คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
บทที่ 3
แค่ย่างเท้าเข้ามาในห้อง เสียงเพลงก็โหยหวนให้เจ้าของห้องได้หงุดหงิดขึ้นมาอีก เนื้อหาของเพลงที่แทนใจบรรดาบ้านเล็กบ้านน้อยหากฟังโดยไม่มีอคติบดบัง เธอสามารถบอกได้เลยว่าบทเพลงเก่าแก่รุ่นคุณยายคุณป้าเพลงนี้ไพเราะบาดลึกเป็นอย่างมากทั้งเนื้อหาและทำนอง แต่เพราะเธอมีอคติเมื่อได้ยินจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธจี๊ดๆ ทุกครั้ง
อาดูรเดียวดายเขาคงจะหน่ายไม่มา...หรือว่าทำเมิน
เมื่อยามนิทราหอมภรรยาคุณเพลิน...
ปล่อยให้ส่วนเกินหอมหมอนเพลินแทน...คุณ*
“โรคจิตเอ๊ย” ณัฐนรีย์ใช้มือทุบลงบนผนังห้องด้วยความหงุดหงิด ผลคือ...เจ็บมือ พอเจ็บตัวก็เจ็บใจอีก สิ่งต่อไปที่ทำคือคว้านิตยสารรถยนต์เล่มโตที่ซื้อมาอ่านหาข้อมูลรถยนต์ปาไปที่ผนังห้องด้านที่ติดกับห้อง 402 เสียงดังตึงใหญ่สมใจ
หลังจากนั้นไม่นานเลย ห้องข้างๆ ก็ส่งเสียงโครมครามตอบโต้ พาลให้ห้อง 403 ที่อยู่ถัดไปส่งเสียงโครมครามส่งมาให้ได้ยินด้วย แต่ด้วยเดซิเบลที่ลดลงเพราะต้องทะลุผนังถึงสองชั้นกว่าจะมาถึงห้องเธอ ณัฐนรีย์เหยียดริมฝีปากยิ้ม
สมน้ำหน้า เจอศึกสองด้าน
หลังจากทำสงครามโครมครามผ่านผนังระหว่างสามห้องนานราวห้านาทีเสร็จสิ้นลง ณัฐนรีย์ก็เดินหงุดหงิด เข้าไปอาบน้ำจนรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายแต่กลับไม่รู้สึกปลอดโปร่ง สัมผัสบางอย่างที่ให้ความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกดทับความสดชื่นที่น่าจะได้จากการอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ซึ่งหญิงสาวเลือกที่จะตอบกับตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความหงุดหงิดที่มีให้เพื่อนร่วมหอพักนั่นเอง
เมื่อดูแลปรนนิบัติผิวพรรณและร่างกายตัวเองครบขั้นตอน ณัฐนรีย์ก็พาร่างที่หอมกรุ่นของตัวเองขึ้นเตียง ซึ่งคาดว่าแค่หัวถึงหมอนก็คงหลับได้ไม่ยาก เพราะความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาตลอดวัน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอหลับไปแทบจะทันทีราวกับปิดสวิตช์ แต่กลับตื่นโพลงอยู่ในความฝัน...ฝันที่เหมือนจริงจนราวกับสัมผัสแตะต้องได้
ณัฐนรีย์ยืนอยู่มุมห้องมองชายหนึ่งหญิงสองซึ่งกำลังอยู่ในอาการฟูมฟายในรูปแบบต่างๆ กัน หญิงร่างเล็กผิวขาวจัดจนซีดเซียว หรืออาจจะเพราะความผิดหวังเสียใจที่แสดงออกชัดบนใบหน้านั้นก็เป็นได้ที่ทำให้หล่อนยิ่งแลดูซูบซีด น้ำตาไหลอาบแก้มแต่ไร้เสียงสะอื้นไห้ ต่างจากอีกหนึ่งนางที่สะอึกสะอื้นราวใจจะขาด แต่ถึงกระนั้นความสะสวยของเจ้าหล่อนก็ยังคงฉายชัด ส่วนชายคนเดียวในห้องก็ยืนเก้กังราวกับไม่รู้จะวางมือไม้แขนขาไว้ตรงไหนดี
‘ฉันขอโทษนะจ๊ะพี่นง ฉันไม่ได้ตั้งใจ’
คนที่ถูกเรียกว่าพี่นงยกมือขวาขึ้นกุมหน้าอก ส่วนมือซ้ายปิดปากที่สั่นระริก ท่าทางราวกับใจจะขาดรอนลงในนาทีใดนาทีหนึ่ง ท่าทางนั้นยิ่งทำให้อีกหนึ่งคนทุกข์ใจไม่ต่างกัน
‘นง...เฮีย’ ชายคนนั้นพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นท่าทางของหญิงที่น่าจะเป็นภรรยาของเขาเอง ณัฐนรีย์รู้สึกเกลียดชังชายคนนั้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ เกลียดที่สุดคือผู้ชายมักมากในกามารมณ์ ทำร้ายได้แม้แต่ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข ผู้ชายมักง่ายประเภทเดียวกับที่พ่อของเธอเองก็เป็น
‘เฮียชัยทำอะไรลงไป’ ผู้เป็นหลวงเอ่ยปากออกมาได้แม้ริมฝีปากจะสั่นระริกก็ตาม ‘เฮียชัยข่มเหงเธอใช่ไหมสุมาลี พี่ไม่เชื่อหรอกว่าญาติที่พี่รักราวกับน้องในไส้จะทำร้ายพี่ได้ลงคอ บอกพี่มาสิว่าเฮียชัยข่มเหงเธอ...ใช่ไหม’
สุมาลีกอดเข่าแน่น ซุกใบหน้าลงในท่าที่เรียกว่าน้ำตาเช็ดหัวเข่า สะอื้นจนตัวโยน น่าแปลกที่ณัฐนรีย์กลับได้ยินเสียงอื่นนอกจากเสียงสะอื้นของหล่อน
เฮียชัยข่มเหงฉัน แต่ฉันก็ผิดไม่ต่างกันที่ไม่รู้จักห้ามใจ รู้ทั้งรู้ว่าเขามีศักดิ์เป็นพี่เขย ฉันผิดเองพี่...ฉันผิดเอง
‘เฮียสมชัย’ คราวนี้หล่อนหันมาถามผู้เป็นสามี ‘เฮียข่มเหงน้องฉันใช่ไหม’
สมชัยเงยหน้ามองภรรยาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะหันมองหญิงที่เพิ่งตกเป็นภรรยาตามพฤตินัยได้ไม่นาน แล้วจึงค่อยๆ กดหน้าลงเป็นการยอมรับ
ร่างเล็กของผู้หญิงที่แทบจะเป็นคนคุมการสนทนาทั้งหมดทรุดฮวบลงท่ามกลางเสียงหวีดร้องของสุมาลี สมชัยปราดเข้าไปหวังประคองภรรยาแต่ไม่ทันการณ์ หล่อนล้มลงฟาดพื้นเสียงดังสนั่น
เสียงกรีดร้องของสุมาลียาวนานและโหยหวน จนณัฐนรีย์ต้องยกมือขึ้นปิดหูที่ราวกับจะแตกย่อยยับไปกับพลังเสียงนั้น
“โอ๊ย...”
หญิงสาวฟาดแขนฟาดขากับเตียงขนาดห้าฟุตอย่างทุรนทุราย เสียงกรีดร้องและความโกลาหลยังแจ่มชัดในมโนสำนึก จนกระทั่งเธอสามารถลืมตาขึ้นมาได้ เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าราวกับเพิ่งโดนใครสักคนสาดน้ำใส่
ณัฐนรีย์หายใจหอบ หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอก ฝันที่ชัดเจนราวกับเธอกำลังอยู่ในเหตุการณ์จริงทำให้อกสั่นขวัญแขวน ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยฝันประหลาดเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้มาก่อนเลย ร่างบางค่อยๆ ลุกเดินไปแหวกม่าน เห็นแสงอาทิตย์สาดสีทองประดับท้องฟ้าในช่วงเวลาที่เธอไม่เคยลืมตามาสัมผัสเสียนาน นับตั้งแต่ริมาใช้ชีวิตแบบคนกรุงเทพฯ
น่าแปลกที่แสงทองอันอบอุ่นนั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นในจังหวะที่หนักแน่นมากขึ้น หน้าต่างด้านที่เธอเปิดออกนั้นมองไปเห็นบ้านหลังเล็กๆ น่ารักซึ่งคงจะเป็นของเจ้าของหอพักที่เธอบังเอิญได้พบเมื่อคืน และไม่นานข้อสันนิษฐานของเธอก็ได้รับคำตอบ เมื่อชายคนนั้นเดินออกมาพร้อมแก้วกาแฟสีแดงจัด ร่างสูงหนาอยู่ในชุดกางเกงขาก๊วยสีน้ำเงินหม่นกับเสื้อยืดสีขาวสะอาดตา เขาค่อยๆ เดินสูดอากาศและสำรวจต้นไม้ใหญ่น้อยบริเวณสวน บางเวลาเขาจะขยับกรอบแว่นสีทองบางเฉียบแล้วก้มหน้าลงมองต้นไม้อย่างใกล้ชิด
คงเพราะเธอไม่เคยลืมตาตื่นในเวลาที่เหลือเฟือพอจะเปิดม่านสำรวจบรรยากาศรอบหอพัก เธอจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหากมองจากหน้าต่างบานนี้เธอจะเห็นบ้านของเขา รู้แต่ว่าครั้งแรกที่เข้ามาเลือกห้องนี้เธอมองเลยเขตหอพักออกไปพบว่าตลาดเล็กๆ อยู่ถัดจากหอไปเพียงนิด เพราะฉะนั้นปัญหาปากท้องเป็นอันตกไป สาเหตุที่เธอเลือกห้องนี้ก็เพราะหน้าต่างด้านข้างหอนี่แหละ ห้องอื่นที่ผนังชนผนังจะไม่มีหน้าต่างระบายอากาศด้านข้างแบบห้องที่ลงท้ายด้วย 01 และ 08 ห้องด้านของเธอมองไปเห็นตลาด ส่วนห้องที่ลงท้ายด้วย 08 อยู่ติดถนน และแน่นอนว่าห้องที่ลงท้ายด้วยเบอร์ทั้งสองนั้นจะมีราคาสูงกว่าห้องอื่นอีกสามร้อยบาท ซึ่งเป็นราคาที่ณัฐนรีย์ยินดีจ่ายเพื่อซื้ออากาศถ่ายเทที่ดีกว่า
ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เธอเผลอยืนมองชายหนุ่ม มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่ออีกฝ่ายแหงนหน้าขึ้นมามองกันนั่นแหละ ณัฐนรีย์สะดุ้งด้วยสัญชาตญาณจึงเผลอปล่อยมือจากผ้าม่านหลบวูบพิงผนัง แล้วก็มานั่งเสียใจว่าท่าทางที่แสดงออกไปนั้นพิลึกที่สุด จนอีกฝ่ายสามารถคิดได้เลยว่าเธอแอบมองแล้วกลัวเขาจับได้ และแม้จะเผลอแสดงท่าทางมีพิรุธไปแล้วก็ยังไม่วายอยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร จึงค่อยๆ แหวกม่านออกดูอีกรอบ แต่คราวนี้ร่างสูงใหญ่หายไปจากสนามเสียแล้ว...เห็นแบบนั้นใจก็ฝ่อจนเธอตอบตัวเองไม่ได้ว่าผิดหวังเพราะอะไรกัน
คนที่ไม่ค่อยได้ตื่นเช้ารู้สึกตาสว่างแต่อ่อนเพลียเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่ม คงเพราะฝันประหลาดนั่นที่ทำให้รู้สึกราวกับไม่ได้นอน ณัฐนรีย์เปิดประตูออกมาสู่บริเวณระเบียงทางเดินหน้าห้อง อดที่จะเหลือบไปมองหน้าห้อง 402 ไม่ได้ และก็เป็นอย่างที่คิด จานชามวางเกลื่อนเกยอยู่กับรองเท้าผ้าใบสีสกปรกที่สุด จนเดาไม่ออกว่ามันเคยมีสีอะไรมาก่อน ความสกปรกไม่น่าจะเข้ากันได้กับใบหน้าน่ารักๆ ของหล่อนเอาเสียเลย ณัฐนรีย์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือก มองเลยไปยังห้อง 403 ขานั้นก็อวดร่ำอวดรวยตลอด ดูจากรองเท้าแบรนด์เนมที่เจ้าหล่อนถอดเรียงไว้หน้าห้องก็บอกได้แล้ว แต่จะว่าไปของเลียนแบบสมัยนี้ทำเนียนจะตายไป ถ้ารวยจริงจะมาอยู่หอพักราคาถูกแบบนี้ทำไมกัน หรือไม่แน่ คนที่เปิดเพลงระบายความในใจของบ้านเล็กอาจจะเป็นคนในห้องก็ได้ หญิงสาวย่นจมูกอย่างนึกรังเกียจผู้หญิงสวยที่ไร้ศักดิ์ศรีเลือกหนทางลัดสู่ความสบายโดยไม่คำนึงถึงเรื่องผิดถูก คนแบบนี้ทำอะไรก็ไม่ขึ้น...ณัฐนรีย์เชื่อในเวรกรรม
มือที่มีนิ้วเรียวสวยลูบไม้ประดับที่ปลูกไว้ในกระถางปูนริมระเบียงด้านที่ติดกับบ้านเจ้าของหอพัก ลิ้นมังกร ณัฐนรีย์เอ่ยชื่อในใจ
ความที่พื้นเพเป็นคนต่างจังหวัดทำให้หญิงสาวรู้จักพรรณไม้หลากหลายชนิด อย่างลิ้นมังกรนี้คนโบราณเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติในการปกป้องภัยจากภายนอก ว่ากันว่าปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะช่วยป้องกันภัย บางคนก็เรียกว่าต้นหอกพระอินทร์ เพราะลักษณะใบที่ยาวเรียวแหลมแข็งเป็นมัน คล้ายหอก มีหน่ออยู่ใต้ดิน ดูแลง่ายไม่ต้องรดน้ำมาก ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลในการปลูกลิ้นมังกรในกระถางปูนนี้มากกว่าผลทางการปกป้องคุ้มภัย
กระถางปูนที่ก่อเสมอราวระเบียงอยู่ในพื้นที่หน้าห้องด้านข้างของเธอ ซึ่งนับเป็นผลพลอยได้อีกแบบ อย่างน้อยเธอก็มีพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ส่วนตัว ที่แม้จะแตะต้องเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนพรรณไม้ไม่ได้ แต่การช่วยดูแลรดน้ำเล็กๆ น้อยๆ ก็สร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย ณัฐนรีย์เดินกลับเข้าไปในห้อง เปิดน้ำจากก๊อกใส่แก้วเดินออกมารดน้ำให้ต้นลิ้นมังกรที่ดูราวจะเขียวเข้มขึ้นมาเมื่อได้น้ำ
ศศวัตทรุดตัวลงหน้าคอมพิวเตอร์ก่อนเปิดเครื่อง ตั้งใจนั่งรอเครื่องพร้อมทำงาน แต่กลับเหม่อลอยไปนานจนหน้าจอดับวูบเพื่อประหยัดพลังงานไปอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้น...คนที่ชื่อแนท ณัฐนรีย์ คนที่บังเอิญได้พบเจอกันแบบแปลกๆ และยังบังเอิญอยู่ห้องที่เขาหลีกเลี่ยงที่จะใส่ใจมาตลอดเวลาห้าปี แม้แต่มองขึ้นไปเขายังไม่เคยทำ แต่วันนี้เขากลับมองขึ้นไปและพบว่าคนนั้นก็มองลงมา นาทีนั้นเขารู้สึกชาวาบตั้งแต่โคนผมลงมาถึงปลายเท้า และเมื่อฝ่ายนั้นเลือกที่จะหลบวูบไป เขาเองก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าบ้านเช่นกัน
แม่...นอนอยู่ตรงนั้น ในวันที่มีคนพบร่างที่ไร้ลมหายใจ ระเบียงหน้าห้อง 401
เลือดเกรอะกรังสาดกระเด็นตั้งแต่หน้าห้อง 403 ไล่มาถึง 402 และจบลงที่หน้าห้อง 401
คนที่พบเล่าว่าคราบเลือดมากมายไหลเนืองนองหน้าห้องทั้งสาม และยังสาดกระเซ็นเข้าไปถึงบริเวณด้านในห้องด้วย
แม่ที่อยู่ในความทรงจำของเขาคือผู้หญิงสวยอ่อนกว่าวัย ทันสมัยจนเรียกได้ว่าเปรี้ยว มีรอยยิ้มเปิดกว้างอย่างจริงใจและรักเขาอย่างที่สุด จบชีวิตลงด้วยสภาพน่าสมเพชซึ่งมีคนไปพบหลังจากเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน สภาพที่แม้เขาจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่อ่านได้จากสายตาคนพบศพว่ามันคงไม่ใช่สภาพที่น่าจดจำนัก
วันนั้นในอดีตเขากำลังศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยสถานะนักเรียนทุนที่เขาและแม่ภาคภูมิใจยิ่งนัก แม่พร่ำบอกกับเขาเสมอว่าเขาคือความหวังของแม่ และแม่ก็สร้างหอพักนี้ไว้ให้เขา เพราะแม่รู้ดีว่างานที่เขาใฝ่ฝันคือการได้เป็นครูบาอาจารย์ และแม่ก็รู้อีกว่าสำหรับงานครูในประเทศนี้มีผลตอบแทนน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับความเสียสละในหน้าที่การงาน แม่ยอมให้เขาได้ทำตามฝัน แต่แม่ก็มีแผนสำรองไว้ให้เขาเช่นกัน
หลังเกิดเรื่องเขาไม่อยากแม้แต่จะชายตามองหอพักแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงอีกคนที่เขาเรียกว่าแม่เช่นกัน แม่นงคอยดูแลปลอบขวัญและให้กำลังใจเขาในการกลับไปศึกษาต่อจนจบ โดยมีแม่นงสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่อจากแม่แท้ๆ ผู้ให้กำเนิด
‘ไม่ต้องห่วงทางนี้นะลูก สิงห์ต้องกลับไปเรียนให้จบ แม่สิงห์จะได้ชื่นใจ สุมาลีรักสิงห์มากนะ อย่าทำให้แม่ต้องนอนตายตาไม่หลับนะลูกนะ จบแล้วถ้าสิงห์จะหางานหาการทำทางโน้นจนกว่าจะสบายใจก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอกลูก’
แต่เขารู้ดีว่าทำอย่างที่แม่นงบอกไม่ได้ เพราะคำว่านักเรียนทุนก็คือเมื่อเรียนจบต้องกลับมาทำงานใช้ทุน หรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินก้อนโตชดใช้ทุนที่ได้จากสถาบันถ้าคิดจะไปทำงานอื่น แต่ใจเขานั้นรักการสอนอยู่แล้ว จึงไม่คิดหลีกเลี่ยงหรือเบนเข็มไปจากที่เคยตั้งใจ เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาเขาก็เข้าสอนในมหาวิทยาลัยที่ให้ทุนควบคู่กับการดูแลก่อสร้างหอที่ใกล้เสร็จแต่กลับปล่อยทิ้งร้างมาเกือบสี่ปี จนเสร็จเรียบร้อยลงในปีที่ห้านับจากแม่จากไปด้วยเงินที่แม่ทิ้งไว้ในบัญชีธนาคาร
‘ทำไมสิงห์ไม่เก็บเงินก้อนนี้ไว้ใช้ล่ะลูก เอาไปทุ่มกับหอจนหมด ก็เท่ากับสิงห์ไม่เหลือเงินติดตัวเลยนะ แถมหอร้างแบบนี้สร้างเสร็จก็ไม่รู้ว่าจะมีคนกล้ามาเช่าไหม’ แม่นงพะงาเคยติงเมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษา แต่เขาตอบไปว่า
‘ผมตั้งใจทำฝันสุดท้ายของแม่ให้เป็นจริงครับแม่นง เรื่องมันผ่านมานานแล้วคงไม่ค่อยมีใครรู้เพราะสมัยนั้นที่ดินแถวนี้ก็ยังโล่งๆ มีแต่ทุ่งนา ผู้คนไม่ค่อยมี’
ต่างจากปัจจุบันที่หมู่บ้านจัดสรรผุดขึ้นราวดอกเห็ด ทุ่งนาเขียวๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง จนเขาเองเกือบจดจำไม่ได้เมื่อเรียนจบกลับมา และการที่ทุ่งนาเปลี่ยนเป็นบ้านจัดสรรรวมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นอันนำมาซึ่งความเจริญ เช่นร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน ยูเนี่ยนมอลล์เล็กๆ ชายผู้หนึ่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้นจากการขายที่ทางซึ่งบรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เป็นร้อยไร่ ชายผู้ร่ำรวยคนนั้นคือ...พ่อของเขาเอง
‘แม่เขาอยากให้สิงห์มีความสุข ถ้าทำแล้วไม่มีความสุขอย่าทำเลยลูก แม่นงเห็นหน้าสิงห์เหมือนคนอมทุกข์แล้วไม่สบายใจ แม่นงรู้ว่าสิงห์ไม่อยากแม้แต่จะเข้าไปแตะต้องสถานที่ที่พรากแม่ไป แม่นงเองก็เหมือนกัน แม่นงยังทำใจไม่ได้จริงๆ แม้แต่มองตึกนั่นแม่นงก็ยังไม่อยากมอง’ แม่นงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
‘ผมทำได้ครับแม่นง อย่าห่วงเลย’
แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำไม่ได้คือขึ้นไปหน้าห้อง 401 ห้องที่ลมหายใจสุดท้ายของแม่หมดลงตรงนั้น
บทที่ 4
กางเกงยีนสั้นถูกสวมและดึงขึ้นไปที่เอวคอดกิ่ว สองมือขยับจัดเสื้อยืดตัวโคร่งที่ทิ้งชายคลุมสะโพก ณัฐนรีย์เป็นคนขี้ร้อน อีกทั้งไม่ใช่คนสูงมากนัก ความสูงแค่ร้อยหกสิบเซนติเมตรในสมัยนี้ถือว่าไม่มาก เธอจึงชอบที่จะใส่กางเกงขาสั้นและรองเท้าส้นสูงเพื่อให้มองเห็นช่วงขายาวขึ้น หลายคนอาจจะมองว่าเธอเปรี้ยว ซึ่งเธอก็ยอมรับว่าเธอเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ใช่ว่าความเปรี้ยวของเธอจะแปลว่าเธอง่าย แม้จะมีคนคิดตื้นๆ แบบนั้นมากมายในสังคมไทยก็ตาม...ไม่แคร์ เธอบอกกับตัวเองเช่นนั้น
เมื่อคว้ากระเป๋าถือและเสียบโทรศัพท์มือถือไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกงเรียบร้อยแล้ว ณัฐนรีย์ก็ก้าวยาวๆ ออกจากห้องพักไปทางบันได เนื่องจากหอพักราคาถูกแห่งนี้ไม่มีลิฟต์ สวนทางกับผู้หญิงรูปร่างกลมกลึงสมส่วนที่เดินหน้าเชิดคอตั้งคล้องกระเป๋าถือราคาแพงลิบไว้กับท่อนแขนเรียว หล่อนพักอยู่ห้อง 403 แม้ว่าจะอยู่ห้องใกล้กัน แต่ไม่มีอะไรให้กันแม้แต่รอยยิ้ม ซึ่งณัฐนรีย์ไม่ใส่ใจมากนัก รู้แต่ว่าหมั่นไส้ความอวดรวยของเจ้าหล่อน และไม่ถูกชะตากับวิธีการมองคนแบบเหยียดๆ ราวกับตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น แต่ลดตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกันเพราะเหตุจำเป็นบางประการ และอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน จึงมีท่าทางไม่อยากเสวนาแสดงออกชัดขนาดนั้น หรือไม่อีกทีก็คงเพราะผู้หญิงสวยๆ มักมีรังสีอำมหิตใส่กันเอง ประมาณว่าไม่อยากให้ใครสวยเกินหน้าเกินตานั่นเอง
ผ่านด่านไม่ถูกชะตาแรกมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องมาพบกับด่านเหม็นขี้หน้าเข้าให้อีกเมื่อผู้หญิงผมสั้นตากลมวิ่งตึกๆ ขึ้นบันไดสวนขึ้นมา ใบหน้าเล็กพราวไปด้วยเหงื่อแลดูมันแผล็บ ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหล่อนหน้าตาดี คงมองน่ารังเกียจไปเลยทีเดียว นึกถึงวีรกรรมผัดกระเพราฉุนจมูก ผัดพริกควันโขมง ลอยผ่านมาให้ได้กลิ่นจากระเบียงที่อยู่ติดกัน รวมถึงสภาพจานชามวางเกะกะหน้าห้องพร้อมกองรองเท้าสภาพสุดเขลอะที่จำใจต้องเดินผ่านอยู่ทุกวัน วันละหลายรอบ บวกกับเสียงดังตึงตังโครมครามที่ได้ยินแทบทุกคืน ยิ่งทำให้รายนี้ภาพลักษณ์ติดลบสุดๆ ในสายตาของณัฐนรีย์ คนประเภทไหนกันที่สามารถดำรงชีวิตท่ามกลางความสกปรกไร้ระเบียบขาดความเกรงใจได้ขนาดนี้ เดินผ่านเผลอๆ เชื้อโรคจะปลิวมาติดกันด้วยซ้ำไป
เหมือนแกล้ง ยิ่งเธอรังเกียจอีกฝ่ายยิ่งแสดงความน่ารังเกียจ อยู่ๆ ก็ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ก้มหน้าลงเช็ดเหงื่อกับแขนเสื้อ ไร้มารยาทที่สุด ยิ่งเห็นตากลมๆ คู่นั้นจ้องเป๋งมาที่ต้นขาขาวๆ ของเธอแล้วยิ่งทำให้ดีกรีความเกลียดขี้หน้าพุ่งสูงปรี๊ด...ถ้าเพลงส่วนเกินที่ได้ยินมาจากแม่คนนี้ ณัฐนรีย์แน่ใจว่าหล่อนคงตั้งใจเปิดมาค่อนแคะ กระทบกระแทกว่าเธอเป็นเมียน้อยคอยร้องหาสามีคนอื่นแน่ๆ เพราะสภาพเกรอะกรังของแม่คนนี้ไม่น่าจะดำรงตำแหน่งเมียน้อยใครจนต้องร้องเพลงบรรยายความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ถ้าเพลงนั้นดังมาจากห้อง 403 ค่อยน่าจะเป็นไปได้บ้างว่าสาวเริดเชิดหยิ่งคนนั้นอาจจะร้องระบายความในใจ ดูจากข้าวของเครื่องใช้ของหล่อน ถ้าไม่มีเสี่ยเลี้ยงก็ต้องค้ายาบ้าล่ะ
ณัฐนรีย์พาร่างแบบบางลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง เดินผ่านสำนักงานของหอพัก ผู้ดูแลหอเงยหน้าจากโต๊ะทำงานขึ้นมาเห็นเธอแล้วทำท่าทางราวกับร้องเรียกให้หยุด ณัฐนรีย์จึงรอจนอีกฝ่ายเปิดประตูกระจกอะลูมิเนียมบานใหญ่ออกมา
“คุณแนทคะ อรมีเรื่องอยากจะสอบถามว่าเมื่อคืนคุณเปิดเพลงเสียงดังรบกวนห้องอื่นๆ หรือเปล่าคะ พอดีมีห้องข้างๆ ร้องเรียนมา” แม้จะสอบถามด้วยสุ้มเสียงเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง แต่ดูรู้ว่าผู้ดูแลหอพักอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด
ผู้ถูกกล่าวหาขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากก่อนจะตอบ “ฉันไม่ได้เปิดเพลงเสียงดังเสียงเบาอะไรทั้งนั้นค่ะ กลับมาก็ง่วงจนไม่อยากจะทำอะไรนอกจากนอน เรื่องเสียงเพลงดังนี่ฉันเองก็เคยมาร้องเรียนคุณอรไปแล้วนี่คะ”
“ใช่ค่ะ อันนั้นอรทราบ ก็เลยคิดว่า...”
อ้อ...คงคิดว่าเธอเปิดเพลงดังตอบโต้ห้องข้างๆ สินะ
“ฉันยังไม่ได้แก้เผ็ดห้องข้างๆ เลยค่ะ คุณอรสบายใจได้” เห็นอีกฝ่ายยิ้มจืดๆ จึงพูดต่อ “แล้วฉันก็อยากฝากคุณอรบ้างว่าให้ห้อง 402 ดูเรื่องความสะอาดด้วย ส่วนห้อง 403 ก็อยากให้เก็บรองเท้าแบรนด์เนมทั้งหลายเข้าไปในห้องบ้าง เพราะมันวางเรียงกันเหมือนเป็นร้านขายรองเท้าจนฉันแทบจะไม่มีทางเดินอยู่แล้ว ขอบคุณล่วงหน้านะคะ”
ว่าแล้วณัฐนรีย์ก็ก้าวฉับๆ ออกมาจากหอพัก จากที่หิวจนตั้งใจจะไปซื้ออะไรมากินสักอย่าง กลายเป็นโมโหหิวจนอยากซื้อมากินสักเจ็ดแปดอย่างไปเลย
บ้าที่สุด...
“ป๊าครับ” ศศวัตเอ่ยทักทายบุรุษที่มีโครงร่างและใบหน้าคล้ายกับเขา จะต่างกันอยู่บ้างก็แค่หน้าผากที่กว้างกว่าและสีผมที่แซมดอกเลาของผู้เป็นพ่อเท่านั้น วันนี้เขาเดินมาหาของกินในตลาดซึ่งเป็นของพ่อเขาเอง ส่วนผู้เป็นพ่อก็มาเดินสำรวจนั่นนี่ตามประสาคนขยันที่นั่งนิ่งๆ ติดเก้าอี้สำนักงานได้ไม่นาน
“เออ...”
จบ...แค่นี้จริงๆ สำหรับพ่อกับเขา ทักทายกันตามธรรมเนียมผู้มีเชื้อสายจีนคือเรียกกันเป็นการทักทายแทนคำว่าสวัสดีอย่างคนไทยแท้ๆ พูดคุยเท่าที่จำเป็น แต่ส่วนมากไม่มีเรื่องจำเป็นให้ต้องพูดกันมากนัก
แต่จากที่คิดว่าไม่มีเรื่องให้ต้องทักทายกัน พ่อเขากลับเป็นฝ่ายส่งเสียงเรียกเมื่อเดินห่างกันไปได้สักระยะแล้ว
“สิงห์”
“ครับ” ผู้เป็นลูกขานรับก่อนเดินย้อนกลับมายืนใกล้ๆ
“หอพักเป็นไงบ้าง คนเช่าเต็มหรือยัง”
“ยังครับ ชั้นห้ายังว่างอยู่สองสามห้อง ชั้นอื่นๆ เต็มครับ”
“ดี...แล้วเรื่องทำบุญหอพักใหม่ที่เพื่อนป๊าเคยบอกไว้ สิงห์จะทำเมื่อไหร่”
ฝ่ายลูกชายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพและห่างเหิน “ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นครับป๊า คงจะไม่ทำ ไม่สะดวกทั้งเรื่องเวลา บุคลากร สถานที่ ผมไม่อยากให้คนเช่าลำบาก”
“เฮ้ย...ทำบุญจะมาลำบากลำบนอะไรมากมาย เอ็งไม่มีเวลาป๊าจัดการให้ก็ได้”
“ผมไม่รบกวนป๊าดีกว่าครับ แล้วอีกอย่างแม่นงก็บอกไว้ว่าเรื่องบาปบุญมันอยู่ที่ใจ แม่นงไม่อยากให้ผมยึดติดกับการเลี้ยงพระทำบุญ แต่ให้ทำงานทุกอย่างให้เต็มที่ แล้วผลตอบแทนมันก็จะดีเอง” ศศวัตตอบโดยอ้างอิงชื่อสตรีที่ชายทั้งคู่เกรงใจ ผู้หญิงเยือกเย็นและอบอุ่นในคนคนเดียวกัน เธอเป็นคนธรรมะธัมโม แต่ไม่ยึดติดกับการทำบุญ สะเดาะเคราะห์อย่างที่พ่อเขาเคยแนะนำเมื่อตอนที่รู้ว่าเขาจะมาสานต่อหอพักแห่งนี้จนเสร็จสิ้น
“ตามใจ” คนพูดรู้สึกเคืองนิดหน่อยที่ผู้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวไม่เชื่อฟัง
ศศวัตมองตามร่างสูงที่เริ่มมีไขมันแสดงความสมบูรณ์บริเวณหน้าท้องของสมชัยผู้เป็นพ่อแต่สิ่งนั้นกลับยิ่งทำให้แลดูภูมิฐานมากขึ้นเดินลงส้นเท้าตึงๆ จากไป ระหว่างเขาและพ่อมีกำแพงหนาๆ ขวางกั้นกันมาตั้งแต่เขาจำความได้ แม้จะเป็นลูกชายคนแรกและคนเดียว แต่การที่แม่ของเขาดำรงตำแหน่งเมียน้อยทำให้เขาไม่สามารถนำจุดนั้นมาเป็นปมเด่นของตัวเองได้เลย ตรงกันข้าม เขากลับยอมที่จะลงและอ่อนให้น้องสาวต่างมารดาเสียมากกว่า รายนั้นได้รับความรัก การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากพ่อมากกว่าเขามากมาย และเขาไม่เคยอิจฉา เพราะแม่นงผู้มีศักดิ์เป็นป้าของเขาและแม่ของสิรินก็รักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ของตัวเอง แม่นงไม่เคยสอนให้เขาเสียสละให้น้องเวลาที่น้องมาแย่งของ แต่กลับสอนให้น้องรู้จักเกรงใจพี่ชายต่างแม่อย่างเขาอีกต่างหาก ความดีของแม่นงทำให้เขาต้องเจียมตัวว่ามีศักดิ์เป็นแค่...ลูกเมียน้อยเท่านั้น
ความอยากอาหารลดไปกว่าครึ่ง จนเขาคิดจะเดินออกจากตลาด ถ้าไม่สะดุดตาเข้ากับร่างเล็กๆ ในชุดกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาสวยที่ทำเอาบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันมองเป็นตาเดียว กางเกงขาสั้นที่เธอสวมมาแม้จะไม่สั้นจนเรียกว่ามีความยาวแค่คลุมสะโพก แต่ก็ยังถือว่าสั้นมากเมื่อวัดจากหัวเข่าขึ้นมาถึงปลายกางเกง สำหรับเขาที่ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งในต่างประเทศและเป็นรัฐที่อยู่ในเขตเมืองร้อนมากกว่าหนาว ชุดที่สาวๆ ที่นั่นใส่เดินเล่นริมถนนล่อเสือล่อตะเข้มากกว่านี้หลายเท่า แต่เมื่ออยู่เมืองไทย เขารู้ดีว่าการแต่งตัวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และยากที่คนไทยจะมองในแง่ดี
ราวกับอีกฝ่ายมีโทรจิตเพราะอยู่ๆ ตาโตเฉี่ยวของณัฐนรีย์ก็เบนมาทางที่เขายืนอยู่ รอยยิ้มเก้อๆ ที่ส่งมาทำให้เขาเองสามารถคลี่ยิ้มได้เต็มหน้าแบบที่ไม่มีให้ใครเห็นบ่อยๆ ศศวัตสาวเท้าเข้าไปหาพลางเอ่ยทักทาย
“มาซื้อของเหรอครับ”
แปลกจริง...มาตลาดจะมาทำอะไรล่ะถ้าไม่มาซื้อของ หญิงสาวคิดรวนๆ ในใจ แต่ปากกลับตอบว่า
“ค่ะ แนทมาหาของกิน แล้วคุณศศวัตล่ะคะ”
อาจารย์หนุ่มยิ้ม “เรียกผมว่าสิงห์ก็ได้ครับคุณณัฐนรีย์ เรียกชื่อจริงยาวเกินไป”
พริตตี้สาวยิ้มบ้าง “งั้นเรียกแนทก็ได้ค่ะ เพราะณัฐนรีย์ก็ยาวไม่ต่างกัน”
“นั่นสิครับ” ทั้งคู่ผสานเสียงหัวเราะกันเบาๆ แม้จะเพิ่งรู้จักพูดคุยกัน แต่กลับรู้สึกดีอย่างประหลาด
“วันนี้ไม่ต้องไปสอนเหรอคะ”
“ไม่ครับ ผมหยุดเสาร์อาทิตย์ แล้ววันนี้คุณแนทไม่ต้องไปทำงานหรือครับ”
“วันนี้แนทไม่มีงานค่ะ ปกติเสาร์อาทิตย์แนทไม่ค่อยว่าง ถ้าว่างนี่ถือว่าแย่แล้วค่ะ”
“แล้ววันนี้ถือว่าแย่แล้วหรือยังครับ”
ณัฐนรีย์ยิ้มบางๆ ส่ายหน้าเร็วๆ “ไม่แย่ค่ะ จบงานมอเตอร์โชว์จะเว้นช่วงพักยาวนิดหน่อย เดี๋ยวก็จะมีอีเวนต์เข้ามาอีกเรื่อยๆ ค่ะ”
สองหนุ่มสาวคุยกันไปเรื่อยๆ ขณะเดินซื้อของกินเล่นจุกจิกของฝ่ายหญิง โดยมีอาจารย์หนุ่มอาสาช่วยถือให้ท่ามกลางสายตาของชาวตลาดที่จับจ้อง ด้วยรู้ดีว่าฝ่ายชายนั้นมีสถานะเป็นลูกชายคนเดียวของเศรษฐีที่ดินย่านนี้ อีกทั้งปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อใกล้เคียง ที่ดินที่ขายให้หมู่บ้านจัดสรรที่ผุดราวดอกเห็ดก็เป็นของเสี่ยสมชัย รวมทั้งหนุ่มหล่อหน้าตาสะอาดสะอ้านยังเป็นเจ้าของหอพักที่เปิดใหม่ใกล้ๆ ตลาดด้วย เมื่อเห็นเดินเคียงไปกับสาวสวยแปลกหน้าที่ท่าทางเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันย่อมทำให้เป็นที่จับตามองเป็นธรรมดา สาวๆ ที่เคยส่งตาหวานให้ลูกชายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ถึงกับเขม่นใส่คู่แข่งที่เพิ่งแจ้งเกิดเลยทีเดียว
ศศวัตเดินเคียงร่างบางไปด้วยความรู้สึกสบายใจกับเธอในแบบที่ไม่ค่อยได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เขาไม่ใช่คนที่พึงพอใจใครง่ายๆ คนที่เคยคบหากันมาบ้างก็ไม่มีที่จริงจัง สาเหตุหนึ่งคงเพราะเขาไม่ใช่คนที่แสวงหาความรัก จากการที่ได้เห็นพ่อ แม่ และป้าต้องอยู่ร่วมกันแบบไม่มีใครสักคนที่เป็นสุข คนที่ท่าทางจะมีความสุขในปริมาณที่มากกว่าคนอื่นคือพ่อของเขาเอง และเขาต้องทนเห็นผู้หญิงที่เขาเคารพรักหวานอมขมกลืนไปด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องสนุก เขาจึงเป็นคนประเภทที่เรียกได้ว่ารักคนยากและไม่คิดจะลงเอยกับใครง่ายๆ แต่กับณัฐนรีย์ ศศวัตสะดุดตาตั้งแต่เห็นเธอทำหน้าที่นำเสนอรถยุโรปรุ่นใหม่ล่าสุด แม้เธอจะยืนเคียงข้างกับพริตตี้อีกสองสามคน แต่กลับเป็นเธอเพียงคนเดียวที่เขาสะดุดตา ยิ่งมีเรื่องให้ต้องมาพบปะกันอีกเรื่อยๆ แล้ว เขายิ่งรู้สึกสะดุดใจกับเธอเพิ่มจากการสะดุดตาอีกด้วย
รอยยิ้มที่ประดับมุมปากบางค่อยๆ ละลายและจางลง สวนทางกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อสายตาของศศวัตมองไปเห็นสมชัยกับแม่ค้าสาวกำลังพูดคุยสนุกสนานที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่า ’สนุกสนาน’ เกินเจ้าของตลาดกับแม่ค้าจะพูดคุยกัน พ่อเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นเพียงใด ก็ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนสถานภาพชายเจ้าชู้ให้ลดลงได้เลย การจากไปของแม่ไม่เคยทำให้พ่อหยุด ความดีแสนดีของแม่นงก็ไม่ทำให้พ่อหยุดเช่นกัน
“คุณสิงห์ไม่ซื้ออะไรเลยเหรอคะ” ณัฐนรีย์เอ่ยถาม แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ เธอจึงหันมามองและมองตามสายตาเศร้าๆ ของเขาไป สัญชาตญาณบอกเธอว่าเขากำลังไม่พอใจกับคนคู่นั้นอยู่ และเพราะยังไม่สนิทสนมกันมากจนสามารถถามไถ่ว่าเพราะอะไรเขาถึงมีความรู้สึกอะไรบางอย่างกับคนทั้งคู่ เธอจึงเลือกที่จะหยุด จนอีกฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาว่า
“ผมขอตัวก่อนนะครับ คุณแนทจะซื้ออะไรต่ออีกก็ตามสบาย ของนี่ผมช่วยถือไปวางไว้ที่โต๊ะคุณอรให้นะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แนทถือเองได้”
“ผมถือไปให้ดีกว่าครับ”
เมื่อเขายืนยันเช่นนั้น ณัฐนรีย์ก็ไม่ขัดอะไรอีก ความจริงเธอเองก็ซื้อของจนครบแล้วและอยากจะเดินกลับหออยู่พอดี เพียงแต่รู้สึกได้ว่าเขาต้องการเดินกลับไปเงียบๆ คนเดียวมากกว่าที่จะมีเธอเดินไปด้วยและต้องพยายามหาบทสนทนามาทำให้บรรยากาศดีขึ้น จึงยืนมองจนร่างสูงของเขาเลี้ยวพ้นตลาดออกไปแล้วค่อยก้าวเท้าเดินกลับบ้าง
“มาทำอะไร” สิรินถามห้วนๆ เมื่อเห็นพี่ชายต่างมารดาเดินเข้ามาในบริเวณบ้านของเธอ
“พี่มาหาแม่นง” ศศวัตตอบอย่างไม่ถือสาหาความน้ำเสียงและคำพูดชวนตีของสิริน
“คุณแม่สวดมนต์อยู่ พี่สิงห์กลับไปก่อนเหอะ”
“อะไรกันลูก เสียงดังเชียว” นงพะงาก้าวลงมาจากบันได ทันได้ยินเสียงแหวๆ ของลูกสาว
“สวัสดีครับแม่นง”
“อ้าว สิงห์...วันนี้ว่างเหรอลูก ถึงแวะมาหาแม่นงได้ ไม่เห็นหน้าเห็นตาหลายวันเลย” หญิงวัยหกสิบกว่าที่ขาวจัดจนซีด ดูรู้ว่ามีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ไม่ดีนักมอบรอยยิ้มเย็นมาให้ รอยยิ้มที่ทำให้เขาหายร้อนรุ่มลงไปได้
“จะมาอาศัยฝากท้องกับแม่นงครับ”
“เอาสิ แม่นงเตรียมก๋วยเตี๋ยวราดหน้าไก่ไว้ ป๊าของสิงห์บ่นอยากกิน” ภรรยาที่แสนดีเสมอของผู้เป็นพ่อพูดในสิ่งที่ทำให้แผลเหวอะในใจเขาปวดร้าวราวกับราดด้วยน้ำเกลือ เขาสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าอย่างเหลือเกิน จนต้องคว้าต้นแขนเธอประคองเดินไปนั่งที่โซฟา ส่วนเขาเองทรุดลงนั่งที่พื้น บีบนวดปลีน่องที่มีเนื้อหยุ่นๆ นิ่มๆ ราวกับไม่มีกล้ามเนื้อ เขาไม่รู้เลยว่าเธอผู้นี้หัวใจทำด้วยอะไร ทั้งที่เนื้อตัวประกอบไปด้วยความอ่อนแอหลอมรวมกัน ทั้งขี้โรค เปราะบาง แต่เธอกลับมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง อดทนให้สามีและญาติเหยียบย่ำ ขยี้จิตใจโดยไม่เคยระรานตอบโต้ใครกลับไป ชายหนุ่มรู้สึกผิดแทนแม่ของตัวเอง ละอายใจในสิ่งที่พ่อทำกับแม่นง จนยินดีที่จะชดเชยทั้งชีวิตให้กับผู้หญิงจิตใจประเสริฐคนนี้ถ้าเพียงแค่เธอเอ่ยปาก
“เป็นอะไรลูก มาประจบแม่นงทำไม”
“อยากจะเป็นลูกรักแทนสิรินไงคุณแม่” น้องสาวร่วมบิดาตอบแทนด้วยน้ำเสียงแสดงความหมั่นไส้เต็มเปี่ยม แม้วันเวลาจะผ่านมาจนทั้งคู่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่สิรินไม่เคยเปลี่ยนไปจากตอนที่เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่แสนเอาแต่ใจเลยสักนิด
“สิริน” นงพะงาดุลูกสาวเสียงเข้ม “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าหาเรื่องพี่สิงห์ เรามีกันสองคนพี่น้องนะลูก ต้องรักต้องดูแลกัน สิรินต้องพึ่งพี่สิงห์ไปอีกนานนะ แม่ก็ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง ถ้าแม่ตายแม่จะนอนตายตาไม่หลับเพราะลูกๆ ไม่รักกัน”
“แม่นงครับ”
“คุณแม่อ่ะ เข้าข้างแต่พี่สิงห์”
สองพี่น้องต่างมารดาพูดขึ้นพร้อมๆ กัน นงพะงายิ้มพลางลูบศีรษะศศวัต “แม่พูดเรื่องจริง แม่ฝากน้องด้วยนะสิงห์ สิรินก็เป็นแบบนี้แหละ มีแต่สิงห์ที่แม่พอจะฝากให้ดูแลน้องได้ อย่าถือสาน้องนะลูกนะ”
“แม่นงยังแข็งแรง อย่าพูดแบบนี้อีกนะครับ ส่วนเรื่องน้องผมไม่เคยถือ”
สิรินเบ้ปาก จะว่าเธอเกลียดชังพี่ชายต่างแม่ก็ไม่ใช่ แค่ไม่ชอบหน้าเพราะเขาเป็นลูกชาย แม่บอกเสมอว่าสำหรับผู้ที่มีเชื้อสายจีนลูกชายมีสิทธิ์ขาดในอะไรๆ มากกว่า แม้ว่าจะเป็นลูกเมียน้อยก็ตาม ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจและขัดใจในความอยุติธรรมเช่นนี้ ในเมื่อแม่ของเธอคือภรรยาที่กอดทะเบียนสมรส เธอต่างหากคือทายาทโดยชอบธรรม หากพ่อไม่ทำพินัยกรรมอะไรไว้ สมบัติทั้งหมดต้องเป็นของเธอคนเดียว อีกทั้งสิรินเองเกลียดสุมาลีแม่ของศศวัตที่สุด ผู้หญิงอะไรกินบนเรือนขี้บนหลังคา ขนาดแม่ของเธอเป็นผู้มีบุญคุณยังกล้าทรยศหักหลังอย่างเลือดเย็น สมควรแล้วที่ต้องจบชีวิตลงในสภาพน่าอนาถใจเช่นนั้น
“ทำตัวแสนดีประจบคุณ
“อ้าว...ราดหน้าล่ะลูก”
“กินไม่ลงค่ะ เชิญคุณแม่กับลูกนอกไส้รับประทานร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อยนะคะ”
ว่าแล้วร่างระเหิดระหงราวนางแบบเพราะได้ความสูงของผู้เป็นพ่อมาก็ก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ราคาแพงกระหึ่มขึ้นพร้อมๆ กับเสียงล้อบดถนนดังเอี๊ยด
นงพะงาส่ายหน้าเบาๆ ด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนใจ ลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอที่กว่าจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ก็ยากเย็นเพราะร่างกายเธอไม่แข็งแรง จนศศวัตถือกำเนิดขึ้นมาก่อน จึงมีสิรินตามมาเกิด ใครๆ ก็ว่าสิรินเป็นลูกอิจฉา เมื่อรู้ว่าลูกเป็นหญิง นงพะงาเองก็เสียใจมิใช่น้อยเพราะรู้ว่าสำหรับคนเชื้อสายจีนลูกชายมีสิทธิ์มีเสียงกว่ามากมาย แต่สมชัยไม่มีท่าทีผิดหวัง เพราะเขาเองได้ลูกชายจากสุมาลีแล้ว นงพะงาอยากจะมีลูกชายให้สามีอีกสักคนแต่ก็ไม่มี ความรักเอาใจใส่ทั้งหมดจึงตกอยู่กับลูกสาวคนเดียว นงพะงาตามใจลูกสาวเพราะสงสารที่พ่อไม่ค่อยสนใจไยดีนัก
สำหรับคนเป็นแม่ผิดก็มองเป็นถูกได้ง่ายๆ ลูกน้อยของเธอก็เป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้จักโตในสายตาเท่านั้น
“ผู้หญิงก็แบบนี้ล่ะสิงห์ ขี้งอนขี้น้อยใจ”
ขี้อิจฉาด้วย ศศวัตต่อในใจ เพราะแม่นงไม่เคยว่าร้ายใครอยู่แล้ว และเขาเองก็ไม่ถือสาด้วย
“ไม่เป็นไรครับแม่นง งั้นเราไปที่โต๊ะดีไหมครับ ผมตักให้แม่นงเอง”
“ไม่รอป๊าเหรอลูก” หญิงผู้มีสามีเพียงคนเดียวในใจเสมอมาถามคำที่ศศวัตรู้สึกถึงก้อนแข็งแน่นในอก
“ป๊าอยู่ในตลาดครับ ผมว่าป๊าคงหาอะไรทานเรียบร้อยแล้ว แม่นงอย่าห่วงเลย แต่เราแบ่งไว้ให้ป๊าก็ได้นะครับ”
“ไม่ดีหรอกลูก เป็นเด็กกินก่อนผู้ใหญ่” แม่นงสอนเขา “เดี๋ยวแม่นงลองโทรไปหาป๊าก่อนนะลูกนะ”
เมื่อแม่นงตัดสินใจแบบนั้นเขาจึงไม่ขัด เดินไปคว้าโทรศัพท์พื้นฐานไร้สายขึ้นมาส่งให้ ไม่นานก็ได้ยินบทสนทนาและได้เห็นหน้าแม่นงค่อยๆ จืดเจื่อนลง ก่อนจะวางสายไปเงียบๆ
“ป๊ายังไม่เสร็จงาน” ศศวัตเห็นว่าเธอพยายามฝืนยิ้มเย็นๆ ให้เขา “สิงห์ตักมาให้แม่นงด้วยนะลูกนะ ไม่ต้องเยอะนะจ๊ะ แม่นงกินเป็นเพื่อนสิงห์นิดหน่อยก็พอ แก่แล้วกินเยอะๆ อาหารไม่ย่อยแน่นท้องอีก แต่สิงห์ต้องกินเยอะๆ นะลูก แม่นงทำไว้เต็มหม้อเลย กะว่าถ้าสิงห์ไม่มา แม่นงจะให้เด็กยกไปให้ที่บ้าน”
“ครับ” ศศวัตร้อนที่หัวตาเมื่อสัมผัสได้ว่าแม่นงพยายามเยียวยาจิตใจตัวเองด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ แต่ดวงตาคู่หม่นแดงก่ำ เขาตักราดหน้าที่ยังร้อนกรุ่นมาเสิร์ฟผู้ที่เขารักบูชาไม่ต่างจากแม่ พร้อมน้ำอุ่นหนึ่งแก้วอย่างรู้ใจว่าอีกฝ่ายไม่ชอบดื่มน้ำเย็น
ในใจเคียดขึ้งสมชัยที่ไม่รู้ค่าของดีที่ครอบครอง แค่นั้นยังไม่พอ ชายผู้นั้นยังเหยียบย่ำให้คนที่เขารักต้องช้ำใจอยู่บ่อยๆ ราวกับว่าความดีที่แม่นงมีไม่สามารถเอาชนะใจผู้เป็นพ่อได้เลย...
ความคิดเห็น