ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร้อนลุ้นรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 54


    บทนำ

     

    ช่วยฉันที ฉันไม่อยากวนเวียนอยู่ที่นี่...ทรมานเหลือเกิน ใครก็ได้ช่วยฉันที

     

     

    ฉันรู้สึกหนาวที่ท้ายทอยแบบแปลกๆ กับเสียงเพลงที่ได้ยิน ท่วงทำนองตัดพ้อที่โหยหวนดังก้องราวกับต้นกำเนิดเสียงมาจากในหูของฉันเอง เพราะไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนในห้องขนาดสี่คูณหกเมตร ความดังของเพลงก็อยู่ในระดับเดียวกัน เพลงนี้ดังเขย่าต่อมความอดทนของฉันมาตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพักแห่งนี้ แรกๆ ยังพออดทนไหว แต่นานไปฉันยิ่งกระวนกระวายและรู้สึกทนไม่ได้

    สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือ ห้องข้างๆ จงใจส่งเพลงนี้ด่ากระทบฉัน ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ชวนให้ใครมองฉันในแง่ดี และหน้าที่การงานซึ่งตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ง่าย ที่ผ่านมาฉันวางเฉยราวกับไม่แคร์ เพราะเสียงนินทาเหล่านั้นไม่ได้ทำให้แม่อิ่มท้องและน้องได้เรียนหนังสือ แต่การวางเฉยนั้นฉันยังปล่อยวางได้ไม่หมด ฉันก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่อยากได้รับการยอมรับนับถือ ฉันปวดใจกับปมนี้ ปมที่ฉันพยายามมองข้าม

    และอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันคิดคือ ถ้าไม่ด่ากระทบฉัน ห้องใดห้องหนึ่งข้างๆ ฉันเองนี่แหละที่ดำรงตำแหน่งเมียน้อยและร้องเพลงโหยหวนรำพันถึงสามีของชาวบ้าน ซึ่งคนแบบนี้แหละที่ฉันเกลียดนักเกลียดหนา

    มนตร์อันใดมัดใจเราให้ห่วงหา ใจก็รู้ดีว่านี่แหละหนาปมด้อย คนมีภรรยาเขาหรือจะมาได้บ่อย เราก็เฝ้าแต่คอยดวงใจละห้อยคอยหา

    และในวันนี้ฉันเองก็สุดทน จึงตัดสินใจออกไปอาละวาดใส่ห้องข้างๆ แต่...เรื่องมันไม่จบ และฉันเองก็ยังคงต้องอยู่กับความงุนงงสงสัยต่อไป

     


    บทที่ 1

     

    หอพักขนาดห้าชั้นที่ได้รับการดูแลบูรณะเสียใหม่หลังจากที่ถูกทิ้งร้างมานานกว่าห้าปีตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ศศวัตยกแขนข้างหนึ่งเท้าไว้กับประตูรถที่เปิดกว้าง ส่วนมืออีกข้างขยับแว่นสายตาให้เข้าที่ ความภาคภูมิใจก่อตัวขึ้นในอกที่ตัวเองสามารถทำความต้องการสุดท้ายของมารดาให้เป็นจริงได้ แม้ว่าจะต้องทิ้งระยะเวลาให้ผ่านมานาน แต่เขาก็ทำทุกอย่างสุดความสามารถแล้ว การที่นักเรียนทุนคนหนึ่งต้องทำงานเป็นอาจารย์เต็มเวลาเพื่อใช้ทุน และใช้เวลาทั้งหมดในวันหยุดเพื่อสานต่อสิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

    งานนี้คนที่เขาต้องขอบคุณที่สุดก็หนีไม่พ้นผู้มีศักดิ์เป็นป้าแต่เขารักและนับถือไม่ต่างจากแม่แท้ๆ ถ้าไม่ได้แม่นงชีวิตเขาคงเป๋ออกนอกเส้น ไม่เป็นผู้เป็นคนได้อย่างทุกวันนี้ นับตั้งแต่เขาเสียแม่แท้ๆ ไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อห้าปีก่อนในสภาพที่น่าสังเวชใจ ใครจะคิดว่าผู้หญิงวัยห้าสิบสามปีที่ยังสะสวยพริ้งไปทั้งตัว ต้องมาจบชีวิตลงด้วยฝีมือของฆาตกรที่ตำรวจสรุปว่าเป็นโจรกระจอก และที่ทำไปทั้งหมดนั่นก็คือการฆ่าชิงทรัพย์ เขาเหลือเพียงแม่นงที่คอยให้กำลังใจ ส่งเสริมให้กลับไปเรียนต่อจนจบ เพื่อทำให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์มีความสุข

    “คุณสิงห์คะ” อรวีพนักงานที่เขาจ้างไว้คอยดูแลความเรียบร้อยของหอพักเรียกด้วยน้ำเสียงแสดงความเกรงใจ

    “มีอะไรครับ”

    “คนที่พักอยู่ชั้นสี่ ห้อง 401 402 403 พากันมาแจ้งว่าห้องข้างๆ เปิดเพลงรบกวนตอนกลางดึกค่ะ ให้เราช่วยจัดการให้ด้วย”

    คิ้วเข้มของศศวัตขมวดเข้าหากันในทันทีที่รู้ว่าห้องที่มีปัญหากันนั้นคือห้องอะไร และพื้นที่บริเวณนั้นเป็นจุดที่เขาไม่เคยย่างเท้าเข้าไปเหยียบอีกเลย นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง

    “แล้วห้องไหนที่เป็นต้นเสียงล่ะ”

    อรวีส่ายหน้าก่อนตอบ “ทุกห้องต่างก็โทษกันเองค่ะ อรเลยไม่รู้จะไปจัดการห้องไหนให้”

    เจ้าของหอพักโดยชอบธรรมเงยหน้ามองไปยังจุดอันเป็นที่ตั้งของห้องที่มีการร้องเรียนกัน หากมองจากจุดที่เขายืนอยู่นี้จะเห็นระเบียงหน้าห้องของทั้งสามห้องนั้นได้ทันที เนื่องจากหอพักแห่งนี้สร้างเป็นรูปตัวแอลตามความยาวของที่ดินซึ่งมีลักษณะยาวคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในแต่ละชั้นมีแปดห้องพัก ห้าห้องจะยาวขนานไปกับที่ดินด้านลึก อีกสามห้องที่เหลือจะหันหน้าประตูห้องมาทางด้านหน้าหอพัก ห้องที่ลงท้ายด้วย 01 ของทุกชั้นจะมีหน้าต่างด้านข้าง และหากยืนอยู่นอกห้องบริเวณริมระเบียงด้านที่มีกระถางปูนก่อไว้ปลูกไม้ประดับเล็กๆ จะสามารถมองเห็นตัวบ้านพักของเขาได้ เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้างจากหลากหลายปัจจัย เช่นกิ่งไม้บัง องศาไม่ได้ แต่ห้องที่จะมองไปยังบ้านพักของเขาได้ชัดเจนที่สุดคือห้อง 401 นั่นเอง แต่สำหรับเขาเองนั้น เขาไม่เคยมองขึ้นไปที่ห้องนั้นเลย สาเหตุก็เพราะเขายังทำใจรับไม่ได้จริงๆ

    ชั้นล่างสุดจะเป็นแหล่งรวมร้านที่คอยอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าพัก ไม่ว่าจะเป็นร้านเสริมสวย ร้านซักรีด ร้านอาหารตามสั่ง ร้านมินิมาร์ต ร้านอินเตอร์เน็ต ชั้นสองถึงชั้นห้าจะเป็นห้องพัก บริเวณลานกว้างด้านหน้าร้านรวงต่างๆ เป็นที่จอดรถซึ่งจอดได้ราวยี่สิบคัน

    “คุณหาทางจัดการให้เรียบร้อย ถ้าใครอยากย้ายห้องก็จัดการไปเลย ชั้นห้ายังว่างอยู่สองสามห้องไม่ใช่เหรอ”

    “อรลองแย็บๆ ไปแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครยอมย้าย บอกว่าให้ห้องอื่นเป็นฝ่ายย้ายกันทั้งนั้นเลย อรปวดหัวแล้วค่ะ แต่ละนางท่าทางรับมือยาก คนหนึ่งยังกับสาวไซด์ไลน์ อีกคนก็ซกมกไร้ระเบียบ อีกคนก็คุณหนูขี้วีนทำท่าว่ารวยว่าเริด รวยจริงหรือเปล่าไม่รู้ ทำไมมาอยู่หอ”

    “อร” อาจารย์หนุ่มปรามเสียงเข้ม “อย่านินทาลูกค้า ผมไม่ชอบ”

    “เอ่อ...” ผู้รับหน้าที่ดูแลหอหน้าเจื่อนไป “อรไม่ได้นินทานะคะ แค่รายงานให้คุณสิงห์ทราบ”

    “รายงานโดยไม่ต้องวิจารณ์ได้ไหม ที่คุณพูดเมื่อกี้เหมือนนินทามากกว่า” ชายหนุ่มไม่อยากตำหนิมากกว่านี้จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้ว รปภ. คนที่เพิ่งรับเข้ามาล่ะ มาถึงหรือยัง”

    “มาแล้วค่ะ ท่าทางแข็งขันเชียว นี่ก็เดินสำรวจรอบหอพักอยู่นะคะ แต่อรกำชับแล้วว่าไม่มีธุระอะไรไม่ต้องขึ้นไปบนหอ ไม่อยากให้มีคนมาร้องเรียนอีกว่ายามขึ้นไปแอบส่องตามห้องนั้นห้องนี้”

    “สำหรับคนนี้ต้องรบกวนอรแจ้งผู้เช่าด้วยว่าเขาเป็นหัวหน้าหน่วย รปภ. มีหน้าที่ต้องเดินสำรวจทั้งรอบบริเวณหอ รวมถึงพื้นที่บนอาคารด้วย”

    “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวอรจัดการให้”

    ศศวัตเห็นแววตาเป็นประกายระยับของลูกจ้างแล้วลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไหม เขาไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นสมภารกินไก่วัด จึงวางตัวห่างเหินไม่ให้ความสนิทสนมด้วยอย่างที่อีกฝ่ายกำลังพยายาม ครอบครัวของอรวีกับแม่ของเขามีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอดในฐานะลูกหนี้เจ้าหนี้ เขาเองก็เห็นอรวีมาตั้งแต่เล็ก ถือว่าครอบครัวของหล่อนเป็นคนพื้นเพแถวนี้เลยก็ว่าได้ ตั้งแต่พื้นที่ในเขตสายไหม-วัชรพลยังมีเพียงทุ่งนาและทางลูกรังแดงๆ

    “มีอะไรก็ไปทำเถอะ ผมจะไปหา รปภ. หน่อย”

    “ค่ะ”

     

    ณัฐนรีย์กระชับไมโครโฟนในมือ ริมฝีปากบางแต่มีรอยหยักลึกเผยอนิดๆ คลี่ยิ้มให้บรรดาชายหนุ่มที่รุมล้อมรอบกายเป็นวงกว้าง ส่งเสียงหวานบรรยายสรรพคุณความแรงเร้าใจของรถยนต์ แต่ราวกับว่าความแรงของรถยนต์จะแรงสู้คนบรรยายไม่ได้ แสงแฟลชแวบวาบเหล่านั้นจึงเล็งมาที่พริตตี้คนสวยเสียมากกว่ารถยนต์สุดหรู เธอเยื้องย่างไปตามคิวที่ซักซ้อมมา และมืออาชีพอย่างณัฐนรีย์ก็สามารถดึงดูดสายตาทุกคู่อย่างท้าทาย

    จบงานไปอีกวัน การันตีได้ว่าวันนี้หญิงสาวจะมีเงินส่งไปให้น้องสาวลงทะเบียนเรียนได้ทันเวลา

    “แนท” เสียงเรียกที่คุ้นหูทำให้ณัฐนรีย์ตัวชาดิก “หันมามองผมหน่อยสิ”

    เพราะเธอยังคงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม ชายร่างสูงจึงเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้ามายืนตรงหน้าเธอเสียเอง

    “คุณหลบหน้าผมทำไม” ชาญวิทย์ถามพร้อมเอื้อมมือมาคว้ามือเย็นเฉียบของเธอขึ้นมาเกาะกุม

    ณัฐนรีย์กัดริมฝีปากที่สั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ไว้แน่น ถ้าเธอต้องพูดอะไรสักคำตอนนี้ เธอรู้ดีว่าเสียงของเธอจะสั่นจนจับใจความอะไรไม่ได้

    “แนท” มือหนาของอีกฝ่ายออกแรงบีบมากขึ้น “ทำไมเราต้องจบกันแบบนี้”

    คำถามนั้นทำเอาพริตตี้สาวกระบอกตาร้อนผ่าว

    “ชาญ...คุณก็รู้ว่าทำไมเราถึงต้องจบแบบนี้ แล้วจะมาถามแนทให้แนทเจ็บมากขึ้นไปอีกทำไม”

    “ผมถึงได้บอกให้คุณอดทน สักวันผมจะทำให้คุณแม่เข้าใจ”

    ใบหน้าเล็กเรียวส่ายไปมา ดวงตาคมกล้าอ่อนแสงลงต่างไปจากที่ชายหนุ่มคุ้นตา แววตาของคนที่สู้คนหายไป เหลือเพียงร่องรอยท้อแท้และยอมให้แก่ความพ่ายแพ้

    “แม่ชาญไม่มีวันเข้าใจแนท และแนทก็บอกแล้วว่าแนทไม่มีความอดทนพอ”

    เหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่เธอได้พบกับแม่ของคนรักทำให้รู้ดีว่าทนต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น วันนั้นเป็นวันรวมญาติของชาญวิทย์ เขาดื้อดึงที่จะพาเธอไปร่วมวงศาคณาญาติด้วย แม่ของคนรักไม่รับไหว้เธอ ไม่ปรายตามามองเธอ และสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เธอตัดสินใจที่จะตัดใจจากคนรักคือแม่ของชาญวิทย์ถึงกับประกาศบนเวทีว่าลูกชายคนเดียวของเธอโสดสนิท รวมทั้งยังทาบทามลูกสาวของเพื่อนที่มาในงานให้ลูกชายตัวเองโดยไม่สนใจเลยว่าณัฐนรีย์กำลังยืนเคียงข้างชาญวิทย์คนที่เธอมีใจให้ และเธอก็หยิ่งในศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่พยายามอดทนกับการฉีกหน้าตรงๆ แบบนั้นอีกต่อไป

    “ผมไม่ยอมนะแนท เราจะจบแบบนี้ไม่ได้” มือขาวที่ใหญ่กว่ามือของเธอแต่กลับนุ่มไม่ต่างกันด้วยไม่เคยต้องทำงานใดๆ คู่นั้นบีบกระชับข้อมือทั้งสองข้างของณัฐนรีย์

    “ปล่อยแนทนะชาญ แนทกำลังทำงาน ถ้าหัวหน้ามาเห็นแนทจะเดือดร้อน”

    “คุณทำงานเสร็จแล้วนี่ ใครหน้าไหนจะมาว่าคุณได้” ลูกชายคนเดียวของเศรษฐินีพูดอย่างดื้อดึงและเอาแต่ใจ น่าแปลกที่เมื่อก่อนณัฐนรีย์ไม่รู้สึกรำคาญ แต่ในวันที่ตัดสินใจเลิกราหลังคบหาดูใจกันมาเป็นระยะเวลาเกือบปี เธอกลับพบว่าท่าทางเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกอย่างไรได้บ้าง

    “ถ้าพูดไม่รู้เรื่องแนทก็จะไม่พูดด้วย หลีกไป แนทจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้าน”

    หญิงสาวสะบัดข้อมือหวังให้พ้นจากการเกาะกุม บริเวณด้านหลังเวทีไม่ใช่บริเวณที่จะมีผู้คนมากมายก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเสียเลย การที่มายื้อยุดฉุดกระชากกันแบบนี้ย่อมไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของพริตตี้อย่างเธอแน่นอน

    “ผมจะไปส่ง”

    “ไม่” ณัฐนรีย์ตอบอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ชาญวิทย์ยังไม่รู้ว่าเธอตัดสินใจย้ายหอพักหนีจากชานเมืองฝั่งใต้ไปอยู่ชานเมืองฝั่งตะวันออกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเหตุผลในการย้ายก็คือไม่ต้องการที่จะพบกับชายที่ยืนตรงหน้าอีกต่อไป คนอย่างเธอเป็นคนแข็ง เมื่อตัดสินใจแล้วนั่นหมายความว่าจะไม่มีวันย้อนกลับหลังอีก

    “แนท” เสียงคนเคยรักเข้มขึ้นอย่างเช่นคนที่มักได้อะไรตามใจเสมอ เมื่อมีใครขัดใจย่อมอดรนทนไม่ได้นาน แม้เขาจะมีท่าทางอ่อนโยน นุ่มนวลอย่างคนที่ถูกเลี้ยงดูแบบใกล้ชิดชนิดที่ทำอะไรเองไม่ค่อยเป็น แต่ถ้าถูกขัดใจขึ้นมาก็จะมีท่าทีเช่นที่เห็น แต่กิริยานี้มียกเว้นกับคนคนหนึ่งที่ชาญวิทย์ไม่กล้าหือด้วย คนคนนั้นก็คือมารดาของเขาเอง

    “ขอแนทไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน” ณัฐนรีย์คิดว่ายิ่งยื้อกันไปมาอย่างนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่องานของเธอแน่ จึงหาทางเลี่ยง เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จค่อยหาทางหนีหน้าไป

    “ได้ แต่ผมจะรอคุณอยู่หน้าประตู ผมรู้ว่าคุณจะพยายามหนี”

    ฝ่ายหญิงถอนหายใจเฮือก แปลกที่พอคิดว่าไม่รักก็กลับรู้สึกรำคาญได้ง่ายดาย ไอ้ที่รู้สึกหัวตาร้อนผ่าวเมื่อครู่กลับหายไปสิ้น นิสัยเข้มแข็งจนรั้นของเธอถูกปลูกเพาะติดตัวมาตั้งแต่เด็ก หลังจากพ่อหายหน้าไปกับผู้หญิงใหม่จนมาได้ข่าวอีกครั้งว่าเสียชีวิตไปแล้ว ชีวิตเธอเหลือเพียงแม่และน้องๆ เธอถูกสอนว่าต้องช่วยแม่ดูแลน้อง อายุแค่เพียงสิบสองเธอก็รู้จักช่วยแม่หาเงิน ทั้งเป็นลูกจ้างตามร้านอาหารและรับจ้างทำความสะอาดบ้านหลังเลิกเรียน ณัฐนรีย์ทั้งเรียนและทำงานควบคู่กัน จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจึงย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยเปิดซึ่งสามารถหางานทำได้ด้วย งานแรกที่ณัฐนรีย์เลือกคือเป็นพนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อ และที่นั่นเองแมวมองซึ่งเป็นลูกค้าในร้านก็ชักชวนให้เธอเข้าสู่วงการพริตตี้ขายรถยนต์

    ก้าวแรกที่เข้ามาในแวดวงนี้ งานของเธอเป็นเพียงงานเล็กๆ ประเภทยืนยิ้มอยู่ด้านหลังรุ่นพี่ พยักหน้ารับ ผายมือให้ชมรถไปเรื่อยเปื่อย พอชั่วโมงบินสูงขึ้นก็เริ่มจับไมค์บรรยายสมรรถนะรถยนต์ ซึ่งเป็นงานที่ได้เงินมากขึ้นตามไปด้วย แต่ใครก็รู้ว่างานแบบนี้ไม่ใช่งานที่มั่นคง ไม่แน่นอน และไม่ได้มีงานตลอดเวลา อัตราการแข่งขันก็สูง เด็กใหม่เกิดขึ้นทุกวันพอๆ กับแวดวงดารา ต่อให้เป็นรถยนต์ยี่ห้อเดิมก็ใช่ว่าจะเรียกใช้บริการกันทุกครั้งไป ก่อนจะได้งานณัฐนรีย์ก็ต้องผ่านการแคสติ้งผ่านการสัมภาษณ์งานทุกจ็อบ ซึ่ง ณ ขณะนี้ถือเป็นโชคดีที่เธอยังขึ้นหม้อ และโดนเรียกตัวมาทำงานเสมอๆ เธอจึงถือคติน้ำขึ้นให้รีบตัก ช่วงนี้โหมทำงานไปก่อน เก็บเงินให้ได้เยอะๆ พอเป็นทุนรอนให้ตัวเองไว้ตั้งตัว อาจจะมีกิจการเล็กๆ ไว้ดูแล เพราะการที่จะไปเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายๆ ยิ่งเธอไม่มีประสบการณ์ในการทำงานประจำด้วยอย่างนี้

    “พี่ลี่” ณัฐนรีย์เรียกเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันบ่อยครั้ง “แนทขอความช่วยเหลือหน่อย”

    “อะไรเหรอ ถ้าเรื่องเงินพี่บอกเลยว่าไม่มีทาง เพราะตอนนี้พี่ก็กรอบ”

    พริตตี้รุ่นน้องหัวเราะออกมาได้ก่อนเข้าประเด็น “ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกพี่ แนทอยากจะหนีผู้ชายคนหนึ่ง เค้าดักรออยู่หน้าห้อง แนทอยากให้พี่ลี่ช่วยออกไปถามเค้าว่ามาทำอะไร ถ้าเค้าบอกว่ามารอแนทก็ช่วยบอกว่าแนทหนีออกไปทางประตูหลังแล้ว”

    “อ้าว...แล้วห้องนี้มันมีประตูหลังที่ไหนกันล่ะ”

    “ก็ไม่มีไงพี่” คนออกอุบายยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะร่ายแผนการของตัวเองให้ผู้ร่วมมือได้เข้าใจ “แนทแค่อยากให้เขาเข้าใจอย่างนั้นแล้วเลิกรอแนทสักทีไง”

    ลีลาถอนหายใจเฮือก มองหน้าคนที่คิดประหลาดกว่าคนอื่นตรงหน้า “พี่ล่ะงงกะแกจริงๆ นะแนท มีผู้ชายตามตื๊อตั้งเยอะ ไม่เอาใครสักคน รู้ก็รู้ว่าจะเป็นผลไม้สุกคาต้นไม่กี่วันนี้แล้ว”

    “แหม...เกินไป แนทยังไม่หง่อมขนาดนั้น เพิ่งจะยี่สิบห้าเอง”

    “เล่นตัวอะไรนักหนา แต่...เอ แนทมีแฟนไม่ใช่เหรอ ที่หล่อๆ หน้าใสๆ ดูคุณชายๆ หน่อยใช่มั้ย” รุ่นพี่ทำท่านึกขึ้นมาได้ เพราะปกติณัฐนรีย์ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใครมากนัก

    “เคยมี” อีกฝ่ายตอบเร็วๆ “และคนนี้แหละพี่ลี่ที่แนทอยากหนี”

    “หือ” ลีลาเลิกคิ้วสูง “มีคนใหม่เลยหนีคนเก่าเหรอ”

    “ไม่มีใครใหม่ใครเก่าทั้งนั้นแหละพี่ เอาเป็นว่าช่วยแนทหน่อย แล้วเจอกันคราวหน้าแนทจะพาไปเลี้ยงกาแฟ โอเคนะคะ”

    รุ่นพี่ยักไหล่เป็นอันจบบทสนทนา รู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่คิดจะเล่าอะไรให้ฟังมากกว่านี้

    “ก็ได้ ถือว่าแนทติดหนี้พี่ครั้งหนึ่งนะ”

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×