ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 รักหวานริมทะเล
บทที่ 2 รักหวานริมทะเล
ปณิธิงัวเงียขึ้นมารับโทรศัพท์จากกรนันท์ตอนแปดโมงเช้า อีกฝ่ายโทรมาเพื่อฝากเคสให้เขาเข้าผ่าตัดแทนในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เมื่อคืนนี้ทางแผนกศัลยกรรมพาหมอไปสังสรรค์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ปณิธิติดเวรเลยไม่ได้ไปด้วย กรนันท์จัดอยู่ในกลุ่มหนุ่มโสดเสเพลซึ่งสุดเหวี่ยงกับชีวิตกลางคืนพอสมควร แม้จะมาช่วยราชการในพื้นที่สีแดงในเขตสามจังหวัดชายแดนใต้ หากก็ยังสามารถสรรหาสถานบันเทิงเริงใจได้ไม่เคยขาด เมื่อคืนหลังทานข้าวก็คงไปต่อที่อื่นจนเกือบเช้า ดังนั้นปณิธิจึงไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายลุกไปผ่าตัดเช้านี้ไม่ไหว
“คืนนี้ไม่มีเวรนี่ พรุ่งนี้เอ็งก็หยุดด้วยใช่ไหม เช้านี้ไปผ่าตัดแทนข้า เดี๋ยวเย็นนี้จะพาไปเลี้ยงข้าวที่รีสอร์ต ค้างที่นั่นคืนหนึ่งด้วย ข้าจะเป็นเจ้ามือทุกอย่าง”
“มีสาวไปด้วยป่ะพี่”
“มี”
“จริงดิ” ปณิธิทำเสียงตื่นเต้น “ใครที่ไหน”
“เซอร์ไพรส์ให้เอ็งโดยเฉพาะเลยไอ้ปั๊บ ยัยกล้วย”
“...”
“อึ้งไปเลยรึไง” กรนันท์หัวเราะชอบใจ “ไม่ต้องกลัวเป็นข่าวอีกหรอกน่า ไม่มีนักข่าวบ้าที่ไหนตามมาถึงนี่หรอก น้องเขากลับมาเยี่ยมพ่อ ข้านัดเจอที่ร้านไอติมเมื่อวานเลยชวนไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกัน เผื่อจะได้ปรับความเข้าใจกับเอ็งด้วย ยังไม่หายโมโหเรื่องข่าวนั่นอีกรึไง”
“แล้วเขารู้ไหมว่าผมจะไปด้วย”
“ไม่รู้ ถ้ารู้เขาคงไม่ยอมไป”
“งั้นผมไม่ไป”
“อย่ามาเล่นตัวหน่อยเลยน่า ข้าอุตส่าห์จะเลี้ยง”
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวผมจะเข้าผ่าตัดแทนให้ ไว้คราวหน้าพี่ค่อยเลี้ยงตอบแทนก็ได้”
“ที่ข้าอุตส่าห์ไว้ใจให้เข้าผ่าตัดแทนนี่เอ็งถือเป็นบุญเป็นคุณมากเลยใช่ไหม เป็นน้องคนอื่นข้าไม่ปล่อยให้ทำเองหรอกนะเว้ย ใครกันแน่ที่ควรสำนึกบุญคุณ” กรนันท์โวย เขากับปณิธิสนิทกันมากเพราะเกือบสองปีที่เขาอาสาลงมาช่วยราชการโรงพยาบาลนี้ ปณิธิก็ช่วยงานอยู่ในแผนกศัลยกรรมกับเขาตลอด
“พี่สอนผมมาขนาดนี้แล้วพี่ก็เลยไว้ใจเพราะรู้ว่าผมเก่งต่างหาก อย่างเคสโดนระเบิดวันก่อนพี่ก็เห็นว่าการตัดสินใจของผมถูกต้องกว่าของพี่จักร ผมบอกแล้วว่าน่าจะตัดขาทิ้งไปเลยแต่ทีแรก เพราะแผลโดนระเบิดของคนไข้ไม่ดีมาตั้งแต่แรก แต่พี่จักรกลับให้ต่อขา” ปณิธิเอ่ยขึ้นมาก่อนจะเริ่มวิจารณ์การทำงานของนายแพทย์ ‘จักรภพ’ ซึ่งเป็นศัลยแพทย์วัยไล่เลี่ยกับกรนันท์ที่มาช่วยราชการเช่นกัน
เกี่ยวกับเคสเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งซึ่งถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสมาเมื่อวานนี้ จักรภพตัดสินใจต่อขาที่เกือบขาดให้คนไข้ แต่ไม่ถึงสี่สิบแปดชั่วโมงก็ต้องตัดขาทิ้ง ซึ่งหากตัดขาไปตั้งแต่แรกโอกาสรอดจะมีมากกว่า เพราะการต่อขาก็เหมือนเป็นการเอาของเสียเข้าไปเพิ่มให้ร่างกายคนไข้ต้องทำงานหนักขึ้น ครั้นมาตัดขาภายหลังก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว สุดท้ายคนไข้ก็เสียชีวิต
“ไอ้นี่ บังอาจสงสัยสตาฟฟ์” กรนันท์เอ็ดเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
“เพราะผมเดาได้ว่าถ้าเป็นพี่กอล์ฟคงเลือกตัดขาทิ้งไปแต่แรกแล้ว”
“เออน่ะ ตกลงเย็นนี้เอ็งจะไปไหมไอ้ปั๊บ แล้วอยู่ๆ เอ็งเขม่นพี่จักรเขาทำไมเนี่ย หรือหึงที่ข้าบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่หลงรักยัยกล้วยมาสี่ห้าปีแล้ว”
“เปล่านะพี่ ใครจะไปคิดแบบนั้น” ปณิธิปฏิเสธเป็นพัลวัน “พี่คิดได้ไงเนี่ยพี่กอล์ฟ เอาล่ะ ตกลงเย็นนี้ผมไปด้วยก็ได้ แล้วห้ามมาพูดว่าผมหึงอีกนะ เรื่องมันเป็นไปไม่ได้”
“รู้หรอกน่า เดี๋ยวเคสมาพยาบาลจะโทรตาม เอ็งลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ข้าจะนอนต่อล่ะ”
ปณิธิต้องหงุดหงิดทั้งวันเนื่องจากคำพูดปรักปรำอย่างไร้เหตุผลของกรนันท์ เพราะแม้จะยังขุ่นเคืองใจอย่างมากกับกรณีข่าวฉาวของกัทลีรัตน์ที่ตัวเองเข้าไปมีส่วนพัวพันเต็มเปาอย่างไม่คาดคิด หากมันก็มิได้ทำให้เขามีสิทธิ์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของถึงขั้นสามารถไปหึงหวงเธอได้ และเขาไม่มีทางรู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด!
หลังจากเข้าเคสผ่าตัดไส้ติ่งคนไข้รายสุดท้ายของเย็นวันนั้นเสร็จเรียบร้อย ปณิธิขับรถออกจากโรงพยาบาลตรงไปยัง ‘ชมทะเลรีสอร์ต’ ซึ่งอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงตามลำพัง เพราะคนอื่นที่นัดไว้ล่วงหน้าไปก่อนหมดแล้ว กว่าเขาจะมาถึงที่หมายก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่ม ที่นี่เป็นรีสอร์ตติดชายหาด ขับรถเข้ามาจากถนนสายหลักเพียงเล็กน้อยก็ถึง พื้นที่โดยรอบโอบล้อมไปด้วยต้นไม้และทะเล สวย สะอาด และเงียบสงบ ที่พักดี อาหารอร่อย ราคาไม่แพง ที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก ใช้เวลาขับรถราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็ถึง
หลังจากจอดรถปณิธิก็เดินไปเข้าห้องน้ำ กรนันท์บอกว่ากลุ่มของพวกเขานั่งติดหาดทรายด้านล่างซึ่งเป็นโต๊ะประจำ เพราะค่ำแล้วคนจึงน้อย ที่นี่จึงยิ่งเงียบ ทว่าภายในใจเขาเวลานี้มิได้เงียบสงบเช่นเดียวกับบรรยากาศรอบตัว บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องมาเจอกับกัทลีรัตน์อีกครั้งในวันนี้ อีกฝ่ายก็คงอึดอัดใจไม่ต่างจากเขา จริงๆ แล้วเขาไม่ควรจะมาตามคำชักชวนของกรนันท์เลย...
“นี่...คุณ!”
ปณิธิสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงทักไม่ปกติที่ดังขึ้นข้างตัวขณะกำลังยืนล้างหน้าอยู่ตรงซิงก์ด้านนอกของห้องน้ำ เมื่อหันขวับไปหาจึงเห็นกัทลีรัตน์ยืนตกใจห่างออกไปแค่ไม่ถึงสองเมตร ชายหนุ่มปรับอารมณ์แล้วมองกลับไปยังร่างที่สวมเสื้อยืดแขนสามส่วนสีขาวกับกางเกงยีนขาสั้นด้วยสายตาเรียบเฉย แต่สีหน้านิ่งๆ ของเขาติดจะเชิดนิดๆ ด้วยกิริยาเย่อหยิ่งซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเผชิญหน้าคู่กรณีเก่า
“คุณมาได้ยังไง!” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าตื่นๆ ซึ่งยิ่งทำให้อีกฝ่ายฉุนกึก
“ขับรถมา”
“พี่กอล์ฟไม่เห็นบอกนี่คะว่าคุณจะมาด้วย” กัทลีรัตน์พูดพลางมองร่างสูงที่ดูแปลกตาในชุดเสื้อกาวน์แขนสั้นกับกางเกงสีครีมด้วยความรู้สึกประหลาดเกินบรรยาย เพราะที่ผ่านมาเธอเคยเจอแต่ตอนเขาสวมชุดไปรเวต...เสื้อยืดกางเกงยีน
“แล้วคุณได้ถามเขารึเปล่าล่ะ” อีกฝ่ายเม้มปาก ดวงตาวาววับ ท่าทางบ่งบอกว่าเธอเกลียดเขาอย่างจริงจัง
“งั้นฝากบอกพี่กอล์ฟด้วยนะคะว่าฉันกลับก่อนแล้ว” ว่าแล้วเธอก็ผละจากเขาไปทางลานจอดรถทันที ทำเอาปณิธิเกือบจะตาค้างอย่างคาดไม่ถึง เมื่อได้สติเขาก็รีบก้าวตามไปคว้าแขนเธอไว้ กัทลีรัตน์ผวาจนหัวใจกระตุก รู้สึกเหมือนมือของเขากำลังทำให้ผิวหนังเธอเป็นรอยไหม้เพราะความร้อน
“อย่าเอาแต่ใจตัวเองนักสิ เห็นหน้าผมก็เลยจะรีบกลับงั้นเหรอ บ้ารึเปล่า ขับรถกลับไปคนเดียวตอนนี้เนี่ยนะ ลืมไปแล้วรึไงว่าที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ” ปณิธิขึ้นเสียงฉุน ปกติเขาจะใช้เวลาผ่าตัดไส้ติ่งเฉลี่ยเคสละประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เคสเมื่อบ่ายต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากผู้ป่วยอ้วนมากจึงต้องล้วงลึกกว่าปกติ แถมไส้ติ่งยังไปอยู่หลังลำไส้ ทำให้เขาเครียดจนหงุดหงิดมาถึงตอนนี้ ไหนจะหิวข้าวแทบไส้กิ่วแล้วยังจะต้องมาปะทะกับกัทลีรัตน์อีก อารมณ์เขาจึงสับสนแปรปรวนกว่าที่ควรจะเป็น
“แต่ถ้ามีใครเห็นฉันอยู่ที่นี่กับคุณ คงได้เป็นข่าวฉาวรอบสองแน่ ฉันไม่ต้องการแบบนั้น”
“ที่นี่ใครจะสนใจคุณ นักข่าวบันเทิงบ้าที่ไหนจะลงทุนตามมาถึงนี่ อีกอย่างคุณไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งซะหน่อย”
หญิงสาวแทบจะแยกเขี้ยวใส่เขา “ไม่ต้องนักข่าวหรอกค่ะ ใครก็ถ่ายรูปเราไปแฉให้เดือดร้อนได้ทั้งนั้นแหละ”
“จริงๆ คุณไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก แต่คุณไม่อยากอยู่ที่นี่กับผมมากกว่า”
“นั่นก็อีกเหตุผลหนึ่ง เพราะฉะนั้นปล่อยฉันได้แล้ว ฉันต้องรีบกลับก่อนมันจะมืดกว่านี้”
“ผมไม่ให้กลับ”
“เอ๊ะ”
“ถ้าคุณกลับตอนนี้แล้วเป็นอะไรไปผมก็คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นคุณยังกลับไม่ได้”
“ปล่อยฉันนะ!” กัทลีรัตน์พยายามแกะมือเขาออกจนแทบจะข่วนแขนเขาให้ถลอกด้วยเล็บคมๆ
“แค่ผมบอกว่าคุณเอ็กซ์เหมือนดาราเอวีนี่ต้องโกรธเกลียดกันไปทั้งชาติเลยรึไง ต่อให้โมโหที่ผมบอกว่าน้องพลอยสวยกว่า คุณก็ไม่เห็นต้องทำท่ารังเกียจผมขนาดนี้เลยนี่นา”
หญิงสาวโกรธจนหน้าร้อนเพราะคำพูดของเขา เธอกระชากแขนที่ถูกเขาจับไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทว่าปณิธิไม่ยอมคลายมือ แถมยังปล่อยให้ตัวเองเซเข้าไปปะทะร่างเธออีกต่างหาก กัทลีรัตน์ตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อร่างสูงเข้ามาแนบชิด เขาไม่ยอมถอยทั้งยังจับรั้งเธอเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน หญิงสาวพยายามจะไม่ตัวสั่นเพราะความใกล้ชิดอย่างไม่คาดฝันนี้ แต่เธอควบคุมตัวเองไม่ได้และเกรงว่าอีกฝ่ายก็อาจจะรู้สึกเช่นกัน
“ตกลงว่ายังจะกลับไหม”
“กลับ”
ริมฝีปากอิ่มเชิดที่ยืนยันกลับมาอย่างดื้อดึงทำให้คนฟังกัดกรามอย่างขุ่นเคืองอารมณ์ สัมผัสจากร่างนุ่มสั่นระริกของเธอทำให้ความคิดร้ายกาจบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวเขาโดยฉับพลัน
“ถ้าคุณไม่รับปากว่าจะรอกลับพร้อมพี่กอล์ฟ...” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะตวัดแขนโอบรัดเรือนกายอวบอิ่มอรชรเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้นโดยไม่ให้อีกฝ่ายทันตั้งตัว “ผมก็จะไม่ปล่อยคุณเด็ดขาด”
หญิงสาวเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก จ้องหน้าเขาอย่างตกตะลึงพูดไม่ออก ก่อนจะหันขวับมองไปรอบๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง
“ตรงนี้ไม่มีใครมาเห็นหรอกน่า อย่ากลัวเลย”
“ฉันกลัวคุณนั่นแหละ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” กัทลีรัตน์แหวกลับเสียงเขียว ไม่ชอบใจเลยที่อาการตัวสั่นด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทวีรุนแรงขึ้นเพราะสัมผัสจากเขา “คุณเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ตัวคุณคงมีแต่เชื้อโรคแน่ๆ”
ท่าทีรังเกียจนั้นทำเอาคนฟังหน้าบึ้ง “ผมใส่ชุดเขียวผ่าตัดทั้งวัน เพิ่งเปลี่ยนมาสวมชุดนี้ตอนออกจากห้องผ่าตัด ตัวผมสะอาดกว่าคุณซะอีกจะบอกให้”
“แต่ยังไงคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้ ปล่อยสิ” หญิงสาวถลึงตาใส่เขา โดยปกติแล้วเธอควรจะขยะแขยงสัมผัสจากเขา ทว่าความจริงก็คือเวลานี้เธอเพียงแค่กลัว หากมิได้รังเกียจเดียดฉันท์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งเท่ากับว่า...ผิดปกติอย่างรุนแรง!
“งั้นก็สัญญามาก่อนสิว่าจะไม่หนีกลับก่อนพี่กอล์ฟ” เขาบอกพลางรัดเธอแน่นขึ้น นึกไม่ออกว่าเคยกอดใครที่ตัวนุ่มและหอมขนาดนี้หรือเปล่า
“ฉันไม่ได้มากับพี่กอล์ฟ ฉันขับรถมาเอง”
“เรื่องนั้นผมไม่สนใจหรอก แต่ถ้าคุณอยากให้ผมปล่อย คุณก็ต้องสัญญาว่าจะอยู่ต่อ”
“แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”
“พูดจาไม่น่าฟัง” เขาเอ็ดเสียงเข้ม “ผมอุตส่าห์เป็นห่วงทั้งที่คุณเป็นคนอื่นแท้ๆ”
“งั้นก็ไม่ต้องมาห่วงสิ” หญิงสาวหงุดหงิดตัวเอง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องรู้สึกหวั่นไหวเพราะความห่วงใยแค่เล็กน้อยจากเขานี่ด้วยก็ไม่รู้
“ผมจะห่วงมันก็เรื่องของผม” ตัวนุ่มๆ ผิวขาวๆ เนียนๆ แบบนี้ ขืนเป็นอะไรไปก็น่าเสียดายแย่ ถึงจะไม่ใช่สเป็กเขา แต่อย่างน้อยก็ถือเสียว่าช่วยพิทักษ์รักษาไว้สำหรับคนอื่นๆ ที่มีสเป็กแนวนี้
“อ๊ะ มีคนกำลังเดินมาทางนี้ ฉันขอร้องล่ะค่ะ ปล่อยฉันเถอะนะคะ” หญิงสาวละล่ำละลักอ้อนวอนเขาอย่างฉับพลัน สีหน้าแสดงความหวาดหวั่นและเป็นกังวล ปณิธิไม่ทันคิดอะไรทั้งนั้นหากเขาก็ยอมปล่อยและถอยห่างทันทีอย่างรู้หน้าที่ “คุณมันร้ายกาจที่สุด!” กัทลีรัตน์ตวาดเบาๆ ทันทีที่เป็นอิสระ เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาวาววับก่อนจะวิ่งหนีไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ในขณะที่อีกฝ่ายเพิ่งรู้ตัวว่าโดนเธอหลอก
ปณิธิสบถ มองร่างเล็กวิ่งไปที่รถแล้วขึ้นรถขับออกไปอย่างโมโหเกินบรรยาย เขาอยากวิ่งตามไปกระชากเธอกลับมาแล้วต่อว่าให้หนำใจว่าทำไมถึงได้ดื้อดึงขนาดนี้ ต่อให้เกลียดเขามากแค่ไหนแต่ก็น่าจะคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
“มาช้านะเอ็ง” กรนันท์ออกปากทันทีที่ปณิธิไปสมทบที่โต๊ะอาหาร
“เจอน้องกล้วยรึเปล่าพี่ปั๊บ น้องเขาไปเข้าห้องน้ำ” หมอรุ่นน้องคนหนึ่งเอ่ยถาม ตั้งท่าจะแซวเต็มที่
“เจอแล้ว แต่น้องเขาบอกว่าจะกลับก่อนน่ะพี่กอล์ฟ เห็นหน้าผมแล้วรีบขับรถออกไปเลย” ชายหนุ่มบอกรุ่นพี่ด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ทั้งที่ในใจขุ่นมัวและเป็นกังวล ความหิวที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปจนหมด
“เฮ้ย!” กรนันท์ร้องอุทานด้วยสีหน้าตกใจ
“ปล่อยเขาขับรถกลับเองค่ำๆ มืดๆ อย่างนี้จะดีเหรอพี่กอล์ฟ” น้ำเสียงปณิธิแสดงอาการวิตก
“จะดีได้ยังไงเล่า” กรนันท์บ่นแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก ก่อนจะทำหน้ามุ่ย “ติดต่อไม่ได้ สงสัยของเขาไม่มีสัญญาณ ปกติยัยกล้วยขับรถไม่เร็ว เพิ่งออกไปไม่นานก็ไม่น่าจะไปไกลเท่าไหร่นี่นา”
“งั้นเดี๋ยวผมตามไปส่งดีกว่า ขอเบอร์เขาให้ผมหน่อยสิครับ” ปณิธิส่งมือถือให้รุ่นพี่
“ผมไปเป็นเพื่อนไหมพี่” รุ่นน้องคนหนึ่งเสนอตัว
“อย่าเลย พี่ไปเองดีกว่า ท่าทางเริ่มกรึ่มๆ กันแล้วนี่นา” เขามองแก้วเบียร์ของแต่ละคนยิ้มๆ
กรนันท์ไม่ทักท้วงที่ปณิธิเสนอตัว เขาหยิบมือถือปณิธิไปกดหมายเลขของกัทลีรัตน์ให้ทันที “เอ็งจำทางไปบ้านเขาได้ใช่ไหม ที่ข้าพาไปกินข้าวกับพ่อเขาวันนั้น” ปณิธิพยักหน้าตอบ “ยังไงก็ตามไปดูจนเห็นเขาขับรถถึงบ้านเลยละกัน ข้าเป็นห่วงว่ะ”
“ได้ครับพี่ คืนนี้ผมคงไม่ย้อนกลับมาแล้วนะครับ จะกลับไปนอนที่โรงพยาบาลเลย ไว้พรุ่งนี้จะตามมากินกลางวันด้วย อย่าเพิ่งหนีกลับกันก่อนล่ะ”
กัทลีรัตน์จมอยู่กับอาการหวาดกลัวท่ามกลางความมืดเพียงลำพัง อยากจะร้องไห้เต็มแก่แต่น้ำตากลับไม่ยอมไหล มือสั่นระริกที่กุมโทรศัพท์ปราศจากคลื่นสัญญาณเอาไว้นั้นเย็นชื้นไปด้วยเหงื่อ ในใจหวั่นวิตกอย่างหนักหน่วงขณะคิดหาทางออกจนสมองแทบระเบิด รอบตัวเงียบสงัดปราศจากแสงไฟหรือบ้านเรือนผู้คน
เป็นเพราะปณิธิคนเดียว! เป็นเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เธออารมณ์ปั่นป่วนมากขนาดนี้ ทำให้เธอหุนหันพลันแล่นหนีกลับแต่ไม่มีสมาธิขับรถจนต้องประสบอุบัติเหตุรถไถลตกลงข้างทางกระแทกหินและเนินดินจนเกิดความเสียหายอย่างหนักบริเวณกระโปรงรถ เครื่องยนต์พังยับดับสนิท
แค่จะห้ามไม่ให้เธอหนีกลับก่อนทำไมเขาต้องมากอดเสียแน่นแบบนั้นด้วย เป็นเพราะอ้อมแขนของเขาทีเดียวที่ทำให้จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระทั่งตอนนี้หญิงสาวก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นกายเจือด้วยเหงื่อจางๆ ของเขา รู้สึกถึงกล้ามเนื้อของเขาที่แทบจะแนบสนิทกับร่างกายเธอ และรู้สึกถึงไออุ่นที่ชวนให้หัวใจวาบหวาม แม้จะเคยใกล้ชิดผู้ชายจากการแสดงที่ผ่านๆ มาบ้าง ทว่าไม่เคยมีเลิฟซีนที่เกินเลยกว่าการจับมือ เนื่องจากตอนนี้เธอเพิ่งอายุยี่สิบสอง บทบาทที่ผ่านมาจึงเป็นแนวใสๆ น่ารัก ไม่มีฉากวาบหวามหรือต้องถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายดังเช่นที่ปณิธิทำกับเธอ... กัทลีรัตน์สะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว หวนคืนสู่ภาวะปัจจุบันที่ลำบากยากเย็นของตนอีกครั้ง
อย่างน้อยเธอก็โชคดีตรงที่ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน ทำให้เธอสามารถปลดเข็มขัดนิรภัยและขยับตัวออกจากที่นั่งได้ง่ายดาย เท่าที่สำรวจตัวเองตอนนี้หญิงสาวคิดว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะเธอขับรถไม่เร็วทำให้ไม่ได้ชนกระแทกแรงเท่าที่คิด แม้สภาพรถจะดูเหมือนเสียหายยับเยินก็ตาม
กัทลีรัตน์ตัดสินใจเปิดประตูออกเพียงเล็กน้อยและไม่ลงจากรถเพราะกลัวเจอสัตว์มีพิษ เนื่องจากอยู่ในเขตสามจังหวัดชายแดนใต้ ช่วงค่ำมืดถนนหนทางจึงค่อนข้างเงียบ หญิงสาวไม่กล้าออกไปขอความช่วยเหลือจากรถที่ผ่านไปมาในเวลานี้ อย่างน้อยเธอก็อยากรอให้สว่างเสียก่อน ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้มีคนไม่ประสงค์ดีสังเกตเห็นท้ายรถซึ่งหัวทิ่มลงข้างทางของเธอเป็นพอ โชคดีอีกอย่างหนึ่งของเธอคือรถคันนี้มีสีดำ ทำให้พรางตัวในความมืดได้ดี
ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็แทบหยุดหายใจเมื่อมีรถคันหนึ่งขับมาจอดบนไหล่ทาง ไฟรถสาดแสงสว่างไปเบื้องหน้าทำลายความมืดรอบบริเวณ กัทลีรัตน์นั่งตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ในรถ กลั้นหายใจขณะเหลียวมองไปยังรถที่มาจอดสนิทริมถนน แต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ลงจากรถเก๋งสีขาวคันนั้นคือใคร เธอจำเขาได้ทันทีตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นแม้จะอยู่ภายใต้แสงสว่างอันจำกัด
กัทลีรัตน์เปิดประตูออกจากรถทันทีก่อนที่ร่างสูงของปณิธิจะมาถึง ความยินดีที่ไหลบ่าท่วมท้นในใจจนต้องกลั้นรอยยิ้มเอาไว้อย่างยากเย็น ความโกรธที่มีต่อเขาเมื่อครู่อันตรธานราวกับมีพายุหอบพาไปในพริบตา ทำให้นึกหมั่นไส้ตัวเองและอดคิดไม่ได้ว่าหากคนที่โผล่มาไม่ใช่ปณิธิ เธอจะดีใจมากขนาดนี้หรือเปล่า
“คุณ...มาได้ยังไงคะ”
ชายหนุ่มชะงักงันอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว สีหน้าเขาค่อนข้างเรียบสงบ มีเพียงดวงตาคมกริบคู่นั้นที่ปรากฏอาการตื่นตระหนกแจ่มชัดขณะกราดมองไปทั่วตัวเธอ
“ฉันขับรถไม่ระวังเลยเป็นแบบนี้ แต่ฉันไม่ได้ขับรถเร็วนะคะ เพียงแต่มันมืดและไม่มีสมาธิก็เลย...” กัทลีรัตน์แก้ตัวเสียงอึกอักราวกับกลัวถูกตำหนิ หากปณิธิยังคงมองนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับ ทำให้หญิงสาวต้องนิ่งไปด้วย
“คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยออกมาในที่สุด แววอาทรในน้ำเสียงเรียบๆ นั้นทำให้หัวใจคนฟังอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด เธอส่ายหน้าตอบ “งั้นก็กลับไปกับผม แล้วค่อยโทรเรียกประกัน ตรงนี้มือถือไม่มีคลื่น”
กัทลีรัตน์หันกลับไปที่รถไม่อิดออด เปิดเข้าไปหยิบของสำคัญเท่าที่มีออกมา ครั้นเธอปิดประตูรถแล้วหันกลับมา อีกฝ่ายก็เอื้อมฉุดข้อมือเพื่อดึงขึ้นจากเนินไปด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย
ปณิธิตัดสินใจขับรถกลับไปยังรีสอร์ตเพราะอยู่ใกล้กว่าทางกลับโรงพยาบาลหลายเท่า เมื่อขับรถมาถึงรีสอร์ต กัทลีรัตน์ติดต่อเจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัยเพื่อนัดให้มาเจอที่รีสอร์ตพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยออกไปยังจุดเกิดเหตุพร้อมกัน เพราะหากนัดตอนนี้กว่าประกันจะมาถึงคงดึกเกรงจะไม่ปลอดภัย และถ้าไปเจอประกันพร้อมปณิธิตอนค่ำมืดก็คงไม่ดีต่อภาพพจน์ของเธอนัก ปณิธิเตือนเธอว่าอย่าเพิ่งโทรหาหรือบอกเรื่องอุบัติเหตุกับกรนันท์ เพราะอีกฝ่ายน่าจะมีสติไม่เต็มร้อยจากความมึนเมา อาจทำให้เรื่องวุ่นวายโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งกรณีนี้หญิงสาวเห็นด้วยแต่โดยดี
“มีคนเคยบอกผมว่าที่นี่ผีดุมาก ผมไม่นอนคนเดียวเด็ดขาด” ปณิธิเอ่ยออกมาก่อนทั้งคู่จะลงจากรถ
“คุณกลัวผีหรือคะ”
“คุณไม่กลัวรึไง”
กัทลีรัตน์ไม่ตอบแต่นึกในใจ ปกติเธอไม่กลัว ทว่าพอมาต่างที่วังเวงแบบนี้เธอก็แอบหลอนเหมือนกัน “หมออะไรกลัวผี”
“หมอก็คนนะครับ ผมกลัววิญญาณ ไม่ได้กลัวศพ” เขาบอกด้วยท่าทีราบเรียบเป็นปกติ
“หมอที่ไหนเชื่อเรื่องวิญญาณ”
“ก็อยู่ตรงนี้คนหนึ่งล่ะ” คนกลัวผียอมรับอย่างไม่ขัดเขิน “ขนาดเวลาไปดูหนังผมจะไม่นั่งติดกับเบาะที่ว่างอยู่เด็ดขาด ฉะนั้นแปลกที่แบบนี้ผมไม่มีทางนอนคนเดียวแน่ พวกนั้นคงจัดที่นอนกันลงตัวไปแล้ว เพราะต้องออกไปตามคุณ ตอนนี้ผมเลยไม่มีเพื่อนพักด้วย”
“งั้นคุณก็โทรหาพี่กอล์ฟสิคะ แล้วไปนอนกับเขา”
“พวกนั้นคงเมาเข้าห้องกันหมดแล้ว ผมยังไม่อยากคุยหรืออธิบายอะไรกับใครตอนนี้ เพลียแล้ว”
“สรุปว่า?” หญิงสาวเอ่ยปากพลางจ้องตาเขาเป็นเชิงถาม
“ผมพักวิลล่าหลังเดียวกับคุณได้ไหม”
“...”
“นอกจากกลัวผีผมก็เป็นห่วงคุณด้วย ถึงตอนนี้คุณจะดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลยก็จริง แต่คุณเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา แถมไม่ได้ไปเช็กร่างกายที่โรงพยาบาล อย่างน้อยถ้าผมอยู่ใกล้ๆ คืนนี้ถ้าคุณมีอาการผิดปกติอะไรขึ้นมาผมก็ยังพอจะช่วยได้”
กัทลีรัตน์จ้องหน้าคนพูด น้ำเสียงเรียบๆ ของเขาทำให้ใบหน้าเธอร้อนผ่าวอย่างไร้เหตุผล เธอแน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังหน้าแดงซ่านและตกประหม่าอย่างเห็นได้ชัด “แต่ฉันกลัวมีปัญหาทีหลัง ถ้าเกิดว่ามีใคร...”
“ที่นี่ไม่มีใครสนใจเราหรอก ผมไม่ได้ชวนคุณพักห้องเดียวกันซะหน่อย เราจะพักในวิลล่าสองห้องนอน” ที่พักของรีสอร์ตแห่งนี้เป็นวิลล่าขนาดต่างๆ แต่ละหลังปลูกห่างกันในบริเวณอันร่มรื่นและกว้างขวาง
หญิงสาวเงียบงันไปครู่หนึ่ง ใจจริงเธอเองก็กลัวที่เขาบอกว่าที่นี่ผีดุ แม้จะไว้ใจได้ว่าปณิธิไม่มีทางทำอะไรเธอ แต่ก็อดกลัวไม่ได้ว่าอาจจะทำให้เป็นข่าวฉาวขึ้นมาอีก
“ยังไงคืนนี้ผมก็เสี่ยงทิ้งคุณอยู่ตามลำพังไม่ได้แน่ คุณเป็นผู้หญิง แถมยังมีคุณสมบัติล่อเสือล่อตะเข้ครบถ้วนขนาดนี้...” คนฟังถลึงตาวาววับ หากอีกฝ่ายกลับยิ้มตอบอย่างไม่รู้ร้อนหนาว “ที่สำคัญเกิดคุณมีอาการผิดปกติจากอุบัติเหตุกลางดึก...”
“งั้นก็ได้ค่ะ แต่ถ้ามีเรื่องเข้าใจผิดหลุดออกไปเป็นข่าว คราวนี้คุณต้องออกมาช่วยฉันแก้ข่าวด้วยนะ”
ปณิธิชะงักนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ครับ ตกลงตามนั้น คุณรอผมที่รถก่อนแล้วกัน ผมจะไปติดต่อเช็กอิน เดี๋ยวจะกลับมารับ”
กัทลีรัตน์โมโหตัวเองที่ไม่อาจทำใจให้เป็นปกติได้เลยเมื่อต้องแชร์ห้องพักร่วมกันในครั้งนี้ ตรงข้ามกับปณิธิที่ดูราวกับเคยชินอย่างมากในการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า...โดยเฉพาะเพศตรงข้าม จนเหมือนเขาไม่รู้สึกอะไรเลยที่ต้องมาพักด้วยกันกับเธอ เมื่อเข้าห้องเขาก็โทรศัพท์สั่งอาหารมาทานและเปิดโทรทัศน์เพื่อดูละครหน้าตาเฉย ซึ่งนั่นทำให้เธอค่อนข้างแปลกใจ
“ผมติดละคร เลยต้องกลับมาที่นี่และสั่งอาหารมากินในห้อง” อีกฝ่ายอธิบายเมื่อหันมาสบกับสายตาพิศวงของเธอ
“ฤทธิ์รักนางฟ้าเนี่ยเหรอคะ” เธอถามย้ำ
“อืม” เขาพยักหน้าเรียบๆ “แต่เรื่องไหนสนุกหรือมีสาวสวยๆ ให้ดูผมก็ดูหมดแหละ สมัยเรียนก็ดูกับเพื่อนแล้วเม้าท์กันมันส์ อย่างตอนอยู่โรงพยาบาล คืนไหนติดเวรตรงกับละครที่ตามอยู่ผมจะบอกพยาบาลไว้เลยว่าถ้าไม่ใช่เคสหนักถึงตายห้ามโทรตามตอนสองทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่มครึ่งเด็ดขาด”
คนฟังกะพริบตาปริบๆ มองเขาเหมือนไม่เคยเห็น หากอีกฝ่ายกลับยิ้มเฉย
“นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมตัดสินใจพาคุณย้อนกลับมาที่รีสอร์ตแทนที่จะพากลับบ้าน แต่ว่าเรื่องนี้ผมอยากดูน้องพลอยนะ ไม่ใช่คุณ”
คำชี้แจงดังกล่าวทำเอาหญิงสาวหน้าบึ้ง ไม่อยากเสวนากับเขาอีก เธออยากแยกตัวเข้าห้องนอน แต่โทรทัศน์มีอยู่เครื่องเดียวที่โถงนั่งเล่น เธอยังไม่ง่วงและคงไม่มีสมาธิมากพอจะอ่านหนังสือที่ติดมาด้วย เลยต้องนั่งดูละครกับปณิธิอย่างไม่มีทางเลือก
“คุณใส่ทิวบ์แต่ยังพูดแจ๋วๆ อยู่ได้ยังไง” อยู่ๆ ปณิธิก็ออกปากถาม ทำเอาอารมณ์ที่กำลังเศร้าสลดในละครเนื่องจากนางเอกนอนเจ็บหนักอยู่บนเตียงคนไข้ต้องสะดุดกึก
“อะไรนะคะ” หญิงสาวหันมาทำหน้างง
“ก็นางเอกนอนเจ็บสอดท่อช่วยหายใจคาคออยู่แบบนั้นแท้ๆ แต่ทำไมยังร้องไห้แล้วพูดได้เป็นวรรคเป็นเวร” เขาถามเกี่ยวกับฉากในละครที่กำลังดำเนินอยู่
“ฉันเปล่าสอดเข้าไปในคอจริงๆ แค่คาบเอาไว้ที่ปาก” คนเป็นนักแสดงบอกเสียงขุ่น มองเขาตาวาววับ
ปณิธิหัวเราะ “ผมนึกว่าคุณใช้หลอดอาหารพูดซะอีก”
คนที่ไม่ได้ใช้หลอดอาหารพูดหน้าหงิก ไม่อยากคุยกับเขาอีก พอดีกับที่พนักงานนำอาหารที่สั่งมาส่ง จากนั้นอีกฝ่ายจึงทานข้าวและดูละครไปเงียบๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไรเลย
“ได้ยินว่าคุณมาใช้ทุนสามปีแล้ว กำลังจะไปเรียนต่อ” ในที่สุดกัทลีรัตน์ก็เป็นฝ่ายอดไม่ได้ต้องออกปากชวนคุยช่วงโฆษณาหลังจากนั่งเงียบดูละครกับเขามาหลายตอน และอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรเลยแม้จะทานข้าวเสร็จไปนานแล้ว
ปณิธิหันมาสบตาคนถามพลางพยักหน้า “ตอนแรกผมกะจะไปตั้งแต่จบอินเทิร์น*” หนึ่ง แต่มีรุ่นพี่แนะนำว่าให้ฟิกซ์ศัลย์** อยู่ทางนี้ต่อแล้วค่อยไป ไม่งั้นไปเรียนต่อก็ทำอะไรไม่เป็น และจะได้ไม่ต้องเรียนไปใช้ทุนไปให้ลำบากด้วย
“งั้น...อีกไม่นานคุณก็ต้องไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วสิ”
“ที่ถามนี่ดีใจเหรอ”
“...”
“ดีใจที่ผมจะไปอยู่ใกล้ๆ รึไง”
หญิงสาวสบตาเขาแล้วอึ้งอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นจึงรู้ตัวว่าหน้าแดงก่ำและร้อนผ่าวไปหมด “ทำไมฉันต้องดีใจด้วย”
“ผมจับความรู้สึกได้จากแววตากับน้ำเสียงของคุณ” เขาตอบอย่างมั่นใจ “ที่คุณพยายามแสดงออกว่าเกลียดผมนักหนา ผมก็รู้สึกได้เหมือนกันว่ามันไม่จริง คุณไม่ได้เกลียดผมเลยสักนิด แต่กลัวคนอื่นจะรู้ความในใจก็เลยแกล้งทำเป็นเกลียด”
กัทลีรัตน์อ้าปากค้างไปนานกว่าจะหาลิ้นตัวเองเจอ “ฉัน...”
“ผมล้อเล่น” เขารีบเบรกก่อนที่เธอจะทันพูดอะไร ก่อนจะหัวเราะชอบใจ ในขณะที่อีกฝ่ายถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว แทนที่เขาจะให้โอกาสเธอแก้ตัวและต่อว่าเขาให้หนำใจที่มาปรักปรำกันเช่นนั้น แต่เขาดันกลับลำบอกว่า ‘ล้อเล่น’ หน้าตาเฉย ถ้าเธอดันทุรังแก้ตัวอีกก็จะกลายเป็นว่าร้อนตัวจนน่าสงสัย คนอะไรน่าโมโหชะมัด!
“ฉันรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงมีปัญหากับแม่”
ปณิธิชะงักเล็กน้อยพร้อมกับเลิกคิ้ว “แม่คุณ?”
“ใช่ค่ะ ก็เรื่องที่เป็นข่าวเมื่อปีก่อนไงล่ะ เป็นเพราะคุณเป็นคนกวนประสาท แต่แม่เขาเป็นคนซีเรียสจริงจังและไม่มีอารมณ์ขัน คุณคงไปแกล้งกวนโมโหเขาเข้าล่ะสิ”
“ใช่ที่ไหน” ชายหนุ่มหน้าตึงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงแพทย์หญิงนภา
“งั้นทำไม”
“อยากรู้จริงเหรอ แล้วถ้าผมตำหนิแม่คุณ คุณจะไม่ยิ่งเกลียดผมรึไง”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันรู้ดีว่าแม่เป็นคนยังไง ฉันแค่อยากรู้เรื่องด้วยเท่านั้น” เธอไม่ได้สนใจเรื่องงานของแม่ แต่ว่า...มันอาจทำให้เธอรู้จักปณิธิมากขึ้น แล้ว...ทำไมเธอต้องอยากรู้จักเขามากขึ้นด้วยเนี่ย!
“ตอนเกิดเหตุการณ์หนนั้นผมกับเพื่อนอีกคนเป็นหมอในพื้นที่และเป็นเวรชันสูตร มีเจ้าหน้าที่กับคนร้ายเสียชีวิตหลายศพ เรื่องมันเลยดังและใหญ่มาก แต่อยู่ดีๆ หน่วยงานแม่คุณก็โผล่มาแล้วสั่งให้ย้ายศพเข้าเมืองทั้งที่โรงพยาบาลผมยังทำงานไม่เรียบร้อย”
แม้เขาจะไม่แสดงความรู้สึก หากกัทลีรัตน์ก็จับได้ว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ชอบแม่ของเธอ
“คนตายเป็นสิบแต่แม่คุณกับเจ้าหน้าที่หน้าตางืดๆ มาไม่ถึงสองชั่วโมงก็รีบตั้งโต๊ะแถลงข่าวเอาหน้า แถมยังตั้งประเด็นไร้เหตุผลสารพัดขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำเอาคนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่วทั้งที่ตัวเองยังไม่ทันได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง พวกผมกับตำรวจในพื้นที่ก็เลยต้องวุ่นวายไปด้วย ผมจึงตำหนิเขาผ่านสื่อ บอกว่าเขาก้าวก่ายงานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำงานไม่ถูกขั้นตอน เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไรไม่เข้าใจระบบงานง่ายๆ พื้นๆ...ก็แค่นี้แหละ”
เสียงเล่าเรียบเรื่อยปราศจากการแสดงอารมณ์นั้นทำเอาคนฟังอ้าปากค้าง พูดไม่ออก
“จะว่าไป...หน้าตาคุณมีส่วนคล้ายแม่มากเหมือนกันนะ ถึงคุณจะเหมือนพ่อมากกว่าก็เถอะ”
หญิงสาวสะอึกเล็กน้อยกับการตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้ากวนโทสะอย่างขัดนัยน์ตาของเขา ก่อนจะขึ้นเสียงขุ่น “หมายความว่าไง”
“ก็...เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งผมถึงชอบน้องพลอยมากกว่าคุณ”
“แปลว่าคุณมีอคติกับฉันเพราะคุณไม่ชอบแม่ฉันงั้นเหรอคะ”
คนถูกถามยิ้มเล็กน้อยพลางไหวไหล่ “คุณก็ไม่เห็นต้องสนใจเรื่องนี้เลยนี่ เลิกพูดเรื่องน่าเบื่อแล้วดูละครดีกว่า เดี๋ยวจะถึงฉากที่น้องพลอยเข้ามาทำร้ายคุณในโรงพยาบาลแล้วนะ ฉากเด็ดเลยไม่ใช่เหรอ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น