ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
บทนำ
ฉันรับรู้ได้ว่า ‘ภารวี’ ไม่ชอบหน้า เพราะเขาแสดงออกอย่างเปิดเผยแทบทุกครั้งที่เจอกัน สายตาที่เขามองมาก็เหมือนจะเต็มไปด้วยแววจับผิดทุกฝีก้าว หากฉันก็ยังมิอาจทราบแน่ชัดจนกระทั่งบัดนี้ว่าเหตุผลของเขาคืออะไร ฉันครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มากว่าหนึ่งเดือนเต็ม...นับตั้งแต่ที่ภารวีกลับจากต่างประเทศ มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันภายใต้คฤหาสน์ ‘ภวรัญชน์’
ฉันพยายามสรุปเอาเองว่าการทำตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างไร้เหตุผลของภารวีเกิดจากความเป็นคุณหนูลูกคนเล็กที่ชอบทำตัวมีปัญหามาตั้งแต่ยังแบเบาะจนติดเป็นนิสัยเสียๆ อิจฉาพี่ชายที่เหนือกว่าทุกด้าน ไม่พอใจที่พี่ชายได้รับความไว้วางใจทุกอย่างจากบิดามารดาเสมอมา...ผิดกับตัวเขา ยิ่งเมื่อกลับจากต่างประเทศมาพบว่าฉันซึ่งเป็นใครจากไหนก็ไม่รู้ แต่กลับได้ตำแหน่งคนโปรดของคุณหญิง ‘พรพนิต’ ผู้เป็นมารดาไปครอง ภารวีจึงเกิดอาการขวางหูขวางตา เมื่อหันไปทางไหนก็มีแต่เรื่องน่าหงุดหงิด ลงกับใครไม่ได้จึงเลือกที่จะตั้งป้อมรังเกียจฉันตั้งแต่แรกพบ พูดง่ายๆ ก็คือฉันกลายเป็นเหยื่อที่เขาเลือกไว้เชือดแก้กลุ้ม
“สรุปว่าคุณแม่ตั้งใจจะจับพี่วิศคลุมถุงชนกับ...แทน งั้นใช่ไหมครับ” คนพูดปรายตามองมาทางฉันเพียงแวบเดียว ท่าทางราวกับไม่อยากเอ่ยชื่อฉันออกมาให้เสนียดปากกระนั้น ฉันจึงได้แต่แอบทำหน้าเบ้อยู่ในใจ ไม่ว่าอย่างไรต่อหน้าคุณหญิงป้าผู้มีเมตตาแล้ว ฉันก็ยังอยากวางตัวให้สมกับเป็นกุลสตรีอยู่เสมอ
เวลานี้ฉันรู้สึกประหม่าและอื้ออึงในอก แต่ตัดสินใจนั่งเงียบดุจไม่รู้สึกรู้สาต่อวาจาสามหาวของเขา รวมถึงคำพูดหว่านล้อมของคุณหญิงป้าเมื่อสักครู่ที่เกลี้ยกล่อมให้ฉันกับพี่วิศ หรือ ‘สรวิศ’ คบหากันฉันคนรัก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ผิดกับสิ่งที่ภารวีเพิ่งสรุปให้ฟังเลย คุณหญิงป้าออกปากอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการฉันมาเป็นสะใภ้คนโต ซึ่งมันคงทำให้ภารวีแทบกรี๊ดสลบเพราะรับไม่ได้อย่างรุนแรง
“อย่าพูดแบบนั้นสิ แม่แค่อยากให้สองคนลองคบหากันดูก่อน ศึกษานิสัยใจคอกันสักพักหนึ่ง...”
“แต่ปกติพี่วิศกับแทนเขาก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” ภารวีขัดขึ้นหน้าตาเฉย “ก็อยู่บ้านหลังนี้ด้วยกันมาตั้งสองปี ถ้ามันจะใช่...ก็คงเป็นไปนานแล้วล่ะครับคุณแม่”
“นี่เราอย่ามาชักใบให้เรือเสียได้ไหมตาวิว” คุณหญิงป้าเอ็ด
“แต่ที่วิวพูดมาก็ถูกนะครับ สำหรับผมแล้วยังไงก็คงรู้สึกกับแทนแค่น้องสาวเท่านั้น”
จบคำพูดของพี่วิศ ฉันก็แทบจะสาบานกับตัวเองว่ามองเห็นแววเยาะหยันปรากฏขึ้นในดวงตาคมกริบของภารวีวูบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเบนสายตาจากฉันไปมองทางอื่น นั่นมันทำให้ฉันเกิดอาการรุมร้อนในอกได้มากกว่าคำพูดตัดรอนของพี่วิศ...ผู้ชายที่ฉันแอบชอบอยู่เงียบๆ มานานเสียอีก แต่สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือพยายามนั่งสงบปากสงบคำเอาไว้ สวดมนต์และนับเลขในใจอย่างข่มกลั้นอารมณ์
“คุณแม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่าพี่วิศต้องชอบด้วยไม่ใช่หรือครับ ปกติคุณแม่ก็ออกจะสมัยใหม่แท้ๆ ทำไมอยู่ๆ ถึงคิดจับลูกชายคลุมถุงชนแบบนี้ มันโบราณไปแล้วมังครับ”
“เอ๊ะ! ตาวิวนี่ แม่บอกว่าไม่ใช่คลุมถุงชนยังไง ที่ผ่านมาพี่วิศกับแทนเขาอยู่บ้านเดียวกันก็จริง แต่ก็แทบไม่ได้สนิทสนมหรือเสวนากันเป็นการส่วนตัว แม่เลยอยากเปิดโอกาสให้ทั้งสองคนลองคบหากันแบบแฟนดูหน่อยเท่านั้นเอง เผื่อว่าจะชอบพอกันได้จริงๆ”
“เป็นเพราะคุณแม่อยากมีหลานและคิดถึงคุณพ่อมากเกินไปรึเปล่าครับ”
คุณหญิงป้าถึงกับชะงักเล็กน้อย ใบหน้าระเรื่อเพราะคำพูดไม่อ้อมค้อมของลูกชายคนเล็กจี้ใจดำอย่างจัง “เราน่ะเงียบไปเลยตาวิว ทานข้าวไปเฉยๆ ดีกว่า”
“แต่แทนที่จะมาจับคู่ให้เขาตามอำเภอใจ ผมว่าคุณแม่น่าจะถามพี่วิศดูก่อนไม่ดีหรือครับว่าตอนนี้เขามีแฟนรึยัง หรือว่ามองๆ ใครไว้บ้างรึเปล่า เผื่อว่าคุณแม่จะมีทางได้หลานมาโดยไม่ต้องฝืนใจใครให้ลำบาก” ภารวียังคงพูดในสิ่งที่คิดออกมาดังเดิม ซึ่งคำพูดเขาก็ตรงใจฉันอยู่เหมือนกัน
“เท่าที่แม่รู้ตอนนี้วิศยังไม่ได้คบกับใครจริงจังเลยนี่นา ตั้งแต่เลิกกับไอริณเมื่อปีที่แล้วก็ไม่เห็นวิศควงใครใหม่เลยไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงป้าตะล่อมน้ำเสียงละมุนอย่างใจเย็น มองพี่วิศด้วยสายตาอบอุ่นแต่แฝงไว้ซึ่งแววกระตือรือร้นชัดเจน
ปกติแล้วท่านไม่ใช่แม่ที่ชอบยุ่งวุ่นวายหรือคอยสอดส่องในเรื่องส่วนตัวของลูกๆ แต่จะคอยเอาใจใส่อยู่ห่างๆ เท่านั้น ทว่าอย่างน้อยๆ คุณหญิงป้าก็คงรู้แน่ว่าลูกชายคนโตอย่างพี่วิศว่านอนสอนง่ายและพูดจารู้เรื่องกว่าลูกชายคนเล็กผู้ดื้อรั้นเกเรเป็นนิจแบบภารวี
“สองปีมานี้แม่ใกล้ชิดกับแทนจนรู้นิสัยใจคอกันหมด บอกตามตรงว่าแม่คงเสียดายมาก...ถ้าปล่อยให้แทนไปเป็นสะใภ้บ้านอื่น อีกอย่างแม่ก็เห็นว่าวิศกับแทนเข้ากันได้ดี ลักษณะนิสัยใจคอก็น่าจะอยู่กันได้ยาว แทนเองเขาก็ยอมรับกับแม่แล้วว่าไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรพ่อวิศ ตอนนี้พ่อวิศอาจจะรู้สึกกับแทนเป็นน้องเป็นนุ่ง แต่ถ้าลองคบกันให้ลึกซึ้งอีกหน่อย แม่เชื่อว่ายังไงซะพ่อวิศก็ต้องเห็นด้วยกับแม่”
“สรุปก็คือคุณแม่คิดเอาเองว่าในเมื่อคุณแม่ถูกใจ พี่วิศก็ต้องรู้สึกแบบเดียวกัน”
“เลิกสรุปคำพูดแม่ซะทีเถอะตาวิว เรานี่มันเหลือเกินจริงเชียว เดี๋ยวเถอะ” คุณหญิงป้าทำตาเขียวอย่างโมโห หากลูกชายกลับยิ้มเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาว “พ่อวิศเป็นลูกแม่ ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าคนอย่างพ่อวิศจะอยู่กับใครได้บ้าง เราก็เหมือนกันตาวิว ตอนนี้อยากเจ้าชู้เสเพลยังไงแม่ไม่ว่า แต่ตอนหาเมียอย่านึกว่าแม่จะปล่อยให้เลือกเองตามใจชอบ”
ภารวีหัวเราะ “เหมือนที่กำลังหาเมียให้พี่วิศตอนนี้ใช่ไหมครับ”
คนเป็นแม่ค้อนอีกขวับใหญ่ “เอาล่ะ แม่จะพูดตรงๆ เลยแล้วกันว่าแม่กลัวพ่อวิศจะไปคว้าผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาทำเมีย แล้วทำให้มีปัญหาครอบครัวตามมาไม่หยุดหย่อนเหมือนๆ บ้านอื่น เท่าที่แม่เห็นมาก็ไม่มีใครจะดีไปกว่าแทน แม่ถึงอยากได้แทนมาเป็นสะใภ้ แทนเขาเพียบพร้อมทุกอย่าง ถ้าพ่อวิศแต่งงานกับแทนแม่เชื่อว่าครอบครัวจะมีความสุข งานการก็จะไปได้ดีกว่าคนอื่น ไม่ต้องมีปัญหาจุกจิกคอยกวนใจไม่จบสิ้น แม่เองก็จะได้หมดห่วง”
ภารวีฟังแล้วถึงกับหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ แม้ว่าสุ้มเสียงนั้นจะมิได้แสดงความเยาะหยันชัดแจ้ง ทว่ามันทำให้ฉันคอแข็ง หน้าชาและร้อนผ่าวไปหมด
“ต้องบรรยายสรรพคุณหลอกล่อกันขนาดนี้เลยหรือครับคุณแม่ ผมว่าเสียแรงเปล่า ผู้ชายเราแต่งงานเพราะอยากได้เมียนะครับ ไม่ใช่ว่าต้องการแม่บ้านหรือเลขาฯ ส่วนตัว จะได้เลือกเมียเพราะเหตุผลน่าเบื่อพวกนั้น” ภารวีโต้แย้งแทนพี่ชายอย่างไม่คิดจะไว้หน้าคนที่ถูกพาดพิงถึงอย่างฉันเลยแม้แต่น้อย
คุณหญิงป้าชำเลืองมาที่ฉันอย่างลำบากใจ ฉันจึงฝืนยิ้มให้ท่านเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร “คำว่า ‘เมีย’ ในความหมายของแม่กับของวิวคงต่างกันมากเกินไปจริงๆ”
น้ำเสียงตำหนิติเตียนของมารดาทำให้ภารวีหัวเราะเสียงดังกังวาน
“คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอกมังครับ ถึงคุณแม่จะคิดว่าผมเสเพล ชอบเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า แต่ผมก็ยังเป็นแค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวธรรมดาๆ คือถ้าจะแต่งงาน...ก็ต้องเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับเป็นแม่ของลูกมากที่สุด ถึงจะไม่เน้นรายละเอียดปลีกย่อยเท่าคุณแม่ก็เถอะ แต่ว่า...ยังไงเราก็ยังอยากเลือกของเราเอง ไม่ใช่ให้ใครมาเลือกให้ ใช่ไหมครับพี่วิศ”
“ผมคงต้องขอเรียนคุณแม่ตามตรง” ในที่สุดพี่วิศก็เอ่ยขึ้นพลางขยับตัวด้วยสีหน้าอึดอัดใจ ทุกคนที่โต๊ะอาหารจึงหันมองที่เขาเป็นตาเดียว “ที่ผมต้องปฏิเสธคำขอร้องของคุณแม่วันนี้ไม่ใช่เพราะผมไม่ชอบแทนหรืออะไร แต่เป็นเพราะผมมีคนที่กำลังคบกันอยู่แล้ว เรื่องของผมกับแทนยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอกครับคุณแม่”
บทที่ 1 เธอคืออริร้าย
1
ภารวีรู้สึกสาแก่ใจอย่างมากกับการที่ธาวันโดนสรวิศปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเมื่อถูกมารดาหว่านล้อมให้ทั้งคู่คบหากันในฐานะคนรัก แต่ผ่านมาแล้วสองสัปดาห์ จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ยังไม่วายหงุดหงิดติดขัดในใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
และขณะที่เขานอนพลิกนิตยสารเล่มหนึ่งอยู่บนโซฟายาวในห้องนั่งเล่นพลางคิดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่นั้นเอง ธาวันก็ผลักประตูเข้ามาข้างใน ทว่าทันทีที่เห็นเขาเข้า เธอก็ชะงักอยู่แค่ประตูก่อนจะหันหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ภารวีปานิตยสารที่อยู่ในมือไปยังหน้าโทรทัศน์อย่างหัวเสีย ขยับลุกขึ้นนั่งพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนพนักเก้าอี้นวมโดยแรง กัดกรามกำหมัดแน่น บอกตัวเองให้ข่มใจและนั่งอยู่อย่างนั้นต่อไปก่อน เพราะเกรงว่าถ้าขืนลุกขึ้นแล้วเขาคงอดใจวิ่งตามไปกระชากผู้หญิงที่เพิ่งสะบัดหน้าหนีไปจากประตูเมื่อสักครู่ไม่ไหวเป็นแน่
ท่าทีของธาวันทำให้ในอกเขารุมร้อนราวมีไฟเผา เธอทำเหมือนเขาเป็นตัวเชื้อโรคที่เข้าใกล้ไม่ได้ แต่ว่า...ต่อให้เขาทำตัวร้ายกาจกับเธอขนาดไหน เธอก็ไม่มีสิทธิ์ทำท่าทางเช่นนั้นกับเขา ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านของเขา เขาย่อมมีสิทธิ์นั่ง นอน ยืนอยู่ตรงไหนก็ได้ตามแต่ใจตน และเมื่อเห็นเขาเธอก็ไม่สมควรสะบัดหน้าหนีโดยไม่ทักทายเช่นนั้น ปฏิกิริยาของเธอทำให้เขารู้สึกประหนึ่งตนเป็น ‘ส่วนเกิน’ ที่น่ารังเกียจของบ้านหลังนี้...อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
เรียบร้อยน่ารักงั้นเหรอ ฮึ! โกหกทั้งเพ ภารวีบริภาษในใจอย่างเดือดดาล ธาวันก็แค่สร้างภาพ แสร้งทำตัวดีๆ ต่อหน้ามารดากับพี่ชายของเขาเพราะหวังจะจับพี่ชายเขาเท่านั้นเอง พอเขาทำท่าว่ารู้ทันในข้อนี้เธอก็เลยพานมาเกลียดขี้หน้าเขา สมน้ำหน้านักที่พี่ชายเขามีคนรักอยู่แล้วทำให้แผนการของเธอล้มเหลว
เฮอะ! ทำเป็นยอมรับได้โดยดีไม่มีข้อโต้แย้ง...แต่แท้ที่จริงป่านนี้ธาวันคงกำลังคิดหาทางช่วงชิงสรวิศจากคนรักของอีกฝ่ายอยู่เป็นแน่แท้
หกสัปดาห์นับแต่กลับจากอเมริกา เขากับธาวันแทบไม่เคยคุยกันดีๆ เลย เขาจับได้จากสายตาที่มองมาว่าธาวันมีอคติกับเขาอย่างรุนแรง และเธออาจจะกำลังนึกเหยียดหยามว่าส่วนเกินอย่างเขาไม่สมควรจะอยู่เกะกะในบ้านนี้อีกต่อไป เขาแน่ใจว่าหาใช่แค่ร้อนตัวไปเอง เพราะเห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้เธอเพียรหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขาทุกรูปแบบ แต่ทว่า...นั่นกลับยิ่งเป็นการยั่วยุให้เขาอยากตามหาเรื่องระรานเธอไม่หยุดหย่อน
เพราะความขุ่นเคืองใจต่อการกระทำของธาวันที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในอกไม่เสื่อมคลาย ทำให้วันต่อมาภารวีรีบติดต่อถึงสถาปนิกทันที ซึ่งชายหนุ่มได้เลือกสถาปนิกสำหรับมาทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนสถานที่ ‘พันธิตรา’ เว็ดดิ้งสตูดิโอซึ่งเป็นกิจการที่มารดามอบให้ธาวันดูแลอยู่ในปัจจุบัน ให้กลายเป็นผับหรูตามความประสงค์ของตนไว้แล้ว ทั้งที่ตอนแรกเขาเกือบใจอ่อนและบอกเลื่อนสถาปนิกออกไปก่อน เนื่องจากลึกๆ ในใจเขาเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายพันธิตราแม้แต่น้อย แต่มาตอนนี้เขากลับยิ่งต้องการเร่งให้สถาปนิกเข้ามาดูสถานที่ให้เร็วขึ้นอีก
ภารวีแสดงเจตนารมณ์ต่อทุกคนอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการอาคารสถานที่ของพันธิตราเพื่อนำมาสร้างสถานบันเทิงยามราตรี แม้ว่าคุณหญิงพรพนิตจะไม่ยอมรับฟัง แต่ภารวีไม่สนใจ เขาตั้งใจจะตามระรานพันธิตราจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“ฉันอยากให้นายเข้ามาตอนช่วงต้นๆ เดือนเลยได้ไหม”
“อ้าว ไหนว่าอีกนานกว่าจะให้ฉันเข้าไปดู” ‘อนล’ สถาปนิกหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนกันกับเขาเอ่ยอย่างสงสัย
“นายเข้ามาต้นเดือนหน้านี่ก็ถือว่านานเกินไปด้วยซ้ำ ฉันอยากให้นายเข้ามาวันนี้พรุ่งนี้เลยถ้าเป็นไปได้”
“ทำไมอยู่ๆ ถึงเกิดอยากเร่งขึ้นมา ไหนว่านายยังตกลงกับคุณหญิงแม่ไม่ได้”
“ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว เอาเป็นว่านายว่างเมื่อไรก็ให้รีบโทรบอกฉันเลยแล้วกัน มาเร็วได้เท่าไรยิ่งดี”
อนลทำเสียงงึมงำเบาๆ เหมือนยังไม่คลายสงสัย หากก็มิได้ออกปากซักถามใดๆ ให้มากความกว่านั้น สถาปนิกหนุ่มตอบตกลงง่ายๆ แล้ววางสายไป ทิ้งให้ภารวีจมอยู่กับความคิดมาดหมายอย่างร้ายกาจของตนเพียงลำพัง เขาไม่ได้อยากขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายที่รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้ แต่ธาวันท้าทายเขาเอง ยิ่งเธอออกอาการต่อต้านหรือแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับเขามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งตอบโต้เธอรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ธาวันก็ไม่มีสิทธิ์อวดดีกับเขา ไม่ว่าจะด้วยท่าทีเช่นไรก็ตาม
2
ปกติแล้วฉันจะพยายามหลบเลี่ยงภารวีอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ฉันก็ทำได้แนบเนียนและพยายามรักษามารยาท แต่บางครั้งเมื่อเผชิญหน้ากับเขาโดยไม่ทันตั้งตัวก็ไม่ทันคิดจนเผลอแสดงท่าทีไร้มารยาทไปบ้าง เช่น...สะบัดหน้าเดินหนีเขาซึ่งๆ หน้า ซึ่งมันคงทำให้ภารวีเกลียดฉันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
หลังจากฉันมารับหน้าที่ผู้ช่วยส่วนตัวของคุณหญิงป้าได้สองปี สามีของท่านซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยของกระทรวงหนึ่งในขณะนั้น...ก็มาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกตอนไปดูงานในต่างจังหวัดกับคณะทำงาน คุณหญิงป้าจึงมอบหน้าที่ดูแล ‘พันธิตราเว็ดดิ้งสตูดิโอ’ ธุรกิจให้บริการเรื่องการแต่งงานแบบครบวงจรให้กับฉัน โดยตัวของคุณหญิงป้าเองได้หันไปช่วยพี่วิศจัดการกับ ‘บริษัทเอซแคปิตอลดีวีลอบเม้นท์’ ธุรกิจอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีก...อย่างเต็มตัวแทนสามีที่เพิ่งเสียชีวิต
ส่วนภารวีที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศก็คงต้องใช้เวลาเรียนรู้งานสักระยะ ซึ่งดูเหมือนตอนนี้เจ้าตัวเองก็ยังอิดออดที่จะช่วยงานครอบครัวอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำยังหาเรื่องเข้ามาวุ่นวายกับพันธิตราอยู่เสมอ เขาประกาศอย่างไม่สงวนท่าทีว่าต้องการปิดกิจการพันธิตราเพื่อนำอาคารสถานที่ไปสร้างเป็นผับแทน ใจร้ายใจดำจริงๆ ผู้ชายคนนี้!
“คุณหญิงท่านไม่มีเวลาให้พันธิตราอย่างจริงจังมานานแล้ว อดีตผู้จัดการที่นี่เป็นยังไงคุณก็ลองถามพนักงานคนอื่นดูแล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าพี่ใส่ความคนเก่าอีก”
ฉันปิดแฟ้มเอกสารแสดงผลประกอบการของพันธิตราลงด้วยสีหน้าหนักใจ ตลอดสามสัปดาห์ที่เข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทั่วไปของพันธิตราทำให้พบว่ากิจการมีปัญหามากมายที่สั่งสมมานานปี
“แล้วพี่มลทนดูได้ยังไงตั้งหลายปี ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับคุณป้าไปเลยล่ะคะ” ฉันเอ่ยปากถามพี่มล หรือ ‘โกมล’ นักวางแผนแต่งงานของพันธิตราผู้เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่งและมีผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวย แม้จะไม่ได้ออกอาการกรีดกรายมาก แต่คนส่วนใหญ่ก็ดูออกไม่ยากว่าเขาเป็นเกย์
“ใครจะกล้ายุ่ง เมื่อก่อนพี่เป็นแค่ฟรีแลนซ์ รับงานที่นี่ปีละไม่กี่ราย ทั้งเซลส์ทั้งผู้จัดการแวววรรณแล้วก็เว็ดดิ้งแพลนเนอร์ประจำที่นี่เขาฮั้วกันแทบทุกงาน ใครก็เอาเรื่องเขาลำบาก”
“คุณแทนคะ คุณวิวมาค่ะ บอกว่ามีธุระสำคัญ” น้อง ‘มิลค์’ หรือ ‘สุมิตรา’ ผู้ช่วยส่วนตัวของฉันโผล่พรวดเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นๆ หลังจากการเคาะประตูถี่ๆ โดยไม่รอเสียงตอบรับ
“นี่ไงคะ ตัวปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับเราตอนนี้ และดูเหมือนว่าแทนจะทำอะไรเขาไม่ได้ด้วย” ชื่อของผู้บุกรุกทำให้ฉันต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะลุกขึ้นขยับเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ประหนึ่งเตรียมตัวออกรับศึกใหญ่
“พยายามทำเฉยๆ แล้วเลี่ยงเขาไว้เป็นดีที่สุด คุณแทนต้องไปงานแฟร์คนเดียวนะวันนี้ พี่ต้องอยู่รอคุยกับลูกค้า นัดไว้ตอนบ่ายสอง”
ภารวีมักแวะเข้ามาก่อกวนการทำงานของฉันที่สตูดิโอบ่อยครั้ง ทำให้ใครๆ ต่างสังเกตเห็นความเป็นอริระหว่างฉันกับเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและไม่ตอบโต้เขา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกลับไม่ยอมเลิกราวีง่ายๆ อยู่ที่บ้านฉันพอจะหลบได้เพราะบ้านภวรัญชน์มีพื้นที่กว้างใหญ่มากพอ ทว่าเมื่อเขาตามมาป่วนถึงที่ทำงาน ฉันก็จำเป็นต้องเผชิญหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ตอนภารวีออกมาประกาศอย่างเปิดเผยต่อเหล่าพนักงานพันธิตราแล้วว่าเขาต้องการเปลี่ยนพันธิตราแห่งนี้ให้เป็นผับ และเขายินดีรับพนักงานเก่าเข้าทำงานด้วยอย่างเต็มใจ
“ผมจะเข้ามาบอกว่าผมนัดสถาปนิกเข้ามาดูสถานที่แล้วราวๆ ต้นเดือนหน้า หวังว่าตอนนั้นคุณจะไม่เอะอะโวยวายหรือตกใจที่เห็นว่าผมเริ่มดำเนินการอะไรบ้าง” สีหน้าเย่อหยิ่งอวดดีของเขาดูน่าโมโหมากในความรู้สึกของฉัน ไม่ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจมาดีอย่างไรก็ตาม ภารวียังคงทำให้ฉันฉุนกึกและหัวเสียได้มากมายตามเคย
“สถาปนิก...”
อีกฝ่ายยิ้มเย็น “ใช่ คุณไม่ต้องเตือนผมหรอกว่าคุณแม่ยังไม่ได้อนุมัติเรื่องนี้ ไม่ว่ายังไงผมก็จะเร่งดำเนินการในส่วนของตัวเองไปเรื่อยๆ ผมแค่อยากให้คุณได้เตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะตามมา”
“เรื่องแค่นี้โทรมาก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากมาเอง” ฉันแทบจะกัดฟันพูดอย่างอดทน
“ไม่เห็นจะลำบากตรงไหน เรื่องสำคัญแบบนี้ผมควรมาบอกเองถึงจะถูก”
“คุณอยากมาดูสีหน้าฉันตอนโดนคุณหาเรื่องมากกว่า”
ใบหน้าคมคายขยับยิ้มเป็นต่ออย่างไม่รู้ร้อนหนาวตามสไตล์เขา “ตราบใดที่คุณยังยืนกรานจะคงธุรกิจแต่งงานนี่เอาไว้ต่อไป ผมก็จะตามรังควานจนกว่าตัวเองจะได้สิ่งที่ต้องการนั่นแหละ”
โทสะของฉันพุ่งขึ้นทันควัน “คุณเป็นลูกประสาอะไร ทำไมต้องจ้องแต่จะทำลายกิจการที่คนเป็นแม่สร้างมากับมือด้วย คุณน่าจะรู้นะคะว่าคุณป้าท่านรักที่นี่มากแค่ไหน”
ภารวีโบกมือด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ยี่หระ “คุณก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์หรอกถ้าคิดว่าจะพูดให้ผมสำนึก ในเมื่อที่นี่ทำกำไรได้น้อยมากจนน่าใจหาย ผมก็คิดว่าควรเปลี่ยนให้มันเป็นกิจการที่สร้างชื่อเสียงและทำกำไรได้ดีกว่านี้ ซึ่งคุณแม่ต้องพอใจมากกว่าแน่นอน นี่แหละวิธีแสดงความรักต่อบุพการีในแบบของผม ที่สำคัญตอนนี้คุณแม่ท่านทุ่มเทให้กับงานที่เอซแคปิตอลอย่างเดียวจนไม่ได้มาสนใจว่าที่นี่จะเป็นยังไงอีกแล้ว ผมว่าให้ท่านมีความทรงจำเฉพาะแค่ตอนที่ท่านดูแลที่นี่เองจะดีกว่า”
ฉันมองคนพูดด้วยแววตาชิงชังไม่ปิดบัง สะกดกลั้นอาการฮึดฮัดฟึดฟัดของตนเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้าดุจยอมจำนน “ฉันจะเลิกยุ่งกับพันธิตราก็ต่อเมื่อได้ยินจากปากคุณป้าเองว่าท่านต้องการเลิกกิจการ”
“ดันทุรัง” ฉันเม้มปาก รีบสืบเท้าออกห่างจากร่างสูงเงียบๆ เสมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทว่าภารวียังคงเดินตาม “คุณจะไปไหน”
“ฉันต้องไปธุระที่งานแฟร์ คงอยู่คุยต่อไม่ได้ คุณมีอะไรค่อยว่าวันหลังแล้วกัน”
“ผมจะไปด้วย” ฉันชะงักฝีเท้า หันกลับมาทำคิ้วขมวดมองเขาอย่างกังขา อีกฝ่ายตีหน้าเฉยสบตาตรงๆ โดยไม่หลบเลี่ยง “ผมจะไปดูงานเว็ดดิ้งแฟร์กับคุณด้วย ระหว่างนี้ผมต้องการเรียนรู้งานของที่นี่ไปด้วยจนกว่าคุณจะถอดใจ เผื่อว่า...คุณทำมันได้ดีเกินคาดจนทำให้การเปิดผับของผมล้มเหลว ในอนาคตผมอาจจะต้องมารับช่วงดูแลที่นี่ต่อแทนคุณแม่แบบจริงๆ จังๆ ก็ได้ใครจะรู้ จริงไหม”
ภารวีทำให้ฉันประจักษ์ชัดแล้วว่าผู้ชายหน้าตาดีเวลาทำตัวแย่...หน้าตาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น