทบจะไม่เคยปรากฏตัวตรงหน้านางอีกเลยนับจากราตรีนั้น

    หากไม่ใช่เป็นเพราะนางจำได้แม่นยำว่าตนต้องให้เปี๋ยถีคอยดูแลเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มถึงจะลงจากเตียงได้ ซ้ำยังต้องกินยาที่หมอเทวดาเยี่ยนหมิงเฟยสั่งให้นางอีกสองวัน หาไม่แล้วการไม่ได้เห็นเขามาปรากฏกายตรงหน้านางเลยตลอดช่วงเวลาเดือนกว่านี้ เกือบจะทำให้นางนึกไปว่าเรื่องในคืนนั้นเป็นเพียงความฝันที่ไม่เป็นความจริงฉากหนึ่งเท่านั้น

    “เอ่อ...จือเอ๋อร์ ปะ...เป็นเจ้าเอง...

    สีหน้าเขาดูกระอักกระอ่วนยิ่งยวด คล้ายกับจะยืดเท้าออกวิ่งหนีไปได้ทุกเมื่อไม่มีผิด

    พอฉู่อี้ลั่งเห็นว่าเป็นนางก็ดูเหมือนจะตื่นตกใจขึ้นมา น้ำเสียงอึกอักเล็กน้อย มือที่ประคองนางอยู่หดกลับมาโดยพลันราวกับถูกความร้อนลวกก็ไม่ปาน

    หัวใจเปี๋ยจือคล้ายถูกเข็มแหลมทิ่มแทงคราหนึ่ง ทว่าฉากหน้ายังคงไม่มีสีหน้าอาการใดๆ นางก้มศีรษะลงคารวะเขา

    “คุณชายฉู่ ไม่เจอเสียนาน”

    น้ำเสียงนุ่มละมุนปลุกรสชาติเฝื่อนฝาดที่คล้ายมีและไม่มีในคราเดียวขึ้นมา

    นางรู้ดีว่าเขากำลังหลบหน้านาง หลังจากเขาถอนฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดในคืนนั้นได้แล้วก็หลบเลี่ยงนางไปในทันทีทันใด หัวใจนางทั้งเจ็บแปลบทั้งขมขื่น แต่กลับไม่มีที่ให้ระบาย

    “นั่นสิ ไม่เจอกันตั้งนาน...

    เขามองนางด้วยอาการใจลอยอยู่บ้าง ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในห้วงความคิดของเขาก็คือรู้สึกว่านางดูเหมือนจะซูบผอมไปมาก ดวงหน้านางซูบเซียวและซีดขาวกว่าเดิมเล็กน้อย กระนั้นก็ยังแตะแต้มรอยยิ้มละมุนบางเบาให้เขาอยู่นั่นเอง

    เขารู้สึกถึงความอดสูระคนต่ำต้อยอย่างแรงกล้าระลอกหนึ่ง ดวงตาคู่ที่เดิมเคยเรืองรองเปิดเผยหลุบต่ำเพื่อหลบสายตาของนางอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง

    ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นถึงร่างกายที่โทรมเซียวลงทุกวันของนาง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มีความกล้าเข้าไปพูดคุยกับนาง ตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมานี้เขาพยายามหลบหน้านางมาโดยตลอด ไม่กล้ามาพูดคุยสนทนากับนาง และไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับนางด้วยสีหน้าอาการเช่นไร ได้แต่หลีกหนีไปไกลๆ เฝ้าแอบมองเงาร่างผอมบางที่ลมเกือบจะพัดปลิวไปได้ของนาง เห็นนางผ่ายผอมลงทุกวัน เขาก็ทำได้เพียงลอบร้อนใจอยู่เงียบๆ

    ฉู่อี้ลั่งเกลียดชังตนเองอย่างรุนแรง ทุกคราที่ได้เห็นเปี๋ยจือ เขาก็ทนรอไม่ไหว อยากจะปลิดชีวิตตนเองเดี๋ยวนั้นเหลือเกิน

    เขามักจะนึกเสียใจกับทุกอย่างที่ทำกับนางในวันที่ถูกยาปลุกกำหนัดเล่นงานอยู่บ่อยครั้ง แม้ยามนั้นเขาจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป กระนั้นความผิดก็ยังยากจะอภัยให้อยู่ดี

    วันนี้เมื่อได้เผอิญพบกันในระยะประชิดอย่างไม่คาดฝัน ได้มองดวงหน้างามอ่อนหวานของนางเช่นนี้ เขาก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนคิดถึงนางเหลือเกิน เขาคิดถึงเสียง...รอยยิ้มบาง...คิ้ว ตา กลีบปาก...อีกทั้งผิวนวลเย็นเฉียบที่กรุ่นกลิ่นหอมและนุ่มนิ่มปานไร้กระดูกของนาง...

    นี่มันอะไรกัน เขากำลังคิดอะไรอยู่!

    เขาเกิดความคิดอกุศลกับนางได้อย่างไร ไฉนเขาจึงต่ำทรามไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เขาทำได้อย่างไร...เขา...เขา...

    เขามันเป็นเดรัจฉานที่ไร้การอบรมสั่งสอนโดยแท้!

    ความรู้สึกผิดบาปรุนแรงถาโถมเข้าใส่ เขาขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าย่ำแย่ ขณะสะบัดศีรษะแรงๆ หมายจะให้ตนเองมีสติขึ้นหน่อย

    ขณะที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์สุดกำลัง นึกไม่ถึงว่านางกลับเข้าใจสีหน้าแววตารังเกียจเดียดฉันท์ของเขาผิดไป

    “ท่านไม่ไปศาลาจันทร์กระจ่างฟังข้าบรรเลงพิณหรือ” นางหลุบตาลงถามเสียงแผ่ว

    “วันหลังเถอะ ข้า...มีธุระ ไปก่อนล่ะ” เขากล่าวท่าทางลนลาน ตั้งท่าจะหันกายจากไป

    เปี๋ยจือเงยหน้าขึ้นมาพลัน ก้าวขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่ทันคิด

    ไม่รู้เป็นเพราะฉู่อี้ลั่งตื่นตกใจหรือว่าละอายใจเกินขั้นกันแน่ เขาจึงเผลอดึงมือออกอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายพลาดไปชนถูกพิณในอ้อมแขนนางเข้า

    ทั้งคู่ต่างมีปฏิกิริยาไม่ทัน ได้แต่มองพิณลอยกระเด็นไปกระแทกเสาระเบียง ก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นหนักหน่วงต่อหน้าต่อตา

    ฉู่อี้ลั่งเบิกตากว้าง ตะลึงงันไปทั้งร่าง เปี๋ยจือก็แข็งขึงไปทั้งร่างเช่นกัน ตะลึงมองพิณที่ตกแตกเป็นชิ้นๆ บนพื้น สีหน้าแววตาสลับซับซ้อนยิ่งยวด

    “ข้า...ขอโทษด้วย ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” ฉู่อี้ลั่งพร่ำขอโทษขอโพยนาง ย่อกายลงหมายจะเก็บเศษพิณขึ้นมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเก็บจากตรงไหนก่อน

    ไฉนเขาจึงเปลี่ยนเป็นคนเงอะงะงุ่มง่ามเวลาอยู่ต่อหน้านางได้ ทั้งที่เขาเป็นหนุ่มเสเพลในสมรภูมิรักผู้ว่ายเวียนอยู่ในนวลเนื้อหอมกรุ่นและมีประสบการณ์ใกล้ชิดอิสตรีมาอย่างโชกโชนแท้ๆ สุดท้ายไม่เพียงคลายบรรยากาศอึดอัดระหว่างเขากับนางไม่ได้ ยามนี้ยังทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นด้วยการทำพิณของนางตกพังอีก เขากลัดกลุ้มหงุดหงิดจนอยากตัดแขนตนเองขาดเหลือเกิน ความรู้สึกผิดในใจที่มีต่อนางสลักลึกลงอีกชั้น

    เปี๋ยจือก้มมองพิณอย่างเงียบงัน ในใจขมขื่นถึงขีดสุด

    นางรู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่ได้ตั้งใจสักเรื่อง เมื่อก่อนที่เขาดีต่อนางก็เพราะนิสัยเขาเป็นเช่นนั้นเอง เขามักอ่อนโยน ชอบหยอกเย้าหญิงสาวทุกคนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นางหวั่นไหวใจ

    คืนนั้นเขาถูกยาปลุกกำหนัด ที่บุกเข้ามาในเรือนรับรองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนาง อย่างน้อยยามมีสติเขาจะไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้นกับนางเป็นอันขาด เช่นนั้นนางแค้นเคืองโศกเศร้าเสียใจอะไรอยู่ นางคาดหวังจะได้อะไรจากตัวเขากัน

    สีหน้าแววตานางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาทอแววตัดสินใจเด็ดขาด

    “ข้าไม่ได้มีนิสัยตอแยไม่เลิกรา ถ้าท่านไม่ประสงค์จะแต่งงาน ข้าจะขอให้ท่านเจ้าสำนักถอนการหมั้นหมายคืนก็ได้ คุณชายฉู่ได้โปรดอย่าลำบากใจอีกเลย” นางกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

    นางไม่ได้ขึ้นเสียง สีหน้าแววตาก็ไม่ได้ฉายรอยโกรธขึ้งใดๆ เช่นกัน กระนั้นเสียงของนางเมื่อฟังอยู่ในหูฉู่อี้ลั่ง ก็ทำให้หัวใจเขาหดเกร็งขึ้นมาเป็นระลอก

    นางมักให้ความรู้สึกอ่อนโยนสงบเสงี่ยมแก่ผู้คนเสมอ อบอุ่นเสมือนดวงจันทร์กลางสายลมอุ่น แล้วเหตุใดชั่วขณะนี้กลับปรากฏสีหน้าแววตาเย็นชา ทั้งยังห่างเหินเช่นนี้ได้

    “ข้าไม่ได้...” เขาเปิดปากหมายจะกล่าววาจา แต่กลับไม่รู้จะแก้ต่างให้ตนเองอย่างไรดี

    พฤติกรรมของเขาย่ำแย่ใช้การไม่ได้มาตั้งแต่ต้น เลวทรามจนแม้แต่ตัวเขายังนึกดูแคลนตนเอง

    เปี๋ยจือไม่กล่าวอะไรกับเขาอีก ย่ำผ่านเศษพิณเต็มพื้น หันกายเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

    เขายืนนิ่งโดยไม่ปริปากอยู่ที่เดิม เหม่อมองเศษพิณที่แตกกระจายบนพื้นด้วยความรู้สึกล้มเหลวเต็มเปี่ยม

    สายตาของนางก่อนที่จะจากไปพาให้เขาว้าวุ่นใจอย่างประหลาด

    พิณแตกพัง หัวใจแหลกสลาย นาง...จะทุบทำลายความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเขาจนภินท์พังในคราเดียวเช่นเดียวกับพิณที่แตกเป็นเสี่ยงบนพื้นจริงๆ หรือไม่หนอ

    “ข้ามันช่างเซ่อซ่านัก! ทั้งที่ไม่อยากทำอย่างนี้กับนางชัดๆ ทั้งที่ชอบนางมากเหลือเกิน ทั้งที่ยินดีแต่งนางเป็นภรรยาชัดๆ ไฉนข้าถึงทำตัวไม่ต่างอะไรกับคนสารเลวไร้หัวใจเช่นนี้ได้”

    เมื่อเผชิญกับหายนะอันน่าอนาถที่ไม่อาจเรียกคืนมา เขาได้แต่กุมศีรษะคำรามเสียงต่ำออกมาอย่างกลัดกลุ้มเหลือคณา

     

    ยามที่เปี๋ยจือนำขลุ่ยหยกเนื้อละเอียดซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นหนึ่งไปปรากฏกายที่ศาลาจันทร์กระจ่าง เหอเฟิ่งชีซึ่งมีสีหน้าเบื่อหน่าย ยกมือข้างหนึ่งเท้าศีรษะนอนอยู่กลางตั่งนุ่มอันแสนสบายก็ลืมตาขึ้นนิดๆ

    “จือเอ๋อร์ ข้าบอกว่าอยากฟังเจ้าบรรเลงพิณ แล้วทำไมถึงไปหยิบเอาขลุ่ยมาล่ะ” เขาเลิกคิ้ว มองขลุ่ยยาวในมือนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

    “ท่านเจ้าสำนัก เมื่อครู่ตอนข้ากลับไปหยิบพิณ อารามรีบร้อน ไม่ระวังทำพิณโบราณที่ท่านมอบให้ข้าตกพังเสียแล้ว ท่านเจ้าสำนักโปรดลงโทษ” เปี๋ยจือคุกเข่าลงตรงหน้าเขาและก้มศีรษะลงต่ำ

    “พิณสายฟ้าวสันต์ตกพังไปแล้วงั้นรึ” เหอเฟิ่งชีขานอ้อเสียงหนึ่ง น้ำเสียงสงบราบเรียบคล้ายกำลังถามว่า น้ำชาเย็นชืดแล้วงั้นรึไม่มีผิด

    เปี๋ยจือไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ก้มหน้างุดยิ่งขึ้น

    “ข้าทราบดีว่าพิณสายฟ้าวสันต์ล้ำค่า ทองพันตำลึงยังซื้อหาไม่ได้ ท่านใจดีมอบพิณให้ข้า ข้ากลับไม่ถนอมรักษาให้ดี ทำพังเสียหายอยู่ในมือของข้า ทำลายความหวังดีของท่าน ท่านเจ้าสำนักได้โปรดลงโทษข้าเถอะเจ้าค่ะ”

    เหอเฟิ่งชีกะพริบตา ขณะกำลังจะเอ่ยปาก เงาร่างสีขาวพลันพรวดพราดเข้ามาในศาลา

    “อี้ลั่ง เจ้ามาแล้วรึ อยากฟังจือเอ๋อร์บรรเลงพิณด้วยใช่หรือไม่ แต่น่าเสียดายพิณพังไปแล้ว วันนี้ได้แต่ฟังเพลงขลุ่ยแล้วล่ะ” เหอเฟิ่งชีลุกขึ้นนั่งช้าๆ ยิ้มมองผู้มาที่มีสีหน้าร้อนรน

    ครั้นได้ยินว่าพิณพัง ฉู่อี้ลั่งก็มีสีหน้าวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น ก้าวเข้าไปยืนอยู่หน้าเปี๋ยจือคล้ายเจตนาและไม่เจตนาในคราเดียว แสดงท่าทีปกป้องนางออกมาชัดเจนเต็มเปี่ยม

    “ท่านเจ้าสำนัก ข้าซุ่มซ่ามชนพิณตกแตกเสียหายเอง ไม่เกี่ยวกับจือเอ๋อร์ อย่าตำหนินางเลยขอรับ” เขารีบขอความเมตตาจากเหอเฟิ่งชี

    “เจ้ากังวลอะไร ข้าไม่ได้โมโหและก็ไม่ได้จะลงโทษจือเอ๋อร์เสียหน่อย พิณพังไปแล้วก็พังไป ลงโทษนางไปพิณก็ไม่กลับคืนมาเหมือนเก่า อีกอย่าง ในเมื่อข้ามอบพิณให้นางไปแล้ว ต่อให้นางเอาพิณไปผ่าทำฟืนข้าก็คร้านจะสนใจ” เหอเฟิ่งชีโบกมือให้เขาอย่างไม่คิดอะไร

    ฉู่อี้ลั่งพ่นลมหายใจออกมา มองเปี๋ยจือที่ยังคงคุกเข่ากับพื้นอย่างอึดอัด เห็นนางก้มหน้างุด ไม่แม้แต่จะขยับตัวราวกับไม่ได้ยินที่เขาขอความเมตตาให้นาง

    เขารู้สึกผิดหวังกับท่าทีเฉยเมยไม่สะทกสะท้านของนาง แต่ครั้นคิดได้ว่านางยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้นก็รีบส่งสายตาให้เหอเฟิ่งชี

    เหอเฟิ่งชีเลิกคิ้วให้เขา สีหน้าเจือรอยยั่วเย้า กระนั้นก็ยังบอกกับเปี๋ยจือว่า “จือเอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ ในเมื่อนำขลุ่ยมาแล้วก็เป่าให้ฟังสักสองสามเพลง ดูซิว่าบทเพลงขลุ่ยที่ช่วงก่อนข้ามอบให้เจ้าหัดไปได้มากน้อยเท่าไรแล้ว”

    “เจ้าค่ะ”

    เมื่อเปี๋ยจือลุกขึ้นแล้วก็ยังคงไม่มองฉู่อี้ลั่งอยู่นั่นเอง แต่ขยับตัวไปอีกฟากแล้วเลือกนั่งลงบนม้านั่งหินตัวที่อยู่ไกลสุดอย่างเงียบเชียบ

    ฉู่อี้ลั่งมองนาง ทำท่าคล้ายลังเลอยากพูดอะไร แต่ติดตรงที่เหอเฟิ่งชีอยู่ด้วย วาจาทั้งหมดวนเวียนอยู่ตรงปลายลิ้น สุดท้ายก็กลั่นออกมาเป็นอาการร้อนรนกระสับกระส่ายบนใบหน้าหล่อเหลา

    “อี้ลั่ง ตื่นเต้นกังวลทำไมกัน ผ่อนคลายหน่อยสิ หาเก้าอี้นั่งลงตั้งใจฟังบทเพลงเถอะ อย่าทำตัวเยี่ยงหมีถูกหนามตำเท้าเดินงุ่นง่านกลับไปกลับมาอีกเลย เสียบรรยากาศชะมัด” เหอเฟิ่งชีถอนหายใจพลางส่ายหน้า

    ฉู่อี้ลั่งเหล่มองเขาแวบหนึ่งค่อยหันไปมองเปี๋ยจือ ก่อนจะเหลียวมองรอบตัว ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะนั่งตรงไหนดี จะนั่งใกล้กับเปี๋ยจือหรือว่านั่งห่างออกมาหน่อยดีนะ

    มองสีหน้าเย็นชาผลักไสผู้คนไปไกลพันลี้ของเปี๋ยจือแล้วฉู่อี้ลั่งก็เกาศีรษะ สุดท้ายเขายังขี้ขลาดตาขาวอยู่บ้าง เลือกนั่งตรงตำแหน่งปลอดภัยที่ไม่ได้หันหน้าเข้าหานางและอยู่ห่างออกมาเล็กน้อย

    เปี๋ยจือเป่าขลุ่ยเพื่อลองเสียงสองสามที เมื่อปรับเสียงเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งสมาธิ ยกขลุ่ยขึ้นจรดริมฝีปาก ปลายนิ้วขาวเนียนกดลงบนลำขลุ่ย ท่วงทำนองขลุ่ยอันมีจังหวะสูงต่ำไพเราะเป็นธรรมชาติค่อยๆ หลั่งรินออกมา ลอยล่องเวียนวนอยู่ในศาลา

    เปี๋ยจือถูกเหอเฟิ่งชีค้นพบตั้งแต่เล็กว่ามีพรสวรรค์ด้านดนตรีสูงล้ำ ถึงกับเคยทุ่มเงินก้อนใหญ่เชิญอาจารย์ผู้เรืองนามในหล้ามาสอนสั่ง อีกทั้งยังมักเสาะแสวงหาพิณโบราณและบทเพลงอันลือชื่อหนึ่งในหล้ามามอบแก่เปี๋ยจืออีกด้วย เมื่อปีกลายหลังจากเขาได้พิณโบราณนามว่า สายฟ้าวสันต์ มาไว้ในครอบครองโดยบังเอิญ เขาก็มอบให้เปี๋ยจือทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

    สาวใช้คนงามข้างกายเหอเฟิ่งชีทั้งสามคนนอกจากรูปโฉมงดงามแล้ว ต่างคนต่างก็มีความสามารถเฉพาะทาง เปี๋ยเวิ่นเก่งด้านเย็บปักถักร้อย เปี๋ยถีถนัดการครัว เปี๋ยจือเชี่ยวชาญการดนตรี พวกนางล้วนได้เหอเฟิ่งชีเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่เอ็นดูตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ไม่ได้เห็นพวกนางเป็นบ่าวไพร่จริงๆ แม้แต่น้อย

    หากจะกล่าวว่าเหอเฟิ่งชีรักใคร่โปรดปรานสาวใช้ทั้งสามของเขา มิสู้กล่าวว่านับแต่เขาเก็บพวกนางที่ยังเยาว์วัยกลับมาในปีนั้น ก็แทบจะฟูมฟักเลี้ยงดูพวกนางเสมือนบุตรสาวแท้ๆ จึงไม่แปลกที่ยามนี้เขายังอยากช่วยพวกนางทั้งสามเลือกสามีเพื่อที่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา ราวกับบุตรสาวจะออกเรือนก็ไม่ปาน

    ขลุ่ยที่เปี๋ยจือเลือกมาในวันนี้มีลักษณะเรียวยาว เสียงทุ้มกลมกล่อม ละมุนละไมไพเราะ ท่วงทำนองเรียบเรื่อยดุจจะกลั่นกรองบทเพลงออกมาเป็นถ้อยคำ

    ฉู่อี้ลั่งฟังความรู้สึกแค้นเคืองไม่ยินยอมในบทเพลงของนางออก หัวใจทั้งดวงซึมเซา บีบรัด ขมขื่นจนนิ่งงันตกอยู่ในภวังค์

    “หยุด” จู่ๆ เหอเฟิ่งชีก็เอ่ยขึ้น เสียงขลุ่ยจึงหยุดลงพลัน

    เปี๋ยจือเอาขลุ่ยหยกในมือลง มองไปทางเหอเฟิ่งชีเงียบๆ

    “เพลงพิณสำคัญที่จิตใจ เพลงขลุ่ยสำคัญที่อารมณ์ ความคิดเจ้าฟุ้งซ่านเกินไป ส่งผลให้อารมณ์จิตใจว้าวุ่น บทเพลงเดียวถูกเจ้าเป่าจนแตกรวนไร้ทิศทางไปหมด ข้าว่าวันนี้อย่าเป่าจะดีกว่า” เหอเฟิ่งชีเผยสีหน้ารำคาญขณะวิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่องของนาง

    ฉู่อี้ลั่งฟังเพลงขลุ่ยที่ผิดไปจากปกติของนางออก แน่นอนว่าเหอเฟิ่งชีก็ย่อมฟังออกเช่นกัน

    “ขออภัยที่ทำให้ท่านเจ้าสำนักผิดหวังเจ้าค่ะ”

    เปี๋ยจือลุกขึ้นยืน กำขลุ่ยไว้แน่น ก้มหน้างุด

    “เห็นเจ้าเป่าได้ย่ำแย่เพียงนี้ทำเอาข้าฟังแล้วหดหู่ใจยิ่งนัก เจ้ามีความในใจอะไรก็กล่าวออกมาให้ฟังเถอะ ดูซิว่าตัวการร้ายที่ทำให้ข้าไม่ได้ฟังบทเพลงไพเราะคือใคร ข้าจะได้ช่วยเจ้าสั่งสอนมันสักที” เหอเฟิ่งชีถามด้วยท่าทางเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งเคาะขอบโต๊ะ สายตากลับปรายไปทางร่างฉู่อี้ลั่งอย่างคล้ายตั้งใจและไม่ตั้งใจในคราเดียว

    อารมณ์ความรู้สึกผิดแปลกระหว่างพวกเขาทั้งคู่ เหอเฟิ่งชีมองออกทะลุปรุโปร่ง ความรื่นรมย์สุนทรีย์ในวันนี้พลอยมาถูกทำลายไปด้วย ทำให้อดฟังบทเพลงไพเราะ หากเขาเหอเฟิ่งชีไม่ก่อกวนห้วงรักนี้สักหน่อย เขายังรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้างจริงๆ!

    ฉับพลันนั้นเปี๋ยจือก็คุกเข่าลงตรงหน้าเหอเฟิ่งชี ทำเอาหัวใจฉู่อี้ลั่งสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง

    “ข้าอยากขอให้ท่านเจ้าสำนักเป็นธุระให้” เสียงนางฟังดูอึดอัดอยู่บ้าง

    “เรื่องอะไรรึ” เหอเฟิ่งชีถามน้ำเสียงราบเรียบ

    เปี๋ยจือเงยหน้าขึ้นช้าๆ เหลือบมองฉู่อี้ลั่งแวบหนึ่งในที่สุด สายตานั้นไม่ได้ทำให้เขาสบายใจ ตรงกันข้าม กลับทำให้เขารู้สึกไม่ดีใหญ่หลวง

    และก็เป็นดังคาด เมื่อนางเอ่ยปาก ลางสังหรณ์ของเขาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง พร้อมกันนั้นยังทำให้ร่างกายเขานิ่งขึงประหนึ่งรูปสลักหินอีกด้วย

    “ขอท่านเจ้าสำนักได้โปรด...เป็นธุระยกเลิกการหมั้นหมายของข้ากับคุณชายฉู่ด้วย” นางขบริมฝีปากรวบรวมความกล้าโพล่งความในใจออกมา

    “อ้าว? เจ้าไม่แต่งให้เขารึ”

    เสียงเหอเฟิ่งชีฟังคล้ายกำลังชมดูละครฉากสนุกอยู่

    “ไม่แต่งเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

    ฉู่อี้ลั่งพลันหันหน้าไปอีกทางโดยไม่เอ่ยวาจา

    เหอเฟิ่งชีชำเลืองมองฉู่อี้ลั่งซึ่งท่าทางบอกชัดว่าสภาพจิตใจเลวร้ายลงมาก รอยยิ้มตรงริมฝีปากจึงกว้างขวางมากขึ้นอีกเล็กน้อย

    “ได้สิ เจ้าไม่แต่ง ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า”

    “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” เปี๋ยจือตอบด้วยสีหน้าเฉยชา

    เหอเฟิ่งชีหลุบตาลงกล่าวต่อ

    “แต่หลักการของข้าคือสาวใช้ที่ยกให้ผู้อื่นไปแล้วจะไม่รับคืนกลับมาอีก ก่อนหน้านี้ตอนที่เหินเทียนปฏิเสธจะรับเวิ่นเอ๋อร์ ข้าได้ขับไล่เวิ่นเอ๋อร์ออกจากหอคลื่นหมอกไป ยามนี้ถ้าเจ้าปฏิเสธการแต่งงาน ก็จะต้องพบจุดจบเดียวกับเวิ่นเอ๋อร์ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้ายังต้องการขอยกเลิกการแต่งงานอีกหรือไม่”

    เปี๋ยจืออึ้งงันไป ไม่เคยนึกถึงสถานการณ์พรรค์นี้มาก่อน

    ฉู่อี้ลั่งรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “ช้าก่อน! ท่านคงไม่ได้จะให้จือเอ๋อร์ไปจากหอคลื่นหมอกกระมัง ข้าไม่ได้ปฏิเสธนาง แต่นางเป็นฝ่ายเรียกร้องเอง นี่ไม่เหมือนกับสถานการณ์ที่เหินเทียนปฏิเสธเวิ่นเอ๋อร์เลยนะขอรับ!

    “วันนี้แม้จือเอ๋อร์จะเป็นฝ่ายขอยกเลิกการแต่งงานก่อน หาใช่เป็นเพราะเจ้าปฏิเสธจะรับจือเอ๋อร์ แต่ข้ามองว่าก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” เหอเฟิ่งชีกล่าวน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีท่าทีรอมชอมแม้แต่น้อย

    “แต่ว่า...

    ฉู่อี้ลั่งผุดลุกขึ้นอย่างร้อนใจ

    “หรือยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง หอบุปผาวรุณในเมืองหลวงของเรายังขาดสายที่ควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจอยู่อีกคนหนึ่งไม่ใช่หรือ อาศัยฝีมือการบรรเลงพิณของจือเอ๋อร์มาตบตาก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด อี้ลั่ง เจ้าว่าจริงหรือไม่” เหอเฟิ่งชียิ้มตาหยีอย่างพออกพอใจ

    “ท่านเจ้าสำนัก...

    เปี๋ยจือตื่นตกใจ เบิกดวงตากลมโตนิ่งงันมองเหอเฟิ่งชีอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฉู่อี้ลั่งเองก็ถูกเหอเฟิ่งชีทำเอาตกตะลึงงงงวยเช่นกัน

    “ท่าน...

    ทั้งที่เหอเฟิ่งชีรับปากเปี๋ยจือว่าจะยกเลิกการแต่งงานของพวกเขาชัดๆ แต่หอบุปผาวรุณในเมืองหลวงมีเขาเป็นคนควบคุมดูแล เป็นฐานรวบรวมข่าวสารแห่งใหญ่ของหอคลื่นหมอก ทำเช่นนี้เหอเฟิ่งชีมิเท่ากับแสดงออกชัดว่าจะส่งเปี๋ยจือมาอยู่ข้างกายเขา ซ้ำยังจะให้เขาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนางอีกหรอกหรือ

    “ข้า...จะกลับมาได้เมื่อไรเจ้าคะ” เปี๋ยจือขบริมฝีปากถามขึ้นขณะพยายามข่มกลั้นเสียงที่จวนเจียนจะแตกเครือ

    นางได้รับความสะเทือนใจอย่างแสนสาหัส นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่เจ้าสำนักยังทอดทิ้งนางด้วย น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอ่อล้นออกมาในดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่

    “ก็ต้องเป็นตอนที่เจ้าแต่งให้อี้ลั่งแล้วน่ะสิ ถึงตอนนั้นเจ้าเป็นภรรยาของเขาแล้ว ไม่กลับมาหอคลื่นหมอกแล้วจะไปที่ไหน” เหอเฟิ่งชียิ้มน้อยๆ

    “ท่านเจ้าสำนัก ไม่มีวิธีผ่อนผันวิธีอื่นแล้วหรือขอรับ” ฉู่อี้ลั่งมองดวงตาแดงๆ ของนางอย่างเวทนาสงสาร ลองขอความเมตตาจากเหอเฟิ่งชีดู

    “ไม่มี” เหอเฟิ่งชีตอบได้อย่างฉับไวหมดจด

    หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ เปี๋ยจือก็สูดหายใจเข้าลึก ขบริมฝีปากแล้วตอบช้าๆ ว่า “ข้ายินดีรับภารกิจเป็นสายที่หอบุปผาวรุณเจ้าค่ะ”

    ฉู่อี้ลั่งขมวดคิ้วมุ่น มองเปี๋ยจือและเหอเฟิ่งชีกลับไปกลับมา เห็นเหอเฟิ่งชีมีสีหน้าเด็ดขาด ไม่มีท่าทีประนีประนอมใดๆ ทั้งสิ้น ครั้นมองเปี๋ยจือ สีหน้าแววตาของนางดูคล้ายตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต่อให้ต้องถูกขับออกจากหอคลื่นหมอก นางก็ไม่มีวันยอมหันหลังกลับมาแต่งให้เขา

    ระหว่างเขาและเปี๋ยจือแม้จะยกเลิกการหมั้นหมายไปแล้ว ทว่าภายใต้การบงการของเหอเฟิ่งชี เขาและนางดูเหมือนจะเดินอ้อมรอบหนึ่งก่อนจะวกกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง ที่แท้นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่

    ฉู่อี้ลั่งกุมศีรษะด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ สงสัยอย่างรุนแรงว่าเขาและเปี๋ยจือกำลังถูกเหอเฟิ่งชีจับพลิกเล่นอยู่ในฝ่ามือ ครั้นคิดได้เช่นนี้เขาก็รู้สึกว่าศีรษะพองโตขึ้นมาพลัน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×