ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณชายหลายใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 888
      3
      28 พ.ย. 54

    สิ่งปลูกสร้างอันประกอบด้วยกำแพงขาวมุงกระเบื้องแดงของหอคลื่นหมอกตั้งตระหง่านสงบนิ่งอยู่กลางไอหมอกยามรุ่งอรุณ เหนือผิวน้ำทะเลสาบซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาเขียวขจี คล้ายกับแดนดินในอุดมคติซึ่งปลีกตัวโดดเดี่ยวเป็นอิสระ

    เงาร่างสูงเพรียวที่อาบกลิ่นสุราทั้งร่างดีดตัวขึ้นจากริมฝั่งด้วยท่วงท่าสง่างาม อาศัยวิชาตัวเบาสูงล้ำประดุจห่านป่าโฉบผ่านทะเลสาบคลื่นหมอกโดยปราศจากท่าทางของคนเมาสุรา

    เมื่อเข้าไปในหอคลื่นหมอกแล้ว ฉู่อี้ลั่งก็ล้วงขวดกระเบื้องใบเล็กออกจากอกเสื้อ เทยาเม็ดสีดำเล็กจิ๋วสองสามเม็ดสุดท้ายลงบนฝ่ามือ เขย่าขวดกระเบื้องว่างเปล่าพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น

    “เหลือแค่นี้เองรึ โธ่ ต้องไปขอเพิ่มจากหมิงเฟยอีกแล้วสิเนี่ย”

    เขาเก็บขวดกระเบื้องกลับลงในอกเสื้อ ออกเดินพลางเอายาเม็ดเล็กจิ๋วโยนเข้าปากเคี้ยวทีละเม็ด

    ครั้นเห็นสาวงามรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังเดินยกของว่างแกล้มน้ำชาผ่านไปตรงหน้า เขาก็ขานเรียกนางไว้อย่างดีอกดีใจทันทีก่อนจะถลันเข้าไปหา

    “จือเอ๋อร์! จือเอ๋อร์! ช้าก่อน”

    เปี๋ยจือหันหน้ากลับมา พอเห็นเขา ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย

    เมื่อเขามาถึงข้างกายนางจนปลายจมูกของนางได้กลิ่นแป้งหอมเคล้ากลิ่นสุราบนร่างเขา นางก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่มีเสียง ยังมิทันให้เขาได้เห็นประกายในดวงตาของนางได้ถนัด นางก็ก้มศีรษะลงคารวะด้วยท่าทางเคารพนบนอบเสียแล้ว

    “คุณชายฉู่ ท่านกลับมาแล้ว”

    นางรู้ว่าหน้าที่ของเขาคือการรวบรวมข่าวสารทุกเรื่องทั่วหล้าให้หอคลื่นหมอกโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นท้องตลาด วังหลวง หรือชายแดนนอกด่านล้วนมีคนของเขาวางไว้ทุกแห่ง ส่วนตัวเขาเองนั้น เพื่อตบตาผู้อื่น ยามอยู่ที่เมืองหลวงจึงมักอาศัยบุคลิกท่าทางไร้พิษสงของหนุ่มเสเพลเฉื่อยเนือยสิงสถิตอยู่ในหอบุปผาวรุณที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง คลุกคลีสนิทสนมอยู่กับเหล่าคณิกาและนางระบำทุกวันคืน

    แท้จริงแล้วหอบุปผาวรุณเป็นฐานรวบรวมข่าวสารแห่งใหญ่ของหอคลื่นหมอก ซึ่งเจ้าของหลังม่านก็คือฉู่อี้ลั่งนั่นเอง ส่วนเหล่าคณิกาและนางระบำเหล่านั้นก็ล้วนเป็นสายใต้บังคับบัญชาของเขาที่คอยทำหน้าที่สอดแนมสืบข่าวจากบรรดาราชนิกุลและพ่อค้าวาณิชโดยเฉพาะ

    แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นงาน เป็นการแสดงละครตบตาของเขา แต่การที่เขาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา ปล่อยตัวอยู่ท่ามกลางดนตรีและนารีถึงเพียงนี้ เมื่อนางเห็นอยู่ในสายตาก็มักรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

    “ใช่แล้ว ไม่ได้เจอหน้าข้าสองเดือน คิดถึงข้าหรือไม่” ฉู่อี้ลั่งฉีกยิ้มกว้างกำจายเสน่ห์เหลือล้นของหนุ่มเสเพล

    ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาก็คิดว่าน้ำเสียงของเปี๋ยจือนุ่มละมุน ฟังแล้วสบาย...อบอุ่นหัวใจ ดังนั้นไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มี เขาก็ชอบที่จะมาสนทนาพูดคุยกับนางสักหลายประโยคเพื่อฟังเสียงของนาง

    เปี๋ยจือทำหูทวนลมกับวาจาหยอกเย้าเล่นๆ ไม่จริงจังของเขา เบือนสายตาไปอย่างเฉยเมย ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป

    ครั้นเห็นนางไม่เอ่ยอะไร เขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกระดกปากยิ้ม เดินตามไป

    “เจ้ายกอะไรอยู่น่ะ เป็นน้ำชาที่ท่านเจ้าสำนักต้องการดื่มใช่ไหม ข้าไปด้วยแล้วกัน” เขาก้าวแซงไปหนึ่งก้าวแล้วแย่งถาดในมือนางไปอย่างรวดเร็ว

    เปี๋ยจือตื่นตกใจ ยื่นมือไปหมายจะดึงถาดกลับมา

    “คุณชายฉู่ ท่านอย่าเล่นเหลวไหลอีกเลย นี่เป็นงานของข้า ให้ท่านทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

    “ข้าเป็นผู้ชาย ร่างกายบึกบึนแข็งแรง ยกถาดก็ใช่ว่าจะสิ้นเปลืองแรงอะไรเสียหน่อย เดินไปเถอะๆ มัวโอ้เอ้ร่ำไรต่อไปน้ำชาจะเย็นชืดเอาได้”

    เขาชูถาดขึ้นสูงให้นางเอื้อมไม่ถึง ยิ้มทะเล้นให้นางแล้วก้าวยาวๆ หันกายเดินนำนางมุ่งหน้าไปทางเรือนพฤกษาของเหอเฟิ่งชีโดยไม่ฟังเสียงท้วง

    “คุณชายฉู่ ท่าน...ให้ข้ายกเองเถอะ”

    เปี๋ยจือสะบัดเท้าเล็กๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะยกชายกระโปรงไล่ตามไป

    “ไม่วางใจถึงเพียงนี้เชียว หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะทำถ้วยกาเหล่านี้ตกแตก ทำให้เจ้าถูกท่านเจ้าสำนักเอ็ดเอา”

    “ท่านเป็นถึงคนในสำนักผู้เก่งกาจของท่านเจ้าสำนัก ข้าเป็นเพียงสาวใช้เล็กๆ คนหนึ่ง งานที่ข้าสมควรทำกลับให้ท่านแย่งไปทำ จะทำให้ข้าถูกคนครหาได้นะเจ้าคะ” นางกล่าวเสียงขุ่น

    “วางใจเถอะ ทุกอย่างให้ข้ารับผิดชอบเอง ใครติฉินนินทาเจ้า ข้าจะออกหน้าช่วยแก้ต่างให้เจ้าเอง ต่อให้ท่านเจ้าสำนักว่ากล่าว ข้าก็จะช่วยเจ้ารับไว้”

    เขาหันกลับไปยิ้มให้นาง มือหนึ่งยกถาดอย่างง่ายดาย อีกมือก็โยนยาเม็ดสีดำเข้าปากไปด้วย

    นางชะงักไป สังเกตเห็นอากัปกิริยาเอายาใส่ปากของเขา ดวงตาคู่งามพิศดูสีหน้าของเขาอย่างเจือรอยเป็นห่วงนิดๆ

    “คุณชายฉู่ พักนี้ท่าน...สุขภาพไม่ดีหรือ”

    “เอ๋? ร่างกายข้าแข็งแรงดีมาก ทำไมเจ้าถามเช่นนี้ล่ะ” เขาหันกลับไปมองนางอย่างงุนงง

    “ข้าสังเกตเห็นว่าหมู่นี้ท่านเกือบจะกินยาอยู่ตลอด...” เปี๋ยจือขมวดคิ้วมุ่น

    คงไม่ใช่เพราะปล่อยตัวอยู่ท่ามกลางสุรานารีเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายทรุดโทรมกระมัง

    “อ้อ เจ้าหมายถึงยานี่น่ะหรือ เป็นเพราะระยะนี้ข้ามักรู้สึกว่าความจำถดถอย ก็เลยไหว้วานให้หมิงเฟยปรุงยารักษาโรคขี้ลืมให้น่ะ” เขาแบมือออกมาให้นางเห็นยาเม็ดสีดำเล็กๆ เม็ดสุดท้ายในมือ

    “ยารักษาโรคขี้ลืม?”

    มียาชนิดนี้ด้วยหรือ เปี๋ยจือกะพริบตาปริบๆ

    “มีสิ เจ้าลองกินดู”

    เขายื่นยาเม็ดสุดท้ายให้นางอย่างใจกว้าง

    “เอ่อ...ความจำของข้ายังดีอยู่ ไม่จำเป็นต้องรักษา...” นางจ้องยาเม็ดนั้นเขม็ง สีหน้าลำบากใจ ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับมา

    ยากินส่งเดชได้หรือ ยานี้เม็ดเล็กจิ๋ว ซ้ำยังดำปี๋ไม่ต่างอะไรกับมูลหนู ให้มองอย่างไรก็ไม่น่าวางใจอยู่ดี

    “เจ้าลองชิมดูสิ อร่อยมากเชียวล่ะ หมิงเฟยบอกว่ายาชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างลมปราณ กินมากก็ไม่เป็นอันตราย เมื่อไรที่ข้ารู้สึกความจำไม่ดีก็กินหลายเม็ดหน่อย อย่างไรรสชาติก็หวานๆ อยู่แล้ว คิดเสียว่าเป็นขนมขบเคี้ยวเล่นก็ไม่เลว เอ้า! ลองดูสิ”

    เขาแบฝ่ามือไปทางนางอีกครั้ง เกือบจะไปจ่ออยู่ตรงหน้านางแล้วด้วยซ้ำ

    เปี๋ยจือจ้องยาเม็ดสีดำตรงปลายจมูก เนื่องจากยากที่จะปฏิเสธน้ำใจ นางจึงจำต้องยื่นนิ้วขาวเนียนออกไปหยิบยาเม็ดสีดำมาจากฝ่ามือเขาช้าๆ ลังเลอยู่ชั่วอึดใจค่อยเอาใส่ปาก

    “เป็นอย่างไร ข้าไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ อร่อยมากใช่หรือไม่” ฉู่อี้ลั่งถามนางราวกับเพิ่งเสนออัญมณีล้ำค่าให้

    “นี่มัน...

    เมื่อรสชาติละลายออกมาหลังจากอมเข้าปาก นางก็อดกะพริบตาถี่ๆ ไม่ได้

    “รู้สึกว่าสติรับรู้สดชื่น ความคิดเฉียบไว ร่างกายปลอดโปร่งขึ้นมาในทันทีทันใดหรือไม่”

    “เหมือนลูกอมรสชะเอมเลย...

    เปี๋ยจือขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอย่างตั้งใจ ไฉนไม่เห็นมีปฏิกิริยามหัศจรรย์ที่ว่าสติรับรู้สดชื่น ความคิดเฉียบไว ร่างกายปลอดโปร่งขึ้นมาในทันทีทันใดอะไรเลยล่ะ

    เยี่ยนหมิงเฟยมักเอาลูกอมรสชะเอมให้คนที่กลัวการกินยาขมอมไว้ในปากเพื่อไล่รสขมหลังจากกินยา เปี๋ยถียังเคยไปช่วยเยี่ยนหมิงเฟยปั้นลูกอมตลอดทั้งบ่ายอยู่เลย และยังนำกลับมาหลายกระปุก แบ่งให้นางกับเปี๋ยเวิ่นกินเป็นขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

    “นี่ใช่ลูกอมรสชะเอมที่ไหน นี่เป็นยาที่หมิงเฟยปรุงให้ข้าด้วยตัวเอง เพื่อรักษาโรคขี้หลงขี้ลืมโดยเฉพาะต่างหาก” เขาแก้คำพูดนาง

    ...อ้อ”

    เปี๋ยจือคิดแล้วก็ปิดปากไป ไม่ได้โต้แย้งอีก นางนึกเดาว่าเยี่ยนหมิงเฟยคงกลัวฉู่อี้ลั่งจะติว่ายาขม ถึงได้เติมรสชะเอมลงไปหนักมือเพียงนี้ ทำให้ไม่ได้รสชาติยาอื่นใดเลย

    ถึงกระนั้น...นางก็ยังคิดว่ายาเม็ดนี้รสชาติเหมือนลูกอมรสชะเอมมากๆ อยู่ดี

    “จริงสิ คราวก่อนตอนที่จิบชากับท่านเจ้าสำนักในศาลาคลายร้อน เจ้าเป่าขลุ่ยเพลงหย่งชุนได้ไพเราะมาก เสียงขลุ่ยนุ่มละมุนจับใจคน พาให้คนได้ฟังจดจำไม่รู้ลืม”

    ฉู่อี้ลั่งหรี่ตา ครวญท่วงทำนองในห้วงคำนึงออกมาแผ่วเบา ท่าทางคล้ายยังรื่นรมย์ไม่คลายจริงดังว่า

    “ขอบคุณท่านที่ชม” เปี๋ยจือก้มศีรษะลง หน้าแดงระเรื่อ

    “หาเวลามาเป่าให้ข้าฟังอีกจะได้หรือไม่” เขาพลันก้มลงมองนาง เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน สองแก้มผุดลักยิ้มน่าเอ็นดู

    ฉู่อี้ลั่งมีใบหน้าหล่อเหลา แต่ก็ไม่ขาดองคาพยพที่ชายฉกรรจ์พึงมี คิ้วเข้มจมูกโด่งเข้าคู่กับลักยิ้มอ่อนเยาว์ที่ดูใสซื่อ ภาพลักษณ์ซึ่งขัดแย้งกันชวนให้คนทั้งรักทั้งเอ็นดู ปราศจากท่าทางคุกคามทำให้คนวางความระแวงในใจลงได้อย่างง่ายดาย เสน่ห์น่าหลงใหลอันแรงกล้าเช่นนี้ใครจะต้านทานได้กันหนอ

    “ได้สิเจ้าคะ” เปี๋ยจือรับคำเสียงแผ่ว

    บุปผานานาพันธุ์ในสวนทยอยกันเบ่งบาน กลิ่นหอมลอยละล่อง หัวใจของหญิงสาววัยยี่สิบเริ่มหวั่นไหวขึ้นมารางๆ ในวันฤดูใบไม้ผลิอันแจ่มใสนี้อีกครา

     

    ฉู่อี้ลั่งไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตนจะมีช่วงเวลาที่ตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถถึงเพียงนี้

    “มารดามันสิ! ข้าฉู่อี้ลั่งว่ายวนอยู่ในยุทธภพมานานเพียงใดแล้ว ดันเสียทีผู้อื่นได้!” เขายืนพิงกำแพงหอบหายใจพลางสบถด่าถ้อยคำหยาบคายออกมา ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยสีหน้าอาการโกรธแค้น

    วังจากจรเป็นอำนาจอิทธิพลลึกลับที่เพิ่งเฟื่องฟูขึ้นในยุทธภพเมื่อไม่นานมานี้ และเพื่อสืบหาความเป็นมาของวังจากจร เขาอุตส่าห์ลงมือไปสอดแนมด้วยตนเอง ไม่ง่ายเลยกว่าจะปะปนเข้าไปถึงข้างกายเจ้าสำนัก

    แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสำนักคนนี้กลับเป็นคนสารเลวที่นิยมชมชอบทั้งหญิงและชาย มิหนำซ้ำยังเกิดถูกตาต้องใจรูปลักษณ์ของเขาเข้า ตัณหาราคะผลักดันให้เจ้านั่นกล้าวางยาปลุกกำหนัดในสุรา หมายจะใช้กำลังเผด็จศึกเขา!

    เขาคิดคำนวณเป็นพันเป็นหมื่นตลบ ทั้งวางแผนระวังพิษ ระวังการลอบทำร้าย แต่กลับลืมคิดถึงจิตอกุศล ระวังคนบ้าตัณหา

    “เจ้าคนสารเลวนั่นวางยาอะไรข้ากัน ไม่ว่าจะเดินลมปราณอย่างไรก็ไม่เป็นผล ช่างชั่วช้าวิปริตนัก...

    เขาเกาะกำแพง ฝืนใจเดินไป รู้สึกว่าตรงหน้าพร่ามัวเป็นพักๆ ทั่วร่างร้อนรุ่มหาใดปาน แต่กลับมีเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผากไม่หยุด ในอกราวกับมีกระแสความร้อนที่ไม่อาจควบคุมได้กำลังแล่นพล่านดุเดือด

    ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเล็กเบาที่ฟังดูลังเลระลอกหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้เขา

    “คุณชายฉู่ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เสียงนุ่มละมุนขานเรียกแผ่วเบาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

    ฉู่อี้ลั่งกะพริบดวงตาพร่าเลือนทั้งคู่ รู้สึกราวกับว่าเสียงสวรรค์หลั่งรินเข้าในหู สะท้านสะเทือนจนทั้งร่างเขาชาวาบ คลื่นความร้อนในอกถาโถมโหมซัดสาดหนักหน่วงขึ้นทบทวี

    ที่นี่? นี่มันที่ไหนกัน ในหัวเขาเลอะเลือนขึ้นทุกขณะ

    ฝืนเหลือบตาขึ้นมองไปรอบด้าน ได้เห็นภูเขาของกำนัลสองลูกที่ถูกขนออกไปแล้วกึ่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก

    ภูเขาของกำนัลรึ ทั่วทั้งหอคลื่นหมอก มีแต่หน้าห้องของสาวใช้คนงามสามคนนั้นของเหอเฟิ่งชีเท่านั้นที่มีของพรรค์นี้

    ฉู่อี้ลั่งนิ่งงันมองภูเขาของกำนัลสองลูกตรงหน้า

    ตั้งแต่มีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าเหอเฟิ่งชีต้องการเลือกสามีเพื่อแต่งสาวใช้ที่รักของเขาทั้งสามออกเรือน กอปรกับในยุทธภพลือกันไปผิดๆ ว่าหากสามารถแต่งสาวใช้ทั้งสามเป็นภรรยาได้ ก็จะมีโอกาสขึ้นเป็นนายของหอคลื่นหมอก กลายเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป

    จากนั้นมา อย่าว่าแต่บรรดาขุนนางชนชั้นสูง พ่อค้าวาณิช ลูกหลานตระกูลดัง อีกทั้งจอมยุทธ์ผู้กล้าทั้งหลายที่รู้สึกหวั่นไหวไปกับตำแหน่งเจ้าสำนักหอคลื่นหมอกจนพยายามนำของล้ำค่าพิสดารมากำนัลโฉมงามเลย แม้แต่สมาชิกสำนักลัทธิต่างๆ และลูกสมุนเล็กๆ ทั้งหลายยังพลอยเสนอหน้าออกมาด้วยความเชื่อที่ว่าใครๆ ต่างก็มีโอกาส ทุกคนจึงเพียรส่งของกำนัลล้ำค่าหายากมาให้สุดชีวิต โดยหวังว่าจะสามารถพิชิตใจพวกนางได้

    เดิมทีที่นี่มีภูเขาทั้งสิ้นสามลูก แต่เนื่องจากงานมงคลของเปี๋ยเวิ่นถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ภายหลังจึงหายไปลูกหนึ่ง กลายเป็นเหลือภูเขาสองลูก ฉะนั้นที่นี่ก็คือเรือนรับรองหลังเล็กข้างเรือนพฤกษาซึ่งไว้ให้สาวใช้คนงามทั้งสามพักอาศัยโดยเฉพาะ

    ดียิ่ง เขาจำได้แล้ว...

    ไม่! ไม่ดีสิ ยามนี้เขาถูกวางยาปลุกกำหนัด แต่กลับคลำทางมาถึงหน้าประตูห้องหญิงสาว นี่จะใช้ได้อย่างไร

    เดิมทีเขานึกว่าตนจะสามารถคลำทางกลับไปที่เรือนคลื่นเมฆาของตนได้ แล้วให้คนคุ้มกันไปเชิญเยี่ยนหมิงเฟยมาที่ห้องเขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะแยกแยะทิศทางไม่ออก เดินส่งเดชมายังที่ซึ่งไม่ควรมาได้ หากรู้อย่างนี้อย่าอวดเก่งเป็นวีรบุรุษเพื่อรักษาหน้า ให้คนพยุงกลับห้องแต่แรกก็ดีหรอก

    “คุณชายฉู่? ท่านสบายดีหรือไม่” เสียงเป็นห่วงเป็นใยเคลื่อนมาใกล้ขึ้นแล้ว

    ...จือเอ๋อร์รึ”

    แย่แล้ว ไฉนเป็นนางได้

    ในใจเขารู้สึกถึงสถานการณ์เลวร้ายไม่หยุดหย่อน ไม่แน่ใจว่าตนได้ส่งเสียงครางออกมาเพราะตื่นตระหนกตกใจเกินขั้นหรือไม่

    เรียวนิ้วเย็นเฉียบแตะลงบนหน้าผากและแก้มของเขา ดุจดังฝนในฤดูแล้งชโลมลงบนผิวกายที่ร้อนระอุแห้งผากจนเกือบจะแสบร้อนของเขา ทำให้เขาเป็นฝ่ายเอนตัวเข้าหานางอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะคิดได้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ฉลาดเอาเสียเลย เขาจึงรีบเบือนหน้าหนีไปอีกครั้ง ผลคือเกิดอาการวิงเวียน ร่างซวนเซกระแทกกำแพง

    “คุณชายฉู่ ตัวท่านร้อนมากเลย” มืออีกข้างยื่นมาพยุงเขา เสียงละมุนน่าฟังเจือรอยกังวลใจยิ่งขึ้นทบทวี

    ใช่ เขารู้ว่าร่างกายตนเองร้อนรุ่ม เพราะเขาเกิดความใคร่แล้วอย่างไรล่ะ สัตว์ร้ายที่ถูกยาปลุกกำหนัดล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น ฉะนั้นรีบๆ ถอยไปให้ห่างจากเขาเร็วๆ สิ

    เขาอยากตะคอกใส่นางว่าให้ถอยไปห่างๆ หน่อย ทว่าพอเปิดปากก็เหลือเพียงเสียงครางแผ่วต่ำและเสียงหายใจหอบอย่างยากจะข่มกลั้น สองเข่าอ่อนยวบจวนเจียนจะคุกเข่าลงกับพื้น

    “คุณชายฉู่ ระวัง...

    คนที่ควรระวังคือเจ้าต่างหาก...

    เหงื่อบนหน้าผากไหลเข้าตา ฉู่อี้ลั่งหลับตาลงตามสัญชาตญาณโดยไม่รู้ตัว สัมผัสได้ว่าความรู้สึกนึกคิดจวนเจียนจะหลุดจากการควบคุม เขายื่นมือหมายจะผลักนางออกไป ทว่าสองมือกลับตะปบลงบนไหล่แบบบางของนางคล้ายกับมันมีความคิดอ่านของมันเอง

    “คุณชายฉู่ ข้าประคองท่านเข้าห้องก่อนนะเจ้าคะ” เปี๋ยจือโอบเอวเขาไว้ กอดประคองเขาสุดแรงพลางเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า

    “อย่า...

    อย่าแตะตัวข้า!

    เขาตะโกนอย่างสิ้นหวังอยู่ในใจ ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ อดกลั้นฝืนทนจนร่างกายสั่นสะท้าน แต่เรือนร่างอ่อนนุ่ม กลิ่นกายหอมกรุ่น อีกทั้งน้ำเสียงละมุนแผ่วเบาของนางล้วนแล้วแต่ทำให้แรงควบคุมตนเองของเขาจวนเจียนจะพังทลายลงจนสุดขอบแล้ว

    “ข้าอยู่นี่” เปี๋ยจือนึกว่าเขาต้องการเรียกนางจึงขานรับเสียงเบา ก่อนจะพยุงเขาเข้าไปในห้องของนาง

    นางประคองเขาเข้าไปในห้องอย่างยากเย็น เห็นเขาเกือบจะก้าวเท้าไม่ออกด้วยซ้ำ เวลานี้หาใช่เวลามามัวใส่ใจข้อห้ามระหว่างชายหญิง จึงรีบร้อนพยุงเขาไปนอนลงบนเตียงของนาง

    “คุณชายฉู่ ท่านนอนพักสักครู่ก่อน ข้าจะรีบไปเชิญคุณชายเยี่ยนมาดูอาการท่าน...อุ๊ย!

    ขณะกำลังจะหันกายจากไป ทันใดนั้นก็มีลำแขนแข็งแกร่งทรงพลังข้างหนึ่งยื่นออกมาจากม่านคลุมเตียง ฉวยข้อมือผอมบางของนางไว้ ทำเอานางตกอกตกใจยกใหญ่

    “คุณชายฉู่ เดี๋ยวเดียวข้าก็กลับมาแล้ว ท่านไม่ต้องกังวล”

    นางนึกว่าเขาไม่วางใจ แต่แล้วนางก็พบว่าเขากำลังเบิกดวงตาวาวโรจน์ผิดปกติจับจ้องนางโดยไม่กะพริบตา

    “คุณชายฉู่...” นางลองดึงมือคืนมา หัวใจกลับเต้นรัวเร็วยิ่งนัก

    ดวงตาแดงก่ำของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน คล้ายกับจะแผดเผาผิวกายของนางจนบาดเจ็บก็ไม่ปาน พาให้ร่างนางสั่นสะท้านน้อยๆ ระลอกแล้วระลอกเล่า

    ฉู่อี้ลั่งเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ใบหน้าหล่อเหลาสองตาแดงก่ำ บรรยากาศทั้งห้องหยุดชะงัก มีแต่เขาที่ยังคงหอบหายใจหนักหน่วง

    นางลอบดึงข้อมือคืนมาอีกครั้ง กลีบปากเผยอออก

    “คุณชายฉู่ อ๊ะ...

    ยังไม่ทันเอ่ยปากอีกรอบ จู่ๆ เขาก็ออกแรงดึงนางเข้ามากอดรัดแนบแน่นในอ้อมอก ก่อนที่ทั้งคู่จะกลิ้งเข้าไปยังส่วนลึกหลังม่านเตียงนอนด้วยกัน

     

    ฉู่อี้ลั่งแม้จะทำตัวสำมะเลเทเมาเป็นนิสัย ว่ายวนอยู่ท่ามกลางสุรานารีทั่วแดนดิน แต่เขายึดมั่นหลักการเคร่งครัดเสมอมา หนึ่งคือไม่แตะสาวพรหมจรรย์ สองคือไม่แตะคนกันเองเด็ดขาด สามคือจะไม่มีวันทิ้งฝ่ายหญิงไว้แล้วตบๆ บั้นท้ายจากไปเยี่ยงเดรัจฉานใจจืดใจดำ

    แต่เมื่อคืน... เมื่อคืนเขากลับทำผิดหลักการของตนเองทั้งสามข้อติดๆ กัน!

    เขาไม่เพียงแตะต้องหญิงพรหมจรรย์ หญิงพรหมจรรย์คนนั้นยังเป็นสาวน้อยในหอคลื่นหมอกที่เขารู้จักมักคุ้นมาหลายปีอีกด้วย มิหนำซ้ำ...ที่ไม่เอาไหนยิ่งไปกว่าคือเขาฉวยโอกาสก่อนที่ผู้อื่นจะตื่นขึ้นมา ลอบเผ่นแน่บหางจุกบั้นท้ายออกจากห้องหอของผู้อื่น

    ยามเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปากคอแห้งผาก ปวดศีรษะแทบปริแตก และได้เห็นเปี๋ยจือนอนขดร่างกายเปลือยเปล่าอยู่กลางผ้าห่มยุ่งเหยิงขณะที่ดวงหน้าเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา ความรู้สึกผิดบาปก็เป็นดั่งสายฟ้าผ่าใส่เขาดังเปรี้ยง พานให้ในหัวเขาว่างเปล่าขาวโพลนไปหมดชั่วขณะ ไม่อาจคิดใคร่ครวญสิ่งใดได้ทั้งสิ้น รอกระทั่งสติรับรู้ของเขาฟื้นคืนมาแล้วนั้น เขาก็พบว่าตนได้หลบกลับมายังเรือนคลื่นเมฆาแล้ว

    เขาหลีกลี้หนีหน้ามาได้อย่างไร นี่เป็นการทำร้ายจิตใจเปี๋ยจืออย่างใหญ่หลวงเชียวนะ ทำเรื่องเช่นนี้เขาไม่เพียงไร้คุณธรรม ใจจืดใจดำ ยังถึงขนาด...

    “ยังถึงขนาดสู้เดรัจฉานไม่ได้เลย”

    น้ำเสียงเยียบเย็นเฉยชาประหนึ่งแส้หนามสะบัดฟาดลงในหัวใจฉู่อี้ลั่ง วาจานี้ต่อประโยคได้เยี่ยมยอดดีแท้ ทิ่มแทงเข้าไปในก้นบึ้งหัวใจของเขา ฉู่อี้ลั่งหันหน้าไปมองคนที่กล่าววาจาประโยคนี้ออกมาด้วยอาการตัวชา

    ได้เห็นเพียงเหอเฟิ่งชี เจ้าสำนักหอคลื่นหมอกยึดครองเก้าอี้ตัวยาวแสนสบายในเรือนคลื่นเมฆา เอนนอนตะแคงด้วยท่าทางเกียจคร้าน ตาปรือคล้ายสามารถเข้าสู่นิทราไปเดินหมากกับเทพเจ้าแห่งความฝันได้ทุกเมื่อ ส่วนเปี๋ยถีซึ่งอยู่ข้างหลังเหอเฟิ่งชีเบิกดวงตากลมโตทั้งคู่อย่างโกรธแค้น สีหน้าแววตายามจับจ้องเขาเต็มไปด้วยแววดูแคลนระคนเกลียดชัง

    หากสายตาของเปี๋ยถีสามารถแกะสลักเป็นตัวอักษรได้ บนใบหน้าของฉู่อี้ลั่งคงมีคำว่า ไร้ยางอายสามคำนี้สลักเต็มไปหมดแล้ว

    “ช่วงก่อนข้าสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปใหญ่หลวง ไม่ง่ายเลยกว่าจะกำหนดงานมงคลของลี่เหินเทียนกับเวิ่นเอ๋อร์ได้ กำลังคิดว่าเร็วๆ นี้จะถามจือเอ๋อร์ดูว่ามีคนที่ปักใจชอบหรือไม่ จะได้เลือกสามีจัดการให้นางเป็นฝั่งเป็นฝา นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนเจ้ากลับ...เฮ้อ”

    เหอเฟิ่งชีกล่าวไปได้ครึ่งประโยคก็หยุดลงด้วยสีหน้าท่าทางจนใจ พร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วงออกมา

    ฉู่อี้ลั่งไม่มีวาจาจะกล่าว ทำได้เพียงขบกรามแน่น ยอมรับคำตำหนิที่เหอเฟิ่งชีไม่ได้กล่าวออกมา อยากแต่จะพังห้องเพื่อระบายอารมณ์ พอพังห้องเสร็จ สุดท้ายค่อยซัดฝ่ามือปลิดชีวิตตนเองให้รู้แล้วรู้รอด

    “ความบริสุทธิ์ของจือเอ๋อร์สุดท้ายกลับถูกทำลายด้วยน้ำมือของหนุ่มเสเพลเช่นเจ้า จะให้นางออกเรือนคงยากแล้ว เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไรดี” ดวงตาหงส์ยาวรีของเหอเฟิ่งชีลืมขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลางามละมุนอึมครึมมองอารมณ์ไม่ออกแม้แต่น้อย แลดูลึกล้ำยากหยั่งถึง วาจาที่กล่าวออกมากลับคุกคามไล่ต้อนทีละก้าว

    “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้ายินดีรับผิดชอบขอรับ”

    ฉู่อี้ลั่งทรุดตัวลงบนเก้าอี้พลางถอนหายใจหนักหน่วงออกมา

    “อืม ข้าก็รอคำกล่าวนี้ของเจ้านั่นแหละ ข้าถามความสมัครใจของจือเอ๋อร์มาแล้ว ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก นางก็ยินดีแต่งให้เจ้า” เหอเฟิ่งชีพยักหน้าอย่างพออกพอใจ

    “จือเอ๋อร์ นาง...ยินยอมได้อย่างไรกัน...” ฉู่อี้ลั่งอึ้งไปเล็กน้อย

    “หาไม่ยังจะทำเช่นไรได้อีก เจ้ายินยอมแต่งจือเอ๋อร์เป็นภรรยาหรือไม่ อย่างไรก็ตอบมาสักคำสิ” เหอเฟิ่งชีแค่นเสียงเฮอะราบเรียบคราหนึ่ง

    “ขอรับ ข้าจะแต่งนางเป็นภรรยา” ฉู่อี้ลั่งพยักหน้าให้คำมั่นขณะสีหน้าดูไม่ได้

    เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าจะต้องตกปากรับคำเรื่องการแต่งงานของตนภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ เดิมทีเขายังวางแผนไว้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไปอีกสักหลายปี จากนั้นค่อยลงหลักปักฐาน หาผู้หญิงสักคนมาให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา ภาระหน้าที่ในชีวิตนี้ก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว ทว่าคนกำหนดมิสู้ฟ้าลิขิต ไฉนเขาจึงทำเรื่องผิดมหันต์เช่นนี้ลงไปได้

    “เช่นนั้นข้าก็จะเป็นธุระให้จือเอ๋อร์ ยกนางให้แต่งกับเจ้า พวกเจ้าก็หาฤกษ์ตบแต่งกันเถอะ!” เหอเฟิ่งชีตบโต๊ะชี้ขาดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม

    เปี๋ยถีได้ฟังอยู่ด้านข้าง เห็นฉู่อี้ลั่งมีท่าทีอิดออดคล้ายถูกบังคับไม่มีผิด โทสะในใจของนางก็ลุกโชนขึ้นมาชั่วพริบตา โพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้

    “ท่านเจ้าสำนัก ให้จือเอ๋อร์แต่งให้คุณชายฉู่จะดีหรือเจ้าคะ”

    เปี๋ยถียังคงใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นของนางทิ่มแทงเชือดเฉือนฉู่อี้ลั่งเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง

    “ถีเอ๋อร์ เจ้าเห็นว่าจือเอ๋อร์แต่งให้อี้ลั่งไม่เหมาะสมงั้นรึ” เหอเฟิ่งชีเอามือเท้าศีรษะพลางเอ่ยถามยิ้มๆ อย่างให้ท้ายในที

    “คุณชายฉู่มีนิสัยเจ้าชู้หลายใจ สำมะเลเทเมาไม่บันยะบันยัง มีสัมพันธ์สลับซับซ้อน ใครๆ ก็รู้ว่าคุณชายฉู่มีคณิกาคนรู้ใจอยู่ทั่วหล้า แต่จือเอ๋อร์หัวโบราณถือทิฐิ ซ้ำยังดื้อรั้นมาก ถ้าวันหน้าคุณชายฉู่ยังคงทำเจ้าชู้ไปทั่วเหมือนเคย ผิดต่อจือเอ๋อร์ เช่นนั้นจือเอ๋อร์แต่งให้เขาไม่เท่ากับชอกช้ำแย่หรือเจ้าคะ คุณชายฉู่มีภรรยาหลวงภรรยาน้อยได้มากหน้าหลายตา แต่จือเอ๋อร์กลับต้องสละความสุขชั่วชีวิตให้กับเด...คุณชายฉู่ผู้ที่ข่มเหงนางอย่างนั้นหรือ ให้ข้าคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับจือเอ๋อร์เอาเสียเลย!

    วาจาเจ็บแสบของเปี๋ยถีเหน็บแนมทิ่มแทงฉู่อี้ลั่ง นางโมโหโทโสจนลืมฐานะ เกือบจะหลุดด่าคำว่า เดรัจฉานออกมาแล้วด้วยซ้ำ

    ครั้นฉู่อี้ลั่งได้ฟัง สีหน้าก็ยิ่งเครียดคล้ำเข้าไปใหญ่ เกร็งตัวนิ่งขึงอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ไหวติง

    “เช่นนั้นเจ้าว่าเจ้าสำนักเช่นข้าควรทำอย่างไรดีถึงจะยุติธรรมกับจือเอ๋อร์มากขึ้น” เหอเฟิ่งชียังคงยิ้มอ่อนโยน แสดงออกชัดว่าต้องการให้เปี๋ยถีเรียกร้องคำมั่นสัญญาจากฉู่อี้ลั่งแทนเปี๋ยจือพี่น้องของนาง

    เปี๋ยถีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถลึงตาจ้องฉู่อี้ลั่งอย่างเย็นชา

    “คุณชายฉู่ยินดีสาบานต่อสวรรค์หรือไม่ว่าหากผิดต่อจือเอ๋อร์จะไม่ได้ตายดี”

    “ได้ ข้าสาบาน หากผิดต่อจือเอ๋อร์ ข้าจะไม่ได้ตายดี” ฉู่อี้ลั่งชูมือขึ้นสาบานต่อสวรรค์โดยแทบไม่ต้องคิดใคร่ครวญ

    “นอกจากนี้ยังจะนกเขาไม่ขันไปทั้งชาติ ไม่มีปัญญาไปแตะต้องผู้หญิงคนไหนได้อีก!” เปี๋ยถีเชิดคางเล็กๆ มองเขาอย่างท้าทาย

    เหอเฟิ่งชีหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างไม่ไว้หน้ากันบ้าง ส่วนสีหน้าฉู่อี้ลั่งก็งอง้ำเต็มเปี่ยม ไร้วาจาจะตอบโต้

    แม้เรื่องจะเกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย แต่อย่างไรเสียก็เป็นปัญหาที่เขาก่อขึ้น การที่สาวใช้เล็กๆ คนนี้ปีนขึ้นมาอยู่บนศีรษะเขาได้ก็เพราะอาศัยที่เหอเฟิ่งชีให้ท้ายกลายๆ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมรับทั้งหมด

    “หากผิดต่อจือเอ๋อร์ ข้าฉู่อี้ลั่งจะไม่ได้ตายดี และก่อนที่จะไม่ได้ตายดียังจะนกเขาไม่ขันไปทั้งชาติอีกด้วย” ฉู่อี้ลั่งขบกราม ยกมือขึ้นสาปแช่งตนเองอย่างหมดจดยิ่ง พร้อมยอมสละทุกอย่างโดยไม่เสียดาย

    เมื่อเปี๋ยถีพอใจแล้วถึงยอมถอยกลับไปอยู่ข้างหลังเหอเฟิ่งชี

    เหอเฟิ่งชีลุกขึ้นช้าๆ ปัดอาภรณ์ กำชับกับเขายิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องแก้ไขแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปก่อน เรื่องเมื่อคืนข้าจะปิดไว้สุดความสามารถ ไม่ให้ชื่อเสียงของจือเอ๋อร์เสียหาย สำหรับเจ้า ลูกผู้ชายอกสามศอกพูดคำไหนคำนั้น จะต้องรักษาคำมั่นไว้ให้ดี เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมเป็นเจ้าบ่าวก็แล้วกัน”

    “ขอรับ” ฉู่อี้ลั่งลุกขึ้นเพื่อส่งเหอเฟิ่งชีจากไป

    ก่อนเหอเฟิ่งชีจะจากไป เห็นฉู่อี้ลั่งมีสีหน้าหดหู่เคร่งเครียด ก็หันกลับมาตบบ่าเขา

    “แต่งภรรยาไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก จือเอ๋อร์ของข้าทั้งอ่อนหวานทั้งงดงามเฉิดฉัน ได้นางเป็นภรรยาถือเป็นวาสนาของเจ้า เจ้าดูสิ เดิมทีข้านึกว่าลี่เหินเทียนที่นิสัยบกพร่องคนนั้นจะต้องเป็นชายโสดลักเพศไปทั้งชาติแล้วเสียอีก สุดท้ายก็ไม่ใช่กำลังรอเป็นเจ้าบ่าวแต่งภรรยาในวันเกิดของเวิ่นเอ๋อร์อย่างชื่นมื่นหรอกหรือ”

    ฉู่อี้ลั่งพยักหน้าพร้อมกับยิ้มขื่น บ่งบอกว่าเข้าใจดี

    ครั้นเหอเฟิ่งชีจากไปแล้ว เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิม ถอนหายใจพลางทอดตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

    เหินเทียนและเวิ่นเอ๋อร์ผูกใจรักใคร่กัน แต่เขากับจือเอ๋อร์... ต่อให้เขายินดีรับผิดชอบก็ไม่แน่ว่าจือเอ๋อร์จะไม่แค้นเคืองเขา ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ยามนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายของนางคงไม่ได้ถูกความหยาบกระด้างของเขาทำให้บุบสลายกระมัง

    พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกเท้ามหึมาอันหนักอึ้งที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งเหยียบย่ำจนบี้แบนบุบเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นร่างครั้งแล้วครั้งเล่า


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×