คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4
บทที่ 5
บนโต๊ะทำงานของมหาวิทยาลัยมีแฟ้มที่นักศึกษาชั้นปีที่สี่ส่งหัวข้อทำรายงานก่อนจบการศึกษาไว้รอการอนุมัติจากเขา ศศวัตหยิบแฟ้มงานทั้งสิบชุดขึ้นมาพิจารณาว่าหัวข้อใดผ่าน หัวข้อใดไม่ผ่าน ก่อนจะเรียกตัวแทนกลุ่มเข้ามารับรายงานกลับไปทีละกลุ่ม
“ผมว่ารายงานกลุ่มพวกคุณน่าสนใจมาก”
“ขอบคุณครับ” ดำรงวิทย์ยิ้มหน้าบาน
“แต่แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำเพื่อสนองความต้องการตัวเอง” อาจารย์หนุ่มเอ่ยกึ่งแซวกึ่งดักคอ
“แหม...อาจารย์ครับ เราก็ต้องทำรายการที่เราสนใจใคร่รู้ด้วยสิครับ ถ้าเราอยากรู้คนดูก็คงอยากรู้เหมือนกัน”
“จริง” ศศวัตพยักหน้ารับ “ตามติดชีวิตพริตตี้ คงทำให้ผู้ชมผู้ชายอยากรู้เป็นจำนวนมาก ส่วนผู้หญิงก็คงเช่นกัน ผมถึงให้ผ่านเพราะน่าจะเป็นชีวิตที่น่าสนใจไม่น้อย ลองไปทำทรีตเมนต์มาเสนอก่อนแล้วกัน ผมอยากรู้ว่าพวกคุณจะนำเสนอแนวไหน”
“ครับอาจารย์”
ณัฐนรีย์รู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะอาละวาดใส่ใครสักคน...ใครก็ได้ เพื่อระบายความอึดอัดคับแค้นใจ
‘น้อง...หัวหน้าพี่เขาสนใจอยากไปกินข้าวกับน้อง พี่เลยอยากรู้ว่าน้องคิดราคายังไง พี่จะได้บอกหัวหน้าถูก’
ประโยคทาบทามที่แม้ไม่ตรงเผงจนสามารถตอบโต้ด้วยถ้อยคำผรุสวาทได้ แต่ถึงอย่างไรก็แปลได้ว่าต้องการซื้อบริการจากเธอนั่นเอง ตั้งแต่เข้าวงการนี้มาเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งแรกที่ณัฐนรีย์หงุดหงิดเช่นกัน เธอยังทำใจให้คุ้นกับมันไม่ได้ ต่อให้โดนทาบทามทุกวัน ทุกชั่วโมงก็เถอะ
ในวงการพริตตี้ หญิงสาวที่รักการพรีเซนต์งานจริงๆ ชอบที่จะทำงานด้านนี้จริงๆ โดยไม่คิดทำงานไซด์ไลน์ควบคู่ไปด้วยก็มี แต่กลับโดนเหมารวมไปเสียเกือบหมด สำหรับณัฐนรีย์รายได้จากงานนี้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างพอมีพอกิน พอส่งกลับบ้านโดยไม่ต้องดิ้นรนทำงานที่ลดศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงของตัวเอง เธอไม่เคยคิดขายตัวแลกกระเป๋า รองเท้า หรือคอนโดมิเนียมหรูหรา แต่กลับต้องพบเจอการขอซื้อบริการบ่อยๆ บางรายเธอปฏิเสธยังโดนกล่าวหาว่าหาเรื่องโก่งค่าตัวอีกต่างหาก ยิ่งงานส่วนใหญ่ที่เธอได้รับเป็นพริตตี้รถยุโรปราคาสูงกลับเหมือนตลาดต้องการเนื้อหนังของเธอมากขึ้น บรรดารุ่นพี่ที่หมดอายุการทำงานเป็นพริตตี้แล้วบางคนก็ผันตัวมาเป็นนายหน้าค้าเนื้อสดของสาวๆ พริตตี้แทน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ณัฐนรีย์หงุดหงิด ทำไมผู้หญิงถึงคิดหากินกับการขายศักดิ์ศรีของคนเพศเดียวกันได้อย่างไม่ละอายเลย
“แนท” แล้วอยู่ๆ ชะตาก็ส่งคนที่จะมารองรับอารมณ์หงุดหงิดของเธอจนได้ “เสร็จงานแล้วใช่ไหม”
“มาดักรอแนทอีกแล้วเหรอชาญ” ณัฐนรีย์โวยวายใส่แฟนเก่า “ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่อง ต้องให้แนทบอกอีกสักกี่ครั้งว่าระหว่างเรามันไม่มีอนาคตและปัจจุบัน เพราะเราจบกันไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว”
เธอไม่รู้จริงๆ ว่าชาญวิทย์ไปสืบรู้ตารางการทำงานของเธอมาจากไหน ขนาดวันนี้เธอมาทำงานในห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอ็นด์กลางกรุง เขายังตามมาเจอจนได้
“ผมไม่เคยยอมรับว่ามันจบ”
“บ้า...พูดไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว” พริตตี้สาวหันหลังเดินหนี แต่กลับโดนกระชากจนตัวปลิวกลับมาปะทะแผ่นอกหนา
“อย่ามาทำกับผมแบบนี้นะแนท ความอดทนผมมีจำกัด”
“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกนะที่ความอดทนจำกัด แนทเองก็หมดความอดทนที่จะพูดดีๆ กับคุณแล้วเหมือนกัน”
เสียงทุ่มเถียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินเลือกซื้อสินค้าในบริเวณนั้น ยิ่งประกอบกับการยื้อยุดที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตา
“จะปล่อยดีๆ หรือจะให้แนทร้องให้คนช่วย”
“ไม่อายก็ตะโกนเลย ผมจะบอกว่าเรื่องของผัวเมีย ดูซิหน้าไหนมันจะกล้ามาแหย็ม”
“ไอ้ทุเรศ ฉันไม่เคยเป็นเมียแก แล้วคนที่ควรอายก็คือผู้ชายที่รังแกผู้หญิงต่างหาก” ยิ่งอีกฝ่ายแสดงสันดานดิบออกมามากเท่าไหร่ ณัฐนรีย์ยิ่งไม่เหลือความรู้สึกดีให้มากเท่านั้น
“ใครเค้าจะเชื่อ อยากลองดูไหมล่ะเพราะผมไม่อาย”
“ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ” หญิงสาวงัดวิชาการต่อสู้ที่เคยเรียนรู้มาบ้างเพื่อป้องกันตัวขึ้นมาใช้ โดยการบิดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุม ใช้ส้นเข็มของรองเท้าส้นสูงกระแทกและบดขยี้ลงไปแรงๆ บนหลังเท้าของฝ่ายชายซึ่งไม่ทันตั้งตัว จนหลุดเป็นอิสระได้สำเร็จ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกระโดดเหยงๆ ด้วยความเจ็บปวดวิ่งหนีไปด้วยความรวดเร็ว ได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมาว่า
“ปล่อยกูนะ รู้ไหมว่ากูลูกใคร”
หันไปมองขณะที่ยังไม่หยุดซอยเท้าวิ่ง เห็นว่า รปภ. เข้ามารวบตัวชาญวิทย์ไว้ อาจจะเพราะมีบุคคลใจดีช่วยแจ้งให้ตั้งแต่ทั้งสองยื้อยุดกัน ทำให้ รปภ. เข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็วสมกับเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ณัฐนรีย์เหยียดปากยิ้มก่อนจะรีบวิ่งหนีไปขึ้นรถขับออกจากลานจอดด้วยความรวดเร็ว ภาวนาว่านับจากนี้ไปชาญวิทย์จะไม่มาตอแยกับเธออีกแล้ว สำหรับเขาเธอก็แค่ของเล่นที่ยังเล่นไม่เบื่อทำให้ไม่อยากทิ้งเท่านั้นเอง แต่สำหรับเธอเขาคือฝุ่นผงที่จะปล่อยให้ติดอยู่ในตาไม่ได้ ยิ่งเขี่ยออกเร็วเท่าไหร่ตาของเธอก็จะบอบช้ำน้อยลงเท่านั้น
ณัฐนรีย์พาร่างเล็กๆ บางๆ ของตัวเองมาเดินเล่นด้วยก้าวที่เนิบช้า บนถนนสายที่นับว่าจอแจพอสมควร อารมณ์คืออยากเดินเล่น แต่ไม่อยากไปเดินเล่นที่เปลี่ยว และพอดีซอยหอพักของเธอก็จัดเป็นถนนสายที่เป็นทางลัดโผล่ที่นั่นที่นี่ได้มาก ปรากฏว่ารถยนต์เลยมากตามไปด้วย การเดินเล่นครั้งนี้จึงไม่ต่างจากการผจญภัย
‘พี่แนท โน้ตอยากได้คอมพิวเตอร์ พี่แนทซื้อให้ก่อนได้ไหม แล้วพอโน้ตเรียนจบโน้ตจะทำงานมาใช้หนี้พี่แนท’
‘พี่แนท นุชต้องตัดชุดเชียร์ลีดเดอร์ แล้วก็ต้องซื้อรองเท้านักเรียนรองเท้าพละใหม่ด้วย ของเก่ามันขาดด้วยคับด้วย พี่แนทส่งเงินมาให้หน่อยนะ’
‘แนท พอจะมีเงินไหมลูก เดือนนี้แม่ต้องขอเพิ่มมาซ่อมหลังคาหน่อย หน้าฝนที่แล้วมันรั่วหลายจุดเลย นี่จะเข้าฝนอีกแล้ว หม้อบ้านเราไม่พอรองน้ำแล้วลูกเอ๊ย’
ทุกคนมีเหตุจำเป็นต้องใช้ ในขณะที่เธอมีเหตุจำเป็นให้ต้องหา...ทุกวันนี้เธอแค่พยายามใช้เงินให้พอเดือนชนเดือนก็ว่ายากแล้ว รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของเธอสำหรับต้องเลี้ยงดูสี่ปากท้องรวมตัวเองด้วยนั้นถือว่าหนักหนาจริงๆ การที่เธอต้องทำงานเป็นพริตตี้ก็เพราะรายได้มากกว่าพนักงานประจำ แต่รายได้ก็ไม่มั่นคงรวมถึงสวัสดิการต่างๆ ก็ไม่มี หากเจ็บป่วยเธอไม่มีสวัสดิการสังคมรองรับ เบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ กู้ยืมเงินกองทุนก็ไม่ได้ ตัวเลขในบัญชีก็ไม่มากพอที่จะเอาไปกู้เงินจากสถาบันการเงิน รวมไปถึงบัตรเครดิตซึ่งรูดจนวงเงินเต็มแล้วเต็มอีก ทุกเดือนเธอต้องแบกรับดอกเบี้ยบัตรเครดิตไม่ใช่น้อย แต่ไม่ใช้ก็ไม่ได้ เพราะในยามคับขันแบบสุดๆ บัตรเครดิตสามารถช่วยได้จริงๆ
เธอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีพอตัว หากไปทำงานเป็นพนักงานประจำในหน้าที่ที่เหมาะกับความสามารถ เธออาจจะมีเงินเดือนเกือบสองหมื่นบาท ในขณะที่รายจ่ายประจำต่อเดือนนั้นเกือบสามหมื่นบาทเข้าไปแล้ว ณัฐนรีย์จึงยังคงต้องยึดอาชีพพริตตี้ไปจนกว่าน้องชายจะเรียนจบชั้นอุดมศึกษามาช่วยแบ่งเบาภาระ อีกสองปีเธอน่าจะพอหายใจหายคอได้บ้าง
“คุณแนท” ศศวัตชะลอรถและเบี่ยงเข้าข้างทาง ก่อนลดกระจกข้างลงทักเสียงดังแข่งกับเสียงรอบตัว “มาเดินทำอะไรครับ ขึ้นรถดีกว่าเดี๋ยวผมไปส่ง”
ณัฐนรีย์ส่ายหน้าดิก พร้อมรอยยิ้มเปิดเผย “ไม่เป็นไรค่ะ แนทแค่ออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลา”
“งั้นขึ้นรถเถอะครับ อันตราย รถราก็เยอะด้วย มันไม่ใช่ที่เดินเล่นเลย ฟุตบาธก็ไม่มี เร็วสิครับ” ชายหนุ่มออกปากเร่ง ประกอบกับรถคันหลังที่ต้องชะลอตัวเบี่ยงหลบรถของศศวัตบีบแตรไล่ ณัฐนรีย์จึงตัดสินใจยอมก้าวขึ้นรถที่สะอาดเอี่ยมเป็นระเบียบยิ่งกว่ารถเธอเองเสียอีก
“นึกยังไงครับมาเดินเล่นในซอยวัชรพล”
ณัฐนรีย์หัวเราะหึๆ ก่อนตอบ “นึกเพี้ยนๆ มั้งคะ แล้วนี่คุณสิงห์กำลังจะไปไหนหรือคะ”
“ผมจะไปห้างสรรพสินค้าหน่อยครับ พอดีโน้ตบุ๊กผมมันเริ่มเกเร ต้องพาไปพบช่างหน่อย” ศศวัตนิ่งไปครู่ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคุณแนทว่างไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิครับ เดินเล่นในห้างน่าจะดีกว่าเดินเล่นริมถนนแบบเมื่อกี้”
ณัฐนรีย์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าสองสามที “ก็ได้ค่ะ แก้เซ็ง”
“เซ็งอะไรครับ”
“ชีวิตนี่แหละค่ะที่เซ็งสุดๆ” คนกำลังเซ็งหันหน้ามองออกไปนอกกระจก “บางครั้งแนทคิดว่าบุญเก่ากรรมชาติก่อนมันไม่มีจริงหรอก แต่บางครั้งก็เชื่อว่ามันมี”
อาจารย์หนุ่มเลือกที่จะเงียบแทนการซักต่อว่าหญิงสาวหมายถึงอะไร รอจนเธอพูดราวกับต้องการระบายออกมาอีกครั้ง
“ชาตินี้แนทถึงได้เจออะไรที่หนักๆ อยู่เรื่อย”
“หนักเท่าผู้หญิงคนนั้นไหมครับ” อยู่ๆ ศศวัตก็เอ่ยขึ้นพลางชี้นิ้วนำสายตาณัฐนรีย์ออกไปนอกกระจก เป็นภาพหญิงชราเข็นรถสามล้อขายกล้วยทอดอยู่ริมถนนพร้อมเด็กผู้หญิงวัยประมาณไม่เกินสิบขวบ “หรือหนักเหมือนเด็กคนนั้นที่น่าจะเป็นวัยเรียนหนังสือ ในวันหยุดก็ได้วิ่งเล่น แต่กลับต้องมาช่วยยายขายกล้วยทอด”
ณัฐนรีย์อึ้งไป ไม่แน่ใจว่าเจ้าของหอพักกำลังสื่อสารอะไรกันแน่ ระหว่างตำหนิหรือสั่งสอน
“ผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่องกรรม ผมเชื่อเรื่องผลของการกระทำมากกว่า บางสิ่งบางเรื่องที่เราต้องพบเจอก็เพื่อหล่อหลอมตัวตนของเรา เจอเรื่องหนักก็ต้องพยายามที่จะผ่านมันไป อย่าไปงมงายกับความเชื่อเรื่องกรรม”
“โห...สมกับเป็นอาจารย์จริงๆ เลยนะคะ แนทกลัวเลย นึกว่าหลุดกลับไปนั่งจดเลกเชอร์ในห้องเรียนอีก”
ศศวัตหัวเราะอย่างไม่ถือสาคำพูดราวเหน็บแนมนั้น แต่กลับเอ่ยขอโทษออกมา “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่อาจพูดอะไรรุนแรงไป ผมอยากจะบอกว่าการที่ยายคนนั้นยังต้องเดินขายกล้วยแขกอาจจะเพราะแกชอบ หรืออาจจะเพราะแกไม่อยากงอมืองอเท้ารอลูกหลานเลี้ยง แต่ไม่เกี่ยวกับกรรมว่าชาติที่แล้วแกทำอะไรมา ส่วนเด็กคนนั้นใจแกอาจจะรักยายมากจนอยากตามมาช่วย ไม่ใช่เพราะมีกรรมเก่า แต่ที่แน่ๆ ทั้งคู่ต้องเจออะไรหนักๆ อาจจะหนักกว่าคุณหรือเบากว่าคุณอันนี้ผมไม่ทราบ นอกจากคุณจะยอมเล่าว่าเรื่องหนักๆ ที่ว่าคืออะไร”
คราวนี้ณัฐนรีย์เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง “แนทว่าเป็นการถามที่ยอกย้อนที่สุดเท่าที่เคยเจอเลยนะคะ จริงๆ ถ้าอาจารย์ถามว่าเรื่องอะไรที่ว่าหนัก แนทคงเล่าไปแล้ว”
“ตอบแบบนี้แปลว่าคุณไม่เล่า”
“ค่ะ ใช่เลย” คราวนี้เลยกลายเป็นว่าทั้งคู่ผสานเสียงหัวเราะกัน เมื่อเสียงหัวเราะจางลง หญิงสาวเป็นฝ่ายชวนคุยต่อ “ทำไมคุณสิงห์มีท่าทีค่อนข้างแรงกับคำว่ากรรมนักล่ะคะ”
ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าลานจอดในห้างสรรพสินค้าใหญ่ของหัวเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ “เพราะผมไม่เชื่อในเรื่องกรรม”
บทที่ 6
หลังจากศศวัตนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไปให้ช่างตรวจเช็กแล้ว ช่างบอกว่ารอไม่เกินสองชั่วโมงจึงจะจัดการเสร็จ ศศวัตจึงเอ่ยชวนณัฐนรีย์เข้าไปนั่งรอในร้านกาแฟยอดฮิตซึ่งมีอาร์มแชร์นุ่มน่าสบายว่างอยู่ ฝ่ายหญิงเลือกคาปูชิโนร้อนที่มีฟองนมเนียนนุ่มอยู่บนกาแฟรสกลมกล่อม ส่วนฝ่ายชายเลือกเอสเพรสโซ่แบบเพิ่มความเข้มข้นลงไปอีกหนึ่งชอต
“กรรมคือผลของการกระทำ แต่ผมไม่ชอบที่คนเอามาอ้างว่าทำอะไรๆ ลงไปเพราะกรรมกำหนดการกระทำ” ศศวัตตอบในข้อข้องใจของหญิงสาวตรงหน้าต่อ “จะบอกว่าที่บางคนจนเพราะมีกรรม ไม่ใช่ คุณจนเพราะคุณ
ณัฐนรีย์พยักหน้ารับ แต่ก็ยังแย้งไปตามที่คิด “มันก็จริงค่ะ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ากรรมไม่มีจริงนี่คะ”
“ผลจากการกระทำมีจริงๆ ครับ”
“กรรมเก่าจากชาติที่แล้วก็อาจจะมีจริง”
“อันนี้เมื่อไหร่ที่มีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ออกมาผมอาจจะเชื่อ อาจจะนะครับ” ศศวัตยังคงยึดความคิดเดิมแบบไม่คิดจะตอบเอาใจผู้หญิงเลย
“อะไรที่ทำให้คุณคิดว่ากรรมไม่มีจริงล่ะคะ” หญิงสาวซักต่อด้วยความสนใจ
“เพราะผมเห็นว่าบางคนที่ทำอะไรไม่ดี ไม่มีกรรมเก่ากรรมใหม่อะไรมาทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจได้เลย เขาสุขสบายเพราะเขาเองไม่ยึดติดกับอะไร ไม่ผูกพัน และไม่รัก” ใบหน้าเคร่งขรึมปะปนไปด้วยความขมขื่นราวกับมีปมในเรื่องที่พูด จนณัฐนรีย์สัมผัสได้ว่ามันคือประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง “ซึ่งมันดีกับตัวเขาเอง ดีจนบางครั้งผมอิจฉา”
บรรยากาศที่ดีระหว่างทั้งคู่หม่นมัวลงไปอย่างรวดเร็ว จนชายหนุ่มเป็นคนปรับเปลี่ยนบรรยากาศเสียใหม่ด้วยการส่งยิ้มอ่อนโยนผ่านริมฝีปากบางและแววตายิบหยี
“วันก่อนลูกศิษย์ผมเสนอหัวข้อทำธีสิสมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับงานพริตตี้ที่คุณแนททำอยู่ จะสะดวกไหมครับถ้าผมจะให้ลูกศิษย์กลุ่มนี้ขอคำแนะนำจากคุณแนทบ้าง”
“ได้สิคะ แต่ไม่รู้ว่าแนทจะช่วยได้ขนาดไหน”
“แค่คุณแนทเต็มใจช่วยก็ดีมากแล้วครับ”
ณัฐนรีย์คลี่ยิ้มกว้าง แล้วในไม่กี่นาทีถัดไปศศวัตก็มีเบอร์มือถือของเธอ เหตุผลในการขอเบอร์พอฟังได้ แต่เมื่อมีเบอร์แล้ว เหตุผลที่จะโทรมาหากันบ้าง...จะมีไหมนะ
ร่างอวบอัดเต็มอิ่มเดินโซเซออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาเจียนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกถึงท้องออกมาจนหมด สัญชาตญาณบางอย่างบอกหล่อนว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ กำลังถือกำเนิดขึ้นมาในท้องของหล่อน ในใจอดที่จะปลาบปลื้มไม่ได้ แต่...รู้อยู่เต็มอกว่ากำลังทำผิดอย่างเหลือเกินต่อญาติผู้พี่ที่แสนดีของหล่อนเอง
‘สุเป็นอะไรไป พี่ได้ยินเสียงอาเจียนดังลั่นเลย อาหารเป็นพิษหรือเปล่าจ๊ะ ไปหาหมอกันไหม เดี๋ยวพี่พาไป’
สุมาลีส่ายหน้า น้ำตาร้อนๆ เอ่อจนล้นออกมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกผิดอย่างที่สุด หากนงพะงาจะร้ายกาจกับหล่อนบ้าง ด่าทอทุบตีกันบ้าง หล่อนจะไม่รู้สึกผิดถึงเพียงนี้
‘ร้องไห้ทำไมกันสุ’ น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นยิ่งทำให้สุมาลีอ่อนแอ
‘พี่นง สุเสียใจนะพี่นะ’
‘เรื่องอะไรเหรอสุ สุบอกพี่ได้ทุกเรื่องนะ เราเป็นพี่เป็นน้องกัน’ มือเล็กบางลูบหลังไหล่ปลอบประโลม
‘สุคิดว่าสุท้อง’
ท้อง...ณัฐนรีย์จิกนิ้วลงกับหน้าท้องแบนราบของตัวเอง ดิ้นรนกระสับกระส่าย ใบหน้ามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ฝัน...ช่างเป็นฝันที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนใครสักคนมานั่งเล่าให้ฟังอย่างใกล้ชิดมากกว่าจะเป็นเพียงฝันไร้สาระธรรมดา
เสียงไก่ขันดังแว่วมาแต่ไกล หันมองนาฬิการะบบดิจิตอลที่เรืองแสงในความมืดบอกเวลาตีห้าห้านาที ถือว่าเช้ามากสำหรับณัฐนรีย์ แต่นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่หอพักแห่งนี้ เธอตื่นเวลานี้เกือบจะทุกวัน แถมยังฝันเป็นเรื่องเป็นราวอย่างนี้เกือบทุกคืน
ผู้หญิงชื่อสุ กับผู้หญิงอีกคนที่ถูกเรียกขานว่าพี่นง ณัฐนรีย์รับรู้เรื่องราวของผู้หญิงคนนั้นอีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของหล่อนด้วย บางครั้งราวกับว่าณัฐนรีย์คือผู้หญิงที่ชื่อสุเองเสียด้วยซ้ำไป
หรือเราจะเห็นชาติที่แล้วของตัวเอง ณัฐนรีย์คิด ก่อนที่จะสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกจากสมอง เพราะนึกถึงบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเจ้าของหอพักขึ้นมาได้ ด้วยสมองระดับเขาย่อมหว่านล้อมให้เธอคล้อยตามได้ไม่ยาก ชาติก่อน กรรมเก่าอะไร ไม่มีหรอก หลังจากบอกตัวเองอย่างนั้น ณัฐนรีย์ที่ตาสว่างโพลงลุกขึ้นบิดแขนขา หันไปมาในห้องแคบๆ แล้วรู้สึกอึดอัด ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เธอใช้ชีวิตเป็นสาวต่างจังหวัด การตื่นตีห้าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่นั่นเธอไม่ต้องอึดอัดกับห้องเล็กๆ แค่เดินพ้นชานบ้านออกไปก็สูดอากาศบริสุทธิ์จากน้ำค้างยอดหญ้าและข้าวในนาไร่ได้แล้ว
มือเล็กคว้าลูกบิดประตูหน้า ตั้งใจจะออกไปยืนดูรถราวิ่งจากระเบียงหน้าห้อง แต่แวบแรกที่เปิดประตู หญิงสาวก็ชาวูบจากกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า เมื่อตาที่ยังพร่ามัวจากการเพิ่งตื่นนอนมองเห็นร่างอวบอัดในชุดผ้าลายดอกพื้นขาวยืนอยู่บริเวณระเบียง แต่เพียงกะพริบตาภาพนั้นก็หายไป
บ้า...ฝันจนเก็บมาหลอน ณัฐนรีย์หอบหายใจเร็วรัวพลางกัดริมฝีปากจนเจ็บ เกือบจะร้องกรี๊ดออกไปแล้วเชียว ขืนเธอร้องจริงแม่สาวสองคนข้างห้องได้หาเรื่องออกมาโวยวายใส่เธออีกแน่ ดวงตาคมหันมองไปทางห้องที่ใจกระหวัดไปถึง ก่อนจะต้องถอนหายใจเฮือกด้วยความระอา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ห้องติดกันยังคงความรก ไร้ระเบียบไว้ได้เหมือนเดิม ส่วนห้องที่ถัดออกไปนั่นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด รองเท้ามีมาเพิ่มอีกแล้ว เผลอๆ อีกสักอาทิตย์ณัฐนรีย์อาจจะต้องซื้อเชือกสะลิงมาโหนตัวเองข้ามกองภูเขารองเท้าแบรนด์เนมของผู้หญิงมาดคุณหนูที่คงเป็นเด็กเลี้ยงของเสี่ยกระเป๋าหนักเพื่อเดินไปลงบันไดเป็นแน่
ลมเย็นจนหนาวพัดกรูเกรียวทำให้ร่างบางที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามต้องยกแขนขึ้นมาโอบกอดตัวเองพลางลูบขึ้นลงเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ณัฐนรีย์รู้สึกร่างกายเบาโหวง รวมทั้งมึนศีรษะแบบแปลกๆ ราวกับว่าในสายลมเย็นนั้นมีสสารที่มองไม่เห็นแต่มีตัวตนจนคล้ายว่าจะสัมผัสได้ จุดกึ่งกลางประตูบริเวณระเบียงคล้ายกับโคลงเคลงไปมาทำให้หญิงสาวเซนิดๆ แต่เมื่อก้าวพ้นจุดนั้นออกมา ความรู้สึกว่าร่างกายหนักแน่นมั่นคงก็กลับมา จนเธอต้องสะบัดหน้าแรงๆ เรียกสติ กลัว...ความคิดที่ผุดขึ้นมาคือกลัว กลัวอะไรที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกว่ามีอยู่ จนสัมผัสแสงทองแสงแรกของวันนั่นล่ะ ณัฐนรีย์จึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา หญิงสาวก้มลงไปมองตรงจุดที่รู้สึกสัมผัสกับอะไรบางอย่างได้ ในแวบแรกราวกับภาพซ้อนพื้นหินขัดสีขาวนวลออกเหลืองนั้นปรากฏรอยเลือดแดงฉานเป็นวงกว้าง เธอยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกโดยอัตโนมัติ ไม่ให้เผลอกรีดร้องออกมาพร้อมหลับตาไปตามสัญชาตญาณเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะลืมตาขึ้นมาพบว่าภาพที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาจากแสงอาทิตย์สีทองเท่านั้นเอง
อยากทำบุญตักบาตร ณัฐนรีย์บอกตัวเอง รีบกลับเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เหมาะสม คว้ากระเป๋าสตางค์ใบเล็กเพื่อไปซื้อหากับข้าวสำหรับตักบาตรแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้ใครสักคนที่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ จนเธอสัมผัสได้
เมื่อก้าวเดินไปจนถึงตลาด มีแม่ค้าจัดเตรียมกับข้าวสำหรับขายให้คนซื้อใส่บาตรพระไว้เป็นชุดๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนในยุคสมัยนี้ ยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ ขาดความละมุนละไม หญิงสาวเลือกอาหารที่ต้องการ แล้วออกไปยืนรออยู่ริมถนนรวมกับกลุ่มคนเล็กๆ ที่กำลังรอพระสงฆ์ผ่านมารับนิมนต์ หลังจากตักบาตรเรียบร้อย ณัฐนรีย์เดินกลับมาที่หอพัก มองหาต้นไม้ใหญ่เพื่อที่จะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งต้นไม้ต้นนั้นอยู่ระหว่างหอพักกับบ้านของเจ้าของหอ มือเล็กบิดฝาขวดน้ำที่เพิ่งซื้อมาเปิดออกกรวดน้ำสวดมนต์แผ่เมตตา
หากลูกได้ล่วงเกินท่านไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูกขออภัยด้วยนะเจ้าคะ หญิงสาวนึกก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และพบว่าเจ้าของหอพักเพิ่งขับรถออกมาจากบริเวณที่จอดรถส่วนตัว เขาหยุดรถและกดกระจกลงทักทาย
“คุณแนทตื่นมาทำอะไรแต่เช้าครับ”
“แนทเพิ่งไปตักบาตรที่หน้าตลาดมาค่ะ เสร็จแล้วก็เดินมากรวดน้ำต่อ”
ศศวัตคลี่ยิ้มที่ทำให้ดวงตารีใต้กรอบแว่นสีทองหรี่จนแทบปิด “คุณแนทนี่มักทำอะไรที่ขัดกับบุคลิกเสมอๆ เลยนะครับ”
“เอ๊ะ” หญิงสาวร้อง “หมายความว่าท่าทางแนทเหมือนคนไม่ทำบุญใกล้วัดใกล้วาหรือคะ”
“ครับ” อีกฝ่ายตอบรับหน้าตาเฉย ไม่เกรงกลัวสีหน้าบูดบึ้งตาขวางของคนที่ทำอะไรขัดกับบุคลิกเลยสักนิด “ผมเสียอีกไม่เคยทำบุญตักบาตรเลยตั้งแต่...”
“ตั้งแต่อะไรคะ” ณัฐนรีย์ทักขึ้น คิ้วที่แกล้งขมวดแสดงสีหน้าไม่พอใจคลี่ออกเป็นความงุนงงแทนเมื่อเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของชายหนุ่มในรถคันใหญ่
“ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนน่ะครับ” ศศวัตตอบแค่นั้นก่อนจะขอตัวไปทำงานอย่างสุภาพ ท่าทีอ่อนโยนผ่อนคลายจางหายไป
ณัฐนรีย์ยืนมองจนรถของศศวัตเลี้ยวออกไปนอกบริเวณหอพัก รู้สึกสะกิดใจกับท่าทีของเจ้าของหอพักเป็นอย่างมากว่าเขากำลังมีอะไรในใจ ซึ่งเธอเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในใจเขานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่นอน
อีกแล้ว...ณัฐนรีย์ฝันอีกแล้ว ฝันถึงผู้หญิงคนเดิม...สุมาลี
‘เฮียขอบใจนะที่ลื้อมีลูกให้เฮีย’ ณัฐนรีย์สัมผัสถึงความสุขความอิ่มเอมในหัวใจของสุมาลีที่กำลังอิงแอบแนบซุกอยู่กับอกอุ่นของผู้ที่หล่อนมอบใจถวายชีวิตให้ ‘เฮียรอวันนี้มานานแล้ว แต่อานงอีก็ไม่มีลูกให้เฮียสักที’
‘เฮีย’ สุมาลีใจหายวาบ ความสุขที่มีลดฮวบพร้อมกับคำพูดนั้น ‘เฮียอย่าพูดได้ไหมสุไม่อยากฟัง แค่นี้สุก็เสียใจจะแย่แล้วที่ทำแบบนี้กับพี่นง’
‘เอาน่า...เฮียพูดกับสุแค่สองคน สุก็อย่าคิดมากไป เฮียอยากจะบอกว่าถึงสุจะไม่ได้มีงานแต่งงานเหมือนคนอื่นๆ เขา ไม่ได้เป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เฮียก็รักและให้เกียรติสุเป็นเมียคนหนึ่งของเฮีย’
สมชัยลุกขึ้นนั่ง ทำให้สุมาลีต้องลุกขึ้นมานั่งด้วย มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังที่เขามักหนีบติดตัวไว้เสมอ หยิบถุงกำมะหยี่สีแดงสดถุงใหญ่ขึ้นมา
‘ถึงเราจะไม่ได้มีพิธียกน้ำชากันตามประเพณี แต่เฮียก็จะมอบของหมั้นให้สุตามธรรมเนียม’
สุมาลีน้ำตาไหลอาบแก้ม ด้วยไม่นึกมาก่อนเลยว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีตามพฤตินัยจะมีน้ำใจนึกถึงหัวอกคนเป็นเมียน้อยอย่างหล่อน มือบางยกขึ้นพนมหว่างอกก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงกราบแทบอกผู้เป็นสามี แล้วจึงโอบกอดพลางสะอื้นไห้กับอกอุ่น
สมชัยกดริมฝีปากอุ่นจัดลงบนกลุ่มผมหยักนุ่มที่หอมกรุ่น ‘เฮียรักลื้อนะสุมาลี’
‘สุก็รักเฮียค่ะ รักจนหมดหัวใจ รักจนลืมผิดถูกชั่วดี ชาตินี้สุจะไม่รักใครอีกนอกจากเฮีย สุเป็นของเฮียคนเดียวทั้งตัวและหัวใจ’
ณัฐนรีย์สัมผัสถึงความจริงใจนั้นจนเต็มตื้นไปทั้งใจ ยืนมองสมชัยบรรจงมอบของหมั้นหมายทั้งสี่ชิ้นให้ภรรยาน้อย เขาบรรจงสวมแหวนทองรูปดอกพิกุลที่นิ้วนางข้างซ้ายของหล่อน ก่อนจะสวมสร้อยคอที่มีจี้รูปดอกพิกุลห้อยตุ้งติ้ง เข้าชุดกับต่างหูและกำไลข้อมือ ดูก็รู้ว่าเป็นของสั่งทำพิเศษที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งยิ่งทำให้ผู้ได้รับซาบซึ้งจนสะอื้นไห้ไม่หยุด
‘ลื้อเคยบอกว่าสุมาลีแปลว่าดอกไม้ เฮียก็เลยไปสั่งทำของหมั้นสี่ชิ้นเป็นรูปดอกไม้มาให้ มีชุดเดียวในโลกเลยนะ เฮียสั่งทางร้านห้ามทำเลียนแบบชุดนี้เพราะทำมาสำหรับลื้อคนเดียว’
รอยยิ้มปลาบปลื้มกระจายอาบใบหน้าอิ่มนวล ของพิเศษสำหรับหล่อนคนเดียว ของที่ไม่ต้องแบ่งปันร่วมกันใช้กับใคร คุณค่าที่มากมายมหาศาลในหัวใจของสุมาลี
‘ถ้าลูกออกมาเป็นผู้ชายเฮียมีของขวัญอีกชิ้นไว้รอรับขวัญ แต่ลื้อต้องสัญญากับเฮียว่าจะไม่บอกอานงอีนะ อั๊วสงสารอี อีเป็นคนดีเหลือเกิน’
‘ค่ะ’ สุมาลีรับคำโดยเร็วอย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลา หล่อนเองไม่เคยคิดจะเหยียบย่ำจิตใจญาติผู้พี่ไปมากกว่านี้ด้วยละอายในความดีงามของอีกฝ่าย ‘เรื่องนั้นเฮียไม่ต้องห่วง สุรักพี่นง สุเองก็ไม่อยากให้พี่นงเสียใจไปมากกว่านี้’
ในเวลานั้นสุมาลีมั่นใจเหลือเกินว่าลูกในท้องต้องเป็นผู้ชายสมใจหล่อนและสามี
ฉันอยากได้สมบัติของฉันกลับคืนมา
ณัฐนรีย์สะดุ้งเฮือกจนลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีทันใดเมื่อได้ยินเสียงบอกความต้องการชัดเจนราวกับมีใครมาตะโกนใส่หู
สมบัติ...ใคร ใครอยากได้สมบัติอะไรกลับคืนมา
ความคิดเห็น