คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6
บทที่ 6
ตอนที่ลู่ฉินพามี่หยาเดินออกมาจากห้องเจ้าสาว แขกที่มาร่วมงานก็เข้าแถวเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างของพรมแดงแล้ว เธอพาเจ้าสาวก้าวไปบนพรมอย่างเชื่องช้า โดยมีอี้หลุนซึ่งเป็นเจ้าบ่าวสวมชุดทักซิโดสีดำทั้งชุดอยู่ที่สุดปลายอีกด้านหนึ่ง เขาดูเหมือนเจ้าชายแห่งรัตติกาลที่กำลังรอเจ้าสาวของเขาอยู่ และคนที่อยู่ข้างเขาก็ย่อมต้องเป็นเจสันซึ่งทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว
เธอรู้สึกได้เลยว่านัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นกำลังจับจ้องเธอไม่วางตา
น่ารำคาญ มองอะไรอยู่ได้
เสียงเปียโนขับขานจังหวะเพลงแต่งงานดังขึ้น เจสันไม่เพียงจ้องเธอเท่านั้น เขายังเหมือนจะส่งยิ้มให้อีกด้วย สายตาแฝงรอยยิ้มเอาไว้แบบนั้นเหมือนดีใจที่เธอเดินไปหาเขา
แม้เธอจะอ่านใจคนไม่เป็น แต่ก็พอเดาจากรอยยิ้มได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
สายตาที่เขามองเธอเหมือนว่าเธอกำลังแต่งงานกับเขาเลย ทุเรศจริงๆ ฝันไปเถอะ!
เขามีสาวรู้ใจอยู่ทั่วโลกและคู่ควงครบทุกชาติทุกภาษา แถมยังเป็นสาวสวยสุดเริ่ดทั้งนั้น ดีที่เธอเลิกกับเขาไปแล้ว ดังนั้นเขาจะไปกิ๊กกับแวมไพร์สาวคนไหนก็ไม่เกี่ยวกับเธอเลย คราวหน้าเธอหาผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ ดีกว่า
หลังจากส่งมือเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวแล้ว ลู่ฉินก็ยืนอยู่ข้างเจ้าสาวอย่างสงบเสงี่ยม มุมนี้บังสายตาน่ารำคาญคู่นั้นได้พอดี
‘โกรธผมอยู่เหรอ’
เอ๊ะ?
เธองงงันและมองไปด้านข้างแวบหนึ่ง นอกจากมี่หยาแล้วไม่มีใครอยู่ข้างๆ เธอเลย หรือว่าเธอหูฝาดไปเอง
‘อย่าหันซ้ายหันขวาสิ ทุกคนกำลังมองอยู่นะ’
บ้าไปแล้ว! เธอเบิกตาโพลงเพราะได้ยินเสียงคนกำลังคุยกับเธออยู่ในหัว แล้วเสียงนั้นยังคุ้นหูมาก คงจะไม่ใช่...
เธอแอบชำเลืองไปทางเพื่อนเจ้าบ่าว นัยน์ตาสีฟ้ากำลังขยิบตาให้เธออย่างซุกซน
‘คุณนี่เอง!’
‘ใช่ ผมเอง’
‘คุณ...ได้ยินว่าฉันคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ’
หญิงสาวตะลึงพรึงเพริดจนหน้าถอดสี ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้นทันทีทันใด ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเคืองโกรธอย่างมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจได้
‘ถ้าพูดให้ถูก ผมใช้โทรจิตคุยกับคุณต่างหาก’
‘เวรเอ๊ย คุณทำได้ยังไงเนี่ย’
เจสันเกือบหัวเราะออกมา เพราะตั้งแต่รู้จักเธอจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเธอสบถคำหยาบ
‘คุณกล้าแอบอ่านใจฉันเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ!’
‘อย่าเพิ่งโกรธสิ ผมไม่ได้แอบอ่านความคิดคุณ ผมเพิ่งบอกไปเองว่าผมใช้โทรจิตคุยกับคุณ ถ้าคุณไม่อยากตอบ ผมก็ไม่สามารถได้ยินเสียงในใจของคุณได้’
เธอทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ‘จริงเหรอ’
‘ผมสาบานได้ว่าทุกคำพูดเป็นความจริง ผมไม่จำเป็นต้องหลอกคุณเลย คุณจะต้องอยากพูดกับผมเท่านั้นผมถึงจะได้ยินเสียงในใจคุณ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่คุณคิดอยู่ในใจผมไม่ได้ยินหรอก คุณน่าจะรู้สึกถึงความแตกต่างของสองอย่างนี้นะ’
ลู่ฉินได้ยินแบบนี้จึงคลายความโกรธลงได้บ้างและรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก เสียงนั้นเหมือนมีคนกระซิบเบาๆ อยู่ข้างหู แต่เป็นเสียงที่ใกล้เคียงกับการพูดคุยตอบโต้กันอยู่ในหัว แล้วพอเธอลองนึกดูดีๆ ก็เห็นว่ามันต่างกันจริงๆ
ตอนที่เธอคุยกับเจสันทางโทรจิต เธอจะรู้สึกว่าเสียงของตัวเองเหมือนส่งผ่านทางสนามแม่เหล็กบางอย่างออกไป และมันจะทำได้ก็ต่อเมื่อเป็นเวลาที่เธออยากส่งออกไปเป็นพิเศษเท่านั้น ความรู้สึกแบบนี้ช่างแปลกพิสดารจริงๆ
‘ฮึ แวมไพร์ใช้โทรจิตคุยกันได้นี่เอง’
เธออดแปลกใจไม่ได้ที่ทำไมมี่หยาถึงไม่บอกเธอ
‘ไม่ใช่แวมไพร์ทุกคนจะทำได้ นี่เป็นความสามารถพิเศษของผม’
‘หมายความว่ามีแต่คุณที่ทำได้งั้นเหรอ’
‘ใช่แล้ว’
เธออุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ ‘เก่งจังเลย...’
‘ผมรู้สึกเป็นเกียรติจังที่ได้รับคำชมจากคุณ’
เธอหน้าแดงเพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าแม้แต่ตอนคุยทางโทรจิตกันอยู่ก็ยังเผลอหลุดปากออกมาได้ พอเห็นเขาได้ใจ เธอรู้สึกเหมือนเสียเปรียบยังไงก็ไม่รู้
‘ไม่ต้องมาทำเป็นเหลิง แค่คุยทางโทรจิตได้ไม่เห็นจะแน่สักแค่ไหน’
นอกจากเธอจะได้ยินเสียงที่เขาส่งมาแล้ว เธอยังรู้สึกได้ถึงความลำพองใจของเขาด้วย
‘เก็บเรื่องที่ผมใช้โทรจิตคุยกับคุณเป็นความลับนะ อย่าไปบอกใครล่ะ คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมส่งโทรจิตถึง’
‘โกหก นึกว่าฉันจะเชื่อลมปากคุณเหรอ’
‘เฮ้อ คุณพูดแบบนี้ทำร้ายหัวใจผมน่าดูเลยนะ’
‘หัวใจของคุณต้องตอกด้วยตะปูเงินแท้เท่านั้นถึงจะทะลุได้’
‘ฮ่าๆ เวลาคุณด่าคนนี่น่ารักที่สุดเลย’
อะไรกันเนี่ย เธอยิ่งพูดแรงๆ เขากลับยิ่งชอบใจ แวมไพร์อะไรกวนประสาทจริงๆ
พวกเขาสองคนปะทะคารมกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันทางโทรจิตในระหว่างที่พิธีแต่งงานของแวมไพร์กำลังดำเนินไป
ว่ากันว่าท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นประธานในพิธีแต่งงานมีชีวิตอยู่มาเก้าร้อยปีแล้ว เขาเป็นแวมไพร์ที่ทรงคุณวุฒิสูงสุดและพูดภาษาอิตาลี
มี่หยาเล่าว่าเนื่องจากพวกแวมไพร์มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีจึงสามารถพูดได้หลายภาษา และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจสันถึงพูดภาษาจีนได้คล่องปาก
งานแต่งงานในคืนนี้เป็นปาร์ตี้สุดมันส์ของพวกแวมไพร์ ลู่ฉินได้พบได้เห็นแวมไพร์ทุกรูปแบบซึ่งใช้ชีวิตกลมกลืนอยู่ในสังคมมนุษย์เหมือนคนกลางคืนทั่วไป เพื่อนรักของเธอซึ่งเป็นน้องใหม่ของเหล่าแวมไพร์ก็แต่งงานกับแวมไพร์ในที่สุด
ชั่ววินาทีที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูบกัน ลู่ฉินมองดูมี่หย่าด้วยความปลาบปลื้มใจ แววตาแฝงความปีติยินดีไว้เต็มเปี่ยม
ความรักไม่แบ่งชนชั้นวรรณะและไม่จำกัดอายุ
ใต้แสงจันทร์ยามเที่ยงคืน พวกเขามองกันและกันอย่างซื่อตรงจริงใจขนาดนั้นจนแม้แต่เธอยังรับรู้ได้ถึงความรักที่พวกเขามีต่อกันและความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีแต่งงานนี้
ชั่วขณะนั้นเธอเหม่อมองพวกเขาด้วยความหลงใหล
“อิจฉามั้ย”
เธอได้สติและหันหน้าไปมองเจสันที่มาอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เขารูปหล่อสะดุดตาขนาดนี้ หนำซ้ำยามที่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นอยู่ใต้แสงจันทร์ยังมีเสน่ห์ราวกับจะดึงดูดเธอเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว
“เปล่าสักหน่อย” เธอทำหน้าตึงขณะพูดกับเขาอย่างขึงขัง “ผู้ชายที่ฉันจะแต่งงานด้วยต้องเป็นคนเป็นๆ ไม่ใช่แวมไพร์จะตายมิตายแหล่แบบนั้น”
เธอหันหลังกลับโดยไม่สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว
ใช่แล้ว เธอจะไม่หน้ามืดตามัวเพราะความรักหรอก และเธอจะมีแฟนเป็นผู้ชายปกติให้ได้
คืนวันศุกร์ ลู่ฉินอยู่ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์จนดึกดื่นเพื่อถอดเทปสัมภาษณ์ที่ต้องส่งก่อนบ่ายวันจันทร์หน้าให้เสร็จ จากนั้นก็เขียนเป็นต้นฉบับข่าวแล้วพิมพ์ออกมา แล้วจึงนำไปวางไว้บนโต๊ะหัวหน้า บ.ก. กว่าจะส่งงานและเรียกแท็กซี่กลับไปถึงคอนโดฯ ซึ่งเป็นที่พักก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว
หญิงสาวอยากจะอาบน้ำให้สบายๆ และพักผ่อนสักหน่อย เพราะเมื่อได้กลับถึงบ้าน เธอจะปล่อยตัวตามสบายและไม่คิดถึงเรื่องอะไรแล้วทั้งนั้น ดังนั้นพอเธอเดินเข้าไปในห้องนอนจึงอดตะลึงงันไม่ได้
เธอรู้สึกเย็นวูบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อเห็นว่ามีกล่องใบหนึ่งวางอยู่บนเตียงของเธอ
เธอขนหัวลุกชันทันที เพราะมันบอกให้รู้ว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในห้อง บนกล่องมีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเธอจำซองของมันได้ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่กับที่มองกล่องใบนั้น เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเข้าไปเปิดออกดู
ในซองเป็นจดหมายขู่จริงๆ และใช้วิธีพิมพ์ข้อความ แต่ที่ทำให้เธอเสียวสันหลังวาบไปเลยก็คือซองจดหมายไม่ติดแสตมป์ แสดงว่าอีกฝ่ายเอามาส่งด้วยตัวเอง
พอเธอเปิดกล่องออก หน้าก็ซีดเผือดลงในพริบตา เพราะในกล่องใส่หนูตายเอาไว้ตัวหนึ่ง แต่ยังดีที่เธอทำข่าวอาชญากรรมมามาก จึงไม่รู้สึกกลัวเวลาเห็นซากสัตว์เลือดเกรอะกรังแบบนี้ หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงตกใจหน้าถอดสีร้องกรี๊ดลั่นไปแล้ว
“ไอ้ชาติชั่ว...”
เห็นเธอเป็นผู้หญิงแล้วนึกว่าจะรังแกกันง่ายๆ ใช่มั้ย มันจะดูถูกเธอเกินไปหน่อยแล้ว เธอไม่ขวัญหนีดีฝ่อเพราะลูกไม้กระจอกๆ พรรค์นี้หรอก
ความโกรธแล่นขึ้นมาแทนที่ความหวาดกลัว เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคิดจะแจ้งความ แต่พอนึกว่าถ้ามีนักข่าวที่อื่นรู้เรื่องนี้เข้า ข่าวที่เธอแอบตามสืบมาตลอดด้วยความลำบากลำบนก็ต้องเสียแรงเปล่า
หญิงสาววางโทรศัพท์ลงแล้วเดินวนไปวนมาในห้อง เธอยิ่งคิดยิ่งโมโหที่มาเจอเรื่องซวยๆ แบบนี้ ถ้าเธอรู้ว่าใครเป็นคนทำล่ะก็ เธอไม่ปล่อยมันไว้แน่
คนส่งจดหมายสนเท่ห์ใช้วิธีพิมพ์ข้อความเอา คงต้องไม่เผลอทิ้งลายนิ้วมือให้คนจับ
ในเมื่อจะแจ้งความก็ไม่ได้และยังต้องห่วงความปลอดภัยของตัวเองอีก ในหัวเธอจึงคิดถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาในทันใด จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาหมายเลขโทรศัพท์ที่บันทึกไว้ในเครื่องด้วยความจนใจ
แม้จะเลิกกับเขาแล้ว แต่เธอยังคงตัดใจลบหมายเลขโทรศัพท์ของเขาทิ้งไม่ได้ เธอมองเบอร์โทรแล้วสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะกดโทรออก
เสียงโทรศัพท์เรียกอยู่ไม่กี่ครั้งก็มีคนรับสาย จากนั้นไม่นานจึงได้ยินเสียงเซ็กซี่ชวนฝันคุ้นหูดังขึ้น
“ฉิน”
เขาเป็นคนเดียวที่เรียกชื่อเธอคำเดียวอย่างเป็นกันเองแบบนี้ แล้วเธอก็มักจะใจเต้นแรงขึ้นเสมอเพราะคำเรียกขานอย่างสนิทสนมของเขา
โชคดีที่ตอนนี้เธอใช้โทรศัพท์มือถือ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นแรงแน่
“นึกยังไงถึงได้โทรหาผมก่อน”
ถึงลู่ฉินจะไม่เห็นหน้าเจสัน แต่เธอเดาได้ว่าตอนนี้เขาทำหน้ายังไงอยู่ หญิงสาวแทบจะนึกออกเลยว่ามุมปากของเขายกโค้งขึ้นอย่างได้ใจสุดๆ เมื่อเธอโทรหาเขา
“ฉันมีเรื่องจะขอให้คุณช่วย”
“ไม่มีปัญหา”
“คุณไม่ถามสักคำก็รับปากฉันแล้ว ไม่กลัวว่าจะเสียใจทีหลังเหรอ”
“ได้ช่วยคุณทั้งที ผมจะเสียใจทีหลังได้ยังไง ถ้าคุณไม่ขอสิผมถึงจะเสียใจ โดยเฉพาะเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็จะได้เจอผู้หญิงที่ผมคิดถึงทุกลมหายใจแล้ว”
ลู่ฉินหน้าแดงไปหมด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นคำพูดหวานหู แต่พอได้ยินแล้วเธอก็อดรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาไม่ได้
“คำพูดหวานๆ ของคุณใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก อย่าเสียแรงพูดเลย”
หญิงสาวเห็นลมปากของผู้ชายเป็นเหมือนลมพัดผ่านหูเสมอมา แต่เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจเวลาที่เจสันพูดแบบนี้เลย บางครั้งมันยังทำให้เธอหัวเราะได้ด้วยซ้ำ
ปลายสายอีกด้านหนึ่งมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น
“เฮ้อ คุณพูดแบบนี้ผมเสียใจนะ”
เธอรู้ว่าเขาจงใจพูดแบบนี้เพื่อให้เธอใจอ่อน แต่เธอไม่หลงกลหรอก ผู้ชายหล่อขนาดนั้นอยากได้ผู้หญิงคนไหนก็ไม่มีปัญหา คนประเภทที่สามารถครอบครองได้ทั้งผืนป่าจะมาเสียใจให้กับต้นไม้ต้นเดียวได้ยังไง
“เลิกเพ้อเจ้อสักที กลับเข้าเรื่องได้แล้ว ตอนนี้คุณมาเลยได้มั้ย”
“ผมก็อยากไปนะ แต่เสียดายว่าผมอยู่ไกลมาก คงจะไปปรากฏตัวต่อหน้าคุณตอนนี้ไม่ได้”
“งั้นคุณมาถึงได้เมื่อไหร่”
“ก็ต้องดูว่าพรุ่งนี้ตอนเที่ยงคุณอยู่บ้านหรือเปล่า”
เธอถามอย่างประหลาดใจ “อยู่สิ แต่มันเกี่ยวอะไรกับที่คุณจะมาถึงเมื่อไหร่ด้วย”
“เพราะพรุ่งนี้เที่ยงตรงจะมีพัสดุด่วนส่งไปให้คุณที่บ้าน อย่าลืมเซ็นรับด้วย ตกลงกันตามนี้นะ”
พัสดุด่วน? พัสดุด่วนอะไร เธออยากถามให้รู้เรื่อง แต่ปลายสายอีกด้านหนึ่งวางหูไปแล้ว เธอคิดไปคิดมาแล้วก็เลิกล้มความตั้งใจในที่สุด
หลังจากเจสันวางสายแล้วก็ลุกขึ้นยืนพลางมองเพื่อนแวมไพร์คนอื่นๆ
“ขอโทษด้วยทุกคน ผมมีธุระด่วน ต้องขอตัวกลับก่อน”
“เอ๊ะ? คุณจะไปแล้วเหรอ”
“ครับ”
พอเขาเอ่ยปาก แวมไพร์สาวสวยตนอื่นๆ พากันร้องท้วงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ยังเช้าอยู่เลย เจสัน ทำไมจู่ๆ ก็จะกลับล่ะ คุณยังอยู่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยนะ”
“นั่นสิ คุณไปแล้วก็หมดสนุกกันพอดี”
“ขออภัยด้วยสาวๆ ผมก็ไม่อยากไปเหมือนกัน แต่ผมมีธุระจริงๆ”
ความจริงแล้วเจสันกำลังอยู่ในปารีส สถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นบาร์เลือดชั้นสูงแห่งหนึ่งในถิ่นที่แพงที่สุดของปารีส บาร์เลือดแห่งนี้อยู่ใต้ดิน แสงสว่างจึงส่องไม่ถึง
เจ้าของบาร์เลือดเป็นแวมไพร์เศรษฐีคนหนึ่ง เขาเกิดในศตวรรษที่สิบเจ็ด ทำธุรกิจไวน์เป็นหลักและเปิดบาร์เลือดแห่งนี้ขึ้นเพื่อต้อนรับแวมไพร์โดยเฉพาะ
เลือดของที่นี่ทั้งหมดจะผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด คุณภาพเลือดจึงบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเจือปนหรือเชื้อโรค นอกจากจะเก็บไว้ในเครื่องแช่เย็นอุณหภูมิต่ำล้ำสมัยที่สุดแล้ว เลือดทุกแก้วยังหาดื่มจากข้างนอกไม่ได้อีกด้วย เพราะเป็นเลือดผสมที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันจนได้รสชาติยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร
ชายเจ้าของบาร์นัยน์ตาสีเขียวเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไรด่วนนักหนาถึงต้องไปตอนนี้ด้วย”
เจสันโค้งตัวให้เขาอย่างนอบน้อมพลางตอบด้วยภาษาฝรั่งเศสคล่องแคล่ว “ขอโทษครับท่านบารอน ผมมีความจำเป็นจริงๆ เพราะต้องไปพบคนคนหนึ่ง”
“ผู้หญิง?”
“ครับ” เจสันยกปากยิ้มบางๆ สบสายตากับท่านบารอนอย่างรู้กัน
บารอนเลิกคิ้วขึ้น “งั้นก็พอให้อภัยกันได้ เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้”
ผู้หญิงคนอื่นร้องท้วงต่อไป “บ้าจังเลย เจสัน อย่าไปนะ ผู้หญิงที่ไหนกันคุณถึงต้องไปหาให้ได้ตอนนี้”
เจสันตอบยิ้มๆ ก่อนจะออกจากบาร์
“สาวจีนที่เป็นตัวของตัวเองมากคนหนึ่ง”
หลังจากเจสันบอกลาบารอนและเหล่าแวมไพร์สาวแล้วก็รีบโทรศัพท์จองตั๋วเครื่องบินไปไต้หวันทันที
ใช่แล้ว ผู้หญิงทุกคนในบาร์เลือดแห่งนี้มีให้เลือกทุกแบบทุกสไตล์ ทั้งเซ็กซี่ มีเสน่ห์ น่ารัก หรือสวยสง่า แต่คนที่อยู่ในใจเขามีแค่คนเดียวตลอดมา... ลู่ฉิน
ตอนเที่ยงของวันถัดมามีพัสดุด่วนส่งมาที่บ้านและต้องให้เธอเซ็นชื่อจริงๆ เหมือนที่เจสันบอกไว้
ลู่ฉินจ้องกล่องที่สูงกว่าตัวเธออย่างตกตะลึง
“นี่มันอะไรกัน”
“คุณเจสันส่งมาให้คุณครับ เขาบอกว่าแค่ให้คุณเซ็นรับก็พอแล้ว”
หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมเจสันต้องส่งกล่องใหญ่ขนาดนี้มาให้เธอด้วย แต่เธอคิดในใจว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขาจึงยอมทำตามแม้จะรู้สึกสงสัยก็ตามที
พอเธอเซ็นรับแล้ว พนักงานส่งพัสดุจึงแบกกล่องเข้ามาในห้องแล้วก็กลับไป
หลังจากพนักงานส่งพัสดุไปแล้ว ลู่ฉินจ้องกล่องด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร
กล่องถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนาจนไม่รู้ว่าจะเปิดยังไง เธอลองเคาะๆ ดูอย่างสงสัยแล้วพิจารณาอยู่พักใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าจะเปิดกล่องด้วยวิธีไหน พอมีกล่องใหญ่ๆ วางอยู่ในห้องรับแขกแล้วดูเกะกะมากจริงๆ เธอจึงอดบ่นไม่ได้
“อีตาบ้าเจสันเล่นพิเรนทร์ๆ อะไรก็ไม่รู้ ส่งกล่องใหญ่ขนาดนี้มาได้ ประหลาดคนจริงๆ เมื่อคืนรออยู่ตั้งนานก็ไม่โผล่หัวมาสักที ยังมีหน้าบอกว่าจะมา ฮึ ดีแต่ปาก”
เธอพึมพำกับตัวเองพลางด่าเจสันไปด้วย เสียแรงที่เธอตั้งความหวังกับเขาไว้มาก ตอนนั้นที่เขาบอกว่าจะรีบมา เธอรู้สึกประทับใจจริงๆ แต่ตอนนี้มานึกดูแล้วน่าขำสิ้นดี
เขาเป็นพวกเจ้าชู้ประตูดิน ทำดีกับผู้หญิงทุกคน ชอบพูดคำหวานหลอกคนอื่นอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาปากหวานและเธอก็บอกตัวเองไม่ให้เชื่อ แล้วดูสิ เขาก็ไม่ได้โผล่มาเหมือนที่คิดไว้ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจกำลังนอนกอดอยู่กับแวมไพร์สาวสวยคนไหนอยู่ก็ได้
“เจสันบ้า! เจสันเฮงซวย! จำไว้เลยนะ!”
‘ด่าผมทำไม’
เอ๊ะ? ลู่ฉินนิ่งอึ้งไปแล้วมองซ้ายมองขวา เธอหูฝาดไปใช่มั้ย เมื่อครู่เธอได้ยินเสียงเจสัน
‘ผมได้ยินคุณด่าผมอยู่นะ ที่รัก’
“เจสัน?”
ลู่ฉินมั่นใจมากว่านี่เป็นเสียงของเจสันที่ส่งมาทางโทรจิต แสดงว่าเขาอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แต่เธอกลับมองไม่เห็นตัวเขาเลย
เธอเท้าสะเอวตวาดแหวออกมา “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันถึงไม่เห็นคุณ คุณหลบอยู่ทำไม”
‘พอไม่เห็นผมดูเหมือนคุณจะร้อนใจมากเลยนะ คิดถึงผมแล้วใช่มั้ย ที่รัก’
“บ้าสิ เลิกยกหางตัวเองได้แล้ว คุณอยู่ตรงไหนกันแน่ รีบๆ ออกมานะ!”
เธอคิดถึงเขาจริงๆ นั่นแหละ เพราะคนที่ตอนแรกนึกว่าจะมาเมื่อคืนนี้กลับไม่เห็นหน้าเลยจนถึงตอนนี้ มันทำให้เธอร้อนใจจริงๆ แต่เมื่อโดนเขาจี้ใจดำแบบนี้ เธอทั้งอายทั้งโมโหจนหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วพอได้ยินเสียงเขา เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าโมโหดี
‘ผมก็อยู่ตรงหน้าคุณนี่ไง’
“ตรงหน้าอะไร นอกจากกล่องบ้าๆ ที่คุณให้คนส่งมาให้แล้ว...”
เธอชะงักพลางจ้องเขม็งไปที่กล่อง แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็จู่โจมเข้ามาในหัวทันที เธอเหงื่อแตกพลั่กขณะที่เอ่ยขึ้น
“คุณ...คงจะไม่ได้อยู่ในกล่องนี้หรอกนะ”
‘ทายถูกแล้ว’
ลู่ฉินมองต้นขั้วใบส่งของที่เธอเซ็นรับเมื่อครู่ กล่องใบนี้ส่งด่วนมาจากปารีส ตอนแรกเธอตกตะลึง จากนั้นเริ่มตีหน้าไม่ถูกเพราะเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องแล้ว
เธอเกือบลืมไปว่าเจสันเป็นแวมไพร์ที่โดนแสงอาทิตย์ไม่ได้ ดังนั้นเพื่อบินจากปารีสกลับมาหาเธอโดยเร็วแล้ว การแอบอยู่ในกล่องพัสดุจึงเป็นวิธีที่เร็วและได้ผลที่สุด
นี่แสดงว่าหลังจากเขาได้รับโทรศัพท์ของเธอเมื่อคืนนี้ก็ออกเดินทางทันที โดยขดตัวอยู่ในกล่องแคบๆ นี้มาตลอดสิบสองชั่วโมง แต่เธอกลับอารมณ์เสียใส่เขาอีก พอเธอคิดขึ้นมาแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
“ทีนี้จะทำยังไงดีล่ะ คุณจะออกมาได้ยังไง” น้ำเสียงของเธออ่อนลงไปมาก
‘ปิดม่านให้หมด อย่าให้แสงแดดส่องเข้ามา’
“ได้”
หญิงสาวลงมือทำทันที แค่คิดว่าแสงแดดแผดเผาผิวของเขาแล้วจะทำให้เขากลายเป็นเถ้าถ่านได้ เธอก็รู้สึกเครียดขึ้นมาจนไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
โชคดีที่เธอใช้ม่านแบบกันรังสียูวีร้อยเปอร์เซ็นต์ พอปิดม่านในห้องก็มืดสนิททันที เธอยังปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดในห้องเพื่อกันไว้ก่อนอีกด้วย เพราะถ้าเกิดมีลมพัดเข้ามาอาจทำให้แสงแดดส่องผ่านเข้ามาตามรอยแยกผ้าม่านได้
เมื่อเธอแน่ใจว่าประตูหน้าต่างปิดหมดจนในห้องมืดพอ และคิดแล้วว่าแค่นี้คงจะไม่มีปัญหาอีก เธอจึงกลับมาที่ห้องรับแขก แต่กลับเห็นว่ากล่องถูกเปิดออกแล้ว
เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ กล่องและจ้องเข้าไปข้างในด้วยความอยากรู้ แต่ในนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลย
“คิดถึงผมมั้ย ที่รัก”
เสียงนุ่มชวนฝันไม่ได้ดังมาจากในกล่อง แต่มาจากข้างหลังและใกล้ราวกับอยู่ข้างหูเธอเหมือนเสียงกระซิบในยามราตรี
ลู่ฉินหันหน้าไป ใบหน้าหล่อเหลาคุ้นตาอยู่ใกล้แค่คืบ นัยน์ตาสีฟ้าลึกล้ำดุจทะเลกำลังจับจ้องเธออยู่ กลีบปากบางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
แม้ในห้องจะมืดสนิท แต่เธอยังคงมองเห็นโครงหน้าคมคายในระยะใกล้แค่นี้ได้ แล้วหัวใจเจ้ากรรมของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาไม่เป็นจังหวะเหมือนเคย พอหญิงสาวรู้สึกตัวก็พลันอยากจะอยู่ห่างๆ เขา แต่ทันทีที่เธอขยับตัว แขนแข็งแรงก็โอวเอวแบบบางของเธอไว้แล้ว
“ดีใจจังที่คุณตื่นเต้นขนาดนี้เวลาเจอผม”
แก้มนวลเนียนแดงเรื่อ เมื่อเห็นริมฝีปากเขายกตัวโค้งขึ้นน้อยๆ เธอแน่ใจอย่างมากว่าเขาได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นเพราะเขาแล้ว
เธอรู้สึกหงุดหงิดเหลือเกินที่ปิดบังอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง เขาเหมือนเครื่องจับโกหกเลยทีเดียว แถมยังไม่คิดจะปกปิดรอยยิ้มได้ใจสักนิด มันทำให้เธอทั้งรักทั้งชังจริงๆ
ในเมื่อปิดไว้ไม่ได้ เธอก็คร้านที่จะปฏิเสธแล้ว
“ถ้าฉันรู้ว่าคุณอยู่ปารีส คงไม่บอกให้คุณมาทันที”
“แต่ผมอยากมานี่ นานๆ ทีแฟนของผมจะเป็นฝ่ายโทรหาก่อน ผมแทบรอช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว”
เธอชำเลืองมองกล่องที่หน้าตาเหมือนโลงศพแวบหนึ่งพลางพูดด้วยสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
“ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าแวมไพร์ก็มีบริการส่งพัสดุด่วนด้วย”
เขายักไหล่ “ไม่เห็นมีอะไรเลย โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พวกเราแวมไพร์ก็ต้องปรับตัวไปตามกระแสด้วย ดังนั้นเพื่อให้ออกไปไหนมาไหนตอนกลางวันสะดวกขึ้น พวกแวมไพร์เลยมีธุรกิจส่งพัสดุด่วนกระจายอยู่ทั่วโลก เรามีจุดให้บริการอยู่ทุกประเทศ แค่โทรกริ๊งเดียว บริษัทส่งพัสดุด่วนหีบศพซัพพลายก็จะส่งโลงศพมาให้เลย”
เธออึ้งไป “หีบศพซัพพลาย?”
“ชื่อบริษัทส่งพัสดุด่วนของเอเชีย”
“ชื่อเชยชะมัด”
“เจ้าของเป็นแวมไพร์จีน ลือกันว่าเมื่อก่อนเขาเป็นขุนนางสมัยราชวงศ์ชิงที่คิดแต่อยากได้ตำแหน่งสูงๆ มีเงินทองมากๆ ตอนเป็นคนทำไม่สำเร็จ พอกลายเป็นแวมไพร์แล้วกลับเอาหัวทางการค้ามาหากินกับหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อของแวมไพร์ได้เป็นกอบเป็นกำแทน โลงทองนี่ผมต้องเสียเลือดชั้นดีไปทั้งขวดเลยนะ”
หญิงสาวถามอย่างเหลือเชื่อ “โลงทอง? โลงศพมีเป็นทองด้วยเหรอ”
“เขาแบ่งโลงเป็นสี่ระดับคือทอง เงิน ทองแดง แล้วก็เหล็ก โลงทองเป็นโลงที่ดีที่สุด”
“โลงศพยังมีแบ่งระดับด้วย?”
“เวลาพวกคุณขึ้นเครื่องบินยังมีแบ่งเป็นชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจกับชั้นประหยัดเลย โลงส่งด่วนของเขาก็ต้องแบ่งระดับได้เหมือนกัน ผมนอนมาในโลงระดับที่ดีที่สุด ตัวโลงเคลือบและขัดเงาเป็นสีดำมันวาวเลยนะ”
หญิงสาวได้ยินแล้วพูดไม่ออก เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าชีวิตแวมไพร์สมัยนี้ก้าวหน้าไปไกลไม่เหมือนกับที่เห็นในภาพยนตร์เลย
“ฉันนึกว่าพวกคุณจะเหมือนกับที่เขาเล่นกันในหนังซะอีก”
“โลกกำลังเปลี่ยนไป พวกเราแวมไพร์มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนตามก็จะปรับตัวเข้ากับโลกนี้ไม่ได้ ความจริงแล้วเรายังติดต่อใกล้ชิดกับมนุษย์บางพวกอีกด้วยนะ เรื่องพวกนี้วันหลังผมจะค่อยๆ เล่าให้คุณฟังอีกที ตอนนี้คุณบอกผมได้แล้วว่าคุณเจอปัญหาอะไร”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเจอปัญหาอยู่”
“ถ้าไม่เจอปัญหา คนหัวดื้ออย่างคุณไม่มีทางโทรหาผมหรอก”
พอโดนเขาพูดแบบนี้ เธอก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา เหมือนตัวเองเป็นพวกเอาแต่ได้ถ่ายเดียว เวลาเดือดร้อนก็ไปหาเขา เวลาไม่มีเรื่องก็ผลักไล่ไสส่ง เธอจะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่านะ
เจสันตะลึงงันเหมือนค้นพบโลกใบใหม่ที่เธอก็รู้สึกผิดเป็นเหมือนกัน การค้นพบยิ่งใหญ่ครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจ เพราะเขาได้รู้จักอีกด้านหนึ่งของสาวน้อยคนสวยที่ภายนอกดูเหมือนเย็นชาคนนี้แล้ว
“ดีใจจริงๆ ที่คุณรู้สึกผิดต่อผมเหมือนกัน ไม่เป็นไร ผมชินกับการให้คุณชี้นิ้วสั่งได้ตามใจชอบแล้ว”
“ฉันเปล่านะ ถ้าคุณช่วยฉัน ฉันก็ไม่เอาเปรียบคุณหรอก ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้”
เขาถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “คุณจะตอบแทนผมยังไง”
“ฉันจะจ่ายเงินให้คุณ”
เขาส่ายหัว “ผมมีเงินเยอะแยะเหลือกินเหลือใช้”
“ก็ได้ คุณจะเอาเลือดฉันเท่าไหร่”
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ดูดเลือดคุณเด็ดขาด” แม้เขาจะเคยกระหายในเลือดของเธอมาก่อน แต่ตอนนี้เขาพบความปรารถนาอย่างอื่นจากตัวผู้หญิงคนนี้ “อีกอย่าง ถ้าผมกล้าดูดเลือดคุณแม้แต่หยดเดียว มี่หยาเพื่อนรักของคุณไม่ปล่อยผมไว้แน่”
พอเอ่ยถึงมี่หยา แวมไพร์สาวหน้าใหม่คนนั้นแล้ว เจสันก็ไม่อยากจะตอแยด้วย เพราะพลังของผู้หญิงคนนั้นเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“งั้นคุณต้องการอะไร”
“ผมต้องการคุณ” เขาตอบยิ้มๆ
“คุณ!” หน้าสวยๆ ของเธอบึ้งตึงอย่างโกรธจัด ตาเบิกกว้าง ท่าทางเหมือนอยากอัดเขาเต็มที่
พอเห็นเธอทำหน้าตึง เขาก็รีบหัวเราะออกมาอย่างซุกซน
“อย่าโกรธสิ ผมล้อเล่นน่า ถึงผมจะอยากฉวยโอกาสมากแค่ไหน แต่เพื่อรักษาภาพพจน์ตัวเองในใจคุณต่อไป ผมเลยได้แต่กัดฟันยอมทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ไป”
พอเธอได้ยินแบบนี้ ไฟโกรธที่โหมแรงอยู่ในตอนแรกจึงสงบลงได้
“แต่ถ้าขอเบาลงมาหน่อยแค่จูบคงจะได้มั้ง”
เธอเบิกตากว้างขึ้นมาอีก แต่เขารีบอธิบายโดยไม่รอให้เธอเริ่มต้นด่า
“ผมอยากได้แค่อย่างนี้นี่ เห็นแก่ที่ผมทิ้งความสุขที่มีสาวๆ รอบตัวในปารีสเพื่อคุณแล้ว อย่างน้อยคุณก็น่าจะให้รางวัลผมนิดๆ หน่อยๆ บ้าง”
เธอรู้แต่แรกแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาเป็นคนหน้าด้าน
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาต้องขอสิ่งตอบแทน เธอก็ยังอดเรียกเขามาไม่ได้ บางทีส่วนลึกในใจของเธออาจจะคิดถึงเขาอยู่บ้างนิดหน่อย...แค่นิดหน่อยเท่านั้น
หญิงสาวสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง มือที่ประสานกันไว้บีบแน่นบอกถึงความลังเลใจ เธอมองเขาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อใจนัก
“แค่จูบเดียว?”
“ใช่”
“คุณห้ามได้คืบเอาศอกนะ”
“ได้”
หลังจากเธอบวกลบคูณหารแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เสียเปรียบเท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็จูบเก่ง ให้ความรู้สึกสบายจนตัวเบาหวิว แค่นึกขึ้นมาก็ทำให้เธอหน้าแดงไปถึงหู สุดท้ายเธอจึงพยักหน้าตกลง
“ตกลง ฉันรับปากคุณ”
.............................................................................................................................................................
ติดตามความเร้าใจแบบ'แวมไพร์เจ้าเสน่ห์'
ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำใกล้บ้านคุณค่ะ
http://www.jamsai.com/product/1816-
ความคิดเห็น