คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 แหวนแทนใจ...?
บทที่ 4 แหวนแทนใจ...?
กล้วย-กัทลีรัตน์ประกาศหมั้นสยบข่าวฉาว... เกมพลิกอีกรอบเมื่อกล้วย-กัทลีรัตน์กับคุณหมอผู้ที่ตกเป็นข่าวกลับกลายเป็นคู่หมายซึ่งทางผู้ใหญ่สองฝ่ายสนับสนุนและรับรู้มาตลอด แม้คุณหมอจะเกาเหลากับทางคุณแม่ดาราสาว แต่กับทางฝ่ายพ่อนั้นมีไมตรีต่อกันเสมอมา กล้วยให้สัมภาษณ์ว่าที่ไม่ชี้แจงเรื่องนี้แต่ต้นเนื่องจากไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายและกลายเป็นเรื่องฉาวใหญ่โต ทางผู้ใหญ่ตกลงเรื่องหมั้นหมายระหว่างกล้วยกับฝ่ายชายนานแล้ว แต่แพทย์หญิงนภา...แม่ของเธอคัดค้านเรื่องนี้ ส่วนตัวกล้วยเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างชัดเจน จึงยังไม่อยากประกาศออกไปตรงๆ แต่ในเมื่อเหตุการณ์กลายเป็นแบบนี้นางเอกสาวจึงแย้มให้ฟังว่าทางผู้ใหญ่ตัดสินใจเร่งรัดให้มีการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการโดยเร็วและน่าจะแต่งภายในปีนี้แน่นอน
กัทลีรัตน์อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์แวดวงบันเทิงด้วยความรู้สึกปั่นป่วนและละอายใจจนพูดไม่ถูก เพราะมันน่าอายที่เธอกับผู้จัดการส่วนตัวให้สัมภาษณ์และให้ข่าวกับสื่อเกี่ยวกับการหมั้นกำมะลอระหว่างเธอกับปณิธิ ทั้งที่เธอเองไม่เคยได้คุยหรือพบกับปณิธิสักครั้งนับแต่เจอกันที่ชมทะเลรีสอร์ตเมื่อหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมา อีกฝ่ายคงนึกดูแคลนไม่น้อยที่เธอเล่นมัดมือชกเขาเช่นนี้ แต่...ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ได้ทำไปแล้ว
นภา...แม่ของเธอถึงกับสติแตกทันทีที่รู้เรื่อง แต่กัทลีรัตน์ใช้วิธีนิ่ง อธิบายถึงเหตุผลและความจริงเท่าที่จำเป็น แม่จึงไม่สามารถทำอะไรได้เท่าที่ต้องการ ครั้นนภาหันไปเปิดฉากเอาเรื่องที่พ่อของเธอ ก็กลับเป็นการเปิดช่องให้รัตนชัยได้เปรียบและกวนโทสะจนนภาแทบคลั่งยิ่งกว่าเก่า สุดท้ายนภาก็ไม่อาจคัดค้านอะไรได้ นอกจากยอมให้ทุกอย่างเป็นไป แต่กัทลีรัตน์ขอร้องผู้เป็นแม่ว่าอย่าเผลอบอกความจริงแก่ใครแม้แต่สามีและลูกเลี้ยงของหล่อนว่าการหมั้นครั้งนี้เป็นเพียงการจัดฉากสยบข่าวฉาวเท่านั้น
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ฉุดความคิดเธอขึ้นจากภวังค์ทันควัน หมายเลขไม่คุ้นที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้หญิงสาวย่นคิ้วเล็กน้อยก่อนกดรับ
“นี่ผมเอง”
เสียงจากปลายสายทำให้หญิงสาวอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะใจเต้นแรงหลังจากคาดเดาเอาเองได้ว่าใครโทรมา หากก็แกล้งไม่รู้แล้วกลั้นใจถามออกไป “ไม่ทราบจากที่ไหนคะ”
“ผมเอง...ปั๊บ”
กัทลีรัตน์โมโหตัวเองที่ใจเต้นแรงขึ้นอีก เธอไม่สงสัยว่าเขาได้เบอร์เธอจากไหน แต่พิศวงอย่างยิ่งว่าเขาโทรมาทำไมมากกว่า “คุณ...มีธุระอะไรคะ”
“วันนี้ว่างไหมครับ ออกมาเจอผมหน่อยสิ”
“คะ?”
“ตอนนี้ผมอยู่กรุงเทพฯ จะพาคุณไปเลือกแหวนหมั้น”
“...”
“ผมลามาอาทิตย์หนึ่ง มาธุระเรื่องเรียนต่อแล้ววันมะรืนก็ต้องไปงานแต่งน้องสาว ที่บ้านเลยบังคับให้ผมพาคุณไปเลือกแหวนด้วยกันวันนี้”
ปณิธิเอ่ยปากอย่างไม่อ้อมค้อม แต่คนฟังรู้สึกสะดุดหูอย่างแรงกับคำว่า ‘บังคับ’ เพราะมันแปลว่าเขาไม่เต็มใจ
“ว่าไงครับ ว่างรึเปล่า”
หญิงสาวตอบเขาไปตามจริงว่าวันนี้เธอว่างทั้งวัน หลังจากตกลงเรื่องสถานที่นัดพบแล้วกัทลีรัตน์ก็รีบเตรียมตัวทันที ทั้งที่บอกตัวเองว่าอย่าตื่นเต้นเกินงามและไม่ต้องเร่งร้อน เพราะมันจะเหมือนว่าเธออยากเจอเขาจนตัวสั่น เธอควรแสร้งทำเป็นเชื่องช้าและปล่อยให้เขารอสักชั่วโมงน่าจะดูดีกว่า แต่ถึงกระนั้นเมื่อเธอไปถึงร้านอาหารที่นัดกันไว้อีกฝ่ายกลับยังไม่มา ทำให้เธอหงุดหงิดอย่างยิ่ง
ทว่าเมื่อปณิธิมาถึง กัทลีรัตน์ก็ต้องอึ้งงันจนพูดไม่ออก เมื่อปรากฏว่าเขาพาผู้หญิงที่เธอไม่รู้จักมาด้วย อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวหน้าตาคมคาย รูปร่างผอมเพรียวผิวสีน้ำผึ้งนวลเนียน ท่าทางเฉลียวฉลาดและร่าเริง
“โทษทีที่มาช้า ผมต้องไปรับเพื่อนที่สนามบินก่อน” เขาบอกและนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งเดียวกับเพื่อนที่มาด้วยกัน “นี่มิ้นท์ จะมาเรียนต่อที่เดียวกับผม ผมนัดมิ้นท์ไว้ก่อนอาพิ้งค์จะมาบังคับให้พาคุณไปซื้อแหวน เลยต้องลากเขามาด้วย”
“คุณกล้วยน่ารักจัง สวยกว่าในทีวีสิบเท่า ขาวใสวิ้งๆ เลย” หมอมิ้นท์ หรือแพทย์หญิง ‘มัทนา’ เอ่ยทักทายอย่างสดใสและมีไมตรี
กัทลีรัตน์พึมพำขอบคุณอย่างขัดเขินและพยายามยิ้มตอบมัทนาอย่างร่าเริงที่สุด เธอนึกถึงตอนที่แอบฟังปณิธิคุยโทรศัพท์คราวก่อน แล้วจึงคาดเดาเอาเองว่าปณิธิคงรู้สึกชอบพอเพื่อนสาวคนนี้อยู่ในใจ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังอยู่ในระดับเพื่อนธรรมดา ทว่าการมีปัญหาพัวพันกับเธอคงทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก ที่เขาพามัทนามาด้วยวันนี้อาจเพราะต้องการเตือนเธอให้รู้ตัวว่าต่อให้ต้องหมั้นหมายกับเธอด้วยความจำเป็นแต่เขาก็มีตัวจริงอยู่แล้ว บางที...เขาอาจจะบอกความจริงทุกอย่างแก่มัทนาแล้วด้วยก็ได้ ความคิดนี้ทำให้กัทลีรัตน์ร้อนรุ่มในอกและรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
“มื้อนี้เลี้ยงเรานะมิ้นท์ ถือว่าเป็นเจ้าภาพฉลองหมั้นรายแรกเลยไง”
“อะไรยะ แบบนี้มัดมือชกนี่นา” มัทนาโวยวาย
“เราเองก็โดนมัดมือชกให้หมั้นเหมือนกัน น่า เลี้ยงหน่อย เดี๋ยวเราต้องหมดตัวกับแหวนหมั้นอีก”
กัทลีรัตน์สะอึกจนหน้าชา เธอนั่งตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม จ้องหน้าปณิธิด้วยสายตาตัดพ้อ หากอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจไยดี “ไม่เป็นไรค่ะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองดีกว่า”
“มิ้นท์ล้อเล่นค่ะ มิ้นท์ก็จะเลี้ยงฉลองให้อยู่แล้ว เพียงแต่หมั่นไส้ปั๊บ ทำเป็นบ่น ที่แท้ก็แอบดีใจจนเนื้อเต้นล่ะไม่ว่าที่ได้หมั้นกับคุณกล้วย”
“นอกจากดีใจแล้วเรายังอึ้งด้วยนะ ไม่นึกว่าอยู่ๆ จะมาเจอมุกคลาสสิกแบบคลุมถุงชน” ปณิธิพูดยิ้มๆ สบตากับกัทลีรัตน์แวบหนึ่ง ทว่าอีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ
“นายนี่พูดจาน่าต่อยจังนะ ดูซิ คุณกล้วยทำหน้าไม่ถูกแล้ว คิดดีแล้วหรือคะจะหมั้นกับคนอย่างนี้ หมอนี่ชอบล้อเล่นแรงๆ ทำเอาคนอื่นเขาโกรธจนไม่มองหน้ามานักต่อนัก เพราะบางคนเขาไม่ชินนิสัยแบบนี้ บางทีก็ไม่ได้สนิทกัน คุณกล้วยจะรับมือไหวหรือคะ”
กัทลีรัตน์พยายามฝืนยิ้ม เธออาจจะปั้นหน้าตาอย่างไรก็ได้เวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง แต่ในชีวิตจริงนั้นความสามารถในการแสดงของเธอแย่มากจริงๆ “ถึงไม่ไหวก็คงต้องพยายามค่ะ”
“น่าสงสาร” มัทนาพึมพำอย่างเห็นใจจริงจัง ก่อนจะหันไปหาปณิธิ “ต่อไปช่วยทะนุถนอมคู่หมั้นหน่อยนะ พวกเจ้าภัทรเจ้าวินน่ะคลั่งคุณกล้วยกันจะแย่ แต่นายดันเจอแจ็กพ็อตได้เป็นคู่หมั้นคุณกล้วยซะงั้น หน้าตาดีแต่นิสัยแย่ แถมปากก็เสียสุดกู่ แต่กลับโชคดีซะไม่มี โลกช่างไม่ยุติธรรม”
“พอเถอะน่า จะเผาให้เกรียมจนกินได้เลยไหม จะได้ไม่ต้องสั่งอะไรมากิน” ปณิธิประชดเพื่อน
มัทนาหัวเราะ “พอแล้วก็ได้ สงสารคุณกล้วย”
ตลอดเวลาที่โต๊ะอาหาร กัทลีรัตน์สามารถพูดคุยกับมัทนาได้อย่างราบรื่นและสบายใจ แม้จะรู้สึกค้างคาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมัทนากับปณิธิอยู่ไม่หาย ส่วนปณิธิก็คุยกับมัทนาอย่างเป็นปกติ จนมัทนาก็คงไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาแทบไม่ได้คุยกับว่าที่คู่หมั้นตรงๆ เลย
หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสามคนก็ไปต่อที่ร้านเพชร กัทลีรัตน์เสียใจที่เธอไม่ได้เรียกให้ปุษยาออกมาเป็นเพื่อน เพราะเธอแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเลือกแหวนหมั้น แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่มีมัทนามาด้วย ที่สำคัญเธอกับปณิธิตกเป็นเป้าสายตามาตั้งแต่ที่ร้านอาหาร โดยเฉพาะข่าวการหมั้นยิ่งทำให้กลายเป็นจุดสนใจ ปกติเธอเคยชินกับการถูกมองพอสมควร ทว่าการควงคู่ปณิธิในครั้งนี้ทำให้มีสายตาจดจ้องอย่างสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนเธอทำใจแทบไม่ได้
“ว่าแล้วว่าทำไมคุณกล้วยไม่เคยมีข่าวกับดาราคนไหน ที่แท้ก็แอบมีคู่หมายน่ารักขนาดนี้นี่เอง น่าจะเปิดตัวตั้งนานแล้วนะคะ” สาวใหญ่ผู้เป็นเจ้าของร้านเพชรเอ่ยชมด้วยสีหน้ายิ้มละไม
“ก็คุณกล้วยกำลังดังนี่คะ ก็เลยไม่อยากเสี่ยงด้วยการรีบเปิดตัว แต่ข่าวลือผิดๆ ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ จนหมอปั๊บเขาทนเฉยไม่ไหวเลยต้องรีบขอหมั้น มิ้นท์เป็นหมอที่เรียนมาด้วยกันกับหมอปั๊บค่ะ ยืนยันได้ว่าหมอปั๊บไม่เคยคบใครจริงจังเลยนอกจากคุณกล้วย ข่าวลือที่ออกมาน่ะเรื่องไม่จริงทั้งนั้น สงสารคุณกล้วย”
ปณิธิแอบมองค้อนเพื่อนอย่างหมั่นไส้ที่ช่วยแก้ข่าวให้เป็นเรื่องเป็นราวทั้งที่ไม่มีใครขอร้อง
“วันก่อนนะคะ มีคุณหมอคนหนึ่งมาซื้อเพชรที่ร้าน บอกว่าจะซื้อไปให้คุณแม่ แกขอดูหลายชิ้นแล้วบอกว่าเอาหมดนั่นเลย รวมๆ ก็ตั้งสี่ห้าล้านแน่ะค่ะ พี่เห็นแล้วใจไม่ดีเลยบอกว่าคุณหมอน่าจะค่อยๆ เลือกค่อยๆ ซื้อไปทีละชิ้นสองชิ้นแล้วค่อยพาคุณแม่กลับมาซื้อเพิ่มทีหลัง แต่แกบอกว่าไม่เป็นไร วันหลังค่อยพาคุณแม่มาใหม่ แกอยากซื้อไปให้ทีละหลายๆ ชิ้น เพราะปกติก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้เลยกลายเป็นลูกค้าประจำพี่ไปแล้ว แกเป็นหมอผ่าตัดหัวใจน่ะค่ะ”
“หมอปั๊บก็เป็นหมอผ่าตัดหัวใจเหมือนกันนะคะ” มัทนาบอก
“อุ๊ยตาย จริงหรือคะ หน้าตายังดูเด็กอยู่เลย”
ปณิธิยิ้มรับ “แต่ผมไม่รวยหรอกครับ ค่อนข้างจนอีกต่างหาก เพราะเพิ่งกำลังจะเริ่มเทรนกลางปีนี้ กว่าจะเรียนจบก็อีกห้าปี ยังจนอีกนาน”
เจ้าของร้านมองค้อนพลางหัวเราะด้วยสีหน้าเอ็นดูเป็นพิเศษ “แหม อีกหน่อยก็รวยไม่รู้เรื่อง ยิ่งได้ภรรยาขยันและน่ารักอย่างคุณกล้วย คุณหมออนาคตไกลแน่ๆ ค่ะ”
“งั้นผมขอยืมเพชรไปหมั้นกล้วยก่อนสักสี่ห้าล้านได้ไหมครับ ไม่เกินสิบปีจะมาจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ย”
“...”
“พอเรียนจบผมก็รวยเหมือนหมอคนนั้นไงครับ รับรองว่ามีจ่ายแน่นอน”
“...”
“ผมล้อเล่นครับ” ปณิธิบอกพลางหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของร้านอึ้งกิมกี่
“แหม คุณหมอนี่น่ารักจริงๆ อยากได้เพชรไปหมั้นคุณกล้วยหลายๆ ชิ้นล่ะสิคะ” เจ้าของร้านสาวใหญ่ค้อนปณิธิขวับใหญ่แล้วหันไปยิ้มกับกัทลีรัตน์ “ไว้คุณหมอเรียนจบค่อยพาคุณกล้วยมาเลือกก็ได้ค่ะ ร้านพี่ยังอยู่รออีกหลายปี ตอนนี้คุณกล้วยซื้อเองสบายอยู่แล้ว”
กัทลีรัตน์ได้แต่ยิ้มและพูดคุยอย่างเป็นมิตรไปตามเรื่อง หลังจากเลือกแหวนได้แล้วเธอก็แทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะอึดอัดกับการเสแสร้งทำเป็นคู่รักกับปณิธิจนแทบหายใจไม่ออก ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรเลย จนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าเขาเหมาะจะเป็นนักแสดงยิ่งกว่าเธอเสียอีก
“ฉันจะโอนค่าแหวนคืนให้คุณทีหลังนะคะ”
“ว่าไงนะ” ปณิธิชะงักทันควันเพราะคำพูดนั้น อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมาตอนที่อยู่กันตามลำพังในร้านเพชรโดยไม่มีพนักงานอยู่ใกล้ๆ ส่วนมัทนาปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์
“ฉันเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพียงคนเดียว ในขณะที่คุณต้องลำบากทั้งที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณเลย เพราะฉะนั้น...”
“เลิกพูดเถอะ ผมไม่อยากฟัง” ชายหนุ่มกล่าวเสียงกระด้าง
“แต่ว่าฉันไม่อยากเอาเปรียบ...”
“ที่รีบพามาซื้อเพราะผมต้องการให้คุณสวมแหวนไปงานแต่งน้องสาวมะรืนนี้ด้วย ถ้าขืนโอนเงินมาคืนผมล่ะก็...อย่าหาว่าผมไม่เตือน” เขามองเธอนิ่งชั่วขณะหนึ่งด้วยสายตาวาววับ ก่อนจะผละห่างออกไป ปล่อยให้กัทลีรัตน์มองตาค้างอย่างคาดไม่ถึง
ทั้งที่บอกตัวเองว่าควรปฏิเสธการไปร่วมงานแต่งระหว่างน้องสาวฝาแฝดของปณิธิกับ ‘ธีวริทธิ์ ชญานนท์’ ทายาทนักธุรกิจระดับแนวหน้า เพราะพอจะคาดการณ์ได้ว่าคงไม่พ้นถูกนักข่าวรุมล้อม แต่การที่ปณิธิออกปากเชิญแถมยังซื้อแหวนหมั้นให้เธอสวมเพื่องานนี้ ทำให้กัทลีรัตน์ตัดสินใจปฏิเสธงานเปิดตัวสินค้าที่ติดต่อเข้ามาอย่างกะทันหันชิ้นหนึ่งและรับปากไปงานแต่งน้องสาวเขาอย่างไม่ลังเล เธอขอร้องเพื่อนสนิทให้มาค้างที่บ้านเพราะต้องการกำลังใจจากเพื่อนและให้อีกฝ่ายช่วยเธอเตรียมตัวในค่ำวันนี้
กัทลีรัตน์ย้ายมาอาศัยอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์หลังนี้ตามลำพังหลายเดือนแล้ว โดยอ้างกับแม่ว่าทำเลกลางเมืองเดินทางสะดวกสบายกว่า เนื่องจากเป็นบ้านที่พ่อซื้อทิ้งไว้หลายปีแล้ว พ่อจึงรู้ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร ทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัย แม่ไม่เห็นด้วยหากก็ไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะทราบว่ากัทลีรัตน์อึดอัดในการอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวใหม่ของหล่อนมาตลอด สาเหตุที่กัทลีรัตน์ไม่จ้างคนรับใช้อยู่ประจำเพราะเธอไม่ต้องการให้เรื่องส่วนตัวทุกอย่างเล็ดลอดถึงหูคนภายนอกง่ายเกินไป
ปุษยาถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อพิจารณาเพื่อนสาวในชุดกระโปรงแขนกุดแบบ Tent Dress สีหวานอย่างเต็มตาด้วยความชื่นชม “สวยเป๊ะมากเลยแก ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม กระเป๋า รองเท้า รับรองว่าที่คู่หมั้นปากเสียของแกเห็นแล้วระทดระทวยแน่”
กัทลีรัตน์เบ้ปากอย่างไม่เห็นคล้อย “ไม่มีทางหรอก”
“ขนาดฉันมองแล้วยังอยากโดดขย้ำแกเลยนะกล้วย แล้วหมอปั๊บเขาจะทนได้ยังไง”
“บ้า” กัทลีรัตน์หน้าแดง “เขาไม่ใช่ผู้ชายหื่นแบบนั้นหรอกน่า”
“แต่แกเอ็กซ์ซะขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคิดลามก ผู้ชายอย่างเขาคงไม่ยอมผูกมัดกับผู้หญิงที่เขาบอกว่าห่างไกลจากสเป็กตัวเองตั้งล้านปีแสงอย่างแกง่ายๆ หรอก”
คนฟังหน้าบึ้งแต่ก็นึกหาคำพูดมาเถียงไม่ได้ แม้แต่กับเพื่อนสนิทกัทลีรัตน์ก็ไม่ได้บอกความจริงที่ว่าปณิธิหมั้นด้วยความไม่เต็มใจเพราะถูกทางผู้ใหญ่บีบคั้น เธออธิบายให้เพื่อนฟังว่าปณิธิออกปากขอหมั้นเพราะต้องการรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์เลวร้ายให้เธอ ปุษยาไม่ได้ซักไซ้หรือคลางแคลงใดๆ เพราะอีกฝ่ายเข้าใจเอาเองว่าปณิธิมีใจชอบพอเธออยู่บ้าง และที่เขาเคยนินทาเธอแรงๆ นั้นเป็นเพราะเขาแอบสนใจเธออยู่ก็เลยพูดไปตามประสาผู้ชายปากเสีย
เสียงกดกริ่งดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนัก ปุษยาลงไปส่งเพื่อนถึงหน้าประตูรั้ว ปณิธิยิ้มให้ผู้หญิงที่เขาไม่รู้จัก ทว่ากลับไม่ยอมมองว่าที่คู่หมั้นอย่างเต็มตา ซึ่งเธอแนะนำให้เขารู้จักหญิงสาวแปลกหน้าว่าเป็นเพื่อนสนิทเธอเอง
“กล้วยสวยไหมคะคุณหมอ” ปุษยาถามยิ้มๆ แม้จะยังรู้สึกเคืองไม่หายที่เคยได้ยินปณิธินินทาเพื่อนรัก แต่ในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นคู่หมั้นที่เข้ามาช่วยกู้สถานการณ์เลวร้ายให้กัทลีรัตน์ไปแล้ว หล่อนก็ยินดีจะเป็นมิตรด้วย
“ครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ...สุภาพจนกัทลีรัตน์ขนลุกและคิดว่าเขาต้องเป็นนักแสดงที่เก่งกว่าเธอสิบเท่าแน่ๆ
“แหม แต่ไม่เห็นคุณหมอจะตื่นเต้นเลยสักนิด ยัยกล้วยเป็นคนขาวมากก็เลยแต่งหน้ายากสักหน่อย จะโบ๊ะหนาๆ หรือหนักมือไปก็ไม่ได้ ขนาดลุคสวยใสธรรมชาติๆ แบบนี้ปุ้มใช้เวลาประโคมตั้งสองสามชั่วโมงเลยนะคะ” ปุษยาอดไม่ได้ที่จะบ่นพลางค้อน
“ปกติเขาก็สวยอยู่แล้วนี่ครับ”
ปุษยาชะงักพลางเลิกคิ้วแล้วก็ทำหน้ามุ่ย “ฟังดูเย็นชาแล้วก็เข้าใจยากจังนะคะ”
“บางทีผมอาจจะโมโหนิดหน่อยตรงที่กระโปรงกล้วยตัวนี้สั้นเกินไป คืนนี้ผมคงต้องอารมณ์เสียแน่เวลาเจอสายตาหื่นๆ หลายคู่คอยมองตาม”
กัทลีรัตน์แก้มร้อนผ่าว เธอรู้สึกเหมือนถูกเขาแดกดันกลายๆ ด้วยคำพูดนั้น ในขณะที่ปุษยากลับทำตาโตก่อนจะมองทั้งสองคนสลับกันอย่างล้อเลียน “ต๊ายตาย คุณหมอเป็นคนขี้หึงเหรอคะเนี่ย”
ปณิธิหัวเราะโดยไม่ตอบโต้คำพูดนั้น ก่อนจะบอกว่าพวกเขาคงต้องรีบไปก่อนจะสาย ทว่าก่อนจะทันได้ขึ้นรถ มีเก๋งยุโรปคันโตปราดเข้ามาจอดหน้ารถคันที่ปณิธิขับมา
“แม่!” กัทลีรัตน์อุทานอย่างตกใจ
ปณิธิชะงักกึก แทบจะเผลอกลอกตาเมื่อเห็นแพทย์หญิงนภาลงจากรถมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งสุดขีด เขาฝืนใจยกมือไหว้ ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็รับไหว้ด้วยท่าทางแข็งขืนพอกัน ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างทั้งคู่ยังคงอยู่เต็มเปี่ยมอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกแต่งตัวจะไปไหนยัยกล้วย”
“ไปงานแต่งน้องสาวผมครับ” ปณิธิชิงตอบ
นภาตวัดตามองปณิธิอย่างขุ่นขวางก่อนจะเบนกลับไปหาบุตรสาว “แม่ไม่ให้ไป คิดจะเปิดตัวเอิกเกริกกันขนาดไหนนักหนาถึงได้จะควงออกงานตอนนี้ แม่ไม่เห็นด้วยเด็ดขาด”
“แค่งานแต่งน้องสาวผม ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร”
“ไม่ใหญ่โตงั้นเหรอ นักข่าวคงรอทึ้งยัยกล้วยเต็มงานไปหมดแล้ว ซึ่งฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น”
“แต่จนป่านนี้ความเห็นคุณคงไม่มีผลอะไรอีกแล้วล่ะครับ”
“ฉันเป็นแม่ยัยกล้วย ต่อให้แต่งงานมีลูกไปแล้วเป็นพรวนความเห็นของฉันก็จะยังมีอิทธิพลต่อลูกสาวเสมอ จริงไหมลูก”
“แม่รู้ได้ยังไงคะว่าหนูกำลังจะไปไหน” หญิงสาวไม่ตอบแต่ถามกลับแทน เธอแน่ใจว่าแม่ทราบอยู่แล้วจึงโผล่มาห้ามอย่างถูกเวลาเช่นนี้
“พ่อของลูก...โทรมาบอกแม่เอง” นภาไม่สามารถพูดต่อหน้าเพื่อนสนิทของลูกสาวได้ว่ารัตนชัยโทรศัพท์มายั่วโทสะด้วยการเย้ยว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างปณิธิกับกัทลีรัตน์กำลังพัฒนาไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทางที่จะเป็นแค่เรื่องโกหกตลอดไป ซึ่งนภาไม่อาจทำใจยอมรับมันได้
“ขอโทษนะครับ เราต้องรีบไปแล้ว มีอะไรค่อยกลับมาคุยกันทีหลังได้ไหมครับ”
“แต่คุณไม่ควรพายัยกล้วยไปร่วมงาน”
“หนูเป็นคนบอกให้พาไปเองค่ะแม่”
“อะไรนะ!”
“พี่จุ๊บแนะนำให้...เรา...เริ่มออกงานด้วยกันบ้างค่ะ” ปณิธิเหลือบมองว่าที่คู่หมั้นด้วยความแปลกใจที่เธอทำราวกับต้องการปกป้องเขาจากผู้เป็นแม่
“แต่แม่ไม่เห็นด้วย”
“ขอโทษนะครับ เราต้องไปแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มขัดเสียงเรียบ
“เอาล่ะ ก็ได้” นภากล่าวอย่างหัวเสียโดยไม่เหลือบมองปณิธิสักแวบเดียว “คืนนี้กลับกี่โมงโทรหาแม่ด้วยนะ เผื่อแม่เสร็จธุระแล้วจะแวะมารออยู่ที่นี่ แม่อยากคุยกับลูก”
ปณิธิแทบจะถอนหายใจออกมาแรงๆ เมื่อนภาขึ้นรถของหล่อนขับจากไป “ผมกับแม่คุณคงไม่มีทางญาติดีกันได้แน่ คุณหนักใจรึเปล่า”
คนถูกถามคิดตามไม่ทัน จึงได้แต่มองตาเขาโดยไม่ตอบ
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวก็สาย ป่านนี้นักข่าวมารอกันเต็มแล้วก็ไม่รู้”
ปณิธิได้ยินแล้วแทบจะสะดุ้งเฮือกเพราะคำว่า ‘นักข่าว’ จากปากปุษยา เขาคงบ้าตายก่อนแน่หากต้องโดนรุมสัมภาษณ์พร้อมกับกัทลีรัตน์ ต่อให้เตรียมใจดีอย่างไรเอาเข้าจริงก็คงทำใจไม่ได้ง่ายๆ ในเมื่อเขาไม่ใช่ดารานักแสดงที่คุ้นเคยกับการถูกจับตาหรือซอกแซกเรื่องส่วนตัว และเขาจะไม่ยอมทนทรมานกับสภาพเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด!
กัทลีรัตน์ทราบดีว่าแม่ของเธอทำให้ปณิธิหงุดหงิดมากแค่ไหน ระหว่างทางเขาได้คุยโทรศัพท์สายหนึ่งกับใครสักคน แล้วจากนั้นก็ไม่พูดอะไรกับเธอเลยจนมาถึงโรงแรม แต่แทนที่เขาจะรีบพาเธอไปยังห้องจัดเลี้ยงกลับนำขึ้นไปห้องพักของเขาแทน โดยให้เหตุผลว่าลืมหยิบแหวนลงมา และเขาต้องการให้เธอสวมแหวนก่อนเผชิญหน้ากับใครๆ
“แล้ว...หมอมิ้นท์ล่ะคะ” กัทลีรัตน์หลุดปากออกไปจนได้ระหว่างอยู่ในลิฟต์กับเขา
ปณิธิหันมาสบตาเธอแวบเดียวโดยไม่แสดงความรู้สึก “คงอยู่กับน้องสาวผม”
“ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน...คุณคงมางานนี้กับเขาใช่ไหม”
“ก็คงอย่างนั้น” ชายหนุ่มตอบ
ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ควรถาม แต่เธอกลับห้ามตัวเองไม่อยู่ และคำตอบเรียบง่ายที่ได้รับก็ทำให้เจ็บปลาบแปลบในใจอย่างไม่น่าเชื่อ “ที่จริง...ฉันแทบไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณเลย”
“แต่ผมรู้เรื่องคุณเยอะนะ จากพวกข่าวก๊อสซิปไม่ก็จากเนื้อหาที่คุณเคยให้สัมภาษณ์” เขาตอบขณะเดินตามหลังเธอออกจากลิฟต์
คนฟังเม้มปาก รู้สึกไม่ชอบใจอย่างไร้เหตุผลกับคำตอบดังกล่าว “แต่ข้อมูลบางอย่างจากข่าวพวกนั้นมันไม่ใช่ความจริง แม้แต่บทสัมภาษณ์ก็มีส่วนที่บิดเบือน”
“แค่คู่หมั้นกำมะลอทำไมต้องรู้อะไรละเอียดนักล่ะ”
ทั้งที่สะอึกหากเธอทำเป็นไม่รู้สึก “ยังไม่รู้เลยนี่คะว่าเราต้องอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหน ตราบใดที่คุณยังยินดีจะร่วมมือ ฉันก็อยากให้ทุกอย่างแนบเนียนที่สุด”
ปณิธิหันมาสบตาเธอแวบหนึ่งด้วยประกายประหลาด แล้วพยักหน้าพลางหันไปเสียบคีย์การ์ดกับประตูห้องพัก “ผมเข้าใจแล้ว”
ตอนนี้กัทลีรัตน์แน่ใจแล้วว่านอกจากเขาจะไม่ชอบเธอ เขายังชอบผู้หญิงคนอื่นอยู่อีกด้วย แต่เธอกลับเสียสติจนไม่อาจยับยั้งความรู้สึกลึกซึ้งที่กำลังแพร่ขยายและหยั่งรากลึกลงในหัวใจได้เลย
หญิงสาวเข้าไปยืนรอในห้องพักเงียบๆ จนกระทั่งร่างสูงผละจากกระเป๋าเดินทางมาหยุดตรงหน้าเธอ “ส่งมือให้ผม”
เมื่อถูกออกคำสั่งหัวใจเธอก็เต้นแรงขึ้น เพราะทีแรกเข้าใจว่าเขาจะส่งแหวนให้เธอสวมเอง เธอกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าทันทีที่ส่งมือให้เขาและสัมผัสกับมือใหญ่ร้อนผ่าว ทั้งที่รู้แก่ใจว่าเขาไม่รู้สึกอะไรด้วย แต่ในยามนี้สายตาของเขากลับมีอำนาจทำให้ลมหายใจเธอติดขัดไปหมด
“เพื่อนผมโทรบอกว่ามีนักข่าวหลายคนมารอคุณอยู่ในงาน ตอนงานหมั้นของเราเองมันคงแย่ยิ่งกว่านี้หลายเท่า ผมจำเป็นต้องหัดทำใจกับสภาพนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ใช่ไหม” เขากล่าวเรียบเรื่อยขณะจับมือเธอไว้โดยไม่ยอมสวมแหวนให้ง่ายๆ กัทลีรัตน์มองที่มือก่อนจะช้อนตามองเขา
“ฉันขอโทษที่ทำให้คุณลำบาก”
“ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะทนได้แค่ไหน แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าถ้ามันจำเป็นก็จะยอมแต่งงานกับคุณ”
หัวใจคนฟังกระตุกวาบ ก่อนจะกระหน่ำรัวในอกด้วยความตกใจอย่างคาดไม่ถึง เธอเบิกตาโตมองหน้าเขาค้าง
“พ่อคุณตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คุณเองก็ให้ข่าวไปแล้วด้วยว่าเราจะแต่งงานภายในปีนี้ ผมอาจจะหงุดหงิดมาก แต่ก็ยินดีรับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนผิดตั้งแต่แรกด้วย แต่...”
“แต่อะไรคะ” เธอถามทันควันด้วยความอยากรู้จนลืมตัว
“เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผมยอมทำทุกอย่างนี้เพื่อคุณ สัญญาอะไรกับผมอย่างหนึ่งได้ไหม”
“สัญญาอะไรคะ”
“หลังจากเราแต่งงานกัน คุณจะต้องยอมทำตามคำขอร้องของผมสามข้อโดยไม่มีข้อแม้”
“คะ?”
“ผมสัญญาว่ามันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องทางการเงิน และจะไม่ขอให้คุณทำเรื่องผิดศีลธรรมอย่างแน่นอน”
“มันเกี่ยวกับเรื่องอิสระของคุณรึเปล่าคะ อย่างเช่น...การขอหย่า หรือการมีผู้หญิงอื่น ถ้าเป็นเรื่องทำนองนี้ฉันไม่มีปัญหา เพียงแต่คุณต้องระวังไม่ให้เป็นข่าวจนฉันเดือดร้อน”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ปิดแววหวั่นไหวไม่มิด รวมถึงแววตาบ่งบอกอาการสะเทือนใจของคนพูดทำให้ปณิธิเผลอยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางส่ายหน้า “ผมยังบอกตอนนี้ไม่ได้ว่าจะขออะไรคุณหลังแต่งงาน คุณแค่สัญญาเท่านั้น”
กัทลีรัตน์พยายามอ่านสิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา ทว่าเธอไม่พบอะไรเลย เธออาจจะไม่ได้โง่นัก แต่มันคงเป็นเพราะปณิธิเจตนาจะปิดกั้นความคิดทุกอย่างของเขาจากเธอ
“ไม่ไว้ใจผมรึไง”
“ถ้ามันแย่มากนักฉันก็จะไม่ทำ” ปณิธิจ้องตาเธอ ดวงตาคมกริบเปล่งประกายระยับจนคนมองถึงกับเข่นเขี้ยวในใจว่าเขาช่างเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ที่สุด!
“มันไม่แย่มากจนคุณทำไม่ได้หรอก”
หญิงสาวประสานสายตากับเขานิ่งนานก่อนจะพยักหน้าในที่สุด “ถึงจะไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร แต่ถ้าเทียบกับการเสียสละที่คุณทำเพื่อฉันทั้งหมดนี้แล้วฉันก็คงปฏิเสธอะไรไม่ได้ ตกลงค่ะ ฉันสัญญา”
อาการประชดประชันที่แฝงมาในคำพูดดังกล่าวทำให้ปณิธิขยับยิ้มเล็กน้อย “อย่างน้อยผมก็เบาใจได้ว่าคุณคงไม่เกลียดผมเหมือนที่แม่คุณเกลียด คุณไม่ได้มองผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่แม่คุณมอง”
เธอก้มหน้าลงมองที่มือเมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลังสวมแหวนให้ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าเล็กน้อยเพื่อข่มอารมณ์หลากหลายที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางพยายามขยับตัวออกห่างเมื่อเขาสวมแหวนเสร็จ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อย แถมยังรั้งเธอเข้าใกล้ยิ่งขึ้น กัทลีรัตน์สะท้านเพราะกลิ่นอายและไอร้อนจากร่างสูงที่แผ่มาถึง
“แต่คุณเกลียดฉัน...เหมือนที่คุณเกลียดแม่”
“คุณคิดไปเอง”
“เพราะคุณทำให้ฉันต้องคิด” ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเขาเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกันอย่างชัดเจน “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณต้องการอะไรถึงยอมปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ ทั้งที่คุณ...อาจจะรักคนอื่นอยู่ด้วยซ้ำ...” คำพูดสุดท้ายขาดห้วงเล็กน้อยเมื่อวงแขนของเขาโอบกระชับร่างเธอแน่นขึ้น เธอไม่รู้สึกว่าชุดที่สวมโป๊เลยสักนิดจนกระทั่งถูกเขากอดเอาไว้อย่างแนบชิด บางทีถ้าเธอสวมชุดที่มีแขนและกระโปรงยาวขึ้นอีกสักสองสามคืบ สัมผัสร้อนๆ ของเขาคงไม่ทำให้วาบหวิวเหมือนจะเป็นลมเช่นนี้ได้
“อย่าพยายามเดาอะไรจากพฤติกรรมของผม เพราะคุณไม่มีทางเดาถูก ผมไม่ใช่คนอ่านง่ายหรือเป็นอย่างที่ใครๆ มักคิดว่าผมเป็น” ใจเธอเต้นแรงเมื่อรู้สึกถึงสายตาท้าทายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ รู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่ปะทะผิวหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “เราจะรู้จักกันมากขึ้นเองเมื่อเราใกล้ชิดกันมากกว่านี้”
เธอคงบ้าไปแล้วที่ไม่พยายามขัดขืนเลยสักนิดเมื่อเรียวปากเขาคืบใกล้เข้ามาและแนบสนิทลงบนริมฝีปากของเธอ กัทลีรัตน์รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน และไม่อยากจะยอมรับเลยว่าวินาทีก่อนหน้านี้เธอเผลอแยกเผยอริมฝีปากออกเพื่อต้อนรับเขาอย่างเต็มใจมากแค่ไหน มันราวกับว่าเธอยิ่งกว่ายินดีด้วยซ้ำเมื่อยอมให้เรียวลิ้นของเขารุกแทรกเข้ามาหาลิ้นของเธอ และปล่อยให้เขาโอ้โลมเธอด้วยประสบการณ์ที่เธอไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต
“บางที...อีกไม่นานคุณอาจจะต้องเสียใจที่เลือกแก้ปัญหาด้วยการดึงผมเข้าใกล้ตัวแบบนี้” ปณิธิเอ่ยออกมาเมื่อถอนริมฝีปาก กระแสเสียงแตกพร่าของเขากลับทำให้สติของเธอที่กำลังจะละลายหายไปยิ่งพร่าเลือนมากขึ้นไปอีก “เพราะผมเป็นผู้ชายไว้ใจไม่ได้ เห็นแก่ตัว และร้ายกาจกว่าที่คุณคิด”
“...”
“ตอนนี้...คุณพอจะเดาได้รึยังว่าอย่างหนึ่งที่ผู้ชายเห็นแก่ตัวแบบผมต้องการจากคุณคืออะไร” น้ำเสียงห้าวทุ้มของเขาเอ่ยออกมาเหมือนจงใจยั่วเย้า ซึ่งมันมีผลทำให้อาการสั่นเทาของเธอเพิ่มขึ้น เขาจึงกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม ทว่ามันกลับทำให้เธอสะดุ้งเฮือก
“มะ...ไม่...ไม่...ไม่ค่ะ ฉันไม่รู้ ปล่อยฉันเถอะค่ะ!” เธอละล่ำละลักราวกับเพิ่งรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยันอกเขาด้วยมือสั่นๆ หวาดกลัวต่อการแนบสนิทกันจนรู้สึกถึงเขาได้แทบทุกอณู ซึ่งมันทำให้เธอเหมือนจะคลั่ง
“บางที...ถ้าไม่มีแม่คุณโผล่มาเตือนในหัวผมทุกนาที สถานการณ์ระหว่างเราก็คงดีกว่านี้” เขาพูดพร้อมกับคลายแรงกอดกระชับแต่ยังไม่ยอมปล่อยเธอจากวงแขน
“เป็นเพราะคุณคิดว่าฉัน...ดูเหมือนดาราหนังโป๊ที่คุณเคยเห็นหรืออาจจะเคยชอบ คุณก็เลยคิดจะทำ...แบบนั้นได้ทั้งที่คุณไม่ได้รักหรือรู้สึกอะไรกับฉันเลย...อย่างนั้นใช่ไหม”
คำถามที่เธอโพล่งออกมาอย่างเผลอตัวนั้นทำเอาคนฟังอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาคมกริบที่จ้องมองแก้มแดงจัดของเธอมีแววยิ้มขณะส่ายหน้าช้าๆ “บอกแล้วไงว่าอย่าเดาไปเอง”
“แต่บางทีฉันอาจจะยอมทุกอย่างตามที่คุณต้องการโดยไม่ต้องรอเวลานานกว่านี้ แค่คุณบอกว่ารักฉัน แต่มีข้อแม้ว่า...คุณต้องรักฉันจริงๆ ด้วยนะคะ” กัทลีรัตน์ใจเต้นแรงแทบระเบิด เธอรู้สึกตกใจแทบช็อกกับข้อเสนอกล้าได้กล้าเสียของตัวเอง แต่ตอนนี้เธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความมึนเมาในอารมณ์บางอย่างที่ล้ำลึกจนควบคุมไม่ได้ “ฉันจะยอมทำทุกอย่าง...เพื่อคนที่รักฉันอย่างจริงใจเท่านั้น”
“คุณแค่กำลังพยายามล่อหลอกอะไรผมอยู่ใช่ไหม”
“เปล่า” เธอปฏิเสธทั้งที่เขาพูดถูก “ฉันพูดจริงๆ”
“ถ้าผมโกหกล่ะ”
“ฉันจะจับได้”
“คุณจับไม่ได้หรอก”
“งั้นคุณก็ลอง...”
ปลายนิ้วเรียวของเขาแตะลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอ “อย่าท้า เพราะผมจะไม่มีทางพูดอะไรตอนนี้”
“ถ้างั้นก็ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย!” เธอถลึงตาวาววับมองเขาด้วยความโกรธที่พลุ่งขึ้นมาแทนอารมณ์หวามไหวและความรู้สึกคาดหวังก่อนหน้านี้
“คุณยังไม่ได้โอนเงินค่าแหวนมาคืนผมใช่ไหม”
คนถูกถามชะงัก ทำหน้านิ่ว ตามเขาไม่ทัน “ยังค่ะ”
“งั้นผมก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะเอาเปรียบคุณ เพราะคุณยังไม่ได้ทำตัวเกเรให้ผมโมโห”
“แปลว่าคุณตั้งใจจะล่วงเกินฉัน...ถ้าฉันโอนเงินค่าแหวนคืนงั้นเหรอ”
“ก็...อาจจะ”
คนฟังคำตอบหน้าแดงซ่านขึ้นทันควัน แม้กระทั่งในการแสดงทั้งหมดที่ผ่านมา เธอยังไม่เคยเจอตัวละครไหนที่รับมือยากเท่าเขา เธอคงเป็นบ้าตายแน่หากต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอย่างเขาจริงๆ
ปณิธิลอบยิ้มเมื่อเห็นพวงแก้มขาวเนียนแดงเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นด้วยเลือดฝาด เขาปล่อยเธอเป็นอิสระในที่สุด “เราต้องรีบลงไปข้างล่างแล้ว คุณควรจะเติมลิปสติกอีกนิดหน่อย ส่วนผม...” เขาหยุดพูดพลางหันไปดึงทิชชูบนโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้ๆ มาเช็ดริมฝีปากตัวเองแรงๆ ก่อนจะจ้องหน้าเธอแล้วถาม “เกลี้ยงรึยัง”
คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้างงๆ แน่ใจที่สุดว่าไม่เคยมีใครทำให้เธอพิศวงและมึนมากขนาดนี้มาก่อน “ค่ะ”
หลังจากกัทลีรัตน์จัดการความเรียบร้อยของตัวเองเสร็จ ปณิธิจึงเดินไปดึงคีย์การ์ดจากที่เสียบ แล้วเปิดประตูห้องเพื่อให้เธอออกไปก่อน “ที่จริงแล้วนอกจากมาเอาแหวน ผมไม่ได้พาคุณขึ้นมานี่เพื่อเอาเปรียบโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ”
คนที่กำลังจะเดินผ่านชะงักเท้า หันมามองเขาด้วยสีหน้าพิศวง “หมายความว่ายังไงคะ”
“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณต้องอยู่กับผมต่อหน้าสื่อในฐานะว่าที่คู่หมั้น ผมกลัวว่าเราสองคนจะดูห่างเหินจนไม่มีใครเชื่อว่าเราเป็นคู่รักกันจริงๆ”
“แล้วตอนนี้มันต่างออกไปยังไงคะ”
“คุณไม่รู้สึกจริงๆ หรือว่าจูบเมื่อกี้นี้ทำให้เราเปลี่ยนไปแล้ว” เขาบอกเสียงเรียบพลางรุนหลังเธอเพื่อพาเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะดึงประตูปิดอย่างเบามือ “เรากำลังจะได้พิสูจน์ด้วยกันเดี๋ยวนี้แหละ”
ความคิดเห็น