ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนตราวิวาห์หวาน

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 54


    3
    “คุณรู้สึกยังไงที่ต้องเป็นคนจัดงานแต่งให้พี่วิศกับคู่หมั้น” ภารวีเอ่ยถึงเรื่องนี้ขณะเดินเคียงกับธาวันจากลานจอดรถไปยังอาคารจัดงานเว็ดดิ้งแฟร์
    หลังจากสรวิศได้พา ‘อรนาฏ’ คนรักมาพบกับมารดา ปรากฏว่าคุณหญิงพรพนิตประทับใจในคุณสมบัติทุกด้านของหล่อน จึงเร่งรัดให้ทั้งคู่หมั้นหมายและแต่งงานกันโดยเร็ว ท่านได้มอบหมายให้พันธิตราเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการแต่งงานครั้งนี้ งานหมั้นเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน ส่วนงานแต่งจะมีขึ้นในอีกราวหกเดือนข้างหน้า และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นหัวข้อที่ภารวีมักหยิบยกขึ้นมาสนทนากับธาวันได้ไม่รู้เบื่อ
    “ก็คง...รู้สึกภูมิใจล่ะมั้ง มันเป็นงานชิ้นใหญ่ที่สุดเท่าที่ทางเรารับผิดชอบอยู่ตอนนี้ ฉันไม่ได้หวังกำไรมากมายนักหรอกสำหรับงานของพี่วิศกับคุณอรนาฏ แต่ตั้งใจว่าจะทำให้เป็นงานสร้างชื่อโดยเฉพาะ อย่างน้อยๆ ก็คงทำให้แขกจำนวนหนึ่งที่มาร่วมงานเกิดความประทับใจจนอยากมาใช้บริการของเราบ้าง”
    ภารวีเหลือบมองคนพูดด้วยสีหน้าเคลือบแคลงเล็กน้อย เขาหวังจะเห็นปฏิกิริยาอีกแบบหนึ่งจากเธอ หาใช่คำพูดสาธยายเจื้อยแจ้วถึงความคาดหวังจากการทำงานดังกล่าว “หวังว่าคุณนาฏจะไม่รู้ความจริงซะก่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงรู้สึกแย่มาก”
    “ความจริงอะไร”
    “ความจริงที่ว่า...คนที่ดูแลเรื่องงานแต่งให้เธอตอนนี้เคยหวังจะจับพี่วิศมาก่อน ดังนั้น...ก็คงไว้ใจไม่ได้”
    “อย่ามาหยาบคายกับฉันนะคุณภารวี!” หญิงสาวแหวและเร่งฝีเท้าหนีอย่างฉุนเฉียว หากอีกฝ่ายกลับเร่งฝีเท้าตีคู่ทันได้ไม่ลำบาก เธอเกลียดผู้ชายคนนี้เข้าไส้จริงๆ! “ฉันไม่เคยคิดจะจับพี่ชายคุณ”
    “จริงเร้อ” น้ำเสียงนั้นยียวนกวนบาทาได้คงเส้นคงวาไม่เคยเปลี่ยน
    “ฉันอยู่บ้านเดียวกับเขามาสองปี ถ้าฉันคิดจะจับจริงๆ ก็คงหาทางทำอะไรสักอย่างไปนานแล้ว”
    “เพราะพี่วิศไม่เปิดโอกาสมากกว่าล่ะมั้ง แฟนเขาทั้งสาวกว่า สวยกว่า มีชีวิตชีวามากกว่า ฐานะทางบ้านก็เท่าเทียมกัน...”
    ต่อให้เจ็บจี๊ดในใจเพราะคำพูดของเขา แต่คนฟังก็ไม่ได้แสดงมันออกมาทางสีหน้า “ฉันจะบอกอะไรให้นะคะคุณภารวี ฉันอาจจะแอบชอบพี่วิศมาตลอด แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะจับเขาเลย ไม่เคยจริงๆ”
    น้ำเสียงหนักแน่นระคนด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของเธอทำให้ภารวีเผลอเม้มปากอย่างขัดเคืองใจบอกไม่ถูก เธอเรียกพี่ชายของเขาว่า ‘พี่วิศ’ อย่างสนิทสนมเสมอ แต่กับเขาแล้วเธอกลับเรียกขานห่างเหินว่า ‘คุณภารวี’ มันน่าโมโหน้อยไปซะเมื่อไร
    “ฉันอาจจะดีใจตอนที่คุณป้าบอกว่าอยากให้ฉันคบกับพี่วิศเป็นแฟน แต่เมื่อถูกปฏิเสธฉันก็พร้อมยอมรับสภาพแต่โดยดี”
    คนฟังอยากเค้นเสียงบางชนิดที่แสดงความไม่เชื่อถือออกมาดังๆ เพื่อแสดงความเยาะหยัน ทว่าจังหวะนี้เขากลับเลือกที่จะเงียบโดยไม่โต้ตอบเธอ ได้แต่เก็บกดความรู้สึกไม่พอใจอย่างลึกซึ้งไว้ในอก
    “แม้ว่าฉันจะเจ็บปวดที่ต้องทนเห็นพี่วิศแต่งงานกับผู้หญิงอื่น แต่ฉันก็ยินดีกับการแต่งงานของเขากับคุณอรนาฏอย่างจริงใจ และฉันก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้งานแต่งของพวกเขาออกมาดีที่สุด คุณคอยดูเองก็แล้วกัน”
     
    ธาวันรู้สึกอึดอัดมากเมื่อมีภารวีอยู่ใกล้เป็นเวลานานๆ เช่นนี้ เธออยากมีสมาธิกับการชมแฟชั่นโชว์ชุดแต่งงานอย่างเต็มที่ เพราะหน้าที่เธอวันนี้คือการหาคอลเล็กชั่นใหม่ดีที่สุดสำหรับพันธิตรา ไม่ใช่ต้องมาพะวักพะวนว่าภารวีจะกำลังมองเธอด้วยสายตาอย่างไร หรือเขาจะพูดอะไรขึ้นมาตอนไหน และเธอก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาใกล้ๆ จนร่างกายบังเอิญสัมผัสต้องกันบ่อยครั้งเช่นนี้ด้วย
    “ผมชอบเสื้อผ้าเซ็ตนี้นะ” ภารวีเอนกายเข้าหาคนข้างๆ เพื่อแสดงความคิดเห็นใกล้หูเธอท่ามกลางเสียงอึกทึกอื้ออึงจากรอบข้าง
    “แต่ฉันไม่ชอบ แต่ละแบบดีเทลมันดูเยอะแยะเกินไปจนรก” เธอมองนางแบบบนเวทีโดยไม่คิดจะเหลือบแลคู่สนทนา
    “เพราะคุณเป็นคนที่ชอบแต่อะไรที่เรียบง่ายน่าเบื่อน่ะสิ”
    “ใช่ ยังไงเจ้าสาวส่วนมากก็นิยมสวมเครื่องประดับชุดใหญ่ทั้งนั้น จะสวมชุดที่รายละเอียดมากมายไปทำไม”
    “แต่บางครั้งผู้หญิงสวมแค่ชุดเจ้าสาวสวยๆ กับต่างหูก็พอแล้วล่ะผมว่า”
    “ยังไงฉันก็ชอบชุดแบบเรียบๆ มากกว่า” เธอไม่อยากคล้อยตามเขาง่ายๆ
    “คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนลูกค้าทั้งหมดด้วยบรรทัดฐานของตัวเองเพียงคนเดียว”
    “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น เพียงแต่ไม่ชอบเซ็ตนี้” เสียงเธอเริ่มขุ่นเหมือนรำคาญ
    “แต่ผมว่าดีไซน์สไตล์นี้เหมาะกับคุณดีออก”
    “อะไรนะคะ”
    “เปล่า ผมว่าดีไซน์ของนักออกแบบคนนี้ใช้ได้ทีเดียว แต่ละชุดดูแล้วน่าจะทำให้เจ้าสาวมีเสน่ห์น่าสนใจมากขึ้น ดีเทลเยอะก็จริงแต่ไม่ได้รก คุณน่าจะลองไปคุยกับดีไซเนอร์ดูหน่อยนะ จดรายละเอียดเอาไว้สิ” เขาสะกิดเตือนด้วยท่าทีจริงจังไม่มีความร้ายกาจเจือปนดังเคย คนถูกสะกิดทำหน้านิ่ว มองเขาด้วยสายตาไม่วางใจกึ่งพิศวง เธออยากโต้แย้งออกไปอีกครั้ง แต่ที่สุดแล้วกลับตัดสินใจก้มลงจดชื่อดีไซเนอร์กับรายละเอียดของผลงานเอาไว้ในสมุด
    “คุณเรียนจบด้านไหนมาหรือคะ” เธอเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสุภาพเรียบง่ายโดยไม่มองหน้าเขา
    “ทำไมผมต้องบอกคุณด้วย”
    ธาวันกัดฟันข่มอารมณ์ “แล้วคุณตั้งใจจะรับช่วงพันธิตราต่อจริงรึเปล่าคะ”
    “ไม่จริง”
    “...”
    “ผมยังภาวนาให้มันรีบเจ๊งไวๆ ตามเดิมนั่นแหละ ไม่ว่ายังไงผมก็อยากเปิดผับเอาไว้ล่อสาวๆ มานั่งให้มองเล่นทุกคืนมากกว่า”
    คนฟังชักสีหน้าตึงเปรี๊ยะเมื่อหันไปมองคนพูดอย่างเก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไป ภารวีสบตาเธอด้วยรอยยิ้มเลือดเย็นตามแบบฉบับของเขา แววตาเป็นประกายสาสมใจที่เห็นเธอโกรธ
    “ตอนนี้ผมก็แค่นึกสนุก อยากเรียนรู้อะไรแปลกใหม่ไปพลางๆ ก่อนที่มันจะเจ๊งเท่านั้นแหละ”
     
    “นั่นคุณนาฏนี่นา” ภารวีออกปากเมื่อเห็นร่างบางคุ้นตาของหญิงสาวผู้หนึ่งท่ามกลางผู้มาเที่ยวชมงานมากมายรอบตัว
    ธาวันหันมองตามสายตาของเขา “เธอคงมาหาดูอะไรสำหรับงานแต่งกระมัง”
    “แสดงว่าสตูดิโอของคุณคงบริการเธอได้ไม่ครบถ้วนทุกความต้องการ คู่หมั้นพี่วิศถึงต้องมาเดินช็อปเองให้เมื่อยแบบนี้ งั้นก็แปลว่าคุณให้บริการได้ไม่ครบวงจรตามที่สัญญากับลูกค้าแต่แรก...” หญิงสาวขบฟันด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ เมื่อโดนเข้าอีกจนได้ เขาเชือดเฉือนเธอทุกครั้งที่มีโอกาสจริงๆ “ผมพูดแค่นี้ต้องโมโหด้วยเหรอ ดูทำหน้าเข้า โกรธจนแก้มแดงแจ๋เลย”
    ธาวันรู้สึกถึงอาการเย้ยหยันที่แฝงไว้ในสุ้มเสียงล้อเลียนของเขา เธอไม่ได้คิดไปเอง แต่เพราะการกระทำโดยรวมของเขาทำให้ไม่ว่าจะพูดอะไรกับเธอ หญิงสาวก็รู้สึกถึงแต่ความเป็นศัตรูจากเขาเท่านั้น
    “งั้นฉันจะตามไปดูว่าคุณนาฏมาทำไม ถ้ารู้ชัดเจนว่าคุณนาฏมาทำอะไรที่นี่ และไม่ได้เกี่ยวกับการให้บริการของพันธิตรา คุณจะได้เลิกแขวะฉันซะที”
    “ก็เลยจะสะกดรอยตามงั้นเหรอ นิสัยเสียจังเลย” เขาพูดพลางคว้าแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้แล้วรั้งให้เดินคนละทางกับทิศที่อรนาฏมุ่งหน้าไป “ทำแบบนั้นก็เท่ากับละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผมไม่ให้คุณไป คุณนาฏเขาจะมาทำอะไรก็เรื่องของเขา”
    ธาวันถลึงตามองคนที่กำลังฉุดรั้งเธอให้เดินไปด้วยอย่างโมโห แต่ไม่กล้าแสดงอาการโกรธเกรี้ยวหรือโวยวายมากเกินไปในที่ซึ่งผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้
    “ปล่อยค่ะ” เธอเตือนเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ใส่อารมณ์ลงไป ความประหม่าที่เกิดจากสัมผัสของเขาทำให้อาการวูบวาบแล่นพล่านไปทั่วอย่างน่าโมโห
    ภารวีเหลือบมองแก้มแดงปลั่งของเธอแวบหนึ่ง แทนที่จะปล่อย เขากลับเลื่อนมือจากแขนลงไปกุมมือเธอแทน “คนเยอะแบบนี้จูงมือกันเดินดีกว่านะผมว่า จะได้ไม่หลง”
    การที่เขาจงใจรูดมือตัวเองผ่านท่อนแขนของเธอด้วยสัมผัสเช่นนั้น ทำให้จังหวะการหายใจของธาวันสะดุดด้วยความตระหนก แต่คนที่ทำตัวเป็นผู้ชายฉวยโอกาสกลับแกล้งไม่รู้ไม่ชี้
    “ที่จริงคุณจะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ ขับรถฉันกลับไปสิ ฉันจะกลับแท็กซี่เอง” หญิงสาวพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุด ค่อยๆ ปัดเป่าอาการสะบัดหนาวสะบัดร้อนออกไปจากตัวโดยเร็ว “ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าคุณอรนาฏเธอมาช็อปอะไรเพิ่ม”
    ภารวีหัวเราะ “นี่คุณกังวลเรื่องที่ผมพูดจริงๆ เหรอ” ธาวันเงียบโดยไม่ตอบ “เธอคงแค่มาหาดูอะไรเพลินๆ ตามประสาผู้หญิงกำลังจะแต่งงาน ไม่เกี่ยวกับการให้บริการของคุณหรอก” เขากลับลำหน้าตาเฉย
    ธาวันถือโอกาสที่เขาเผลอดึงมือตัวเองออกจากพันธนาการของเขาทันที “ฉันจะไม่ตามคุณนาฏแล้วก็ได้ แต่จะไปดูชุดแต่งงานอีกที ถ้าคุณยังไม่อยากกลับก็กรุณาพูดจาให้มันรื่นหูกันหน่อย ฉันต้องการสมาธิในการเลือกและตัดสินใจมากกว่านี้”
    “พอเห็นคู่หมั้นพี่วิศเข้าสมาธิเลยแตกกระเจิงงั้นสิ”
    “คุณภารวี!”
    “เอาล่ะ ก็ได้ๆ ผมจะไม่พูดถึงคู่หมั้นพี่วิศอีก...” ธาวันหันมาขึงตาขุ่นเขียวใส่เขา แต่ภารวีกลับยิ้ม “และจะพยายามพูดให้เข้าหูคุณมากขึ้น”
    ส่วนคนที่กำลังถูกทั้งคู่กล่าวถึงกลับไม่ได้มองใครหรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะตรงไปยังบูธของ ‘บ้านดอกรักสตูดิโอ’ ภายในงานเว็ดดิ้งแฟร์ อรนาฏกลับมาที่งานเว็ดดิ้งแฟร์อีกครั้งหลังจากมากับสรวิศแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองวันก่อน คราวนี้เธอต้องแอบมาคนเดียวเพื่อสืบหาข้อมูลที่ค้างคาใจตั้งแต่ในวันนั้น...โดยไม่ให้สรวิศทราบ
    สองวันก่อนเธอมาเดินในงานนี้กับสรวิศ เธอบังเอิญเห็น ‘ภัคมน’ คนรักใหม่ของ ‘ชวกร’ คนรักเก่าของเธอเองที่เลิกรากันไปนานแล้วที่บูธบ้านดอกรักสตูดิโอ อรนาฏพยายามจะไม่ใส่ใจ...ทว่าก็ทำไม่ได้ เธออยากรู้จนไม่อาจทนนิ่งเฉยว่าภัคมนกับชวกรกำลังจะแต่งงานกันหรือไม่
    เธอเป็นฝ่ายถูกชวกรทิ้งอย่างไร้เยื่อใยและไม่ยุติธรรม เพราะเขาเลือกให้ความสำคัญกับ ‘งาน’ แทนที่จะเลือกคนรักอย่างเธอ ชวกรทิ้งเธอไปทำงานต่างประเทศโดยไม่แคร์ว่าเธอต้องเสียใจกับการตัดสินใจของเขามากแค่ไหน ความคุมแค้นยังคงกรุ่นอยู่ในอกของอรนาฏไม่จางหายจนกระทั่งบัดนี้ แม้ว่าจะมีคู่หมั้นแสนดีซึ่งกำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้าอย่างสรวิศอยู่แล้วก็ตามที
    “คือฉันจะแต่งงาน อยากได้รายละเอียดของที่นี่ คุณหญิงกองแก้วแนะนำมาว่าที่นี่จัดดี” เมื่อเข้าไปภายในบูธของสตูดิโอบ้านดอกรัก อรนาฏเปิดฉากทันทีอย่างไม่รั้งรอ
    “อุ๊ย! หรือคะ โธ่ ที่แท้ก็คนกันเอง คุณหญิงเป็นคนแนะนำมาด้วยอย่างนี้แล้ว รับรองค่ะว่าณัฐจะดูแลอย่างดี ราคาพิเศษจริงๆ” ‘ณัฐิรา’ ผู้จัดการฝ่ายมาร์เก็ตติ้งคนสวยยิ้มรับอย่างยินดี “กำหนดสเป็กอะไรไว้ในใจบ้างหรือยังคะ...คุณ...”
    “อรนาฏค่ะ” อรนาฏนึกไม่ถึงว่าชื่อของคุณหญิงกองแก้วจะศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นใบเบิกทางที่ดีได้ขนาดนี้ แค่จำๆ จากหน้าข่าวสังคมมา นัยว่าระยะหลังๆ มานี้บ้านดอกรักสตูดิโอมักจะเหมาจัดงานให้บรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายในแวดวงทหารเสียเป็นส่วนใหญ่
    “ฉันไม่อ้อมค้อมนะคะ งานแต่งที่อยากได้คือต้องหรู เริด ราคาไม่เกี่ยง”
    คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้ณัฐิราดีใจจนแทบจะเก็บกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่มิด “แล้วโรงแรมในใจล่ะคะมีหรือยัง มีพิธีการอะไรบ้างที่อยากให้เราจัดให้ ณัฐคงต้องขอรายละเอียดเพิ่มสักหน่อยค่ะ”
    “ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน เดี๋ยวน้า...ถ้าฉันจำไม่ผิด...เห็นแวบๆ ว่าดูเหมือนคุณภัคมนก็มาใช้บริการกับที่นี่เหมือนกันใช่ไหมคะ”
    “อุ๊ย รู้จักคุณแจ๋วด้วยหรือคะ โธ่ เสียดายจริงที่คลาดกัน เมื่อกี้คุณแจ๋วก็เพิ่งมาเซ็นสัญญากับทางเราเองน่ะค่ะ เพิ่งแยกกันเมื่อกี้เอง”
    “อ้อ...หรือคะ...เอ่อ...พอดีรู้จักคุณภัคมนผ่านเพื่อนอีกทีค่ะ ไม่ถึงกับสนิทนัก” อรนาฏไม่ได้โกหก เธอรู้จากเพื่อนที่อยู่ออสเตรเลีย รู้ว่า ‘เขา’ จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อภัคมน
    ยามที่อรนาฏรู้ว่าเขามีรักใหม่ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร จนกระทั่งมารู้ว่าเขาจริงจังถึงขนาดจะแต่งงานกัน เมื่อนั้นใจของเธอก็ร้อนจนไม่เป็นสุข อยากรู้ว่าภัคมนคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งไม่นานเลยก็ได้รายละเอียดกลับมาแม้กระทั่งรูปถ่าย แน่นอนว่าเธอจำได้อย่างแม่นยำ
    เหมือนฟ้าเล่นตลกที่เมื่อวานอรนาฏเห็นภัคมนที่บูธนี้ เห็นผู้หญิงที่สร้างปัญหาคาใจ ปัญหาที่เธอต้องการคำตอบว่าทำไมคนบ้างานอย่างชวกรถึงยอมแต่งงานด้วย หรือว่าจุดยืนของเขาจะเปลี่ยน
    ชวกร...อดีตคนรัก...รักแรกที่ยากจะลืม
    ต้องรู้ให้ได้ว่าคู่นี้จะแต่งเมื่อไร แต่งอย่างไร
    “เขาจะแต่งเมื่อไรหรือคะ” เมื่ออยากรู้ อรนาฏจึงต้องรู้ให้ได้
    “อีกหกเดือนค่ะ คุณแจ๋วก็บอกว่างบไม่อั้น เอียงๆ มาว่าจะเลี้ยงแบบค็อกเทล เห็นว่าอาจจะต้องเข้าโบสถ์เพราะเจ้าบ่าวเป็นคาทอลิก งานต้องน่ารักแน่ๆเลยค่ะ...”
    “เข้าโบสถ์!” เหมือนอรนาฏจะตกใจ เหมือนจะคาดไม่ถึง อึ้งกับสิ่งที่รับรู้ เพราะเธอ ‘เคย’ รู้มาว่าก่อนคู่แต่งงานจะได้รับอนุมัติให้ทำพิธีในโบสถ์ได้ จะต้องมาพบบาทหลวงหลายครั้งทีเดียว เพื่อให้ท่านอบรมกึ่งเทศนาถึงการใช้ชีวิตร่วมกัน สอนธรรมะและย้ำให้ไม่ทิ้งพระผู้เป็นเจ้า
    แต่เขาไม่มีเวลา นี่คือปัญหา!
    อรนาฏกะพริบตา เรียกสติของตัวเองกลับมาหลังจากเผลอใจลอยไปนิด เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
    “อุ๊ย! ตายแล้ว ฉันลืมไปว่ามีนัด...เอ่อ...ยังไงก็ขอนามบัตรคุณณัฐไว้ก่อนได้ไหมคะ แล้วจะหาเวลามาคุยอีกทีหลัง”
    “ค่ะ...ค่ะ” ณัฐิราให้นามบัตรไปอย่างงงๆ อยู่ดีๆ ลูกค้าที่เธอมุ่งหวังก็จะหนีไปเสียดื้อๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ดูจะผลุนผลันออกจากร้านอย่างกะทันหันจนหญิงสาวถึงกับต้องวิ่งตามขอของสำคัญเลยทีเดียว “เอ่อ...เดี๋ยวค่ะคุณอรนาฏ ณัฐขอนามบัตรได้ไหมคะ เผื่อจะได้แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมที่คุณอรนาฏสนใจในวันหลังที่สะดวก”
    ในที่สุดเธอก็ได้มา นามบัตรของคุณลูกค้าสำหรับสานสัมพันธ์ทำตลาดต่อ และสุดท้ายไม่ลืมที่จะถามเรื่องสำคัญ...กำหนดของวันมงคล
    “ไม่ทราบว่าคุณอรนาฏกำหนดวันแต่งงานเอาไว้หรือยังคะว่าเมื่อไร”
    “ก่อนคุณภัคมนค่ะ ส่วนวันที่ที่แน่นอน...ขอคิดอีกที”
    ช่างเป็นกำหนดวันงานที่ณัฐิรารู้สึกแปลกจริงๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×