ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ท่านอ๋องในกำมือ

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      1
      26 ก.ค. 54

    王爷奉在手心上
    บทนำ
    เอินเหม่ยหอบหิ้วถังน้ำและไม้กวาดก้าวเดินกระย่องกระแย่งไปทางระเบียงทางเดินที่เชื่อมระหว่างเรือนหลักกับตึกรับรอง
    แม้จะกล่าวว่าที่แห่งนี้มีนามเป็นเพียงจวนอ๋องแห่งหนึ่ง กระนั้นเรือนหลัก รวมถึงตึกรับรองและปีกอาคารแต่ละแห่งล้วนถูกสร้างให้วิจิตรงดงามใหญ่โตโอ่โถงประดุจวังหลวง
    ดูอย่างระเบียงทางเดินเส้นนี้สิ เมื่อไปยืนอยู่ตรงต้นทางก็จะมองไม่เห็นสุดปลายทางแล้ว ทั้งยังกว้างขนาดให้คนสิบกว่าคนมายืนได้อย่างสบาย 
    ยามนี้อยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ต้นแปะก๊วยซึ่งปลูกเต็มรอบด้าน ใบไม้บนต้นกลายเป็นสีเหลืองสดทั้งหมด ประดับประดารอบระเบียงทางเดินให้เป็นสีทองอร่ามงดงาม หากมองผ่านๆ ดูราวกับมิใช่โลกที่คนสามัญธรรมดาจะมาพำนักอยู่ได้...
    ทว่าข้อเสียของมันก็คือ ใบไม้ร่วงซึ่งบิดปลิวโปรยปรายตามแรงลมลงบนระเบียงทางเดินกวาดเท่าไรก็ไม่หมดไม่สิ้น
    และผู้ที่รับผิดชอบกวาดถูระเบียงทางเดินนี้ก็มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น
    ที่แห่งนี้คือจวนอ๋องซู่เหนิง...บ้านของนายคนใหม่ของนาง
    เอินเหม่ยวางถังน้ำลง มองดูมัน แล้วก็อดถอนหายใจแผ่วเบาออกมามิได้...แม้แต่ถังน้ำยังทำจากเครื่องเงินเลยเชียวนะ
    ท่านอ๋องซู่เหนิงผู้นี้แม้จะเป็นเจ้านายที่นางต้องปรนนิบัติรับใช้ แต่สำหรับสาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่เช่นนางแล้ว เขาเปรียบเสมือนบุคคลในตำนาน ช่างอยู่ห่างไกลนัก นางได้แต่อาศัยข้าวของเครื่องใช้ทั่วจวนอ๋องไปนึกภาพรูปร่างหน้าตาเขา
    นางคิดว่าบุคคลที่ชอบทำอะไรโอ้อวดเกินจริงผู้นี้ คงเป็นชายวัยกลางคนซึ่งมีพุงพลุ้ยและมีใบหูที่ใหญ่ยาวสามารถได้ยินอะไรต่อมิอะไรมากมายคู่หนึ่ง มิหนำซ้ำยังไว้หนวดที่ตนนึกว่าสง่าผ่าเผย แท้จริงแล้วกลับแลดูอุจาดตาคนหนึ่งแน่แท้!
    ขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรมาใช้จ่ายสิ้นเปลืองไปกับความสุขสบายของตน คนพรรค์นี้ถึงตายไปก็ไม่มีใครเสียดายหรอก 
    เอินเหม่ยกำมือแน่น สีหน้าหมองหม่นลง
    ทว่านางรีบปลุกจิตใจขึ้นมาในทันใด กวาดตามองทางเดินที่กว้างขวางพอให้รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านไปได้ พลางพ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วง
    พ่อบ้านบอกว่าวันนี้นางจะต้องกวาดถูทางเดินนี้ให้เสร็จ เพราะช่วงบ่ายวันนี้ท่านอ๋องจะเดินผ่านเส้นทางนี้ หากให้ท่านอ๋องเห็นอะไรที่รกลูกหูลูกตาเปรอะเปื้อนอยู่บนทางเดินแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ กระทั่งพ่อบ้านอย่างเขายังอาจพลอยถูกลงโทษไปด้วย
    “เพราะว่า...” พ่อบ้านบอก “ท่านอ๋องเป็นโรครักความสะอาดชนิดร้ายแรงน่ะสิ!”
    นางรีบกวาดใบไม้ร่วงออกจากทางเดินสายนี้
    เอินเหม่ยบิดผ้าเช็ดพื้นให้แห้งหมาด ขณะกำลังจะเช็ดถูศิลาหยกดำที่ปูพื้นทางเดินอยู่นั้น จู่ๆ ลมแรงระลอกหนึ่งก็พัดโชยมา หอบเอาใบแปะก๊วยกองใหญ่มาไว้บนทางเดิน
    “อ๊าๆๆ...” เอินเหม่ยร้องลั่น “ทำไมต้องปลูกต้นไม้ไว้ข้างๆ ระเบียงด้วยนะ?!”
    นางคำนวณเวลาดู ได้แต่หยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดส่งเดชไปอย่างนั้น ถึงจะกวาดจนสะอาดเอี่ยมอย่างไร ประเดี๋ยวลมพัดมาก็เสียแรงเปล่าอยู่ดีนั่นละ
    พอกวาดเสร็จ นางก็คุกเข่าลงถูพื้นอย่างตั้งใจ หากเห็นใบไม้ร่วงก็ค่อยใช้มือหยิบออก
    นางค่อยๆ เช็ดถูอย่างเชื่องช้าไปอย่างนี้ครู่หนึ่ง
    ยามนี้เอง เงาร่างที่ถูกแสงตะวันยามเย็นลากยาวเงาหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงฝีเท้าเล็กแผ่ว
    นางชะงักงัน เงยหน้าขึ้นมอง...
    ครั้นแล้วก็ตะลึงงันไปอีก
    นาง...ไม่เคยเห็น...บุรุษที่งามสง่า...งามสง่าเสียจนอาจเรียกได้ว่างามล้ำเช่นนี้มาก่อนเลย 
    องคาพยพทั้งห้าของบุรุษผู้นี้หนุ่มแน่นเด่นล้ำ เรียวคิ้วประณีตเฉียงขึ้นฉายกระไอสูงส่ง ดวงตารูปเมล็ดเรียวคู่นั้นแลดูสมบูรณ์แบบ แฝงเสน่ห์คล้ายอิสตรีอยู่หลายส่วน มวยผมที่มัดสูงแน่นหนาของเขาไม่มีหลุดรุ่ยสักเส้น ขับให้ดวงหน้าของเขาขาวหมดจดสว่างไสวยิ่งขึ้นไปอีก 
    เขาสวมอาภรณ์สีขาวที่แลดูเรียบหรู หากแต่แฝงรัศมีสูงศักดิ์ไว้ แขนเสื้อยาวพับทบขึ้นมาถึงข้อมืออย่างประณีตเป็นธรรมชาติ เผยให้เห็นมือขาวผ่องทั้งคู่ ในมือยังกุมพัดจีบเล่มหนึ่งไว้ด้วย
    เขาใช้มือลูบด้ามพัดอย่างถี่ถ้วน พอลูบเสร็จก็หันมาลูบแหวนหยกขาวซึ่งสวมอยู่บนนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายแทน... กิริยาเล็กๆ นี้กลับทำได้อย่างสูงส่ง...งดงามเพียงนี้ ทำให้เอินเหม่ยถูกดึงดูดอย่างลึกซึ้ง
    “ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน” บุรุษผู้นั้นกล่าว เสียงนุ่มนวลน่าชื่นใจ “เจ้าคือ?”
    พอถูกถามเช่นนี้ เอินเหม่ยก็รีบเงยหน้ามองเขา ขณะกำลังจะตอบคำ นึกไม่ถึงว่าจะถูกรอยยิ้มที่คล้ายมีและไม่มีในคราเดียวบนใบหน้าของเขาดึงดูดสายตาไปอีกครา
    นางคิดว่ารอยยิ้มที่ไม่เผยให้เห็นฟันเช่นนั้นช่างน่ามองยิ่งนัก แม้จะจืดจาง แต่ก็สามารถทำให้คนวางความหวาดระแวงลงโดยไม่รู้ตัว ต้องการเพียงแค่สนทนาความในใจกับเขาอย่างหมดเปลือก
    นางลุกขึ้นยืน ปัดๆ ชายกระโปรงที่เช็ดถูกพื้นจนสกปรกเปรอะเปื้อน “ใต้เท้า บ่าวเป็นสาวใช้ที่เข้างานวันอี่*ยามเหม่า*เจ้าค่ะ...” นางลอบมองเขาอีกแวบ พลางคิดในใจว่าคนผู้นี้จะใช่บุตรชายคนเล็กของท่านอ๋องหรือไม่นะ
    หากบุตรชายคนเล็กของท่านอ๋องยังมีรูปโฉมงามสง่าเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องเองก็คงหน้าตาไม่แย่นักกระมัง
    “อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้ เป็นสาวใช้ที่เพิ่งมาเข้าเวรวันอี่ยามเหม่าเองรึ” เขาเคาะด้ามพัดกับฝ่ามือ คล้ายกับครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
    ชั่วขณะที่เงียบกริบนี้ เอินเหม่ยเองก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ เช่นกัน ไม่รู้เพราะเหตใด บุรุษผู้นี้แม้จะมีรอยยิ้มอบอุ่นเป็นกันเอง มีกิริยาท่าทางสุขุมใจเย็น แต่กลับมอบความกดดันที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งให้แก่ผู้คนโดยมิได้เจตนา ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
    นี่เกิดจากบุคลิกลักษณะที่มีมาแต่กำเนิดหรือไม่นะ 
    ผ่านไปครู่หนึ่ง บุรุษหนุ่มก็คลี่พัดจีบในมือออก ภาพดอกโบตั๋นสีขาวซึ่งมีสีสันงดงามเรียบหรู แต่ลายเส้นกลับซับซ้อนวิจิตรงดงามพลันสะท้อนเข้าสู่สายตาของเอินเหม่ย
    บุรุษผู้นี้กระทั่งท่วงท่ายามคลี่พัดยังงามอ่อนช้อยพาให้คนไม่อาจละสายตาจากไปได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้คนมองเห็นภาพวาดบนใบพัดได้ชัดเจนในชั่วแวบ “มา” น้ำเสียงเขาคล้ายกำลังปลอบโยนเด็กน้อยอยู่ไม่มีผิด
    “เจ้าลองบอกมาซิว่ามองออกไหมว่านี่คือดอกอะไร”
    “เอ๋?” ไฉนจู่ๆ ก็ถามคำถามนี้ล่ะ กระนั้นเอินเหม่ยยังคงตอบไปว่า “เจ้าค่ะ เป็นดอกโบตั๋นเจ้าค่ะ ใต้เท้า”
    “อ้อ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็มองเห็นน่ะสิ” เป็นวาจาข้องใจที่เอ่ยด้วยเสียงสูงอีกแล้ว
    แต่วาจาข้องใจนี้...ฟังดูทะแม่งๆ ยังไงอยู่นะ
    เอินเหม่ยลอบมองเขาด้วยสายตางุนงงไม่เข้าใจ บุรุษผู้นั้นจับสายตานางได้ ก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนบางๆ ที่พอจะทำให้หญิงสาวทุกผู้เป็นลมล้มพับไปออกมาอีก
    เขาหุบพัดลง ก่อนจะชี้ปลายพัดไปตรงที่ไกลออกไปพลางกล่าวเสียงละมุนว่า “ข้านึกว่าเจ้าอาจเป็นคนตาบอด มองไม่เห็นของพวกนั้น ถึงได้ไม่กวาดทิ้งไปเสียอีก”
    เอ่อ...หาๆๆ?!
    เอินเหม่ยอึ้งไปชั่วขณะ
    คะ...คำพูดเหล่านี้...เป็นคำพูดที่ออกจากปากบุรุษผู้มีรอยยิ้มสูงสง่าชวนมองคนนี้หรือนี่
    ยามนี้เอง ข้างหลังก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนแว่วมา จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงเคารพยำเกรงของพ่อบ้าน
    “ทะ...ทะ...ท่านอ๋องขอรับ...ข้าน้อยสมควรตาย...ข้าน้อยสมควรตาย!”
    “หา?” ท่านอ๋องรึ
    พ่อบ้านวิ่งเข้ามา รีบร้อนจับตัวเอินเหม่ยกดลงกับพื้น ต้องการจะให้นางโขกศีรษะให้บุรุษผู้นี้
    เขาดุว่า “นางเด็กเลอะเลือน รีบเอ่ยขออภัยท่านอ๋องเร็วเข้าสิ!” ดันปล่อยให้ทางเดินที่ท่านอ๋องยืนอยู่ในขณะนี้สกปรกเลอะเทอะเพียงนี้ ทำให้รองเท้าของท่านอ๋องพลอยเปรอะเปื้อนไปด้วย!
    “เอ่อ พะ...พะ...พ่อบ้าน...ถะ...ถ้าเช่นนั้นขะ...ขะ...เขาก็คือ...” เขาก็คืออ๋องซู่เหนิงที่นางวาดภาพไว้ว่าคงมีพุงพลุ้ย ใบหูใหญ่ยาว รวมถึงหนวดอุจาดตาคนนั้นหรือนี่?!
    พ่อบ้านทำหน้านิ่วพร้อมกับหลิ่วตาให้นาง ต้องการให้นางเอ่ยขออภัยเป็นพอ ส่วนที่เหลือ ปิดปากให้สนิท
    เอินเหม่ยเข้าใจความหมาย “ข...ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง ขออภัยอย่างยิ่ง...” แต่แล้วจู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามิได้รับความเป็นธรรมขึ้นมา ทางเดินออกจะกว้างใหญ่เพียงนี้ ซ้ำร้ายยังมีลมพัดมาไม่หยุด นางคนเดียวจะกวาดหมดได้อย่างไรไหว!
    “ช่างเถิดๆ พ่อบ้าน เด็กสาวคนนี้เพิ่งมาใหม่ ก็อย่าเข้มงวดกับผู้อื่นนักเลย หืม?” อ๋องซู่เหนิงผู้หนุ่มแน่นคนนี้ทำคล้ายกำลังปลอบใจนางอยู่ไม่มีผิด
    เอินเหม่ยร้องยินดีอยู่ในใจ
    นางก็คิดอยู่แล้ว บุรุษผู้นี้ดูท่าทางสุภาพอ่อนโยน พ่อบ้านทำไมต้องกลัวถึงขนาดนี้ด้วย
    ทว่าพ่อบ้านยังคงคุกเข่าหมอบอยู่ ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นอ้ย นางเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
    บุรุษผู้นั้นกล่าวขึ้นอีกว่า “แต่ว่า...ถ้าหากคราวหน้าเป็นอย่างนี้อีกล่ะก็ ตำแหน่งคนงานในคอกม้าก็รอเจ้าอยู่นะ!”
    เอินเหม่ยชะงักค้าง
    “สาวใช้ เจ้าชื่ออะไรรึ” บุรุษหนุ่มเอ่ยถาม
    “เอ่อ บ่าวชื่อเซียงเอินเหม่ยเจ้าค่ะ” เอินเหม่ยตอบท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
    “อ้อ เอินเหม่ย เป็นชื่อที่ดีนี่” บุรุษหนุ่มบอกยิ้มๆ “แต่คราวหน้าคราวหลัง หากมือของเจ้าทำงานสู้ตาของเจ้าไม่ได้อีกล่ะก็ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าใหม่”
    เอินเหม่ยพูดอะไรไม่ออก
    “ชื่อว่า ‘เซียงตาบอด’ เจ้าคิดว่าอย่างไร” กล่าวจบ บุรุษหนุ่มก็คลี่พัดออกโบกไหว พลางเดินจากไปด้วยท่วงท่าเป็นธรรมชาติ  
    “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่า วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกวาดถูทางเดินเส้นนี้ให้สะอาดน่ะ!” พ่อบ้านดุด่าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ท่านอ๋องเป็นโรครักความสะอาด!”
    เอินเหม่ยไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่
    เมื่อนางเอ่ยปาก กลับถามเพียงประโยคเดียวว่า “คะ...คนผู้นั้นก็คือท่านอ๋องซู่เหนิงงั้นหรือ”
    “ถูกต้อง”
    เอินเหม่ยหัวเราะแห้งๆ สองสามเสียง คล้ายจะได้ยินเสียงแตกดังเพล้งอยู่ในใจ
     
    บทที่หนึ่ง
    แพทย์หลวงแจ้งว่าพระวรกายของฝ่าบาททรุดโทรมมากแล้ว มีความเป็นไปได้ทุกเมื่อว่าจะ...
    เจี่ยอิงมือหนึ่งโบกพัดจีบ อีกมือถือกล้องยาสูบที่กำลังเผายาเส้น ใบหน้าเขาปราศจากอารมณ์ใดๆ สายตากลับทอดมองไปยังเทือกเขาที่หันหน้าเข้าหาวังหลวงอยู่ไกลลิบอย่างว่างเปล่า คล้ายกับกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
    ระยะนี้ เวลาที่เขาเยี่ยมไข้พระเชษฐาเสร็จ ก็มักจะมานั่งอยู่ในตำหนักข้างตำหนักบรรทมของฝ่าบาทด้วยสีหน้าอาการเช่นนี้ทุกครั้ง
    เหล่านางกำนัลล้วนไม่กล้าเข้าไปรบกวนอ๋องซู่เหนิงผู้มีฐานะสูงศักดิ์ท่านนี้ เขาไม่เพียงเป็นพระอนุชาผู้ใกล้ชิดที่สุดของฝ่าบาทเท่านั้น ยังควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารซึ่งกุมอำนาจทางทหารอันหมายถึงกำลังคนและม้าทั่วแคว้นไว้อีกด้วย...แม้ว่าดูท่าทางเขาจะยังหนุ่มแน่นถึงเพียงนี้ อายุเพิ่งจะต้นสามสิบเท่านั้น
    เขาเคาะกล้องยาสูบ ยกขึ้นสูบอีกสองสามอึก ก่อนจะขยับตัวเปลี่ยนท่า ยังคงทอดตามองไปไกลอย่างเงียบเชียบ
    นางกำนัลซึ่งยืนนิ่งอยู่ด้านข้างต่างลอบมองเขาอย่างอดใจไม่อยู่ เพราะท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เป็นบุรุษที่สง่างามผึ่งผายที่สุดเท่าที่พวกนางเคยเห็นมา ทว่ากระไอสูงส่งและบุคลิกท่วงท่ากดข่มผู้คนบนร่างของเขา กลับทำให้พวกนางกล้ามองอยู่ห่างๆ เพียงอย่างเดียว ไม่กล้าเข้าไปใกล้
    ไม่มีใครโง่งมถึงขนาดทะเล่อทะล่าเข้าไปใกล้บุรุษผู้แลดูประดุจภูเขาน้ำแข็งคนนี้หรอก...แม้ว่าเขามักจะมีรอยยิ้มเป็นมิตรอยู่บนใบหน้าเสมอก็ตาม
    นอกตำหนักข้างมีคนมา จากนั้นขันทีคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามารายงานเจี่ยอิงในตำหนักว่า “ท่านอ๋อง...”
    “หืม?” เจี่ยอิงมองขันทีคนนั้นด้วยสีหน้าเฉื่อยชาแวบหนึ่ง ก่อนจะผลักถ้วยชาบนโต๊ะไปหาเขา “นึกขึ้นได้แล้วล่ะสิว่าต้องมาเปลี่ยนน้ำชาให้ข้าน่ะ”
    “เอ่อ หามิได้ขอรับ ท่านอ๋อง พระสนมอยู่ด้านนอก รอจะพบท่านขอรับ...” ขันทีกล่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ
    “เปลี่ยนชาให้ข้าก่อนสิ! ไม่เปลี่ยนชาถ้วยใหม่ อารมณ์ข้าไม่อาจดีขึ้นมาได้ เมื่ออารมณ์ไม่ดี ก็ไม่พบใครหรอก” เจี่ยอิงออกคำสั่งด้วยท่าทางหยิ่งยโสโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมองขันทีสักแวบ เขาสะบัดพัดจีบ รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง “ไปสิ”
    “ขอรับ” ทุกผู้ในวังต่างรู้ดีว่าท่านอ๋องผู้นี้ยังปรนนิบัติยากยิ่งกว่าฝ่าบาทเสียอีก ด้วยเหตุนี้จึงมักทำตามคำสั่งอย่างระมัดระวังโดยไม่ปริปาก
    เมื่อเปลี่ยนน้ำชาถ้วยใหม่แล้ว แขกสูงศักดิ์ข้างนอกก็ถูกเชิญเข้ามา เจี่ยอิงเหลือบตาขึ้นเก็ได้เห็นพระสนมเซินผู้มีดวงพักตร์งามพริ้งประดุจกระเบื้องเนื้อเนียนวาดลวดลาย เรือนร่างอรชรชดช้อยแฝงรัศมีสูงส่งพาให้คนไม่อาจเพ่งมองตรงๆ เช่นเดียวกับเขา
    ดวงตาหยาดเยิ้มยั่วยวนและริมฝีปากมั่นอกมั่นใจนั้นของนาง เป็นเพราะแต่งแต้มสีสันอย่างพิถีพิถัน จึงยิ่งขับความงามเหนือสามัญของนางให้โดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน และก็เพราะเหตุนี้ พระเชษฐาของเขาถึงได้โปรดปรานนางยิ่งนัก ถึงขนาดให้กำเนิดโอรสกับนางองค์หนึ่ง ทำให้นางเลื่อนขั้นจากสนมเล็กๆ กลายมาเป็นพระมารดาองค์รัชทายาทที่สูงศักดิ์ที่สุดในขณะนี้
    ทว่าเขาชิงชังดวงตา...ริมฝีปาก... แม้กระทั่งเสน่ห์พรรค์นั้นนัก ก็แค่ความงามระดับพื้นๆ เท่านั้น
    กระนั้นเจี่ยอิงก็ยังปลดหน้ากากเย็นชาบนใบหน้าลงทันควัน ปั้นยิ้มบางๆ ที่ชวนให้คนรู้สึกว่าซื่อตรงจริงใจ พร้อมกับลุกขึ้นคำนับพระสนมเซิน “น้องถวายคำนับพระสนม”
    พระสนมเซินหัวเราะเสียงหนึ่ง โบกมือพลางนั่งลงตรงข้ามเจี่ยอิงเองโดยไม่รอให้เขาอนุญาต
    เจี่ยอิงขมวดคิ้ว เวลาเขากินข้าวหรือดื่มน้ำชา ไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าใกล้โต๊ะเขามาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งรังเกียจการที่ผู้มีรูปโฉมพื้นๆ คนหนึ่งมานั่งตรงข้ามเขานัก นั่นจะทำให้เขาหมดความอยากอาหารเอาได้
    ทว่าเวลานี้ศักดิ์ฐานะของพระสนมเซินไม่เหมือนเช่นในอดีต เขาเองก็ไม่สะดวกจะแสดงความไม่พอใจ
    “หายากที่ท่านอ๋องจะเข้าวัง แล้วไยไม่อยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทให้นานหน่อยเล่า ชอบมานั่งจับเจ่าตรงนี้อยู่เรื่อย น่าอุดอู้ออก” พระสนมเซินกล่าว
    เจี่ยอิงมักรู้สึกว่ายามนางเอ่ยวาจาชอบเสแสร้งแกล้งทำเป็นฉอเลาะอ่อนหวาน กลับทำให้คนรังเกียจเดียดฉันท์มากขึ้น
    “ฝ่าบาทบรรทมไปแล้ว ไม่เหมาะที่ข้าจะรบกวน” เจี่ยอิงเอ่ยราบเรียบ
    พระสนมเซินหัวเราะหึ “หรือเป็นเพราะการที่ฝ่าบาททรงลังเลตัดสินพระทัยมิได้เรื่องผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจกันแน่”
    เจี่ยอิงปรายตามองนาง
    “ขุนนางอาวุโสสองฝ่ายในราชสำนักชอบถกเถียงหัวข้อนี้กันอยู่เรื่อย ทำเอาข้าไม่ชอบไปนั่งฟังอยู่ข้างท้องพระโรงเลยจริงๆ” พระสนมเซินมองเล็บมือที่ตัดแต่งอย่างสวยงามไร้ที่ติ พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “แต่ถึงอย่างไร คนมีฐานะเป็นพระมารดาของรัชทายาทก็ควรรู้เรื่องงานราชกิจไว้บ้าง ท่านว่าจริงไหม ท่านอ๋อง”
    “พระสนมตรัสถูกแล้ว” เจี่ยอิงพยักหน้าท่าทางเกรงอกเกรงใจ
    “เช่นนั้นท่านอ๋องคิดเห็นอย่างไรกับข้อถกเถียงของขุนนางสองฝ่ายในราชสำนักกันล่ะ” พระสนมเซินถามขึ้นอีก คล้ายจงใจยั่วเย้าคน
    เจี่ยอิงย่อมรู้เจตนาของนางเป็นธรรมดา
    ชีวิตของฝ่าบาทแขวนอยู่บนเส้นด้าย ขุนนางสองฝักสองฝ่ายต่างทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องผู้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างดุเดือด ขุนนางใหญ่บางคนสนับสนุนให้ยึดหลักจารีตเก่าแก่ซึ่งโอรสองค์โตควรเป็นผู้สืบทอด ให้องค์รัชทายาทซึ่งมีพระชนมายุเพียงห้าชันษาขึ้นครองราชย์ แต่หากทำเช่นนี้ พระสนมเซินผู้มีฐานะเป็นคนนอกและเครือญาติของนางก็จะฉวยโอกาสกุมอำนาจก่อความวุ่นวายได้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดขุนนางขึ้นอีกฝ่ายซึ่งสนับสนุนให้ค้ำชูอ๋องซู่เหนิงเจี่ยอิงขึ้นครองบัลลังก์
    พระสนมเซินและเจี่ยอิงทำคล้ายวางตัวอยู่เหนือสถานการณ์ ไม่ยินดีจะเข้าร่วมการโต้แย้ง ทว่าคนเราคิดอะไรอยู่ในใจ คนนอกไหนเลยจะล่วงรู้
    “น้องไหนเลยจะกล้ามีความคิดเห็น” เจี่ยอิงกล่าวสีหน้ายิ้มแย้ม “ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพระดำรัสของฝ่าบาท”
    พระสนมเซินยิ้ม ยกพัดทรงกลมขึ้นบดบังริมฝีปาก “ท่านอ๋อง ความจริงข้ามีความคิดหนึ่ง ท่านอยากฟังหรือไม่”
    เจี่ยอิงเลิกคิ้ว ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
    พระสนมเซินโบกมือให้นางกำนัลและขันทีรอบด้านถอยออกไป พร้อมกับสั่งให้คนปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด
    เจี่ยอิงมองการกระทำของนางอย่างเย็นชา
    ครั้นรอบด้านเงียบกริบลงแล้ว พระสนมเซินก็เผยสีหน้าแววตาอ้างว้าง “ท่านอ๋อง ท่านดูสิ ลำพังแค่ตำหนักข้างเล็กๆ หลังนี้ พอไล่คนออกไปหมด ก็วังเวงเปล่าเปลี่ยวถึงเพียงนี้...ผู้หญิงคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานปี ท่านว่าชวนให้คนสุดจะทนเพียงใด”
    “งั้นหรือ” เจี่ยอิงจิบชาคำหนึ่ง กล่าวท่าทางสบายอารมณ์ว่า “น้องกลับรู้สึกว่าพระสนมทรงเป็นเช่นปลาได้น้ำมากกว่า”
    พระสนมเซินขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับคำกระทบกระเทียบแดกดันนี้ แต่แล้วก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน นางลุกขึ้นเยื้องย่างไปด้านหลังเจี่ยอิง มือเรียวบางลูบไล้ไหล่กว้างของเขาแผ่วเบา แฝงนัยปลุกเร้าเต็มเปี่ยม
    ทว่าเจี่ยอิงยังคงหลุบสายตาลงต่ำ มิได้มีปฏิกิริยาใดๆ
    “ข้าว่านะ...เจี่ยอิง...” จู่ๆ ถ้อยคำจากปากพระสนมเซินก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสนิทชิดเชื้อ นุ่มละมุนและยั่วยวน นางกล่าวว่า “เป็นไปมิได้ที่ท่านจะไม่ล่วงรู้ความคิดของพวกขุนนางใหญ่ที่อยู่ข้างนอกนั่น ข้าเองก็เข้าใจแจ่มแจ้งดีเช่นกัน พวกเขาก็แค่ไม่ชินตาที่เห็นสตรีเป็นใหญ่ ถึงได้คิดจะฝ่าฝืนจารีตเก่าแก่ ปลดจิ่งเอ๋อร์ลงจากบัลลังก์ แม่ลูกหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างพวกเราคู่นี้จำต้องยอมให้คนเขาข่มเหงรังแก...”
    เจี่ยอิงขัดจังหวะนาง “พี่สะใภ้ พระเชษฐายังไม่สิ้นพระชนม์เลยนะ”
    พระสนมเซินอึ้งไป กระนั้นก็ไม่สนใจเจี่ยอิง เพียงกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่า...ข้ามีวิธีที่จะช่วยให้สองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เจี่ยอิง ท่านอยากฟังดูหรือไม่” 
    “พี่สะใภ้เชิญกล่าวมาได้” คำขานเรียก ‘พี่สะใภ้’ ของเจี่ยอิงนี้ช่างชวนให้คนเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันนัก
    แต่เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ พระสนมเซินทำได้เพียงอดทนอดกลั้น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิสู้พวกเราร่วมมือกัน”
    “อ้อ?” เจี่ยอิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
    “ข้ารับปากให้ท่านนั่งบัลลังก์ รอจิ่งเอ๋อร์โตจนรู้ความ ปกครองบ้านเมืองได้เมื่อไร ท่านค่อยสละราชย์ นอกจากจะทำเพื่อบ้านเมืองและเพื่อความปลอดภัยของหลานชายแล้ว ยังสามารถฝากชื่อเสียงดีๆ ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกด้วย ท่านว่าเป็นอย่างไร”
    เจี่ยอิงลุกขึ้นยืน คลี่พัดจีบออกโบกไหวแผ่วเบา พลางเดินไปข้างหน้าต่าง ครุ่นคิดชั่วครู่
    นานช้าเขาค่อยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นขอบังอาจเรียนถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างน้องและพี่สะใภ้จะเปลี่ยนเป็นเช่นไร”
    “ฮ่าๆ เจี่ยอิง ท่านว่าอย่างไรล่ะ” น้ำเสียงของพระสนมเฟยเปี่ยมไปด้วยนัยปลุกเร้า
    ไม่ต้องถามก็รู้ว่าผู้หญิงตื้นเขินอย่างเจ้าคนนี้คิดอะไรอยู่ เจี่ยอิงคิดในใจ น่าเสียดายที่ใจทะเยอทะยานของข้ามิได้หยุดอยู่แค่นั้น
    เจี่ยอิงเก็บพัดจีบขึ้น หันกลับมาคำนับพระสนมเซิน “พระสนม น้องยังมีงานราชการยังมิได้จัดการ ต้องขอลาก่อน”
    พระสนมเซินเบิกตาโต “วะ...ว่าไงนะ” นางให้ท่าเสียชัดแจ้งปานนั้นแล้ว ไฉนบุรุษผู้นี้ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้
    ชั่วพริบตา เจี่ยอิงก็เดินไปถึงข้างประตูแล้ว นางรีบก้าวเข้าไปดึงเขาไว้ “เจี่ยอิง คำตอบของท่านล่ะ?”
    เจี่ยอิงหลุบสายตาลงต่ำ จ้องมือของพระสนมเซินคล้ายเป็นของสกปรกโสมมอะไรก็ไม่ปาน “โปรดสำรวมด้วย พี่สะใภ้ วาจาที่ท่านพูดในวันนี้ น้องจะทำเป็นว่าได้ยินข่าวโคมลอยไม่น่าเชื่อถือและจะลืมมันไปอย่างรวดเร็ว แต่ตัวท่านโปรดจำไว้ด้วยว่า พระสวามีของท่านเป็นพระเชษฐาที่กำลังนอนซมอยู่บนเตียงคนนั้นของข้า”
    “ท่าน...” พระสนมเซินทั้งโกรธทั้งอับอาย “หมายความว่าท่านไม่รับปากงั้นสิ?!”
    “ข้าบอกแล้วว่านี่เป็นเพียงข่าวโคมลอย หาใช่คำถาม” เจี่ยอิงสลัดมือพระสนมเซินออก ลูบชายเสื้อที่ถูกนางทำยับให้เรียบ
    “ขอลา” เจี่ยอิงจากไปด้วยท่วงท่าเป็นธรรมชาติ
    พระสนมเซินมองเงาร่างผึ่งผายของเขาค่อยๆ จากตนไปด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
    นางพึมพำกับตนเองว่า “ท่านบังคับข้าเองนะ อ๋องซู่เหนิง”
     
    ระหว่างทางกลับจวน เจี่ยอิงมิได้สิ้นเปลืองความนึกคิดจิตใจไปกับวาจาที่พระสนมเฟยกล่าวมากมายเท่าใดนัก
    ก็เหมือนกับที่เขาว่า เขาเห็นวาจาของนางเป็นเพียงข่าวโคมลอยเท่านั้น แค่ฟังหูไว้หู หัวเราะเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว
    กระนั้นสภาพจิตใจของเขาก็ไม่อาจแจ่มใสขึ้นมาได้ เพียงแค่คิดไปถึงว่าพระเชษฐาใกล้จะจากโลกนี้ไป...


    * วันอี่ คือ การนับวันแบบดั้งเดิมของจีนโดยใช้แผนภูมิสวรรค์ หนึ่งรอบปฏิทิน (60 วัน) มีวันอี่ทั้งสิ้น 6 วัน
    * ยามเหม่า คือช่วงเวลา 5.00 น. ถึง 7.00 น.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×