ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องในกำมือ

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      5
      26 ก.ค. 54

    เขาและพระเชษฐา...แม้ความสัมพันธ์จะไม่อาจเรียกได้ว่าสนิมสนม แต่อย่างน้อยก็เป็นพี่น้อง เมื่อไรที่พระเชษฐาจากโลกนี้ไป ใจทะยานอยากของเขาก็จำต้องปะทุออกมา หาไม่เขายังมิทันกำจัดผู้อื่น ผู้อื่นก็จะกำจัดเขาก่อนแล้ว
    เพื่อความอยู่รอด เขาจำต้องทรยศต่อความปรารถนาก่อนตายของพระเชษฐา ทั้งยังต้องชิงตำแหน่งที่อยู่เหนือใครต่อใครนี้มาด้วย
    ยามนี้เป็นไปได้ยากมากที่เขาจะหาตัวตนของตนพบ ทันทีที่ถูกม้วนหอบเข้าไปในฉากแย่งชิงบัลลังก์กษัตริย์นี้เมื่อไร สถานการณ์จะบีบให้เขาต้องพอกหน้างิ้วหนาเตอะไว้บนใบหน้าของตน จากนั้นก็แสดงละครองก์หนึ่งไปด้วยกันกับผู้คนโขยงนี้
    ทว่าเมื่อการแสดงจบลง เขาจะรู้จริงๆ หรือว่าตนเองต้องการสิ่งใดกันแน่
    เขามีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อรถม้ากลับถึงจวน พ่อบ้านและบ่าวไพร่ต่างมารอต้อนรับเขา แต่พอได้เห็นสีหน้าเขาผิดปกติไปก็พากันเงียบกริบ ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ กลัวว่าหากรบกวนท่านอ๋องเข้าจะโดนโทษทัณฑ์
    ครั้นกลับถึงตำหนักบรรทม สาวใช้ทำท่าจะถอดเครื่องแบบออกว่าราชการให้เขา เขากลับยืนนิ่งไม่ไหวติง
    “ท่านอ๋อง?” สาวใช้รู้สึกแปลกใจ
    “ข้าขอถามอะไรเจ้าสักหน่อย...” เจี่ยอิงเผยยิ้มบาง หันมาถามสาวใช้ว่า “วันนี้ใครเป็นคนเตรียมกำยานหอม”
    สีหน้าท่าทางของเจี่ยอิงดูคล้ายต้องการจะชมเชยคนไม่มีผิด พาให้คนเห็นแล้วชื่นอกชื่นใจ ดังนั้นสาวใช้จึงกล่าวสีหน้าท่าทางโง่งมออกไปว่า “เอ่อ บ่าวเป็นคนเตรียมเองเจ้าค่ะ”
    “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” เจี่ยอิงพยักหน้าก่อนจะตะโกนออกไปนอกห้อง “ใครก็ได้มานี่ซิ”
    สาวใช้อึ้งงัน เห็นพ่อบ้านและสาวใช้คนอื่นๆ เข้ามาในห้อง
    “ท่านอ๋องมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ” พ่อบ้านถามตัวสั่นงันงก
    “เปลี่ยนสาวใช้คนอื่นมา ส่วนนาง...” เจี่ยอิงไม่มองอีกฝ่ายตรงๆ ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ชี้ไปตรงที่สาวใช้คนนั้นยืนอยู่ “อย่าให้ข้าเห็นหน้านางอีก”
    พ่อบ้านมองสาวใช้ที่ทำอะไรไม่ถูกคนนั้นด้วยสีหน้าอึ้งงัน
    “ท่านอ๋อง มะ...มีปัญหาอะไรหรือขอรับ”
    “ใช้จมูกของเจ้าดมดูสิ พ่อบ้าน” เจี่ยอิงถอดเครื่องแบบออกว่าราชการออกด้วยตนเอง สาวใช้ด้านข้างเห็นดังนั้นก็รีบก้าวเข้าไปช่วย “ทำไมกำยานหอมเก่าเก็บราคาถูกพรรค์นี้ถึงมาปรากฏอยู่ในห้องข้าได้ หืม?”
    “เอ่อ...”
    “ยังมีปัญหาอะไรอีกรึ” เจี่ยอิงปรายตามองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีพลังอำนาจคล้ายกองทัพนับพันนับหมื่นพลิกครืนใส่ทุกผู้ที่อยู่ในที่นั้น “ยังต้องให้ข้าพูดเป็นครั้งที่สองหรือ”
    พ่อบ้านได้สติ รีบโบกมือพัลวัน สั่งให้คนอื่นๆ กุมตัวสาวใช้ที่กระทำผิดคนนั้นออกไป
    สาวใช้คนนั้นตกใจกลัวจนตะลึงลาน พูดอะไรไม่ออกสักคำ
    เมื่อคนทั้งกลุ่มไปแล้ว ในตำหนักก็เงียบสงัดไร้เสียงใดๆ เจี่ยอิงย่างเท้าอย่างเชื่องช้าไปถึงข้างหน้าต่าง ก่อนจะนั่งลงบนตั่งยาวริมหน้าต่าง จุดกล้องยาสูบที่เพิ่งเติมยาเส้นเข้าไป
    เขาได้อยู่เงียบๆ ตามลำพังอีกครั้ง บางทีความเงียบเหงาเปล่าดายหลังจากไล่คนทั้งหมดออกไปเช่นนี้ถึงจะเหมาะกับชีวิตของเขาที่สุด
    ยามนี้เอง มีใครคนหนึ่งสั่นกระดิ่งทองแดงข้างประตู แรกเริ่มเดิมทีเจี่ยอิงไม่ได้ยิน คนผู้นั้นจึงสั่นแล้วสั่นอีก
    เจี่ยอิงชะงักกึกก่อนจะกลับจากภวังค์ ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เอ่ยถามเสียงเอื่อยว่า “ใครกัน”
    “ท่านอ๋อง บ่าวนำของว่างมาส่งเจ้าค่ะ”
    “เข้ามา”
    พอประตูเปิดออก เงาร่างเล็กบางร่างหนึ่งก็ยกถาดอาหารซึ่งกว้างกว่าไหล่ของนางเสียอีกเดินอย่างเนิบช้าเข้ามา เมื่อเดินไปถึงข้างเขาก็วางถาดอาหารลงบนโต๊ะข้างกายเขา
    เจี่ยอิงไม่ได้มองผู้มา เพียงแต่มองของว่างหลากชนิดที่พ่อครัวเตรียมไว้ให้เขา ทั้งหวาน ทั้งมัน ทั้งเลี่ยน...เขาพลันรู้สึกเอียนขึ้นมา สะบัดมือออกไป
    “ยกกลับลงไป”
    “เอ๋?” สาวใช้คนนั้นส่งเสียงคลางแคลงออกมา “แต่ท่านอ๋อง...”
    เจี่ยอิงไม่ให้สาวใช้คนนั้นได้เอ่ยวาจา ขัดขึ้นอีกว่า “ข้าบอกให้ยกไปไงล่ะ”
    “แต่...ท่านอ๋อง ก่อนสูบยา ถ้าไม่กินอะไรรองท้องสักนิดจะปวดกระเพาะได้นะเจ้าคะ” สาวใช้คนนั้นว่า
    เจี่ยอิงเลิกคิ้ว แปลกจริง แต่ไรมาไม่เคยมีใครกล้าขัดคำพูดของเขามาก่อนเลยนี่ สาวใช้ที่กล้าแย้งเขาคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรนะ เขาเงยหน้าขึ้นมอง
    “อ้อ” เขาหัวเราะขึ้น “ข้าจำเจ้าได้”
    “เอ๋?”
    “เจ้าก็คือเซียงตาบอดคนนั้นนี่เอง” เขายิ้มอ่อนโยน
    “เอ่อ... เจ้าค่ะ”
    คนที่ถูกพ่อบ้านลากตัวมาส่งของว่างก็คือเอินเหม่ยนั่นเอง
    “เจ้านายเพิ่งลงโทษคนเสร็จไปก็ถูกมอบหมายให้ยกของว่างมาส่ง ไม่ใช่งานที่ดีเลยนะ เจ้าว่าจริงไหม ตาบอด”
    “เอ่อ ท่านอ๋อง บ่าวชื่อเอินเหม่ย มิใช่ตาบอดเจ้าค่ะ” เอินเหม่ยท้วงอย่างกล้าหาญยิ่ง
    ทว่าเจี่ยอิงยังคงกล่าวต่อไป น้อยครั้งที่เขาจะฟังคำของผู้อื่น “ปกติเวลาอย่างนี้เจ้าต้องสงบปากสงบคำ เจ้านายบอกอะไรก็ทำอย่างนั้น อย่างนี้จะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ”
    “เจ้าค่ะ” เอินเหม่ยพยักหน้า
    “เช่นนั้นก็ยกลงไปสิ” เจี่ยอิงหยิบกล้องยาสูบขึ้นมาสูบอีก “ออกไปเสีย”
    “อ้อ ได้เจ้าค่ะ” เอินเหม่ยรับคำเสียงหนึ่ง คิดจะยกถาดอาหารออกไป แต่เมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกว่าหากไม่พูดจะผิดต่อใจตนเอง จึงหันกลับไปอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “แต่ว่า...ท่านอ๋อง ไม่กินอะไรรองท้องก่อนสูบยาจะปวดท้องเอาได้นะเจ้าคะ ปวดขึ้นมาแต่ละทีเหลือทนจริงๆ นะ บ่าวทราบดี”
    เจี่ยอิงหลับตาลงด้วยความรำคาญ
    เขาไม่เข้าใจ ทุกคนพอได้รู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเขาแล้วก็จะเกรงกลัวเขาทั้งนั้น แล้วทำไมสาวใช้เล็กๆ คนนี้กลับฟังคำบอกเป็นนัยๆ ของเขาไม่เข้าใจอยู่ร่ำไปนะ เอาแต่รบกวนการอยู่ตามลำพังของเขาอยู่นั่นแหละ ถึงแม้นางจะเป็นห่วงเขาก็ตามที
    เอินเหม่ยบอกอีกว่า “บิดาที่บ้านนอกของบ่าวก็ชอบปวดท้องอย่างนี้เหมือนกัน ดังนั้นท่านกินอะไรหน่อยดีกว่านะเจ้าค่ะ”
    เจี่ยอินพ่นควันออกมาช้าๆ ฉีกยิ้มน้อยๆ มองเอินเหม่ยผ่านกลุ่มควัน
    “พูดถึงบ้านนอก งั้นเรามาคุยเรื่องบ้านเดิมของเจ้ากันเป็นอย่างไร” วาจาและรอยยิ้มของเขาแลดูเป็นกันเองมาก
    “เจ้าค่ะ”
    ผู้เป็นนายยินดีสนทนากับบ่าว บ่าวจะมีความคิดเห็นอะไรได้
    “เจ้าเป็นคนที่ไหน”
    “ท่านอ๋อง บ่าวเป็นคนหลัวโจวเจ้าค่ะ”
    หลัวโจวเป็นเมืองซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ ห่างจากเมืองหลวงเป็นระยะทางร้อยลี้ ผลิตผ้าไหมทอเป็นหลัก
    “อ้อ?” เจี่ยอิงดูท่าทางสนใจใคร่รู้ปูมหลังของนางอย่างยิ่ง ดวงตาทั้งคู่จับจ้องนางอย่างจดจ่อ “บิดามารดาที่บ้านยังอยู่หรือไม่ มีพี่น้องกี่คน”
    “ยังอยู่เจ้าค่ะ พี่สาวคนหนึ่งออกเรือนไปแล้ว ที่บ้านยังมีน้องชายกับน้องสาวคู่หนึ่งต้องเลี้ยงดู”
    “อยู่สุขสบายดีหรือไม่” เขาถามขึ้นอีก
    อันที่จริงคำถามนี้เรียบง่ายและปกติธรรมดายิ่ง แต่เอินเหม่ยได้ฟังกลับอึ้งไป มิได้ตอบคำทันที
    เจี่ยอิงรู้สึกว่าแปลก เอียงคอถามขึ้นอีกว่า “ทำไมล่ะ ชีวิตไม่สุขสบายหรอกหรือ”
    ปฏิกิริยาของเอินเหม่ยทำให้เขาคลางแคลง ด้วยเหตุนี้เขาจึงพิศดูสาวใช้เล็กๆ ตรงหน้าคนนี้ให้ถี่ถ้วนมากขึ้น
    ครั้งแรกที่ได้เห็นนางบนทางเดินเส้นนั้น เขาเพียงแต่รู้สึกว่านางเรียบง่ายธรรมดามาก...ธรรมดาถึงขนาดที่ว่าหากโยนนางเข้าไปกลางฝูงชนก็คงจะจำนางไม่ได้อีก
    นับประสาอะไรกับยามนั้นเขากำลังมีโทสะที่พบว่าดันมีใบไม้เน่าเฉาสกปรกอยู่บนทางเดิน โรครักความสะอาดที่มีมาแต่กำเนิดทำให้เส้นประสาทเขากระตุกรำไร สาวใช้เล็กๆ คนนี้จึงกลายเป็นที่ระบายโทสะและเครื่องมือปัดกวาดของเขา
    แต่เมื่อครู่ที่นางเตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องกินอะไรรองท้องก่อนสูบยาถึงจะไม่ปวดท้อง... เสียงรบเร้าอย่างกระตือรือร้นของนางทำให้เขาเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา
    ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในใจนี้คืออะไรนะ นอกจากความหงุดหงิดรำคาญระคนแปลกใจเล็กน้อยแล้ว ส่วนที่เหลือเขาบอกไม่ค่อยถูก เขารู้แต่ว่าต้องมองนางให้ละเอียดขึ้นหน่อย ดูว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงถามเรื่องต่างๆ กับนาง
    ยามนี้เจี่ยอิงเพิ่งพบว่าเด็กสาวคนนี้มีรูปร่างเล็กบางยิ่งนัก หากมายืนอยู่ข้างกายเขา บางทีอาจยังสูงไม่ถึงอกเขาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะยามนางยกถาดอาหารที่กว้างกว่าไหล่นาง ยืนหน้าตาใสซื่ออยู่ตรงนั้นด้วยแล้ว ยิ่งขับเน้นร่างกายเล็กแกร็นของนางให้ดูคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่งไม่มีผิด
    รูปร่างหน้าตาของนางในสายตาของเขาผู้ซึ่งพบเห็นสาวงามล่มบ้านล่มเมืองมาจนชินแลดูสดชื่นแปลกใหม่ งามเรียบดั่งหยกยังไม่ได้เจียระไนชนิดหนึ่ง แต่ก็แน่นอนว่าหากโยนนางไปไว้ท่ามกลางสนมนางในกลุ่มใหญ่ การที่นางจะโดดเด่นขึ้นมาได้เป็นเรื่องยากยิ่ง
    กระนั้นในช่วงเวลาที่เขากำลังกลัดกลุ้มเบื่อหน่ายอยู่นี้ นางที่ไม่ได้แตะแต้มเครื่องประทินโฉมใดๆ ได้เผยรูปโฉมที่บริสุทธิ์เป็นธรรมชาติที่สุดออกมาให้ผู้คนได้เห็น ทำให้เขารู้สึกถึงความจริงใจที่แรงกล้าและมั่นคง ความจริงใจพรรค์นี้ทำให้สายตาของเขาจับจ้องนางอยู่ตลอด และก็เพราะเหตุนี้จึงยิ่งทำให้เขาแน่ใจเกี่ยวกับท่าทีลังเลและน่าสงสัยของนางที่มีต่อคำถามนั้น
    นานช้าก็ยังมิได้รับคำตอบ เจี่ยอิงขยับตัว กล่าวด้วยสีหน้าแววตาแฝงความนัยลุ่มลึก “ตอบยากเพียงนี้เชียวหรือ หืม?”
    “เอ่อ... ท่านอ๋อง” เอินเหม่ยดูท่าทางคล้ายอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าพูด
    เจี่ยอิงรู้สึกรำคาญท่าทีชักช้าร่ำไรของนางอยู่บ้าง แต่เขาเพียงแค่ส่งยิ้มเป็นกันเองมากขึ้นให้ก่อนจะโบกมือ
    “ช่างเถอะ ข้าไม่ควรถามเรื่องส่วนตัวให้มาก ข้าผิดเอง”
    สีหน้าเอินเหม่ยแข็งขึงขึ้นมา รู้สึกกระดากคล้ายถูกคนผลักไส นางรีบเอ่ยปากคลี่คลายบรรยากาศว่า “หะ...หามิได้เจ้าค่ะ อันที่จริงก็ไม่มีอะไร พะ...พวกเขาอยู่สุขสบายดี...”
    คำว่า ‘สุขสบาย’ คำนั้นนางพูดเสียงเบาอย่างยิ่ง
    “สุขสบายก็ดีแล้ว” เจี่ยอิงเคาะขี้เถ้ายาสูบ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกระดกมุมปากอย่างพึงพอใจ มองเอินเหม่ยพลางถามขึ้นว่า “ที่บ้าน...มีผู้ชายรอเจ้ากลับไปหรือไม่”
    “หา?” สำหรับคำถามนี้เอินเหม่ยไม่ทันตั้งตัว “อะ...อะไรนะเจ้าคะ”
    เจี่ยอิงหัวเราะออกมาจากใจ มองเด็กสาวคนนี้หน้าแดงลนลานเล็กน้อย ช่างน่ารื่นเริงใจโดยแท้ เพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่ออกจากความจริง ปราศจากท่าทีเสแสร้งใดๆ
    ความหงุดหงิดรำคาญเมื่อครู่ของเขาได้จางหายแล้ว เขาปลุกอารมณ์เพลิดเพลิน เสริมขึ้นว่า “ผู้ชายที่ว่าก็คือผู้ชายที่รอเจ้ากลับไปแต่งงานด้วยอย่างไรล่ะ เข้าใจไหม”
    “เอ่อ นั่น...นับว่ามีกระมัง”
    อาหนิวที่อยู่ข้างบ้านนับว่าโตมาด้วยกันกับนาง ตอนยังเล็กชอบจูงมือนางแล้วบอกว่าวันข้างหน้าจะแต่งนางเป็นภรรยา ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ถึงแม้นั่นจะเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ก็นับว่าเคยเกิดขึ้นกระมัง คิดๆ แล้วก็รู้สึกเขินขึ้นมา ดังนั้นเอินเหม่ยจึงหน้าแดงขณะตอบออกไป
    ครั้นเจี่ยอิงเห็นแก้มแดงปลั่งของนางก็ยิ้มสว่างสดใสมากยิ่งขึ้น
    “แต่ว่านะ ตาบอด ข้าอยากบอกความจริงเจ้าไว้อย่าง”
    “อ้อ ท่านอ๋องโปรดกล่าวมาเถอะ”
    เอินเหม่ยดึงสติกลับมา สำหรับเรื่องที่ท่านอ๋องเอาแต่เรียกนางว่าตาบอด นางไม่คิดท้วงติงอีก บางทีคนที่มีงานรัดตัวพรรค์นี้อาจงานยุ่งจนจำชื่อคนไม่ได้ก็เป็นได้
    “ถึงที่นี่จะเป็นแค่จวนอ๋อง แต่ว่า...บ่าวที่เข้ามาทำงานที่นี่ที่แท้ไม่ต่างอะไรกับนางกำนัลในวังหรอกนะ” เจี่ยอิงยิ้มระรื่น
    “เอ๋?”
    หมายความว่าอย่างไรน่ะ
    “นางกำนัลพอเข้าวังไปแล้ว นอกจากทำผิดถูกส่งตัวกลับบ้าน มิเช่นนั้นก็ต้องถูกขังอยู่ในวังไปทั้งชาติ ปรนนิบัติรับใช้ผู้เป็นนายไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่” เจี่ยอิงลูบแหวนหยกบนนิ้วหัวแม่มือ กล่าวน้ำเสียงรื่นรมย์ว่า “ที่นี่...ก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
    “อะ...อะไรนะ จริงหรือเจ้าคะ ช้าก่อน นี่ไม่เห็นเหมือนที่พ่อบ้านบอกเลย พ่อบ้านบอกว่าที่นี่เป็นระบบว่าจ้าง มิใช่ขายขาดนี่เจ้าคะ!”
    “น่าเสียดายจังนะ ตาบอด” เจี่ยอิงยิ้มเห็นฟันขาวเป็นระเบียบน่ามอง “มีชายหนุ่มแสนดีอยู่ที่บ้านแต่กลับไปหาไม่ได้ ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้”
    “ระ...เรื่องนี้...” เอินเหม่ยตอบไม่ได้
    “แต่...อยู่ที่นี่ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ” เจี่ยอิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ที่นี่มีโอกาสไต่เต้ามากมายให้ไขว่คว้า บางทีแค่เพียงพริบตา วันรุ่งขึ้นเจ้าอาจกลายเป็นสนมของใครไปแล้วก็เป็นได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่”
    เอินเหม่ยย่อมฟังออกว่าวาจานี้แฝงนัยประชดประชันมากเพียงใด นางขมวดคิ้วมุ่น ในใจคิดคำนวณเรื่องบางอย่าง
    “ความจริงข้ายังนับว่าถูกใจเจ้าอยู่บ้าง ประเดี๋ยวเจ้าออกไปบอกกับพ่อบ้านว่าต่อไปข้าให้เจ้ามาปรนนิบัติรับใช้ข้า” เจี่ยอิงไม่รู้สึกสักนิดว่าวาจาของตนทำร้ายจิตใจผู้คน ยังคงสักแต่กล่าวต่อไป “นี่เป็นของขวัญขอบคุณที่เมื่อครู่เจ้าเป็นห่วงเป็นใยข้า”
    เอินเหม่ยเม้มริมฝีปาก นานช้ากว่าจะบอกว่า “ขอบคุณท่านอ๋อง”
    “เจ้าทิ้งของว่างไว้ให้ข้าจานหนึ่งแล้วกัน” เจี่ยอิงบอก “เจ้าอาจพูดถูก เวลาสูบยาไม่กินอะไรรองท้องสักหน่อยจะทำลายกระเพาะเอาได้”
    เอินเหม่ยเหลือของว่างจานหนึ่งไว้ตามคำบอกของเขา
    “ออกไปเถอะ ไปทำงานของเจ้าไป” เจี่ยอิงกล่าวเสียงเรียบ นอนกลับลงไปบนตั่งยาวอย่างเกียจคร้าน ไม่มองนางอีก
    เอินเหม่ยพยักหน้า ถอยออกไปเงียบเชียบ เมื่อออกมานอกประตูห้องนางก็สูดหายใจเข้าลึก เผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว สีหน้าแววตาเด็ดเดี่ยวของนางในตอนนี้ต่างกับท่าทางเซ่อซ่า ทั้งยังใสซื่อบริสุทธิ์เมื่อครู่ของนางลิบลับ
    ผู้ชายคนนี้ช่างน่าชังนัก ขอเพียงทำงานนี้เสร็จ นางก็จะจากที่นี่ไป ไปจากสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่น่าอึดอัดแทบตายนี้เสียที
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×