คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่สอง
นับแต่ลงจากเขาเทวะ เดินทางจากเหนือสู่ใต้ อุณหภูมินับวันยิ่งอบอุ่น
ลมเย็นพัดชโลมลูบทะเลสาบ ผิวน้ำสีเขียวมรกตเกิดเป็นระลอกคลื่นบางเบากระเพื่อมไหวงดงาม เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งกวี สองฟากข้างทะเลสาบเป็นกำแพงสีขาวมุงกระเบื้องสีดำแซมด้วยกิ่งหลิวที่ลู่ย้อยและต้นไป่หยางสีเขียวอ่อน
แต่พอเข้ามาในเมือง ทัศนียภาพของน้ำและภูเขาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นตลาดคึกคักมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ สองฟากถนนใหญ่ที่ปูลาดด้วยแผ่นหินสีดำทอดยาวเป็นเส้นตรงคือร้านรวงมากมายหลายหลาก เสียงร้องตะโกนขายของของพ่อค้าเร่และเสียงเชื้อเชิญแขกของเสี่ยวเอ้อร์ดังต่อเนื่องกันเป็นระยะ ทว่าทั้งหมดนี้ยังคึกคักสู้อีกด้านหนึ่งไม่ได้
บริเวณหัวโค้งตรอกทางตะวันตกของเมืองดูเหมือนจะมีความวุ่นวายเล็กๆ เกิดขึ้น สถานที่แห่งนี้มีชาวบ้านที่ทราบข่าวมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อชมความสนุกสนาน ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงป้ายประกาศที่เพิ่งนำมาติดบนกำแพงอย่างออกรสออกชาติ
“โอ้โห ทองคำหมื่นตำลึงเชียวนะ ใช้ไปสิบชาติก็ไม่หมด”
“นั่นสิ คราวนี้เมืองเยวี่ยหูของพวกเราคงจะคึกคักไปอีกพักใหญ่ทีเดียว”
“เพื่อควานหาตัวหมอมือดี คหบดีหวังตั้งเงินรางวัลไว้เสียสูงลิ่ว ต้องทุ่มเทไม่น้อยเลย”
“เงินรางวัลสูงเช่นนี้ย่อมต้องมีคนมาอาสา แต่จะได้หมอมือดีหรือไม่...” คนพูดส่ายหน้า “คงจะยาก!”
ในบรรดาคนเหล่านี้มีทั้งปัญญาชนที่ยืนโบกพัดในมือไปมา เถ้าแก่โรงน้ำชาและเสี่ยวเอ้อร์ แม้แต่พ่อค้าเร่ขายถังหูลู่* ก็มาร่วมวงผสมโรงกับเขาและถือโอกาสนี้ขายของไปด้วย คนทุกอาชีพทุกสาขาต่างวางมือจากงานของตนชั่วคราว เร่งรุดมารับทราบข่าวใหม่ที่เพิ่งปิดประกาศสดๆ ร้อนๆ
อย่าเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาขี้เกียจแอบหนีงาน ความจริงแล้วพวกเขาล้วนมาเพื่อการค้าของตนทั้งสิ้น
“ดูท่าพรุ่งนี้ร้านเราคงต้องห่อเกี๊ยวให้มากกว่าทุกวัน เดี๋ยวจะไม่พอต่อความต้องการของลูกค้า”
“โรงน้ำชาของข้าก็ต้องเตรียมใบชาให้มากขึ้น จะได้ถือโอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักของผู้คน”
“ร้านซาลาเปาของเราต้องเตรียมเนื้อหมูเพิ่มอีกสักหลายชั่ง ไม่เช่นนั้นจะไม่พอขาย ฮ่าๆ อยากให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความว่าอยากให้อาการป่วยของบุตรีสกุลหวังเป็นเช่นนี้ต่อไปหรอกนะ ข้าเพียงหวังให้การค้าดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”
“ใช่แล้ว พวกเราย่อมปรารถนาให้บุตรีของคหบดีหวังแข็งแรงขึ้นในเร็ววัน”
หวังฟู่จวินเป็นเศรษฐีใหญ่แห่งเมืองเยวี่ยหูและเป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ทว่าหวังหวั่นชิง บุตรสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขากลับล้มป่วยลงด้วยโรคประหลาดตั้งแต่อายุสิบสอง เรื่องนี้ทุกคนในเมืองเยวี่ยหูต่างรู้กันทั่ว
เพื่อรักษาโรคประหลาดของบุตรสาว หวังฟู่จวินได้เชิญหมอที่มีชื่อเสียงมารักษาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาให้หายได้ สุดท้ายหวังฟู่จวินจึงตัดสินใจติดป้ายประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าหากผู้ใดสามารถรักษาบุตรีของตนให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมได้ เขาจะตกรางวัลให้อย่างงาม
พอข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ก็ดึงดูดหมอกลุ่มใหญ่ที่มั่นใจในฝีมือการรักษาของตนเข้าเมืองมาเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้เมืองเยวี่ยหูโด่งดังเป็นที่รู้จักของผู้คน
ผ่านไปสามปี ยังไม่มีใครรักษาบุตรีของคหบดีหวังให้หายจากอาการป่วยได้ แต่เรื่องนี้กลับส่งผลให้เมืองเยวี่ยหูเจริญรุ่งเรืองขึ้น คนเข้าเมืองมีแต่เพิ่มไม่มีลด พ่อค้าเร่ร้านรวงต่างๆ การค้าดีวันดีคืน และแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เรื่องของบุตรีสกุลหวังได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ประจำเมืองเยวี่ยหูไปเสียแล้ว
ทุกครั้งที่บ้านสกุลหวังปิดป้ายประกาศแผ่นใหม่ การค้าของทุกคนก็รุ่งเรืองเฟื่องฟู ด้วยจะมีผู้คนต่างถิ่นจำนวนมากถูกป้ายประกาศดังกล่าวดึงดูดใจและพากันเข้าเมืองมา ผู้คนคึกคัก การค้าก็ย่อมดีตามไปด้วย
“เฮอะ ครั้งนี้ไม่เพียงเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้น ยังมีโสมพันปีมอบให้อีกต่างหาก”
“โสมหรือจะดึงดูดใจคนเท่าทองคำหมื่นตำลึง”
“โง่จริง เอาไปขายราคาสูงๆ ก็ได้”
“ขอถามสักหน่อยเถอะ เป็นผู้ใดกันที่จะมอบโสมพันปี”
เสียงโต้แย้งกันไปมาพลันเงียบกริบลงทันทีที่มีเสียงกังวานหวานใสดังแทรกขึ้นมา บุรุษกลุ่มใหญ่พากันปิดปากโดยพร้อมเพรียง ต่างพุ่งสายตาไปยังเด็กสาวเจ้าของเสียงซึ่งไม่รู้ว่ามายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตั้งแต่เมื่อไร
แม่นางน้อยผู้นี้สวมชุดกระโปรงแพรบางเบาสีม่วงอ่อน ผมยาวเลยบ่ารวบไว้ตรงท้ายทอยแล้วผูกด้วยเส้นไหมสีม่วง ทั้งเนื้อทั้งตัวมองดูแล้วสรุปได้คำเดียวว่า...เรียบง่าย ทว่าก็ดูสูงส่งงดงามราวกับดอกสุ่ยเซียนอันบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่แปดเปื้อนโลกียวิสัย
พอเห็นเด็กสาวรูปร่างหน้าตางดงาม บุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ ทุกคนต่างหูตาเจิดจรัสเปล่งประกายขึ้นมาทันที รีบชิงกันแสดงไมตรีจิต ตอบคำถามของแม่นางด้วยความกระตือรือร้น
ปัญญาชนผู้โบกพัดในมือกล่าวว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้แม่นาง บุตรสาวสุดที่รักของคหบดีหวังล้มป่วยด้วยโรคประหลาดรักษาไม่หาย ดังนั้นคหบดีหวังจึงปิดป้ายประกาศ ด้วยหวังว่าจะมีหมอสักคนสามารถช่วยรักษาบุตรสาวของเขาให้หายได้”
เถ้าแก่โรงน้ำชาพูดต่อไปว่า “สามปีมานี้ หมอที่มั่นใจในความเก่งกาจของตัวเองและปรารถนาจะได้เงินรางวัลของคหบดีหวังพากันมาไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาได้เลยสักคน ครั้งนี้คหบดีหวังจึงเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้นไปอีก”
“เรื่องนี้ดังไปถึงเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง คนต่างถิ่นจำนวนมากเฮโลกันมาที่เมืองของเรา ไม่เฉพาะแต่หมอเท่านั้น บ้านใครมีตำรายาผีบอกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จอมยุทธ์ทั้งที่มีชื่อและไร้ชื่อในยุทธภพ หรือแม้แต่นักพรตต่างก็พากันมาลองเสี่ยงโชคด้วยกันทั้งนั้น ทำให้เมืองเยวี่ยหูของเราคึกคักขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก”
เหล่าบุรุษตอบคำถามสาวงามผู้อยู่ตรงหน้าไปก็ลอบมองประเมินนางไปด้วย ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้เป็นบุตรสาวบ้านไหน รูปร่างหน้าตาหมดจดงดงามถึงเพียงนี้
“บ้านของคหบดีหวังอยู่ที่ใดหรือ”
“จากตรงนี้เดินตรงไปทางทิศตะวันออกของเมือง พอผ่านไปได้สามตรอกก็เลี้ยวขวา เดินไปอีกราวสามร้อยก้าวก็ถึงแล้ว”
“ขอบคุณ” ซือเย่าเอ๋อร์กล่าวขอบคุณเบาๆ เงาร่างอ่อนช้อยงดงามค่อยๆ เดินลับหายไปตามถนนใหญ่ที่ปูลาดด้วยแผ่นหินสีดำท่ามกลางสายตาของทุกคนที่แลตามหลังไป
เนิ่นนานให้หลังถึงได้มีคนเอ่ยขึ้น
“เอ นางจะไปบ้านคหบดีหวังทำไม”
ทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า แล้วก็พากันเบิกตาโต
“นาง...คงไม่ใช่หมอกระมัง”
ไม่ นางไม่ใช่หมอ นางซือเย่าเอ๋อร์เป็นเพียงสตรีผู้ลุ่มหลงในการศึกษายาและสมุนไพรเท่านั้น
รางวัลทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงนางหาได้สนใจไม่ ช่วยชีวิตคนหรือ นางยิ่งไม่ใส่ใจ
ไม่ใช่ว่านางไม่ช่วย แต่เป็นตายอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต สวรรค์เบื้องบนกำหนดเอาไว้แล้ว แล้วนางเองก็ไม่ใช่หมอ
แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงโสมพันปีย่อมแตกต่างไป เพื่อให้ได้มาซึ่งโสมพันปี นางจะลองเป็นหมอดูสักครั้ง
ครั้งนี้ซือเย่าเอ๋อร์มีภารกิจในการลงจากเขา เรื่องสำคัญที่สุดคือนางได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้ตามหาศิษย์พี่ซูหรงเอ๋อร์และศิษย์น้องสุ่ยหลิงเอ๋อร์ โดยมีโม่สือ คนรับใช้ผู้มีวรยุทธ์สูงส่งร่วมเดินทางมาด้วย
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา นางตั้งใจไปตามเส้นทางที่ต้องผ่านหุบเหวและภูเขาสูงซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งนี้ก็เพื่อที่ว่าประการแรก ระยะทางสั้นกว่าทำให้เดินทางได้เร็ว ไม่ต้องอ้อมเขาหรือผ่านตัวเมืองให้เสียเวลา ประการที่สอง นางจะได้ถือโอกาสนี้เก็บสมุนไพร แม้นางจะไม่มีวรยุทธ์ แต่นางก็มีโม่สือมาด้วย เขาสามารถใช้วิชาตัวเบาพานางลุยน้ำข้ามภูเขาได้
นับแต่หาตัวซูหรงเอ๋อร์และสุ่ยหลิงเอ๋อร์พบ นางก็ถือว่าตนได้ทำงานที่อาจารย์มอบหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว นางให้โม่สือคุ้มครองศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองกลับไปเขาเทวะ ทั้งยังนำสมุนไพรที่หามาได้ด้วยความยากลำบากจากภูเขาและลำน้ำต่างๆ กลับไปเพื่อนำไปปลูกในสวนสมุนไพรของนาง
ต่อจากนี้นางก็สามารถไปจัดการเรื่องสำคัญของตนได้แล้ว
เพื่อตามหา ‘ดอกเทวะเมามาย’ ซึ่งเป็นดอกไม้ประหลาดหายาก ยี่สิบปีจึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง ซือเย่าเอ๋อร์ผู้ซึ่งแต่ไรมาไม่ชอบออกนอกบ้านถึงกับยอมทำลายกฎเกณฑ์ความเคยชินเดินทางมาในครั้งนี้
เดิมทีนางตั้งใจจะหาโรงเตี๊ยมพักค้างแรม แต่เมื่อได้รู้เรื่องโสมพันปี นางจึงเปลี่ยนแผนใหม่
เมื่อเงาร่างงดงามอ่อนช้อยสะโอดสะองเดินมาครบสามร้อยก้าวแล้วหยุดลง ก็พบว่ามีคฤหาสน์หลังงามโอ่อ่าตระการตาตั้งอยู่ตรงหน้า
คงจะเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ นางคิดในใจ
“แม่นาง เจ้าจะมาเข้าแถวหรือ”
ซือเย่าเอ๋อร์ชะงักไปหนึ่งอึดใจ แล้วหันไปมองท่านป้าคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกำลังส่งยิ้มร่ามาให้
“เข้าแถว?” นางเอ่ยด้วยความงุนงง
“ใช่แล้ว เข้าแถวเพื่อจะช่วยรักษาอาการป่วยของบุตรสาวคหบดีหวังอย่างไรล่ะ”
ซือเย่าเอ๋อร์มองไปตามทางที่ท่านป้าชี้ แล้วก็เห็นผู้คนเข้าแถวกันเป็นขบวนยาวเหยียดตั้งแต่ปากประตูยาวไปถึงท้ายตรอก
“พวกเขาไม่ใช่เข้าแถวเพื่อจะซื้อเซาปิ่ง* หรอกหรือ”
ตรงหน้าสุดของขบวนมีแผงขายเซาปิ่งตั้งอยู่ร้านหนึ่ง กลิ่นหอมของเซาปิ่งขจรขจายไปทั่ว ทั้งยังมีควันลอยกรุ่นด้วยเพิ่งเอาออกมาจากเตาร้อนๆ
ท่านป้าผู้นั้นหัวเราะฮ่าๆ บอกว่า “เซาปิ่งของตาเฒ่าชุยแม้จะหอมน่ากิน แต่ก็ยังไม่โด่งดังถึงขั้นนั้น พวกเรามารอรักษาบุตรีสกุลหวังกันต่างหาก”
ซือเย่าเอ๋อร์กวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ แล้วก็พบว่ามีพ่อค้าเร่มาตั้งแผงขายของกันอยู่ไม่น้อย มีตั้งแต่ร้านขายปลาหมึกย่าง ถังหูลู่ ของกินเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ด ของที่บินอยู่บนฟ้า ของที่คลานอยู่บนดิน มีครบทุกสิ่งทุกอย่าง
มองไปทางตะวันออกเห็นคนอุ้มแม่ไก่ขนดำกำลังคุยโวว่าแม่ไก่ที่เขาเลี้ยงไว้ตัวนี้เป็นไก่เทวดา กินแล้วช่วยรักษาโรคได้ร้อยแปด มองไปทางตะวันตกมีคนสวมเสื้อคลุมยาว ในมือถือธง บนธงมีตัวอักษรเขียนว่า ‘ปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน’
ยังมีคนที่แม้ในยามเข้าแถวก็ไม่ลืมทำการค้า แสดงศิลปะการต่อสู้ให้ชมแล้วบอกว่าหากชกต่อยหรือหกล้มได้รับบาดเจ็บ เพียงกินยาตามตำราที่ตนได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ รับรองว่ากินปุ๊บหายปั๊บ กวาดสายตามองไปถึงด้านท้าย ไม่นึกว่าแม้แต่นักพรตก็ยังมาร่วมสนุกกับเขาด้วย นักพรตผู้นั้นมือหนึ่งถือผ้ายันต์ อีกมือหนึ่งถือกระบี่ที่ทำจากเหรียญอีแปะร้อยต่อๆ กัน ปากขมุบขมิบท่องบ่นอะไรตลอดเวลา
การช่วยรักษาอาการป่วยของบุตรีคหบดีหวังได้กลายเป็นงานสำคัญที่ทุกคนไม่ว่าเด็กหรือแก่ มีงานทำหรือไม่มีงานทำ ต่างต้องมาร่วมแรงร่วมใจกันให้ความช่วยเหลือไปเสียแล้ว
“แม่นาง เจ้าจะเข้าแถวหรือไม่” ท่านป้าถาม น้ำเสียงฟังดูราวกับถามว่ากินข้าวแล้วหรือยังทำนองนั้น
ซือเย่าเอ๋อร์ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่”
ขบวนแถวยาวเหยียดเช่นนี้ เกรงว่าอีกสามวันสามคืนก็ยังเวียนมาไม่ถึงนาง แต่นางหาได้กังวลใจไม่ เพราะนางมีวิธีที่จะทำให้คนของคหบดีหวังนำเกี้ยวแปดคนหามมารับนางเข้าบ้าน
บนถนนใหญ่ปูลาดด้วยแผ่นหินสีดำ มีอาชาฝีเท้าดีรูปร่างสูงใหญ่สีน้ำตาลสามตัวห้อตะบึงมาจากแดนไกล สุดท้ายก็มาหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่บ้านสกุลหวัง
บุรุษสามคนบนหลังม้า ผู้เป็นหัวหน้าท่าทางองอาจภูมิฐานโดดเด่นเหนือใคร พลังอำนาจในความเป็นผู้นำแผ่ออกมาทั่วตัวโดยไม่ต้องเจตนาแสดงออกมา บุคลิกภายนอกดูมุทะลุดุดัน แฝงกลิ่นอายของความเป็นคนห้าวหาญบ้าบิ่น ไม่มีอะไรจะมาบังคับได้
หนึ่งในนั้นเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้า เดินตรงเข้าไปคว้าห่วงทองแดงเคาะกับบานประตูสามครา ไม่นานประตูใหญ่ก็เปิดออก มีคนเฝ้าประตูเดินออกมา
“ประมุขป้อมประตูมังกรมาเยี่ยมคำนับคหบดีหวัง ช่วยไปรายงานให้ทราบด้วย”
พอได้ยินชื่อป้อมประตูมังกร คนเฝ้าประตูไม่กล้าชักช้า รีบเข้าไปรายงาน ไม่นานพ่อบ้านอายุราวสี่สิบก็เร่งรุดออกมาให้การต้อนรับ
“คุณชายหลง ผู้น้อยต้องขออภัยที่ไม่ได้รีบออกมาต้อนรับ เชิญข้างในขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยพลางบอกให้คนรับใช้รีบไปรายงานให้นายท่านทราบว่ามีแขกคนสำคัญมาถึง “เชิญทางนี้ขอรับ เชิญทางนี้”
พ่อบ้านพาแขกคนสำคัญมายังห้องโถงใหญ่ ขณะกำลังวุ่นวายอยู่กับการเชื้อเชิญแขกอย่างนอบน้อมก็ร้องสั่งคนรับใช้ไปด้วย
“รีบไปยกน้ำชาหลงจิ่ง* ชั้นหนึ่งมาเร็วเข้า”
“ไม่ต้องหรอก” หลงเซี่ยวเทียนโบกมือห้าม
“ท่านไม่ใส่ใจพิธีรีตอง แต่ผู้น้อยจะทำเป็นเมินเฉยไม่ได้หรอกขอรับ”
“ท่านอาฉาง เรารู้จักกันมานานแล้ว ยังจะเกรงใจอะไรอีก”
พ่อบ้านฉางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ใส่ใจเรื่องจุกจิกหยุมหยิม แต่ผู้น้อยต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีขอรับ”
ระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ หวังฟู่จวินประมุขบ้านสกุลหวังก็มาถึง หลงเซี่ยวเทียนรีบลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ
“ท่านลุงใหญ่”
“หลานชาย!” หวังฟู่จวินพอเห็นหน้าหลงเซี่ยวเทียนก็กางแขนออกมาตบๆ บ่าของเขา “ไม่ต้องมากมารยาท”
หวังฟู่จวินดีอกดีใจอย่างมาก เขากับบิดาผู้วายชนม์ของหลงเซี่ยวเทียนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน สองพี่น้องสกุลหลงเห็นเขาเป็นเสมือนบิดา ส่วนตัวเขาเองไม่มีบุตรชาย มีบุตรสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงเห็นบุตรชายของน้องร่วมสาบานเป็นเสมือนบุตรของตน
ทั้งสองคนนั่งลงพร้อมกัน หลังจากไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว หลงเซี่ยวเทียนก็บอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้
“ท่านลุงใหญ่ หลินจือหางเสือนี้ได้มาจากภูเขาเทียนซาน ส่งมาทางเรือแล้วต่อด้วยม้าเร็วอีกครึ่งเดือน เพิ่งส่งมาถึงมือข้าเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ ข้าตั้งใจนำมามอบให้ท่านจะได้เอาไปรักษาน้องชิงขอรับ”
หวังฟู่จวินฟังแล้วสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
“หลินจือหางเสือเป็นสมุนไพรล้ำค่าในบรรดาหลินจือด้วยกันเลยทีเดียว”
หลินจือหางเสือแตกต่างจากหลินจือทั่วไป หลินจือชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายหางเสือ มักขึ้นอยู่ตามขอบหน้าผาอันตราย หาพบได้ยาก เวลาเก็บก็เก็บยากลำบาก ต้องเสี่ยงอันตราย จึงเป็นสมุนไพรอันล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง
“ใช่แล้วขอรับ”
หวังฟู่จวินตื้นตันใจยิ่งนัก
“ครั้งก่อนเจ้าก็นำโสมพันปีมามอบให้ ครั้งนี้ก็เอาหลินจือหางเสือมาให้อีก ลำบากเจ้าแล้ว”
“โสมพันปีไม่นับเป็นอย่างไร ไม่อาจรักษาน้องชิงให้หายจากอาการป่วยได้ ต่อให้เป็นโสมหมื่นปีก็หาประโยชน์ไม่ได้ ท่านลองใช้หลินจือหางเสือดูเถอะขอรับ”
เพื่อรักษาน้องสาวบุญธรรมให้หาย หลงเซี่ยวเทียนส่งคนและม้าจำนวนมากออกตระเวนหาสมุนไพรล้ำค่า เสาะหายาวิเศษไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พอได้หลินจือหางเสือจากภูเขาเทียนซาน เขาก็รีบนำมาส่งให้ด้วยตนเอง เพื่อจะได้มั่นใจว่าหลินจือหางเสือมาถึงมือของหวังฟู่จวินโดยปลอดภัย ไม่ถูกพวกตีนแมวฉกชิงเอาไประหว่างทางเสียก่อน
“เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องหลินจือกันเลย เซี่ยวเทียน ลุงขอบอกข่าวดีกับเจ้า อาการป่วยของชิงเอ๋อร์มีทางรักษาแล้ว” หวังฟู่จวินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจซ่อนเร้นความดีใจ
“อ้อ” คิ้วรูปดาบของหลงเซี่ยวเทียนเลิกสูงขึ้น
“เมืองเยวี่ยหูของเรามีหมอหญิงที่เก่งกาจมาทำการรักษาให้ชาวบ้านโดยไม่คิดเงิน หมอท่านนี้ฝีมือยอดเยี่ยม รักษาคนป่วยที่นอนแบ็บอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานานด้วยโรคฝีในท้องให้หายเป็นปกติได้อย่างอัศจรรย์”
หลงเซี่ยวเทียนฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เช่นนั้นหรือ”
พ่อบ้านฉางที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็เล่าถึงเรื่องที่ตนได้ยินได้ฟังมา
“ยาที่หมอท่านนี้ใช้ได้ผลอย่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ทั้งยังหาซื้อที่ไหนไม่ได้ ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคอะไร เป็นโรคที่ไม่กล้าบอกใคร หรือป่วยหนักขนาดเหลือวิสัยจะเยียวยา ขอเพียงให้นางจับชีพจรและกินยาตามที่นางจัดให้ คนเป็นใบ้กินแล้วพูดได้ คนตาบอดกินแล้วกลับมามองเห็น คนเป็นง่อยกินแล้วลุกขึ้นมาร้องรำทำเพลงได้”
หลงเซี่ยวเทียนกระดกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
“แม้แต่ตาเฒ่าขายเต้าหู้เหม็นที่แทบจะหมดโอกาสมีหลานสืบสกุลอยู่แล้ว พอได้ยาจากท่านหมอเอาไปให้ลูกชายกิน ไม่นานก็ได้ข่าวว่าลูกสะใภ้ตั้งครรภ์ พอข่าวนี้แพร่ออกไป หมอหญิงท่านนี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ผู้คนในเมืองไม่ว่าบุรุษ สตรี คนชรา หรือทารกที่เจ็บไข้ได้ป่วยต่างพากันไปขอให้ช่วยรักษา เมื่อวานนายท่านสั่งให้ผู้น้อยจัดเตรียมเกี้ยวไปเชิญท่านหมอเทวดาผู้นี้มา เวลานี้กำลังทำการตรวจรักษาให้คุณหนูอยู่ขอรับ”
ในโลกนี้มีผู้มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ กลัวก็แต่ว่าจะเป็นเพียงการประโคมข่าวจนเกินจริง ทว่าหลงเซี่ยวเทียนเห็นท่านลุงใหญ่ฝากความหวังไว้มาก ก็ไม่อยากพูดอะไรให้เสียน้ำใจกัน
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
“ต้องรักษาได้แน่ จะว่าไปแล้วก็มหัศจรรย์ยิ่งนัก ชิงเอ๋อร์เพิ่งจะกินยาที่นางจัดให้เพียงวันเดียว สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากแล้ว”
มิน่าวันนี้ดูท่านลุงใหญ่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ สีหน้าไม่เศร้าหมองเป็นทุกข์เหมือนทุกครั้ง
หลงเซี่ยวเทียนผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ประเสริฐ หวังว่าหมอเทวดาท่านนี้จะสามารถรักษาน้องชิงให้หายได้”
“นานๆ เจ้าจะมาสักครั้ง ต้องอยู่สนทนากันสักหลายวันหน่อยนะ”
“ขอบคุณท่านลุงใหญ่ที่เมตตา ความจริงข้ามาเมืองเยวี่ยหูในครั้งนี้ นอกจากจะตั้งใจเอาหลินจือหางเสือมาให้ท่านแล้ว ยังมีธุระต้องจัดการอีกเรื่องหนึ่ง ไม่อาจรั้งอยู่นานได้”
คหบดีหวังพิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าของหลงเซี่ยวเทียนแล้ว ก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าดูหน้าตาเคร่งเครียด มีเรื่องอะไรหรือไม่”
“เรียนท่านลุงใหญ่ตามตรง ข้ามาเพื่อจะตามหาคน”
“ไม่ทราบว่าคนที่เจ้าตามหาคือใคร”
หลงเซี่ยวเทียนสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“นางมารร้ายแห่งวังวิญญาณหยก”
คหบดีหวังได้ยินแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที
“เจ้าหมายถึง...”
“คนของข้ารายงานมาว่านางมารนั่นอาจจะมาที่เมืองเยวี่ยหู”
เพียงเอ่ยถึงนางมารร้ายแห่งวังวิญญาณหยก บุรุษทุกคนในที่นั้นต่างพากันหน้าถอดสี เพราะผู้หญิงในวังวิญญาณหยกเห็นการทรมานผู้ชายเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะเหลิ่งอู๋ซวงประมุขวังวิญญาณหยกเป็นสตรีที่โฉดชั่วอำมหิต เล่าลือกันว่าแต่ละเดือนนางจะหาบุรุษมาเป็นสามีหนึ่งคน หลังจากเล่นสนุกด้วยจนเบื่อแล้วก็จะสังหารทิ้ง จากนั้นก็เสาะแสวงหาบุรุษคนใหม่
บุรุษคนไหนที่นางเห็นแล้วถูกตาต้องใจล้วนยากจะหนีความตายพ้น ด้วยเหตุนี้ยุทธภพจึงตั้งสมญานามให้นาง
หวังฟู่จวินตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นไหลโซมกาย
“นะ...นะ...นาง...นางมาที่เมืองเยวี่ยหูหรือ”
“เป็นเพียงการคาดคะเน ข้ากำลังตรวจสอบให้แน่ชัด”
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งจะหาย ต้องระมัดระวังให้มาก นางมารร้ายผู้นั้นโฉดชั่วยิ่งนัก”
ดวงหน้าแข็งกร้าวมีรังสีอำมหิตอันน่าครั่นคร้ามแผ่กระจายออกมา
“ฮึ หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นข้าบาดเจ็บสาหัส นางหรือจะมีโอกาสให้ฉกฉวย เสียดายยิ่งนักที่มีคนช่วยนางออกไปจากคุกได้”
หลงเซี่ยวเทียนกำหมัดแน่น เขาแค้นใจที่ตอนนั้นตนเองตามองไม่เห็น ไม่สามารถจดจำใบหน้าของนางมารร้ายได้ แต่เขาขอสาบานว่าสิ่งที่นางกระทำการหยามเหยียดเขาเอาไว้ เขาจะต้องเรียกคืนจนครบจำนวน หากสังหารนางไม่ได้ เขาก็จะไม่ขออยู่เป็นผู้เป็นคน!
“รบกวนท่านถามทุกข์สุขน้องชิงแทนข้าด้วย ข้าขอลาก่อน”
หลงเซี่ยวเทียนลุกขึ้นพร้อมผู้ติดตามอีกสองคน ทั้งหมดประสานมือคารวะอำลาคหบดีหวังแล้วก้าวอาดๆ เดินออกไป
แม้หลงเซี่ยวเทียนจะขุดรากถอนโคนวังวิญญาณหยกไปแล้ว แต่กลับปล่อยให้ตัวหัวหน้าหนีรอดไปได้ น่าเสียดายที่กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังหาที่หลบซ่อนตัวของนางมารแห่งวังวิญญาณหยกไม่พบ หากไม่รีบค้นหานางมารให้พบโดยเร็ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีบุรุษอีกเท่าไรที่ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของนางมารผู้นั้น
ออกจากห้องโถงใหญ่มาได้ไม่เท่าไร จู่ๆ หลงเซี่ยวเทียนก็ชะงักนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทีตื่นตะลึง กลิ่นสมุนไพรบางเบายิ่งโชยมาเข้าจมูก ทำให้เขาแตกตื่นขึ้นมาทันที
“ท่านประมุข มีอะไรหรือขอรับ”
“พวกเจ้าได้กลิ่นหรือไม่”
หยางจงกับเจ้าเจี๋ยสองผู้ติดตามต่างหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง
“ได้กลิ่นอะไรขอรับ”
“กลิ่นยาสมุนไพร”
พวกเขาพยายามสูดจมูกดมอยู่นานก็ไม่ได้กลิ่นอะไร กลับได้แต่กลิ่นเหงื่อเหม็นๆ ของกันและกันไม่น้อย ทั้งสองคนหันมาส่ายหน้า
หลงเซี่ยวเทียนจำกลิ่นพิเศษจำเพาะของยาสมุนไพรนี้ได้ดี เป็นกลิ่นเดียวกับกลิ่นสมุนไพรบนร่างของนางมารผู้นั้น
คนทั่วไปอาจไม่ได้กลิ่น ยกเว้นเขา เพราะตลอดสามเดือนที่ต้องทนทุกข์ทรมานราวกับตายทั้งเป็นต้องอยู่ร่วมห้องกับนางมารทุกวัน ทั้งได้กลิ่นสมุนไพรจากร่างของนางมารผู้นั้นทุกวัน บวกกับในตอนนั้นเขานัยน์ตามองไม่เห็น ประสาทดมกลิ่นจึงเฉียบไวเป็นพิเศษ นอกจากนี้เขามีพลังวัตรกล้าแข็งลึกล้ำ ประสาทการรับฟังและประสาทดมกลิ่นย่อมเฉียบไวกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
สีหน้าของเขาพลันเคียดขึ้ง ปรากฏรังสีเข่นฆ่าออกมาชัดเจน
“นางมารอยู่ที่นี่!”
พูดขาดคำ หลงเซี่ยวเทียนก็พุ่งปราดตามกลิ่นไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพายุอันบ้าคลั่ง นับว่าสวรรค์ไม่ลาญความตั้งใจของคน ในที่สุดเขาก็หาตัวนางพบจนได้
กลิ่นสมุนไพรพิเศษจำเพาะนี้ต่อให้ปะปนอยู่กับกลิ่นอื่น เขาก็สามารถแยกแยะออกมาได้ เขากำลังจะได้พบศัตรูคู่อาฆาต ณ บัดนี้แล้ว
เขารวบรวมพลังลมปราณไปที่จุดตันเถียน* แล้วโคจรไปทั่วร่าง นัยน์ตาที่เดิมมีสีดำสนิทลึกล้ำพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงประหลาดปานประหนึ่งดวงตาที่ฝังแก้วเจียระไนเอาไว้ ลูกนัยน์ตาทั้งสองแดงก่ำดุจโลหิต นี่เป็นลางบอกเหตุว่าเขากำลังจะเปิดฉากการเข่นฆ่าสังหารขึ้น
เขาโผนขึ้นไปยืนอยู่บนยอดหลังคา ลมพัดกระโชกแรงเสียงดังซ่าๆ เสื้อผ้าของเขาถูกลมพัดปลิวสะบัด แต่ตัวเขากลับยืนนิ่งไม่ไหวติง มั่นคงดุจภูเขาไท่ซาน เรือนร่างสูงตระหง่านกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณบ้านสกุลหวังไม่เว้นแม้แต่ลานน้อยลานใหญ่ กระทั่งคนรับใช้นับร้อยคนที่เดินไปมาในบริเวณบ้านก็อยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
นัยน์ตาสีโลหิตอันคมกริบดุจใบมีดมองทะลุผ่านคนกลุ่มใหญ่ไปหยุดตรงร่างอรชรอ้อนแอ้นร่างหนึ่ง เขาวิ่งตะบึงไปทางร่างนั้นทันที
ยิ่งเข้าใกล้ กลิ่นหอมของสมุนไพรก็ยิ่งรุนแรง และด้วยเหตุนี้เองทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้น
ในที่สุดเขาก็หานางพบแล้ว!
ซือเย่าเอ๋อร์สวมรองเท้าลายปักเดินช้าๆ อยู่บนสะพานคดโค้ง สระน้ำสีเขียวมรกตมีดอกบัวงามลอยชูช่อสวยสดงดงามส่งกลิ่นหอมเย็นบางเบา สองมือของนางประคองชามหยก กำลังก้าวย่างด้วยความระมัดระวัง
ในชามใบนี้มียาต้มจากสมุนไพรที่นางปรุงผสมด้วยตนเองและอดหลับอดนอนเคี่ยวอยู่หนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันถึงได้มา เพราะขณะเคี่ยวยา ความแรงของไฟมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าแรงเกินไปหรือเบาเกินไปล้วนส่งผลกระทบต่อสรรพคุณของยาทั้งสิ้น
“นางมารร้าย!”
เงาร่างอ่อนช้อยงดงามชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วหันมาตามเสียงด้วยท่าทีงุนงง ฉับพลันนั้นเอง พลังกล้าแข็งขุมหนึ่งก็จู่โจมเข้ามา ไอเย็นเสียดแทงถึงกระดูกกระแทกเข้ามาทั่วร่าง นางรู้สึกราวกับมีเข็มจำนวนมากทิ่มแทงเข้ามาในผิวกายอันขาวผ่องเนียนนุ่ม ทำให้ลมหายใจของนางสะดุดติดขัดในทันที
เพล้ง!
ชามหยกร่วงลงสู่พื้นแตกกระจาย น้ำยาสมุนไพรสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น กลิ่นยาสมุนไพรตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ตัวนางกลับถูกพลังอันกล้าแข็งที่พุ่งกระแทกเข้ามาทำให้เจ็บปวดราวกับร่างกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เจ็บเข้าไปถึงอวัยวะภายใน
บุรุษผู้หนึ่งผู้มีรังสีเข่นฆ่ารุนแรงแผ่กระจายออกมาทั่วร่างพุ่งเข้ามาใส่นางราวกับสัตว์ป่าที่ดุร้าย พลังอำนาจดุจดวงตะวันอันร้อนแรงทำให้นางต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น
นางเข้าใจว่าตนคงจะถูกแยกร่างออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งเป็นแน่แล้ว เพราะสีหน้าท่าทางอันน่ากลัวของคนผู้นั้นบอกกับนางเช่นนี้ แต่แล้วเมื่ออีกฝ่ายมาหยุดลงตรงหน้านาง คนผู้นั้นกลับเอาแต่จ้องนางนิ่ง ไม่แม้แต่จะขยับตัว
นางเองก็ตะลึงงันอยู่กับที่ ถูกนัยน์ตาแดงก่ำราวกับโลหิตทำให้สะท้านหวั่นไหว
นางเพิ่งจะเคยเห็นนัยน์ตาสีแดงเป็นครั้งแรก นัยน์ตาคู่นั้นทั้งดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงและงดงามจนจิตวิญญาณของคนสั่นสะเทือน นางเห็นแล้วใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ราวกับเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ คนทั้งสองประสานสายตากันนิ่ง ทำให้นางสบโอกาสกวาดตามองประเมินบุรุษที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาผู้นี้
นัยน์ตาคู่งามค่อยๆ เหลือบมองกรงเล็บเหล็กทั้งห้าที่เต็มไปด้วยพลังเข่นฆ่าซึ่งเวลานี้ชะงักค้างอยู่กลางอากาศคล้ายแข็งเป็นหินไปแล้ว จนผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ขยับ นางค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นไปมองนัยน์ตาแดงก่ำคู่นั้น แล้วก็พบว่านัยน์ตาคู่นั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว
นัยน์ตาแดงเจิดจ้าราวโลหิตค่อยๆ อับแสงลง จากแดงหม่นกลายเป็นสีน้ำตาล สุดท้ายก็กลับคืนสู่สีดำสนิทลึกล้ำ
นางพิศวงงงงวย รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ถูกนัยน์ตาคู่นั้นดึงดูดความสนใจอย่างแรง กระทั่งลืมความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น นางกะพริบนัยน์ตาคู่งามใสแจ๋วแวววาวพลางเพ่งมองดูอยู่เงียบๆ ไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของสีสันเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
หลงเซี่ยวเทียนคิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบดวงหน้างดงามละเมียดละไม บริสุทธิ์และสูงส่งเช่นนี้ นางช่างงามเลิศล้ำเหนือใครในใต้หล้าราวกับเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ ท่วงทีของนางดูใสบริสุทธิ์ราวกับไม่เคยมีอะไรมาทำให้แปดเปื้อนแม้แต่ละอองฝุ่น ความงามของนางทำให้ดอกบัวที่ชูช่อเบ่งบานอยู่รอบบริเวณหม่นไปถนัดใจ
เด็กสาวที่มีรูปร่างหน้าตาเช่นนี้จะเป็นนางมารร้ายไปได้อย่างไร ยิ่งเห็นน้ำยาสมุนไพรที่หกกระจายอยู่เต็มพื้น เขาก็รู้ทันทีว่าตนได้ทำความผิดใหญ่หลวงลงไปแล้ว
เขาเกือบจะสังหารคนด้วยความเข้าใจผิด โชคดีที่ยั้งมือได้เร็ว หาไม่แล้วคงต้องทำความผิดอย่างมหันต์
หลงเซี่ยวเทียนแอบตำหนิความบุ่มบ่ามมุทะลุของตนเอง นางเป็นเด็กสาวที่สุภาพเรียบร้อย จะเป็นนางมารได้อย่างไร เรียกได้ว่าห่างไกลกันหนึ่งหมื่นแปดพันลี้เลยทีเดียว
“ขออภัยแม่นาง ข้าจำคนผิดไป คงไม่ได้ทำให้แม่นางตกใจกระมัง”
ซือเย่าเอ๋อร์สงบจิตใจลงได้ เมื่อครู่นางตกใจแทบแย่ แต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากขอโทษอย่างนอบน้อมจริงใจ นางก็โล่งอก จึงส่ายหน้าเล็กน้อย
“ข้าทำให้แม่นางตื่นตระหนก ขอแม่นางโปรดอย่าถือโทษ”
แววตาที่จับจ้องมาอย่างจดจ่อมุ่งมั่นทำให้ดวงหน้าบอบบางของซือเย่าเอ๋อร์ร้อนผ่าวขึ้นมา ได้แต่ก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตารุ่มร้อนคู่นั้น
“ไม่เป็นไร”
นางกระเถิบตัวหนีทิ้งระยะห่างระหว่างคนสองคนให้มากขึ้น ด้วยนางรู้สึกว่ากลิ่นอายของบุรุษเพศอันรุนแรงรบกวนจิตใจนางอย่างประหลาด และจิตใต้สำนึกของนางต้องการต่อต้านและปฏิเสธความรู้สึก...หวามไหวบางเบาที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุนี้
หลงเซี่ยวเทียนนัยน์ตาหวานเชื่อมราวกับฉาบด้วยน้ำผึ้งผสมน้ำหวานของดอกไม้ จับจ้องสาวงามไม่วางตา ทุกอากัปกิริยาทุกการเคลื่อนไหวของนางล้วนดึงดูดสายตาของเขาอย่างลึกล้ำ
ซือเย่าเอ๋อร์เดินมาตรงที่ชามน้ำยาสมุนไพรตกแตก ขณะจะทรุดร่างลงไปเก็บเศษชามบนพื้น พลันมีมือใหญ่โตข้างหนึ่งพุ่งตัดหน้าเข้ามาหยิบเศษชามแตกนั่น
นางนิ่งอึ้งไป นัยน์ตากลมโตสุกใสช้อนขึ้นมองเจ้าของมือข้างนั้นด้วยความฉงน
“ให้ข้าทำเถอะ” เขายืนกราน เพียงคิดว่าเศษชามแตกแหลมคมอาจบาดถูกมือน้อยๆ ของนาง เขาก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว และนั่นจะยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด
“ขอบคุณคุณชาย”
“ไม่ต้องเกรงใจ” เขาเก็บไปพลางตาก็จ้องมองนางไม่กะพริบ
ปกติเขาเป็นบุรุษผู้องอาจห้าวหาญ ไม่มีอะไรจะมาบังคับได้ ทำอะไรหยาบกระด้างจนเคยชิน แล้วตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มผู้แสนสุภาพมีมารยาทเช่นนี้ ยามอยู่ต่อหน้านาง เขาเก็บอาการโผงผางเอาแต่ใจไปโดยไม่รู้ตัว แม้แต่กิริยาท่าทางและน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนหวาน
นางเป็นใคร ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัวไม่ใช่คนรับใช้แน่ นางไม่ใช่สาวใช้แน่นอน
“แม่นางเป็นญาติของคหบดีหวังหรือ”
นางส่ายหน้า
“เป็นสหายของน้องชิง”
นางส่ายหน้าอีก
ในใจของเขาพลันเครียดขึงขึ้นมา หรือว่านางจะเป็นอนุที่ท่านลุงใหญ่เพิ่งรับมาใหม่ คิดได้เท่านี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ความคิดนี้ถึงทำให้เขารู้สึกคล้ายมีอะไรมากดทับหน้าอกจนหายใจไม่ออก
“ข้ามาช่วยรักษาอาการป่วยของคุณหนูสกุลหวัง”
หลงเซี่ยวเทียนเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาในบัดดล คิดไปถึงเรื่องที่ท่านลุงใหญ่เคยเอ่ยเอาไว้ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้หมอหญิงที่ท่านลุงใหญ่เอ่ยถึงก็คือแม่นางผู้อยู่ตรงหน้านี่เอง
ดีมาก! ดีมาก! ไม่ว่าจะเป็นหมอหรืออะไรก็ช่าง ขอเพียงไม่ใช่อนุคนใหม่ของท่านลุงใหญ่เป็นใช้ได้
“ที่แท้แม่นางก็คือท่านหมอ”
มิน่าบนร่างนาง
“ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ข้าแซ่หลงมุทะลุบุ่มบ่าม ทำให้แม่นางตื่นตระหนกตกใจ ยาสมุนไพรชามนี้ข้าจะชดใช้ให้แม่นาง”
“ไม่จำเป็นหรอก ยาสมุนไพรเคี่ยวเอาใหม่ก็ได้”
ซือเย่าเอ๋อร์หมุนตัวจะเดินจากไป แต่เพิ่งเดินไปได้ก้าวเดียวก็หันกลับมา นัยน์ตาสุกสกาวราวจันทร์กระจ่างจับจ้องไปที่เขา
“คุณชาย”
“อ้อ แม่นางมีอะไรจะชี้แนะ” เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพ
“ได้โปรดปล่อยมือข้าได้หรือไม่”
ข้อมือของนางยังอยู่ในอุ้งมือหยาบใหญ่ของเขาซึ่งกุมไว้แน่นมาเป็นเวลานานแล้ว
หลงเซี่ยวเทียนชะงักอึ้ง เวลานี้ถึงได้รู้สึกตัวว่าตนกุมข้อมือขาวผ่องของผู้อื่นอย่างไร้มารยาทอยู่ เขารีบเอ่ยปากขอโทษด้วยความขัดเขิน หลังจากปล่อยมือเด็กสาวแล้ว เขาพลันพบว่าตนเริ่มโหยหาสัมผัสอันอ่อนนุ่มนั่นเสียแล้ว
“ท่านประมุข!”
หยางจงกับเจ้าเจี๋ยเพิ่งกระหืดกระหอบตามมารายงาน
“เรียนท่านประมุข พวกเราหาจนทั่วแล้ว ไม่พบแม้แต่เงาของนางมารขอรับ”
“ไม่ต้องหาแล้ว นางไม่ได้อยู่ที่นี่” ในเมื่อรู้แล้วว่าตนเองเข้าใจผิดไป ก็ไม่มีอะไรต้องหาอีกแล้ว เขาเหลือบไปเห็นลูกน้องทั้งสองคนต่างถืออาวุธอยู่ในมือก็ขมวดคิ้วสั่งว่า “เก็บดาบเสีย”
หยางจงและเจ้าเจี๋ยอยู่ข้างกายท่านประมุขมานาน รู้จักพิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าผู้เป็นนาย เห็นท่านประมุขที่ปกติเป็นคนโผงผางหยาบกระด้าง ทั้งยังไม่ใส่ใจเรื่องจุกจิกหยุมหยิมจู่ๆ เปลี่ยนเป็นสุภาพเรียบร้อยขึ้นมา คงจะเป็นเพราะเด็กสาวที่อยู่ข้างกายผู้นั้นเป็นแน่ คิดได้ดังนี้ก็เข้าใจในทันทีว่าท่านประมุขคงไม่อยากให้ดาบในมือพวกตนทำให้แม่นางผู้นั้นตกอกตกใจ
“ขอรับ ท่านประมุข”
ทั้งสองคนรีบเก็บดาบเข้าฝัก ในใจก็คิดว่าเป็นหญิงสาวบ้านไหนกันหนอ ทำให้ท่านประมุขเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ พวกเขาปรายตามองด้วยความอยากรู้ นึกไม่ถึงว่าทันทีที่เห็นใบหน้าที่อยู่ด้านหลังท่านประมุขถนัดตา ทั้งสองก็กระโดดถอยหลัง กระชากดาบออกจากฝักดังขวับ
“พวกเจ้าทำอะไร ทำหน้าราวกับเห็นผี”
“ท่านประมุข! นะ...นะ...นาง...นางก็คือนางมารผู้นั้น!”
ซือเย่าเอ๋อร์มุ่นหัวคิ้ว ช่างไร้มารยาทเสียจริง นางมีส่วนไหนคล้ายนางมารหรือ
นางกำลังคิดจะท้วงติง ทว่าฉับพลันนั้นเองมีอะไรบางอย่างที่เยียบเย็นตวัดขวับเข้ามาจ่อลำคอของนางราวกับสายฟ้าแลบ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน เพราะสิ่งที่พาดขวางลำคอนางอยู่คือดาบเล่มหนึ่ง และเจ้าของมือที่กุมด้ามดาบอยู่อีกด้านหนึ่งก็คือบุรุษร่างสูงใหญ่ตรงหน้า
“พวกเจ้าแน่ใจว่าเป็นนางแน่?” หลงเซี่ยวเทียนเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ขอรับ คนที่หนีออกจากคุกใต้ดินในวันนั้นก็คือนางมารผู้นี้ ต่อให้ร่างของนางกลายเป็นเถ้าถ่าน ผู้น้อยก็จำได้!”
ดวงตาคมกริบจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของซือเย่าเอ๋อร์ แววตาบ่งบอกความเหี้ยมโหดชนิดไม่มีวันยกโทษให้
“นางมาร ข้าเกือบจะถูกเจ้าหลอกเสียแล้ว ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ!”
ทันใดนั้นหลงเซี่ยวเทียนก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน รังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง แววตาเยียบเย็นไร้ไมตรีเริ่มกลายเป็นสีแดงน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ซือเย่าเอ๋อร์ก็จำได้แล้วว่าเขาคือใคร นางจ้องหน้าหลงเซี่ยวเทียนอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ร่างสูงราวเจ็ดฉื่อยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้านาง คนผู้นี้ก็คือบุรุษที่นางช่วยออกมาจากประตูเมืองผีเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้
“เป็นท่าน”
“ดูซิว่าเจ้ายังจะหนีไปไหนได้อีก!”
ก่อนหน้านี้ที่นางจำเขาไม่ได้ก็เพราะตอนพบเขาครั้งแรก ทั้งร่างของเขามีแต่บาดแผล สารรูปดูไม่ได้ บวกกับตอนนั้นดวงตาของเขาได้รับบาดเจ็บ โลหิตอาบหน้า นางคิดแต่จะรักษาเขาให้หาย จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องรูปร่างหน้าตาของเขาเท่าใดนัก กระทั่งวันนี้นางถึงได้เห็นโฉมหน้าแท้จริงของเขาถนัดตา
“ท่านคิดจะทำอะไร”
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรล่ะ”
ปลายดาบขยับเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว
“แม่ม่ายอำมหิต แมงมุมพิษ ไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์สังหารทั้งนั้น”
ปลายดาบขยับใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่ง ดวงตาที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายในไม่รู้จับนางกลืนทั้งเป็นลงไปกี่ครั้งแล้ว
“แมงมุมพิษ?” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังขา
“ทำไม นี่ไม่ใช่สมญานามของเจ้าหรอกหรือ”
คนผู้นี้ชอบเรียกนางว่าแมงมุมอะไรนั่นอยู่บ่อยครั้ง นางคิดว่าเป็นคำด่าติดปากของเขามาโดยตลอด จนวันนี้ถึงได้รู้ว่าในถ้อยคำเหล่านั้นมีความหมายไม่ชอบมาพากลแฝงอยู่ คงจะมีอะไรเข้าใจผิดกันเป็นแน่
“ข้าไม่ใช่แมงมุมพิษ และก็ไม่ใช่แม่ม่ายอำมหิต”
เขาแค่นเสียงเย็นชา “หรือเจ้าชอบให้ผู้อื่นเรียกเจ้าว่านางมาร ไม่ก็...” ริมฝีปากบางหยักขึ้นอย่างหยามหยันดูถูก จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเยียบเย็น “หญิงคณิกา”
ซือเย่าเอ๋อร์หน้าตึงขึ้นมาทันที สีหน้าที่เดิมทีนิ่งเฉยอยู่แล้วมาบัดนี้ยิ่งเย็นชาแข็งกระด้าง นัยน์ตาคู่งามมีไฟโทสะคุโชนขึ้น
นางนึกขึ้นมาได้แล้วว่าบุรุษผู้นี้เคยลวนลามนาง หลู่เกียรตินางเช่นไร ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมานี้จะเป็นเพราะมีอะไรเข้าใจผิดกันก็ตามแต่ เวลานี้เขาได้ทำให้นางโกรธขึ้นมาแล้ว
ประเสริฐยิ่ง! นางไม่ได้ไปหาเขาเพื่อแก้แค้น เขากลับพาตนเองมาส่งให้ถึงที่
“นางมาร วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดี ข้าไม่อยากให้เลือดสกปรกโสมมของเจ้าแปดเปื้อนสถานที่แห่งนี้”
และนี่คือเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงยังไม่ลงมือสังหารนางตอนนี้
รังสีเข่นฆ่ารุนแรงขุมหนึ่งแผ่ประกายผ่านปลายดาบบางราวปีกจักจั่น คละเคล้าด้วยรังสีเยียบเย็นอย่างประหลาดแทรกซึมเข้าสู่ผิวกายของนาง
นาง
“คิดจะจับข้าก็ต้องดูก่อนว่าท่านมีความสามารถพอหรือไม่” นางเอ่ยเสียงเยียบเย็น แทบจะในทันทีที่นางพูดขาดคำ หยางจงและเจ้าเจี๋ยซึ่งยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของหลงเซี่ยวเทียนก็ล้มตึงลงกับพื้นเสียงดังสนั่น
หลงเซี่ยวเทียนแตกตื่นอย่างใหญ่หลวง น่าเสียดายที่เขารู้ตัวช้าไป กว่าจะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องก็สายไปเสียแล้ว
“เป็นไป...ได้อย่างไร...”
เรือนร่างใหญ่โตโงนเงนไปมาจะล้มมิล้มแหล่ แต่ยังพยายามฝืนยืนหยัดไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
“ท่านคิดว่าข้าฉาบยาไว้บนเสื้อผ้าเท่านั้นหรือ ต่อให้มีระยะห่างระหว่างกัน ข้าก็สามารถวางยาเคลิบเคลิ้มท่านได้ ฮึ ช่างโง่งม!”
ดวงหน้าใสบริสุทธิ์ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต ทั้งยังยากยิ่งจะได้พบเห็น นางแลบลิ้นออกมาแล้วทำหน้าทะเล้นใส่เขา
มีเสียงคำรามดังขึ้น หลงเซี่ยวเทียนฉวยโอกาสที่นางไม่ทันตั้งตัวกระโจนเข้าใส่ นางตกใจจนหน้าถอดสี ไม่อยากเชื่อว่าคนผู้นี้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้
พริบตานั้นนางเข้าใจว่าตนคงต้องตายแน่ แต่โชคดีที่เป็นเพียงการตื่นตระหนกตกใจไปเองเท่านั้น เพราะหลังจากฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามาได้เพียงก้าวเดียวก็ล้มตึงลงกับพื้นแน่นิ่งไป
ซือเย่าเอ๋อร์จ้องมองเขา ใจคอยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนผ่านไปเนิ่นนานถึงได้แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้วจริงๆ หัวใจที่ขมวดแน่นค่อยๆ คลี่คลายออก นางระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เจ้าวานรหน้าเหม็นตนนี้! ก่อนจะหมดสติยังต้องทำให้คนตกอกตกใจให้ได้ ช่างน่าชิงชังนัก
นางอดโมโหไม่ได้ ครั้งก่อนใช้หญ้าเมามายก็ไม่สามารถทำให้บุรุษหน้าเหม็นผู้นี้หมดสติได้ในทันที ครั้งนี้ใช้เกสรดอกไม้สิบชนิด แม้จะมีประสิทธิภาพมากกว่าหญ้าเมามาย แต่ดูเหมือนจะยังออกฤทธิ์ได้ไม่เร็วพอกับผู้ชายคนนี้ ต่อไปนางคงต้องหาวิธีรับมือเขาให้ดีกว่านี้
ฮึ บุรุษน่าชังผู้นี้ถึงกับกล้าด่านางว่านาง
ตามธรรมเนียมทั่วไป ผู้อื่นปฏิบัติต่อเราเช่นไร เราก็ควรปฏิบัติตอบเช่นนั้น แล้วจะไม่ให้นางมอบของสมนาคุณแก่เขาสักเล็กน้อยได้อย่างไร
ริมฝีปากรูปเดือนเสี้ยวปรากฏรอยยิ้มซุกซนขึ้นมาบางๆ นางตัดสินใจจะมอบของขวัญพิเศษเป็นการปูนบำเหน็จแก่เขา
* ถังหูลู่เป็นของกินเล่นทำจากผลไม้ ส่วนใหญ่ใช้พุทราจีนนำมาเสียบไม้ไผ่แล้วชุบน้ำเชื่อม ด้านนอกแข็งกรอบ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน
* เซาปิ่ง ขนมแป้งอบหรือแป้งทอด บ้างคล้ายขนมเปี๊ยะ บ้างคล้ายพิซซ่า โดยมากจะโรยงา แต่สมัยก่อนจะสอดไส้หรือทาหน้าหลากหลายชนิด เช่น เนื้อแพะและต้นหอม
* หลงจิ่ง ชาเขียวชนิดหนึ่งของจีน ปลูกมากในเมืองหางโจวและมณฑลเจ้อเจียง
* ตันเถียนเป็นจุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือประมาณสามนิ้ว
ความคิดเห็น