ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร้อนลุ้นรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 54


    บทที่ 2

     

    มือเล็กสาละวนค้นของในกระเป๋าเพื่อควานหากุญแจรถที่อยู่ลึกก้นกระเป๋าใบใหญ่ เธอเดินก้มหน้าก้มตามาเรื่อยๆ รู้ว่าเดินตามหลังใครสักคนหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย จนกระทั่งได้ยินเสียงกดเปิดประตูด้วยรีโมตคอนโทรลดังตึ๊ด จึงเงยหน้ามองตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็พบว่ารถของเธอเองที่จอดห่างจากรถคันที่เจ้าของเพิ่งกดรีโมตเปิดประตูไปเพียงสามคันมีคนที่เธอต้องการหนียืนพิงประตูด้านคนขับอยู่ ณัฐนรีย์จึงย่อตัวหลบลงข้างรถของผู้ชายที่เธอเดินตามหลังมาทันที

    ศศวัตหันมองคนที่อยู่ๆ ก็ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วราวกับกำลังเล่นเกมแมวจับหนูกับใครอยู่ กำลังจะเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็จุปากเป็นสัญญาณให้หยุดส่งเสียง พร้อมส่งสายตาอ้อนวอน เขาไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไร แต่เพราะท่าทางพิลึกมองลอดกระจกไปยังรถญี่ปุ่นรุ่นเก่าสีแดงจัดที่จอดห่างออกไปไม่มากทำให้เขาต้องมองตาม จากนั้นก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าหล่อนกำลังหลบ แมว หนุ่มหน้าตาอ่อนใสคนนั้นเป็นแน่

    เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาที่งานมอเตอร์โชว์เลิกราไปแล้ว รถที่จอดอยู่จึงมีบางตา ลานจอดรถกว้างมีพื้นที่ว่างเหลือมากมาย ณัฐนรีย์จึงไม่รู้จะหาทางเลี่ยงออกจากลานจอดรถได้ยังไงโดยไม่ทำให้ร่างสูงที่ยืนหันหลังพิงรถเธออยู่นั้นมองเห็น งานนี้เห็นทีจะต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าของรถคันที่เธออาศัยหลบภัยอยู่นี่แหละ

    “ขอโทษนะคะ” หญิงสาวกระซิบกระซาบ “ฉันขออาศัยไปลงด้านหน้าหน่อยได้ไหมคะ”

    ศศวัตรู้ดีว่าคนสมัยนี้ไว้ใจได้ไม่มากนัก แต่เท่าที่ประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ผู้หญิงตัวเล็กบางแค่นี้คงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ อีกอย่างเขาจำได้ว่าเธอคือพริตตี้รถยุโรปคันหรูที่เขาไปยืนมุงดูตอนเธอพรีเซนต์สมรรถนะรถยนต์ ใบหน้าเล็กที่มีดวงตาคมบาดตานั้นทำให้เขาสะดุดตาอย่างประหลาด แม้จะสะดุดตาแต่เขาก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรต่อจากนั้น ก็แค่จดจำได้ ไม่นึกว่าจากความสะดุดตายังมีเหตุการณ์ให้ต้องมาพบปะกันด้วยวิธีประหลาดๆ ต่อไปอีก

    “ได้สิครับ” โดยไม่ถามไถ่อะไรมากมาย เจ้าของรถเอ่ยปากอนุญาต แถมยังเป็นฝ่ายเปิดประตูด้านหลังให้หญิงสาวค่อยๆ มุดตัวเข้าไปในรถอีกด้วย

    เมื่อเข้าไปแอบอยู่ที่นั่งตอนหลังเรียบร้อยแล้ว ก็อดที่จะโผล่ศีรษะขึ้นมาแอบดูอดีตคนรักไม่ได้ เห็นแล้วใจยิ่งฝ่อเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยืนรออยู่อย่างนั้นไปอีกนานแค่ไหน

    “คุณไปลงที่ป้ายรถริมถนนแจ้งวัฒนะดีไหมครับ ด้านหน้างานไม่ใช่เส้นทางที่จะมีรถประจำทางผ่าน”

    เสียงทุ้มๆ เรียกให้ณัฐนรีย์ออกจากภวังค์

    “ไม่เป็นไรค่ะ จอดข้างหน้านี่ก็ได้ ฉันว่าจะคอยจนกว่าเขาจะไปแล้วจะเอารถออกจากลานจอด ไม่อย่างนั้นโดนค่าจอดรถกระเป๋าฉีกแน่ๆ”

    ชายหนุ่มแอบกลั้นรอยยิ้มที่ทำท่าจะผุดขึ้นมาง่ายๆ กับประโยคแสดงความรู้จักค่าของเงินที่ตรงไปตรงมานั้น

    “แล้วถ้าเขาไม่ยอมไปคุณไม่ต้องแอบซุ่มทั้งคืนหรือครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป วิญญาณอาจารย์ที่แสนดีก็เข้าสิงจนทำให้ศศวัตเอ่ยปากช่วย “เอาอย่างนี้ดีไหมครับ คุณเอากุญแจรถมาให้ผม แล้วผมจะไปขับรถออกมาให้คุณเอง ถ้าผู้ชายคนนั้นถาม ผมจะบอกว่าคุณจ้างให้ผมมาขับรถไปส่งให้ดีไหมครับ”

    “เอ่อ” หญิงสาวลังเลด้วยความเกรงใจ “แล้วถ้าเขาไม่ยอมล่ะคะ”

    “ผมมีวิธีจัดการได้ ถ้าคุณตกลง”

    “เขาอาจจะขับรถตามคุณไป” ที่พูดก็แค่เดาไปล่วงหน้า เพราะจะว่าไปแล้วณัฐนรีย์ก็ยังไม่รู้จักชาญวิทย์มากเท่าไหร่ว่าเป็นคนช่างตื๊อได้ขนาดไหน รู้แค่ว่าก่อนจะตกลงเป็นคนรักกันรายนั้นก็ตื๊อใช่ย่อยล่ะ

    “ก็อาจจะเป็นไปได้ คุณมองเห็นรถเขาจอดใกล้ๆ แถวนี้ไหมล่ะ” อาจารย์หนุ่มวางแผนต่อในใจ

    ณัฐนรีย์ค่อยๆ กวาดสายตาไปตามลานจอดรถที่มีขนาดกว้างมากแต่จำนวนรถบางตา เท่าที่ลองมองดูก็ไม่เห็นรถของอดีตคนรักจอดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง “ใกล้ๆ นี้ไม่มีนะคะ”

    “ถ้าเขาจะขับตามก็ต้องเสียเวลากลับไปที่รถ ซึ่งระหว่างนั้นผมน่าจะสลัดเขาหลุดได้ไม่ยาก” ศศวัตหยุดไปอึดใจหนึ่งก่อนถาม “คุณไว้ใจให้ผมขับรถมาให้คุณไหมล่ะ”

    คราวนี้เป็นหญิงสาวที่ยิ้มออกมา “แหม...รถเก่าจนสนิมเกาะของฉันคงไม่ทำให้คุณอยากได้หรอกมั้งคะ”

    และเพราะรอยยิ้มสว่างนั้นทำเอาคนที่คิดช่วยด้วยใจบริสุทธิ์หัวใจกระตุก เกรงว่าถ้ายังมองต่อไปคงเป็นการช่วยเหลือที่ไม่บริสุทธิ์ใจแน่ๆ จึงต้องหันหน้ามองไปทางอื่นแทน

    “งั้นผมจะขับรถออกไปจอดไว้ที่ลานจอดด้านนอกอาคารแถวที่เป็นรถเข็นขายอาหาร แล้วคุณก็นั่งรอแถวนั้น ผมต้องบอกตามตรงว่าไม่ไว้ใจให้คุณอยู่ในรถ เพราะรถผมยังพอขโมยไปขายแล้วได้ราคาอยู่บ้าง และเราก็เพิ่งเคยเจอกัน ชื่อแซ่ก็ไม่รู้จัก ดังนั้นอย่าถามเรื่องความไว้ใจเลยสำหรับคนแปลกหน้า”

    ณัฐนรีย์ลืมตัวจนเผลอค้อนใส่ผู้ที่อาสาช่วยเหลือ แต่ก็เข้าใจว่าจะมาไว้ใจกันได้ง่ายๆ ก็ใช่เรื่อง

    “ค่า เข้าใจแล้ว ยังไงก็ต้องขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะคนแปลกหน้า”

    ศศวัตหัวเราะหึๆ แล้วออกรถให้พ้นจากบริเวณลานจอดรถ ตามองไปที่กระจกส่องหลัง เห็นว่าชายหนุ่มหน้าอ่อนคนนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมด้วยความอดทน ความจริงเขาควรเห็นใจใครกันแน่นะ ระหว่างลูกผู้ชายด้วยกันกับสาวสวยที่แอบอยู่เบาะหลัง บางทีเธออาจจะล่อลวงจนฝ่ายนั้นหลงใหลแล้วคิดจะถีบหัวส่งก็ได้ การช่วยเหลือในครั้งนี้ของเขาอาจจะทำให้ผู้ชายคนนั้นเดือดร้อน แต่ก็นั่นล่ะ...ในเมื่อตัดสินใจช่วยแล้วปัจจัยอื่นเขาไม่ขอข้องเกี่ยวแล้วกัน

     

    แล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายโดยไม่มีการได้ถามชื่อเสียงเรียงนามกัน เพราะเมื่อเขาคนนั้นเอารถมาส่งให้ ณัฐนรีย์ก็รีบขอบคุณแล้วกระโจนขึ้นรถขับหนีออกมาด้วยกลัวว่าชาญวิทย์จะขับสะกดรอยมาจนทัน ตลอดทางที่ขับรถกลับหอพัก หญิงสาวรู้สึกผิดนิดๆ ที่ปฏิบัติตัวไม่ค่อยมีมารยาทต่อผู้ให้การช่วยเหลือ อีกอย่างก็รู้สึกเสียดายด้วยที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย แต่เมื่อจอดรถในลานจอดของหอพักแล้วเห็นว่ารถยุโรปรุ่นเก่าที่ยังพอขโมยไปขายได้ราคาอยู่บ้างของชายหนุ่มผู้นั้นขับตามมา ความรู้สึกดีๆ ก็ลดวูบไป เธอไม่อยากให้เขาเป็นเหมือนบรรดาผู้ชายมากมายที่ตามตื๊อเธอ อยากให้ความรู้สึกดีๆ ยังคงอยู่ว่าเขาให้การช่วยเหลือเพราะเธอคือคนคนหนึ่งที่กำลังต้องการมัน ไม่ใช่ช่วยแล้วหวังผลต่อยอดความสัมพันธ์กับเธอเหมือนผู้ชายมากมายที่วนเวียนใกล้ๆ เธอ...เพียงเพราะเธอคือพริตตี้

    ทำไมถึงรู้สึกผิดหวังมากมายนักก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ ณัฐนรีย์จึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินเร็วๆ เพื่อที่จะเข้าไปในตัวตึก แต่กลับได้ยินเสียงเรียกที่ไม่อาจทำเป็นไม่ได้ยินได้

    “คุณพักที่นี่เหรอครับ”

    ณัฐนรีย์หันหน้ากลับมามองต้นเสียงในจังหวะที่สายลมเย็นยะเยือกปะทะผิวหน้า ผมยาวสลวยปลิวสยายมองคล้ายปลายธงสะบัดไหว หนาวจนหญิงสาวต้องยกมือกอดอกเพราะมีเพียงเดรสแขนกุดและผ้าพันคอผืนบางห่อคลุมกาย เสียงลมหวีดหวิวลอดไล้ปลายกิ่งไม้และใบไม้หนาฟังดูคล้ายคนรำพึงในความมืด ณัฐนรีย์รู้สึกเย็นที่ท้ายทอยแบบแปลกๆ อีกแล้ว ที่ต้องใช้คำว่าอีกแล้วเพราะตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่นี่เธอมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาบ่อยๆ

    “ค่ะ”

    เมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบสั้นๆ และไม่มีทีท่าแปลกใจกับการได้พบเขาอีกครั้ง ศศวัตก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังคิดในแง่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขา อาจจะคิดเลยเถิดว่าเขาเป็นพวกโรคจิตไปเลยก็ได้ จึงรีบอธิบาย

    “บังเอิญจังเลย หอพักนี้เป็นของผมเอง” ร่างสูงก้าวออกมาจากรถพลางเอ่ยแนะนำตัว “ผมศศวัต เจ้าของหอพักศศวัตครับ”

    ริมฝีปากบางแต่อิ่มเต็มเผยออ้าน้อยๆ ก่อนที่จะค่อยๆ หุบฉับแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ แทน ในใจรู้สึกดีขึ้นมาอีกครั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้จงใจสะกดรอยตาม

    “แนทค่ะ ณัฐนรีย์” สายลมหนาวพัดโบกโบยเข้าใส่ทั้งคู่อีกครั้ง “บังเอิญจริงๆ ด้วย”

    อาจารย์หนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะชวนคุย “คุณพักที่ห้องไหนครับ”

    “สี่ศูนย์หนึ่งค่ะ”

    รอยยิ้มบางๆ ที่ประดับริมฝีปากศศวัตค่อยๆ เลือนหาย แทนที่ด้วยรอยเม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง หัวคิ้วขมวดมุ่น จนคนที่ยืนแหงนหน้ามองอยู่จับสังเกตได้

    “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    “เปล่าครับ” ชายหนุ่มตอบได้รวดเร็วทั้งที่สติเริ่มสั่นคลอน “ดึกแล้วผมว่าคุณไปพักดีกว่า ผมเองก็ต้องขอตัว พรุ่งนี้มีสอนแต่เช้า”

    อ้อ...คงจะเป็นคุณครู ครูหล่อขนาดนี้ลูกศิษย์สาวๆ คงตั้งใจเรียนกันแน่นอน ณัฐนรีย์สรุปขำๆ เอาเองจากคำพูดของเจ้าของหอพัก

    “ค่ะ ฝันดีนะคะ”

    “ฝันดีครับ”

    ศศวัตมองดูร่างเล็กบางเดินตัวปลิวเข้าไปในตัวอาคารด้วยอาการครุ่นคิด กับเหตุการณ์บังเอิญหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สังหรณ์บางอย่างบอกว่าระหว่างเขาและเธอจะต้องมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะยังดำเนินต่อไป...ด้วยกัน

    แล้วเขาจะได้มีโอกาสฝันดีอย่างที่เธออวยพรหรือไม่ เพราะตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ไม่มีสักคืนที่เขาสามารถนอนหลับแล้วยังคง...ฝันดี

     


    บทที่ 3

     

    แค่ย่างเท้าเข้ามาในห้อง เสียงเพลงก็โหยหวนให้เจ้าของห้องได้หงุดหงิดขึ้นมาอีก เนื้อหาของเพลงที่แทนใจบรรดาบ้านเล็กบ้านน้อยหากฟังโดยไม่มีอคติบดบัง เธอสามารถบอกได้เลยว่าบทเพลงเก่าแก่รุ่นคุณยายคุณป้าเพลงนี้ไพเราะบาดลึกเป็นอย่างมากทั้งเนื้อหาและทำนอง แต่เพราะเธอมีอคติเมื่อได้ยินจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธจี๊ดๆ ทุกครั้ง

    อาดูรเดียวดายเขาคงจะหน่ายไม่มา...หรือว่าทำเมิน

    เมื่อยามนิทราหอมภรรยาคุณเพลิน...

    ปล่อยให้ส่วนเกินหอมหมอนเพลินแทน...คุณ*

    “โรคจิตเอ๊ย” ณัฐนรีย์ใช้มือทุบลงบนผนังห้องด้วยความหงุดหงิด ผลคือ...เจ็บมือ พอเจ็บตัวก็เจ็บใจอีก สิ่งต่อไปที่ทำคือคว้านิตยสารรถยนต์เล่มโตที่ซื้อมาอ่านหาข้อมูลรถยนต์ปาไปที่ผนังห้องด้านที่ติดกับห้อง 402 เสียงดังตึงใหญ่สมใจ

    หลังจากนั้นไม่นานเลย ห้องข้างๆ ก็ส่งเสียงโครมครามตอบโต้ พาลให้ห้อง 403 ที่อยู่ถัดไปส่งเสียงโครมครามส่งมาให้ได้ยินด้วย แต่ด้วยเดซิเบลที่ลดลงเพราะต้องทะลุผนังถึงสองชั้นกว่าจะมาถึงห้องเธอ ณัฐนรีย์เหยียดริมฝีปากยิ้ม

    สมน้ำหน้า เจอศึกสองด้าน

    หลังจากทำสงครามโครมครามผ่านผนังระหว่างสามห้องนานราวห้านาทีเสร็จสิ้นลง ณัฐนรีย์ก็เดินหงุดหงิด เข้าไปอาบน้ำจนรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายแต่กลับไม่รู้สึกปลอดโปร่ง สัมผัสบางอย่างที่ให้ความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกดทับความสดชื่นที่น่าจะได้จากการอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ซึ่งหญิงสาวเลือกที่จะตอบกับตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความหงุดหงิดที่มีให้เพื่อนร่วมหอพักนั่นเอง

    เมื่อดูแลปรนนิบัติผิวพรรณและร่างกายตัวเองครบขั้นตอน ณัฐนรีย์ก็พาร่างที่หอมกรุ่นของตัวเองขึ้นเตียง ซึ่งคาดว่าแค่หัวถึงหมอนก็คงหลับได้ไม่ยาก เพราะความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาตลอดวัน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอหลับไปแทบจะทันทีราวกับปิดสวิตช์ แต่กลับตื่นโพลงอยู่ในความฝัน...ฝันที่เหมือนจริงจนราวกับสัมผัสแตะต้องได้

     

    ณัฐนรีย์ยืนอยู่มุมห้องมองชายหนึ่งหญิงสองซึ่งกำลังอยู่ในอาการฟูมฟายในรูปแบบต่างๆ กัน หญิงร่างเล็กผิวขาวจัดจนซีดเซียว หรืออาจจะเพราะความผิดหวังเสียใจที่แสดงออกชัดบนใบหน้านั้นก็เป็นได้ที่ทำให้หล่อนยิ่งแลดูซูบซีด น้ำตาไหลอาบแก้มแต่ไร้เสียงสะอื้นไห้ ต่างจากอีกหนึ่งนางที่สะอึกสะอื้นราวใจจะขาด แต่ถึงกระนั้นความสะสวยของเจ้าหล่อนก็ยังคงฉายชัด ส่วนชายคนเดียวในห้องก็ยืนเก้กังราวกับไม่รู้จะวางมือไม้แขนขาไว้ตรงไหนดี

    ฉันขอโทษนะจ๊ะพี่นง ฉันไม่ได้ตั้งใจ

    คนที่ถูกเรียกว่าพี่นงยกมือขวาขึ้นกุมหน้าอก ส่วนมือซ้ายปิดปากที่สั่นระริก ท่าทางราวกับใจจะขาดรอนลงในนาทีใดนาทีหนึ่ง ท่าทางนั้นยิ่งทำให้อีกหนึ่งคนทุกข์ใจไม่ต่างกัน

    นง...เฮีย ชายคนนั้นพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นท่าทางของหญิงที่น่าจะเป็นภรรยาของเขาเอง ณัฐนรีย์รู้สึกเกลียดชังชายคนนั้นอย่างห้ามใจไม่อยู่ เกลียดที่สุดคือผู้ชายมักมากในกามารมณ์ ทำร้ายได้แม้แต่ภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข ผู้ชายมักง่ายประเภทเดียวกับที่พ่อของเธอเองก็เป็น

    เฮียชัยทำอะไรลงไป ผู้เป็นหลวงเอ่ยปากออกมาได้แม้ริมฝีปากจะสั่นระริกก็ตาม เฮียชัยข่มเหงเธอใช่ไหมสุมาลี พี่ไม่เชื่อหรอกว่าญาติที่พี่รักราวกับน้องในไส้จะทำร้ายพี่ได้ลงคอ บอกพี่มาสิว่าเฮียชัยข่มเหงเธอ...ใช่ไหม

    สุมาลีกอดเข่าแน่น ซุกใบหน้าลงในท่าที่เรียกว่าน้ำตาเช็ดหัวเข่า สะอื้นจนตัวโยน น่าแปลกที่ณัฐนรีย์กลับได้ยินเสียงอื่นนอกจากเสียงสะอื้นของหล่อน

    เฮียชัยข่มเหงฉัน แต่ฉันก็ผิดไม่ต่างกันที่ไม่รู้จักห้ามใจ รู้ทั้งรู้ว่าเขามีศักดิ์เป็นพี่เขย ฉันผิดเองพี่...ฉันผิดเอง

    เฮียสมชัย คราวนี้หล่อนหันมาถามผู้เป็นสามี เฮียข่มเหงน้องฉันใช่ไหม

    สมชัยเงยหน้ามองภรรยาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะหันมองหญิงที่เพิ่งตกเป็นภรรยาตามพฤตินัยได้ไม่นาน แล้วจึงค่อยๆ กดหน้าลงเป็นการยอมรับ

    ร่างเล็กของผู้หญิงที่แทบจะเป็นคนคุมการสนทนาทั้งหมดทรุดฮวบลงท่ามกลางเสียงหวีดร้องของสุมาลี สมชัยปราดเข้าไปหวังประคองภรรยาแต่ไม่ทันการณ์ หล่อนล้มลงฟาดพื้นเสียงดังสนั่น

    เสียงกรีดร้องของสุมาลียาวนานและโหยหวน จนณัฐนรีย์ต้องยกมือขึ้นปิดหูที่ราวกับจะแตกย่อยยับไปกับพลังเสียงนั้น

     

    “โอ๊ย...

    หญิงสาวฟาดแขนฟาดขากับเตียงขนาดห้าฟุตอย่างทุรนทุราย เสียงกรีดร้องและความโกลาหลยังแจ่มชัดในมโนสำนึก จนกระทั่งเธอสามารถลืมตาขึ้นมาได้ เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าราวกับเพิ่งโดนใครสักคนสาดน้ำใส่

    ณัฐนรีย์หายใจหอบ หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอก ฝันที่ชัดเจนราวกับเธอกำลังอยู่ในเหตุการณ์จริงทำให้อกสั่นขวัญแขวน ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยฝันประหลาดเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้มาก่อนเลย ร่างบางค่อยๆ ลุกเดินไปแหวกม่าน เห็นแสงอาทิตย์สาดสีทองประดับท้องฟ้าในช่วงเวลาที่เธอไม่เคยลืมตามาสัมผัสเสียนาน นับตั้งแต่ริมาใช้ชีวิตแบบคนกรุงเทพฯ

    น่าแปลกที่แสงทองอันอบอุ่นนั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นในจังหวะที่หนักแน่นมากขึ้น หน้าต่างด้านที่เธอเปิดออกนั้นมองไปเห็นบ้านหลังเล็กๆ น่ารักซึ่งคงจะเป็นของเจ้าของหอพักที่เธอบังเอิญได้พบเมื่อคืน และไม่นานข้อสันนิษฐานของเธอก็ได้รับคำตอบ เมื่อชายคนนั้นเดินออกมาพร้อมแก้วกาแฟสีแดงจัด ร่างสูงหนาอยู่ในชุดกางเกงขาก๊วยสีน้ำเงินหม่นกับเสื้อยืดสีขาวสะอาดตา เขาค่อยๆ เดินสูดอากาศและสำรวจต้นไม้ใหญ่น้อยบริเวณสวน บางเวลาเขาจะขยับกรอบแว่นสีทองบางเฉียบแล้วก้มหน้าลงมองต้นไม้อย่างใกล้ชิด

    คงเพราะเธอไม่เคยลืมตาตื่นในเวลาที่เหลือเฟือพอจะเปิดม่านสำรวจบรรยากาศรอบหอพัก เธอจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหากมองจากหน้าต่างบานนี้เธอจะเห็นบ้านของเขา รู้แต่ว่าครั้งแรกที่เข้ามาเลือกห้องนี้เธอมองเลยเขตหอพักออกไปพบว่าตลาดเล็กๆ อยู่ถัดจากหอไปเพียงนิด เพราะฉะนั้นปัญหาปากท้องเป็นอันตกไป สาเหตุที่เธอเลือกห้องนี้ก็เพราะหน้าต่างด้านข้างหอนี่แหละ ห้องอื่นที่ผนังชนผนังจะไม่มีหน้าต่างระบายอากาศด้านข้างแบบห้องที่ลงท้ายด้วย 01 และ 08 ห้องด้านของเธอมองไปเห็นตลาด ส่วนห้องที่ลงท้ายด้วย 08 อยู่ติดถนน และแน่นอนว่าห้องที่ลงท้ายด้วยเบอร์ทั้งสองนั้นจะมีราคาสูงกว่าห้องอื่นอีกสามร้อยบาท ซึ่งเป็นราคาที่ณัฐนรีย์ยินดีจ่ายเพื่อซื้ออากาศถ่ายเทที่ดีกว่า

    ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เธอเผลอยืนมองชายหนุ่ม มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่ออีกฝ่ายแหงนหน้าขึ้นมามองกันนั่นแหละ ณัฐนรีย์สะดุ้งด้วยสัญชาตญาณจึงเผลอปล่อยมือจากผ้าม่านหลบวูบพิงผนัง แล้วก็มานั่งเสียใจว่าท่าทางที่แสดงออกไปนั้นพิลึกที่สุด จนอีกฝ่ายสามารถคิดได้เลยว่าเธอแอบมองแล้วกลัวเขาจับได้ และแม้จะเผลอแสดงท่าทางมีพิรุธไปแล้วก็ยังไม่วายอยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร จึงค่อยๆ แหวกม่านออกดูอีกรอบ แต่คราวนี้ร่างสูงใหญ่หายไปจากสนามเสียแล้ว...เห็นแบบนั้นใจก็ฝ่อจนเธอตอบตัวเองไม่ได้ว่าผิดหวังเพราะอะไรกัน

    คนที่ไม่ค่อยได้ตื่นเช้ารู้สึกตาสว่างแต่อ่อนเพลียเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่ม คงเพราะฝันประหลาดนั่นที่ทำให้รู้สึกราวกับไม่ได้นอน ณัฐนรีย์เปิดประตูออกมาสู่บริเวณระเบียงทางเดินหน้าห้อง อดที่จะเหลือบไปมองหน้าห้อง 402 ไม่ได้ และก็เป็นอย่างที่คิด จานชามวางเกลื่อนเกยอยู่กับรองเท้าผ้าใบสีสกปรกที่สุด จนเดาไม่ออกว่ามันเคยมีสีอะไรมาก่อน ความสกปรกไม่น่าจะเข้ากันได้กับใบหน้าน่ารักๆ ของหล่อนเอาเสียเลย ณัฐนรีย์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือก มองเลยไปยังห้อง 403 ขานั้นก็อวดร่ำอวดรวยตลอด ดูจากรองเท้าแบรนด์เนมที่เจ้าหล่อนถอดเรียงไว้หน้าห้องก็บอกได้แล้ว แต่จะว่าไปของเลียนแบบสมัยนี้ทำเนียนจะตายไป ถ้ารวยจริงจะมาอยู่หอพักราคาถูกแบบนี้ทำไมกัน หรือไม่แน่ คนที่เปิดเพลงระบายความในใจของบ้านเล็กอาจจะเป็นคนในห้องก็ได้ หญิงสาวย่นจมูกอย่างนึกรังเกียจผู้หญิงสวยที่ไร้ศักดิ์ศรีเลือกหนทางลัดสู่ความสบายโดยไม่คำนึงถึงเรื่องผิดถูก คนแบบนี้ทำอะไรก็ไม่ขึ้น...ณัฐนรีย์เชื่อในเวรกรรม

    มือที่มีนิ้วเรียวสวยลูบไม้ประดับที่ปลูกไว้ในกระถางปูนริมระเบียงด้านที่ติดกับบ้านเจ้าของหอพัก ลิ้นมังกร ณัฐนรีย์เอ่ยชื่อในใจ

    ความที่พื้นเพเป็นคนต่างจังหวัดทำให้หญิงสาวรู้จักพรรณไม้หลากหลายชนิด อย่างลิ้นมังกรนี้คนโบราณเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติในการปกป้องภัยจากภายนอก ว่ากันว่าปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะช่วยป้องกันภัย บางคนก็เรียกว่าต้นหอกพระอินทร์ เพราะลักษณะใบที่ยาวเรียวแหลมแข็งเป็นมัน คล้ายหอก มีหน่ออยู่ใต้ดิน ดูแลง่ายไม่ต้องรดน้ำมาก ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลในการปลูกลิ้นมังกรในกระถางปูนนี้มากกว่าผลทางการปกป้องคุ้มภัย

    กระถางปูนที่ก่อเสมอราวระเบียงอยู่ในพื้นที่หน้าห้องด้านข้างของเธอ ซึ่งนับเป็นผลพลอยได้อีกแบบ อย่างน้อยเธอก็มีพื้นที่สีเขียวเล็กๆ ส่วนตัว ที่แม้จะแตะต้องเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนพรรณไม้ไม่ได้ แต่การช่วยดูแลรดน้ำเล็กๆ น้อยๆ ก็สร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย ณัฐนรีย์เดินกลับเข้าไปในห้อง เปิดน้ำจากก๊อกใส่แก้วเดินออกมารดน้ำให้ต้นลิ้นมังกรที่ดูราวจะเขียวเข้มขึ้นมาเมื่อได้น้ำ

     

    ศศวัตทรุดตัวลงหน้าคอมพิวเตอร์ก่อนเปิดเครื่อง ตั้งใจนั่งรอเครื่องพร้อมทำงาน แต่กลับเหม่อลอยไปนานจนหน้าจอดับวูบเพื่อประหยัดพลังงานไปอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้น...คนที่ชื่อแนท ณัฐนรีย์ คนที่บังเอิญได้พบเจอกันแบบแปลกๆ และยังบังเอิญอยู่ห้องที่เขาหลีกเลี่ยงที่จะใส่ใจมาตลอดเวลาห้าปี แม้แต่มองขึ้นไปเขายังไม่เคยทำ แต่วันนี้เขากลับมองขึ้นไปและพบว่าคนนั้นก็มองลงมา นาทีนั้นเขารู้สึกชาวาบตั้งแต่โคนผมลงมาถึงปลายเท้า และเมื่อฝ่ายนั้นเลือกที่จะหลบวูบไป เขาเองก็สาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าบ้านเช่นกัน

    แม่...นอนอยู่ตรงนั้น ในวันที่มีคนพบร่างที่ไร้ลมหายใจ ระเบียงหน้าห้อง 401

    เลือดเกรอะกรังสาดกระเด็นตั้งแต่หน้าห้อง 403 ไล่มาถึง 402 และจบลงที่หน้าห้อง 401

    คนที่พบเล่าว่าคราบเลือดมากมายไหลเนืองนองหน้าห้องทั้งสาม และยังสาดกระเซ็นเข้าไปถึงบริเวณด้านในห้องด้วย

    แม่ที่อยู่ในความทรงจำของเขาคือผู้หญิงสวยอ่อนกว่าวัย ทันสมัยจนเรียกได้ว่าเปรี้ยว มีรอยยิ้มเปิดกว้างอย่างจริงใจและรักเขาอย่างที่สุด จบชีวิตลงด้วยสภาพน่าสมเพชซึ่งมีคนไปพบหลังจากเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน สภาพที่แม้เขาจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่อ่านได้จากสายตาคนพบศพว่ามันคงไม่ใช่สภาพที่น่าจดจำนัก

    วันนั้นในอดีตเขากำลังศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยสถานะนักเรียนทุนที่เขาและแม่ภาคภูมิใจยิ่งนัก แม่พร่ำบอกกับเขาเสมอว่าเขาคือความหวังของแม่ และแม่ก็สร้างหอพักนี้ไว้ให้เขา เพราะแม่รู้ดีว่างานที่เขาใฝ่ฝันคือการได้เป็นครูบาอาจารย์ และแม่ก็รู้อีกว่าสำหรับงานครูในประเทศนี้มีผลตอบแทนน้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับความเสียสละในหน้าที่การงาน แม่ยอมให้เขาได้ทำตามฝัน แต่แม่ก็มีแผนสำรองไว้ให้เขาเช่นกัน

    หลังเกิดเรื่องเขาไม่อยากแม้แต่จะชายตามองหอพักแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงอีกคนที่เขาเรียกว่าแม่เช่นกัน แม่นงคอยดูแลปลอบขวัญและให้กำลังใจเขาในการกลับไปศึกษาต่อจนจบ โดยมีแม่นงสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่อจากแม่แท้ๆ ผู้ให้กำเนิด

    ไม่ต้องห่วงทางนี้นะลูก สิงห์ต้องกลับไปเรียนให้จบ แม่สิงห์จะได้ชื่นใจ สุมาลีรักสิงห์มากนะ อย่าทำให้แม่ต้องนอนตายตาไม่หลับนะลูกนะ จบแล้วถ้าสิงห์จะหางานหาการทำทางโน้นจนกว่าจะสบายใจก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอกลูก

    แต่เขารู้ดีว่าทำอย่างที่แม่นงบอกไม่ได้ เพราะคำว่านักเรียนทุนก็คือเมื่อเรียนจบต้องกลับมาทำงานใช้ทุน หรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินก้อนโตชดใช้ทุนที่ได้จากสถาบันถ้าคิดจะไปทำงานอื่น แต่ใจเขานั้นรักการสอนอยู่แล้ว จึงไม่คิดหลีกเลี่ยงหรือเบนเข็มไปจากที่เคยตั้งใจ เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาเขาก็เข้าสอนในมหาวิทยาลัยที่ให้ทุนควบคู่กับการดูแลก่อสร้างหอที่ใกล้เสร็จแต่กลับปล่อยทิ้งร้างมาเกือบสี่ปี จนเสร็จเรียบร้อยลงในปีที่ห้านับจากแม่จากไปด้วยเงินที่แม่ทิ้งไว้ในบัญชีธนาคาร

    ทำไมสิงห์ไม่เก็บเงินก้อนนี้ไว้ใช้ล่ะลูก เอาไปทุ่มกับหอจนหมด ก็เท่ากับสิงห์ไม่เหลือเงินติดตัวเลยนะ แถมหอร้างแบบนี้สร้างเสร็จก็ไม่รู้ว่าจะมีคนกล้ามาเช่าไหมแม่นงพะงาเคยติงเมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษา แต่เขาตอบไปว่า

    ผมตั้งใจทำฝันสุดท้ายของแม่ให้เป็นจริงครับแม่นง เรื่องมันผ่านมานานแล้วคงไม่ค่อยมีใครรู้เพราะสมัยนั้นที่ดินแถวนี้ก็ยังโล่งๆ มีแต่ทุ่งนา ผู้คนไม่ค่อยมี

    ต่างจากปัจจุบันที่หมู่บ้านจัดสรรผุดขึ้นราวดอกเห็ด ทุ่งนาเขียวๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งปลูกสร้าง จนเขาเองเกือบจดจำไม่ได้เมื่อเรียนจบกลับมา และการที่ทุ่งนาเปลี่ยนเป็นบ้านจัดสรรรวมถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นอันนำมาซึ่งความเจริญ เช่นร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน ยูเนี่ยนมอลล์เล็กๆ ชายผู้หนึ่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้นจากการขายที่ทางซึ่งบรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เป็นร้อยไร่ ชายผู้ร่ำรวยคนนั้นคือ...พ่อของเขาเอง

    แม่เขาอยากให้สิงห์มีความสุข ถ้าทำแล้วไม่มีความสุขอย่าทำเลยลูก แม่นงเห็นหน้าสิงห์เหมือนคนอมทุกข์แล้วไม่สบายใจ แม่นงรู้ว่าสิงห์ไม่อยากแม้แต่จะเข้าไปแตะต้องสถานที่ที่พรากแม่ไป แม่นงเองก็เหมือนกัน แม่นงยังทำใจไม่ได้จริงๆ แม้แต่มองตึกนั่นแม่นงก็ยังไม่อยากมองแม่นงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    ผมทำได้ครับแม่นง อย่าห่วงเลย

    แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำไม่ได้คือขึ้นไปหน้าห้อง 401 ห้องที่ลมหายใจสุดท้ายของแม่หมดลงตรงนั้น



    * เพลง ส่วนเกิน ขับร้องโดยคุณดาวใจ ไพจิตร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×