คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
บทที่ 2 สนามรบระหว่างเรา
1
การที่เห็นอรนาฏไปเดินช็อปในงานเว็ดดิ้งแฟร์ บวกกับคำพูดยุแหย่ของภารวี ทำให้ฉันเก็บเอามาคิดมากและรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับการให้บริการของพันธิตราอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้นฉันจึงพยายามทุ่มเทให้กับงานที่พันธิตรามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนหนึ่งในพื้นที่บนชั้นสามของพันธิตราถูกออกแบบให้เป็นที่พักสไตล์ห้องชุดขนาดใหญ่ที่พรั่งพร้อมและครบครัน สมัยก่อนเวลาที่มีงานจนดึกดื่นคุณหญิงป้าท่านมักจะค้างที่นี่ หรือบางครั้งก็ใช้เป็นที่พักผ่อนเวลาอ่อนเพลียจากงาน ตอนนี้ห้องนี้ได้กลายเป็นของฉันโดยปริยาย ฉันเคยเอ่ยปากขอย้ายออกจากบ้านมาอยู่ที่นี่อย่างถาวร แต่คุณหญิงป้าปฏิเสธ ท่านยังต้องการให้ฉันอาศัยอยู่บ้านภวรัญชน์ต่อไป เพื่อที่ว่าจะได้พูดคุยปรึกษาหารือกับฉันเรื่องพันธิตราได้อย่างสะดวกตามเดิม
ดังนั้นยามเมื่อมีงานติดพันจนดึกดื่นฉันจึงสามารถค้างคืนที่สตูดิโอได้บ้าง แต่วันนี้ฉันเพิ่งทราบว่านอกจากฉันแล้ว ภารวีก็มีสิทธิ์ใช้ห้องชุดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน แสดงว่าเขาเองมีกุญแจเข้าออกสตูดิโอของพันธิตราได้ตามอำเภอใจ
ฉันเข้ามาที่สตูดิโอในตอนสายของวันอาทิตย์เพราะเมื่อวานลืมคอมพิวเตอร์เอาไว้ และคุณหญิงป้าท่านวานให้มาเอาสมุดบัญชีกับเอกสารที่ออฟฟิศกลับไปให้ดู แต่ได้ยินเสียงดังจากชั้นบนจึงตัดสินใจย่องขึ้นไปดู ตอนแรกฉันกะจะโทรแจ้งตำรวจก่อน แต่เสียงที่ได้ยินแว่วมานั้นดังคุ้นหูเหมือนเสียงของภารวี ทำให้ต้องวางโทรศัพท์ลงแล้วขึ้นไปดูเองกับตา
ประตูห้องพักถูกเปิดค้าง ฉันถือวิสาสะเข้าไปยืนตรงประตูแล้วกวาดตามองเข้าไปภายใน ทันทีที่สายตาตกกระทบกับร่างสูงเปลือยท่อนบนที่นอนคว่ำตัวอยู่บนเตียง อีกด้านหนึ่งของห้องก็มีคนเดินออกมาจากส่วนของพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำ ทำให้ฉันต้องตวัดตาไปทางนั้นแทน ฉันยืนนิ่งขึงมองสบตากับสาวสวยที่ใช้ผ้าขนหนูสีขาวพันร่างอรชรเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้สติแล้วหันไปสะกิดเรียกภารวี
“พี่วิวคะ...มีคนมา”
ภารวีพลิกตัวลุกจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้กำลังหลับ ในมือข้างหนึ่งของเขาถือโทรศัพท์เอาไว้ด้วย เมื่อมองเห็นฉันเขาชักสีหน้าทันทีและได้ยินเสียงเขาสบถออกมาคำหนึ่ง หน้าตาเขาบึ้งจัดขณะเดินตรงมายังประตูซึ่งฉันยืนแข็งทื่ออยู่ ส่วนฝ่ายหญิงสาวในห้องก็ผลุบหายไปยังทางที่ตัวเองโผล่ออกมาอย่างรวดเร็ว
“คุณมาทำอะไรที่นี่แต่เช้า นี่มันวันอาทิตย์”
ฉันสูดหายใจลึก “ฉันต่างหากล่ะคะที่ต้องถามคุณ คุณมีสิทธิ์มาใช้ห้องนี้ด้วยเหรอ”
“แน่นอน” เขาตอบเสียงห้วน หน้าบูดสุดขีด “ก็ที่นี่มันเป็นของแม่ผม ผมจะไม่มีสิทธิ์ได้ยังไง”
“ฉันจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคุณไม่ได้พาใครมาค้างด้วยแบบนี้ มันดูแย่ แย่มากๆ” ฉันกัดฟันพูดเสียงเบา ยังมีความเกรงใจว่าผู้หญิงคนเมื่อครู่เธอจะได้ยินเขา
“ผมมาค้างคนเดียวหรือพาใครมาด้วยมันจะต่างกันตรงไหนมิทราบ”
“แต่มันน่าเกลียดที่คุณทำแบบนี้ ที่นี่ไม่ใช่ม่านรูด”
“ก็เพราะผมไม่ชอบเข้าม่านรูดไงล่ะถึงได้มาที่นี่ ให้พาเข้าโรงแรมทั่วไปผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน แล้วจะพาไปที่บ้านผมก็เกรงใจคุณแม่ ที่นี่แหละเหมาะสุด ผมถือว่าที่นี่กำลังจะกลายเป็นของผมในไม่ช้า ฉะนั้น...ผมมีสิทธิ์”
“ถ้าชอบทำอะไรแบบนี้ทำไมคุณไม่ซื้อคอนโดฯ”
“ผมซื้อแล้ว เพียงแต่ยังตกแต่งไม่เรียบร้อย” เขาตอบด้วยรอยยิ้มบาดตา แม้จะยอมรับว่าการยิ้มทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาน่ามองขึ้นมาก แต่ฉันรู้สึกชิงชังรอยยิ้มนั่นสิ้นดี ฉันกำหมัดแน่น มองการลอยหน้าลอยตาของเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ รู้สึกโกรธจนควันออกหู อยากจะทำร้ายเขา โมโหอยากจะฆ่าเขาให้ตายเลยด้วยซ้ำ
“พวกคุณไม่ได้หยิบของใช้ส่วนตัวอะไรของฉันเลยใช่ไหม”
เขายิ้มอย่างยียวนกวนโทสะ “เช่นอะไรล่ะ”
“ของใช้ส่วนตัวน่ะไม่รู้จักรึไง” ฉันตะคอกเบาๆ อย่างโมโห “แฟนคุณใช้ผ้าเช็ดตัวฉัน...หนึ่งล่ะ”
“ผมจะเก็บของทุกชิ้นที่เราถือวิสาสะหยิบใช้กลับไปซักทำความสะอาดให้ที่บ้าน แล้วจะคืนให้ทีหลัง”
“นอกจากผ้าเช็ดตัวพวกคุณยังใช้อะไรไปอีก” ขณะถามก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ
เขายิ้มอีกครั้ง “อย่าใจแคบนักสิครับ ผมรับรองจะสั่งเด็กที่บ้านซักให้สะอาด ฆ่าเชื้อให้อย่างดีด้วย พอใจไหม”
ฉันเม้มปากขึงตาวาววับมองเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าผละจากมาโดยไม่พูดอะไรอีก ฉันเกลียดผู้ชายอย่างภารวีจริงๆ เกลียดๆๆๆๆ!
2
“เลื่อนเข้ามาอีกเดือนหนึ่ง” สรวิศทำหน้างงเมื่อรับฟังความต้องการของว่าที่เจ้าสาว “ทำไมล่ะ”
“คุณวิศไม่อยากแต่งงานกับนาฏเร็วๆ หรือคะ” อรนาฏทำเสียงน้อยใจ
“เร็วขึ้นอีกแค่เดือนเดียวเนี่ยนะ แล้วฤกษ์ของเราล่ะ”
“ลองให้ผู้ใหญ่เช็กวันดูก็น่าจะพอมีนะคะ นาฏอยากแต่งไวๆ ไม่รู้เป็นไงเดี๋ยวนี้นอนหลับย้ากยาก กว่าจะหลับได้แต่ละคืน” หล่อนซบหน้ากับต้นแขนแข็งแรง “คงเพราะตื่นเต้นกับงานแต่งมากไป ขืนให้รอนานเท่าเดิมนาฏกลัวตัวเองจะบ้าตายซะก่อน นะคะคุณวิศขา”
สรวิศคลายคิ้วขมวดมุ่น เปลี่ยนสีหน้ามาอมยิ้มกับกิริยาออดอ้อนจากคู่หมั้นคนสวย “ผมจะลองคุยกับคุณแม่ดู คงต้องคุยกับแทนด้วย ไม่รู้แทนเขาจะลำบากรึเปล่า”
“นาฏขอคุยกับคุณแทนเองนะคะ ส่วนคุณวิศก็ไปคุยกับคุณแม่”
สรวิศพยักหน้าอย่างง่ายดาย โดยปกติแล้วเขามักตามใจอรนาฏทุกเรื่อง ที่ผ่านมาหลายเดือนเขากับหล่อนคบหากันโดยไม่มีการเปิดเผยกับผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ ทั้งยังไม่เคยออกงานด้วยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะด้วย แต่เมื่อถูกมารดาหว่านล้อมให้คบหากับธาวัน เขากับอรนาฏจึงตัดสินใจบอกเรื่องความสัมพันธ์กับทุกฝ่าย แต่ก็นึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ อรนาฏจะอยากเลื่อนงานแต่งให้เร็วขึ้นอีกเช่นนี้
“ถ้ามีอะไรที่แทนเขาทำให้ไม่ทันก็ตัดๆ ทิ้งมั่งก็ได้ ปกติแทนเขาขี้เกรงใจ กลัวว่าเขาจะยอมรับปากแล้วไปลำบากเอง ไม่ได้มีแต่งานเราที่เขาต้องดูแล”
“ค่า นาฏรู้หรอกน่า” อรนาฏทำจมูกย่นมองค้อนคนรักอย่างแสนงอน “เรื่องนี้ให้นาฏคุยกับคุณแทนเองเถอะค่ะ”
“จะไปคุยเรื่องอะไรกับแทนหรือครับคุณนาฏ” ภารวีเดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่ง สีหน้าท่าทางเบื่อหน่ายเห็นได้ชัด
เมื่อเทียบกับสรวิศที่มีรูปร่างสูงใหญ่ค่อนข้างหนาแล้ว ภารวีจัดเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวแต่มีมัดกล้ามสวยงามดูแข็งแรงอย่างคนหมั่นออกกำลังกาย โดยบุคลิกภาพแล้วสรวิศจะสุขุมลุ่มลึก หนักแน่นและดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ในขณะที่ภารวีมีบุคลิกค่อนข้างปราดเปรียว ใบหน้าอ่อนกว่าวัย และยังมีลักษณะดื้อดึงเอาแต่ใจอยู่บ้าง ทว่าทั้งคู่ก็มีความคล้ายคลึงกันในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือดอย่างชัดเจน
“ยังอยู่อีกเหรอ พี่นึกว่านายออกไปแล้ว” เขาทราบว่าเมื่อคืนภารวีไม่ได้กลับบ้าน เพิ่งได้ยินเสียงกลับเข้ามาเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ก็ได้ยินอีกฝ่ายบึ่งรถสปอร์ตคันหรูออกไปอีกรอบเมื่อสักครู่นี้ ก็เลยแปลกใจที่ยังเห็นน้องชายอยู่ในบ้าน
“ผมเพิ่งกลับเข้ามาน่ะครับ” ภารวีตอบพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างเขากับธาวันที่พันธิตราเมื่อครู่ก่อน ทั้งที่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าต่อให้ธาวันมาพบเข้าเขาก็ไม่แคร์ ซ้ำยังจะรู้สึกสะใจเสียอีกที่ทำให้อีกฝ่ายโมโหเมื่อเห็นเขาพาผู้หญิงไปค้างที่ห้องพักของเธออย่างไม่เกรงใจ แต่เอาเข้าใจเขากลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ก็เห็นกลับมาแล้วเอะอะโวยวายอะไรกับเด็กอยู่ข้างล่างเสียงดังลั่น พี่นึกว่าเข้ามาถึงแล้วใครทำให้โมโหก็เลยบึ่งรถออกไปอีก เมื่อกี้ได้ยินเสียงรถนายออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“บึ่งรถออกไปแล้วล่ะครับ แต่คิดไปคิดมาอยู่บ้านดีกว่าเลยวกกลับมา พอคิดว่าต้องขับรถออกไปไหนอีกก็หงุดหงิดพิกล” ภารวีไม่ได้บอกว่าเขาอาละวาดใส่เด็กรับใช้เพราะอีกฝ่ายบังอาจซักถามอย่างสงสัยเมื่อเขาส่งถุงใส่กระดาษเสื้อผ้าใช้แล้วให้เพื่อสั่งนำไปซักรีด
‘เอ นี่ของคุณแทนรึเปล่าคะ หนูจำได้ ทำไมคุณวิวเป็นคนเอามาให้ซัก แล้วคุณวิวเอากลับมาจากไหนเหรอคะ...’
‘พูดมาก นั่นมันของแฟนฉัน ซักแล้วเอามาไว้ที่ห้องฉันด้วยล่ะ’
‘แต่หนูจำเสื้อตัวนี้ได้จริงๆ นะคะ เนี่ยกระดุมเม็ดนี้เคยหลุดแล้วหนูก็เย็บให้คุณแทนกับมือ...’
‘มีแต่คุณแทนของเธอรึไงที่ใส่เสื้อแบบนี้แล้วกระดุมหลุด ฉันสั่งอะไรทำไมต้องมาพูดมาก ไปให้พ้นเลยไป รีบซักมาคืนเร็วๆ ด้วย’ เขาตวาดใส่อย่างอารมณ์เสีย ทำเอาเด็กรับใช้กลัวจนหัวหดรีบเผ่นหนีแทบไม่ทัน
“ท่าทางนายเครียดๆ นะวิว มีเรื่องอะไรรึเปล่า” สรวิศถามด้วยสายตาจับผิด
“เปล่าครับ” คนเป็นน้องปฏิเสธด้วยน้ำเสียงติดจะห้วนเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ “แล้วที่คุณนาฏจะคุยกับแทนเรื่องอะไรหรือครับ”
“นาฏเขาจะเลื่อนงานแต่งเข้ามาอีกเดือน ก็เลยว่าจะลองถามแทนดูว่างานเขาจะมีปัญหาไหม”
“งั้นน่าจะเลื่อนเข้ามาแต่งเดือนหน้าไปเลยนะครับ ไหนๆ ก็เลื่อนแล้ว”
อรนาฏหัวเราะคิก “ไม่ได้หรอกค่ะ นาฏต้องเคลียร์งานอีกเยอะ จะได้มีเวลาฮันนีมูนยาวๆ ไหนจะต้องเตรียมงานแต่งให้เพอร์เฟ็กต์ที่สุดอีก แล้วคุณแทนจะกลับเข้ามากี่โมงคะ นาฏจะได้อยู่รอคุยซะเลย”
“คุณแม่วานให้เขาออกไปเอาสมุดบัญชีกับเอกสารที่ออฟฟิศมาให้ น่าจะกลับเข้ามาก่อนบ่าย แทนเขานัดคุยงานกับคุณแม่ไว้ตอนบ่ายสอง” สรวิศบอก แล้วอยู่ๆ ภารวีก็ลุกพรวดขึ้นบอกว่าขอตัวไปโทรศัพท์ เขามีท่าทางฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัดจนสรวิศกับอรนาฏต้องหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงงกับอาการแปรปรวนของเขา
“คุณวิวท่าทางแปลกๆ นะคะ อย่างกับผู้หญิงมีประจำเดือนมาไม่ปกติ”
“อย่างนายวิวก็คงไม่พ้นทะเลาะกับสาวมา เห็นมันลอยไปลอยมาแบบนี้ผมปวดหัวจะแย่ จะพูดอะไรก็ทำหูทวนลมท่าเดียว คุณแม่ก็คงขี้เกียจจะคอยจู้จี้ โตๆ กันแล้ว”
“คุณวิศนี่ขี้บ่นจัง”
“นิสัยแบบนี้แหละเหมาะจะเป็นพ่อบ้านที่ดี คุณว่าไหม”
คนฟังย่นจมูก “มีหวังแต่งงานแล้วนาฏคงโดนบ่นเช้าจดเย็น คุณแม่บอกว่านาฏหาคู่ได้เหมาะ คุณวิศตรงกันข้ามกับนาฏเกือบทุกอย่าง คุณแม่ว่าคุณวิศเหมือนคุณพ่อของนาฏสมัยหนุ่มๆ คุณแม่เขาเห่อว่าที่ลูกเขยน่ะค่ะ”
“ก็พอกับคุณแม่ผมนั่นแหละ”
อรนาฏยิ้มหวานรับเมื่อสรวิศชมกลับ หล่อนกำลังจะมีงานมงคลสมรสที่น่ายินดี น่าอิจฉา และไม่น้อยหน้าใครทั้งนั้น งานแต่งของหล่อนจะมีขึ้นหลังงานของชวกรเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แล้วชวกรจะรู้ซึ้งเสียทีว่าผู้หญิงที่ถูกเขาสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดีอย่างหล่อนก็สามารถหาผู้ชายที่ดีเลิศกว่าเขามาแต่งงานด้วยได้
3
“หนูนาฏเขารู้ใจแม่ถึงได้ขอเลื่อนงานแต่งเข้ามาอีก แม่อยากให้แต่งวันนี้พรุ่งนี้ซะด้วยซ้ำ”
ฉันพยายามจะวางท่าให้เป็นปกติ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ต่องานแต่งของพี่วิศกับอรนาฏ ไม่ออกอาการริษยาหรือแสดงออกว่ายังมีเยื่อใยกับพี่วิศ ต่อให้อรนาฏคอยเซ้าซี้จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับงานแต่งมากขนาดไหน ฉันก็จะพยายามทำตามประสงค์หล่อนและบอกตัวเองให้อดทนอย่างที่สุด
“แล้วแทนล่ะลูกว่ายังไง งานของเราจะมีปัญหาอะไรไหมถ้าต้องเลื่อนงานของพี่วิศเข้ามาอีกเดือนหนึ่ง”
“ไม่ค่ะคุณป้า ถึงเลื่อนมาอีกเดือนนับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาตั้งห้าหกเดือน ทีมงานก็โอเค”
“หนูเข้ากับทีมงานเก่าได้ดีใช่ไหม กับโกมลล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“แทนคิดถูกจริงๆ ที่เกลี้ยกล่อมพี่มลมาเป็นพนักงานประจำของเรา ลำพังแทนตอนนี้คงไม่ไหวแน่เลยค่ะ”
“ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจ ป้าดีใจมากที่เห็นแทนทำงานเข้าขากับโกมลได้ดี”
ภารวีรวบช้อนและยกแก้วน้ำขึ้นจิบ คุณหญิงป้าจึงนิ่วหน้าแล้วถามเขา “อะไรกันตาวิว อิ่มแล้ว? ไหนเมื่อกี้บอกวันนี้มีแต่ของโปรดเราทั้งนั้น”
“สงสัยแม่ครัวคุณแม่จะมือตก รสชาติไม่ไหวเลย ไม่ชวนให้เจริญอาหารสักนิด”
“เดี๋ยวเถอะ แม่รำแพนแกมาได้ยินเข้าคงโกรธตาย ไม่ทำอะไรให้กินแล้วทีนี้”
“ต่อไปผมคงไม่ค่อยกลับมากินข้าวบ้าน พาสาวๆ ไปกินอะไรข้างนอกดีกว่า กินข้าวบ้านบ่อยๆ น่าเบื่อ”
“ฟังพูดเข้า ไม่น่ารักเลยลูกคนนี้ ตัวเองไม่พอใจอะไรล่ะสิถึงได้มาพาลเอากับมื้อเย็น ไม่ไหวเลยตาวิว”
“เปล่าซะหน่อยนะครับ เมื่อกี้ผมควงสาวไปเที่ยวกลับมาก็แฮปปี้ดี”
“แต่พี่ว่าเป็นเพราะนายเบื่อที่ไม่มีอะไรทำมากกว่า ได้แต่เปลี่ยนคู่ควงเที่ยวเล่นไปวันๆ ใช้ได้ที่ไหน วัยเราไม่ใช่เด็กๆ ที่วันๆ ไม่ต้องคำนึงถึงแก่นสาร พี่ว่าพรุ่งนี้ลองเข้าไปดูงานที่ออฟฟิศพี่สักหน่อยดีไหม อยู่เมืองนอกนายทำงานประจำ พอกลับมาแล้วต้องอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็เลยเซ็งน่ะสิ”
ภารวีแสดงอาการปฏิเสธพร้อมกับขยับลุกจากเก้าอี้เหมือนไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกแล้ว
“แล้วนี่จะไปไหน” คุณหญิงป้ารีบถาม
“กลับห้องไปหาอะไรทำแก้เซ็งน่ะสิครับ ผมอาจจะเบื่อจริงๆ แต่ก็ยังไม่อยากไปทำงานกับพี่วิศตอนนี้”
“แล้วคืนนี้ไม่ต้องออกไปไหนแล้วนะ หัดอยู่ติดบ้านซะบ้างเราน่ะ ค้างข้างนอกบ่อยๆ แม่เป็นห่วงนะวิว”
“คุณแม่ชอบพูดเหมือนผมเด็กๆ” ว่าแล้วภารวีก็เดินออกไปทันที
“ถ้าโตแล้วก็อย่าทำตัวให้แม่ห่วงได้ไหม” คุณหญิงป้าพูดตามหลังคนที่เดินลับตาไปแล้ว ก่อนจะหันมาทางฉัน “แทนคงอึดอัดแย่ ป้าสังเกตตั้งแต่ตาวิวกลับมาใหม่ๆ แล้วว่าเขาทำตัวไม่ดีกับแทนเท่าไรนัก แต่ตาวิวมันก็แบบนี้แหละ เอาใจยาก ตามใจตัวเองที่หนึ่ง เขาก็อย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ใช่ว่าเขาไม่ชอบใจอะไรหนูหรอกนะลูก”
“แต่ผมว่าเขาคงเขม่นแทนอยู่มั่งแหละ พอเห็นคุณแม่ชอบแทนก็เลยหมั่นไส้ ทั้งที่เขาหัวแข็งไม่เคยฟังที่พ่อแม่ขอร้องให้ทำเลยสักอย่าง แต่หวังว่าเขาคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้แทนมากกว่าที่พี่กับคุณแม่สังเกตเห็นหรอกใช่ไหม”
“เปล่าหรอกค่ะ ปกติเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันอยู่แล้ว ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยมีปัญหาอะไรค่ะ” ใช่ว่าฉันอยากจะปกป้องเขา แต่แค่นี้เขาก็เกลียดฉันจะแย่ ขืนยังเอาเรื่องเขาไปฟ้องแล้วเขารู้เข้า คงได้อยู่ไม่เป็นสุขยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ
“ว่ากันตามจริงตาวิวเพิ่งจะทำตัวต่อต้านกับพ่อแม่ก็ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย กลับมานี่ก็ดีขึ้นหน่อย แต่ก็ยังดื้อกับแม่อยู่นั่นล่ะ เรื่องที่เขาอยากเอาพันธิตราไปทำผับนั่นน่ะ แทนไม่ต้องไปสนใจหรอกนะลูก ยังไงป้าก็เชื่อว่าแทนดูแลพันธิตราได้ ตาวิวควรมาทำงานที่เอซแคปิตอลมากกว่า ไม่ใช่ไปเปิดผับเปิดบาร์อย่างที่ว่า ป้าไม่ได้สัญญาอะไรกับตาวิวหรอก เขาพูดเองเออเองของเขาทั้งนั้น เดี๋ยวสักพักเบื่อก็คงเลิกไปเอง”
ฉันก็หวังว่าเขาจะเลิกไปเองเร็วๆ
4
หลายวันมานี้ภารวีกับธาวันแทบไม่ได้เจอกันเพราะหญิงสาวเอาแต่หลบเลี่ยง แต่ในที่สุดเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับเขาในบ่ายวันอาทิตย์ที่แสนสงบจนได้
“ผมรู้นะว่าคุณปวดใจเรื่องพี่วิศ แต่เพราะคุณรักเขามากถึงได้ยอมทุ่มเทเพื่องานแต่งของเขาแบบนี้” ภารวีวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะเล็กด้านซ้ายมือของโซฟาพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งด้วยท่วงท่าสบายๆ ผิดกับคนที่กำลังนั่งเปิดนิตยสารการแต่งงานด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังอยู่บนโซฟาอีกตัวที่ออกอาการเกร็งทันทีเมื่อเขาย่างกรายเข้ามาภายในห้องนั้น
แม้คำพูดนั้นจะเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ธาวันพยายามไม่สนใจเขา
“ผมมีข้อเสนอสำหรับคุณ”
“ขอโทษนะคะ ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” หญิงสาวสบตาเขาและบอกเรียบๆ
“เสียใจ ถ้ายังพูดไม่จบผมก็เงียบไม่ได้”
เธออยากกรี๊ดใส่หน้าเขาดังๆ หรือไม่ก็ลุกหนีไปเสีย แต่ทั้งหมดที่ทำไปคือการเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างไม่พอใจ
“ถ้าคุณสามารถทำให้พันธิตราเจ๊งได้ภายในสามเดือน ผมจะให้เงินคุณก้อนหนึ่ง รับรองว่าต้องมากกว่าที่คุณได้จากการเป็นลูกจ้างคุณแม่สิบปีแน่ๆ” ภารวียินดีอย่างมากที่เห็นประกายตาแห่งความโกรธเกรี้ยวลุกวาบอยู่ในดวงตาคู่นั้นของอีกฝ่าย “คุณก็แค่ทำแบบเดียวกับผู้จัดการคนเก่าแค่นั้นเอง ว่าไง สนใจรึเปล่า”
“ถ้าจะพูดเรื่องนี้ไปให้ห่างๆ เลยได้ไหม คุณมัน...” เธอเก็บคำหยาบคายที่คิดได้ไว้ในใจ ใช้เพียงสายตาประณามเขาแทน ทว่าภารวีกลับไหวไหล่และยิ้มแบบไม่แคร์
“คนที่รักผู้ชายอย่างพี่วิศ ยังไงก็ต้องเกลียดผม เห็นว่าผมเลวและไร้ค่าวันยังค่ำ”
“ต่อให้ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่วิศเลย ฉันก็ไม่มีทางเห็นคุณเป็นคนดีได้หรอก”
“แปลว่าคุณยอมรับว่าคุณยังรักพี่วิศอยู่จริงๆ”
น้ำเสียงและสายตาจับผิดกึ่งคาดคั้นของเขาทำให้ธาวันนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจ “แล้วคุณมายุ่งอะไรด้วยเล่า”
“คุณจะทนทรมานใจรับผิดชอบงานแต่งของผู้ชายที่ตัวเองรักไปทำไมกัน รับเงินผมแล้วก็จบเกมซะดีกว่า”
“ไม่ค่ะ ฉันจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด และพยายามตัดใจจากพี่วิศไปด้วย”
“ผมไม่เชื่อหรอก คุณไม่มีทางจริงใจกับงานแต่งของคุณนาฏกับพี่วิศ คุณคงหาทางแย่งพี่วิศจากคู่หมั้นตลอดเวลา”
“ไม่จริง”
“โกหก แววตาคุณมันฟ้องหมดแล้วไม่ต้องมาปฏิเสธ”
“โอเค ก็ได้ คุณภารวี ก็ได้” ธาวันกัดฟันกรอดสูดหายใจเข้าเต็มปอดด้วยท่าทางหมดความอดทน พลางเฟ้นหาคำพูดที่คิดว่าเหมาะสมกับความต้องการของเขามากที่สุดเพื่อเอ่ยมันออกมาอย่างฉะฉาน “ฉันรักพี่วิศมาก และจะไม่มีวันตัดใจเด็ดขาด”
ดวงตาของภารวีลุกวาบเหมือนมีกองไฟอยู่ในนั้น
“เพราะฉันมีคติประจำใจว่า เป้าหมายเป็นชายโสด...ศัตรูรอบทิศ แต่ถ้าคิดแย่งคนมีเจ้าของ...ยังไงศัตรูก็มีแค่หนึ่ง คุณเห็นด้วยไหมล่ะคะ”
อาจเพราะความขัดเคืองใจที่ถูกธาวันตอกหน้าด้วยคำพูดเช่นนั้น วันต่อมาภารวีจึงปรากฏตัวที่พันธิตราพร้อมกับสถาปนิกหนุ่มผู้หนึ่งด้วยท่าทางข่มขู่แกมวางอำนาจอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาพนักงานเสียขวัญกำลังใจกันไม่น้อย
แม้ว่าอนล...สถาปนิกผู้ที่ภารวีพามาด้วยจะแสดงท่าทีเกรงใจธาวันเป็นอย่างยิ่งเมื่อพอจะจับได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ภารวีไม่เปิดโอกาสให้อนลได้แสดงความรู้สึกดังกล่าวออกไปมากนัก เขาคุมเกมทุกอย่างด้วยท่าทีของผู้ชนะ และมีสิทธิ์ขาดในสถานที่แห่งนี้อย่างชัดเจน จนกระทั่งธาวันยังไม่อาจต่อต้านได้อย่างเต็มที่
ภารวีสั่งให้พนักงานปลดรูปถ่ายเก่าแก่ของคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งออกจากผนังโดยให้เหตุผลว่ารูปนั้นดูโบราณและไม่เข้ากับบรรยากาศของร้าน แล้วเขาจะหารูปใหม่มาแขวนให้แทนในภายหลัง แต่อนลท้วงและให้ความเห็นว่ารูปเก่ารูปนั้นทำให้บรรยากาศของพันธิตราดูขลังและดูอบอุ่นดีอยู่แล้ว ภารวีจึงยอมละเว้นคำสั่งของตนในที่สุด
“ตั้งแต่นี้ต่อไป อนลอาจจะเข้ามาที่นี่อีกหลายครั้ง ผมอยากให้ทุกคนช่วยอำนวยความสะดวกให้เขาด้วย”
“เรื่องนี้...ฉันคงต้องรอคำสั่งจากคุณหญิงป้าก่อน...”
“ไม่จำเป็น ผมมีสิทธิ์ทำทุกอย่างได้เลยในฐานะลูก ผมต้องการเตรียมสถานที่เอาไว้แต่เนิ่นๆ ทันทีที่พันธิตราเลิกกิจการ ผมจะได้ไม่เสียเวลามาเตรียมการอะไรอีก งานผมก็จะเดินหน้าได้เลย”
“แต่ฉันว่านะวิว ใจเย็นก่อนไม่ดีกว่าเหรอ...”
“ใจเย็นทำไม ฉันไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือจะได้เอาแต่รอโดยไม่ขยับทำอะไรก่อนเลย”
“ขอโทษนะครับคุณธาวัน ตอนแรกผมเข้าใจว่าพันธิตรากำลังจะเลิกกิจการอยู่แล้ว ก็เลยยอมมากับนายวิว...”
“นายไม่ต้องไปพูดมากกับเขาหรอก เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ของฉันที่จะทำยังไงก็ได้ ถึงตอนนี้ยังไม่เลิก อีกไม่นานมันก็ต้องเลิกอยู่ดี ฉันจะได้ไม่เสียเวลา”
“ช่างเถอะค่ะคุณอนล” ในที่สุดธาวันก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเรียบสงบ “คุณภารวีอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาเถอะ คนที่ไม่เคยคิดถึงคนอื่น เราพูดอะไรไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า”
เมื่อสองหนุ่มพากันออกมาจากพันธิตราแล้ว อนลจึงตั้งต้นเอาเรื่องผู้ที่เป็นคนพามาโดยเขาไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลยทันที
“ทำไมไม่เห็นนายบอกฉันเลยว่ากิจการเขายังเปิดดำเนินการดีๆ อยู่ จะให้ฉันเข้ามาปรับเปลี่ยนอะไรได้ยังไงวะ ฉันทำไม่ได้หรอก”
ภารวีหน้าบึ้ง ในใจยังปรากฏท่าทีสงบเย็นชาของธาวันเมื่อสักครู่นี้ชัดเจน สายตาที่เธอมองเขาบ่งบอกว่าชิงชังยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มันชัดเจนยิ่งนักว่าเธอรักสรวิศแต่เกลียดเขา!
“ตกลงว่านายจะให้ฉันทำอะไรต่ออีกไหม หรือจริงๆ แค่พาฉันมาขู่ให้ผู้หญิงกลัวเล่นเท่านั้น”
เมื่อถูกอีกฝ่ายพูดแทงใจดำ ภารวีจึงสบถใส่เพื่อนคำหนึ่งอย่างฉุนๆ
“น่าสงสารผู้จัดการคนนั้น เธอหน้าซีดไปเลย คงตกใจน่าดู ฉันรู้สึกแย่จริงๆ ให้ตาย”
“ฉันก็บอกเขาล่วงหน้าแล้วนี่หว่า ไม่รู้จักเตรียมใจไว้เอง”
“นายนี่มันเลือดเย็นชะมัด” อนลส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ถามจริงนะ มันมีตื้นลึกหนาบางอะไรที่ฉันไม่รู้ด้วยใช่ไหม พวกนายมีปัญหากันเรื่องส่วนตัวอยู่รึเปล่า ฉันว่านายไม่ใช่คนชั่วขนาดจะมารังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้แบบนี้”
“...”
“เขาไปทำอะไรให้นายงั้นเหรอ”
“เปล่า”
“อย่ามาโกหกเลยน่า”
“ฉันกลัวว่าเขาจะมาปอกลอกแม่ฉัน เขาเกาะแม่ฉันแจมาเป็นปีๆ แล้ว ไม่น่าไว้ใจ”
“เฮ้ย ไม่หรอกมั้ง หน้าตาอย่างนั้นเนี่ยนะ ฉันไม่เชื่อว่ะ”
“นายตัดสินคนทันทีหลังจากเจอหน้าแค่แป๊บเดียวแบบนี้เสมอเหรอ”
“อย่างน้อยเขาก็ดูเป็นคนดีกว่านายล่ะว้า”
ภารวีทำหน้าเบ้ขณะชำเลืองคนพูด หากกลับไม่ได้โต้แย้งสักคำ คนที่รู้ดีว่ากำลังทำตัวเป็นอันธพาลเกเรอย่างเขาอยากจะถามอนลสักคำเหมือนกันว่าผู้หญิงที่ถือคติว่า ‘เป้าหมายเป็นชายโสด...ศัตรูรอบทิศ แต่ถ้าคิดแย่งคนมีเจ้าของ...ยังไงศัตรูก็มีแค่หนึ่ง’ จะเป็นคนดีกว่าเขาสักเท่าไรกันเชียว
ทว่าในอกเขาตอนนี้มันร้อนรุ่มไปหมด เอาแต่นึกถึงปฏิกิริยาของธาวันด้วยความวุ่นวายใจ เขาคาดว่าเธอจะต้องอาละวาดใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นเขาพาสถาปนิกบุกเข้าไปที่พันธิตราดุจต้องการประกาศศักดาอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าพนักงานทั้งหมด เขาอยากให้เธอออกอาการอะไรสักอย่างเพื่อเปิดโอกาสให้เขาตอบโต้อย่างรุนแรงกลับไปได้ ทว่าท่าทีและสายตาของเธอที่มองเขาอย่างสงบนั้นกลับทิ่มแทงความรู้สึกของเขาอย่างสาหัสยากจะบรรยาย
ความคิดเห็น