คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
บทที่ 2
ตลอดเดือนนี้ไม่รู้ว่ามี่หยาถึงคราวเคราะห์เอง หรือว่าความซวยมาเยือนกันแน่ ถึงได้ดูเหมือนว่าความโชคร้ายนานัปการจะประดังประเดเข้ามาพร้อมกันในเดือนนี้ ให้เธอรับเข้าไปเต็มๆ ในคราวเดียวกัน
อย่างแรกคือเจอคนล้วงกระเป๋าเงิน และโดนขโมยถอนเงินฝากในธนาคาร
แต่แล้วความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจกำลังตกสะเก็ด ใครต่อใครต่างพากันลดราคาข้าวของลง มีแต่เจ้าของห้องเช่าเธอดันขึ้นค่าเช่าซะได้ แถมยังขึ้นอย่างไม่ปรานีปราศรัยแบบตั้งใจจะรีดเลือดกับปูชัดๆ!
จนปัญญาเข้าหญิงสาวจึงจำใจต้องย้ายบ้าน แต่โจวเจี้ยนหงแฟนเธอก็ดันไม่ว่างมาช่วยอีก เธอเลยต้องแบกรับทุกเรื่องตามลำพัง
ทว่าความโชคร้ายทั้งหลายทั้งปวงนี้ สำหรับเธอแล้วนับว่าเป็นเรื่องขี้ผง ไม่มีเงินก็หาเอาใหม่ แม้จะหาได้ไม่มาก แต่ก็พอมีพอใช้ไปวันๆ ได้แค่นี้เธอก็รู้สึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองอยู่แล้ว อย่างน้อยไม่ต้องร่อนเร่พเนจรและยังมีข้าวให้กิน อุปสรรคพวกนี้ไม่ทำให้เธอย่อท้อหรอก
“ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอหรอกนะ มี่หยา แต่ตาเจี้ยนหงนั่นทำเกินไปแล้วจริงๆ!”
ภายในห้องเช่าเล็กๆ มีข้าวของมากมายวางระเกะระกะเต็มพื้น สาวเจ้าของห้องนั่งอยู่ท่ามกลางความรก วุ่นวายกับการเก็บกระเป๋าย้ายออก เธอค่อยๆ จัดของใส่กล่องแยกเป็นประเภทต่างๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทน พร้อมกับตอบคำถามเพื่อนรักที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งไม่หยุดไปด้วย
“เรื่องนี้จะโทษเขาก็ไม่ได้ เขาต้องไปทำงานต่างจังหวัด”
“จะไปตอนไหนก็ไม่ไป จำเพาะเจาะจงต้องมาไปตอนเธอจะย้ายบ้านพอดีเลย”
“อย่าพูดอย่างนี้สิ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยนี่นา”
ลู่ฉินเพื่อนรักอดที่จะบ่นไม่ได้ นิสัยอย่างมี่หยามีหรือที่เธอจะไม่รู้ ยัยคนนี้ยอมให้แฟนมากเกินไป แค่เขาแกล้งทำเป็นน่าสงสารเข้าหน่อยก็ใจอ่อน มีเรื่องอะไรรับไว้เองหมด เพื่อนรักเธอมักจะยอมลำบากตัวเองดีกว่าทำให้คนอื่นลำบาก
“ทำไมเธอถึงได้ดีกับเขานักนะ!”
“ก็เขาเป็นแฟนฉันนี่”
“แค่แฟนไม่ใช่สามีสักหน่อย”
“อีกหน่อยก็ใช่แล้ว”
“เขาขอเธอแต่งงานแล้วเหรอ”
“อือ...เราก็มีคุยกันถึงเรื่องอนาคต...”
“งั้นก็ยังไม่ได้ขอ เธอต้องคิดนะว่าคนเรามีปากอยู่กับตัวอยากพูดอะไรก็พูดได้ ไม่ต้องเสียเงินนี่”
แม้ลู่ฉินเพื่อนรักของเธอจะนับว่าเป็นสาวสวยจัดคนหนึ่ง แต่กลับเป็นคนพูดตรงชนิดขวานผ่าซากมาก
มี่หยาเคยชินเสียแล้วที่ลู่ฉินมีอคติกับแฟนหนุ่มที่กำลังคบอยู่ตอนนี้มาตลอด แต่เมื่อเธอปักใจมั่นกับใครแล้วก็จะไม่ไหวเอนไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น
คนรักกันก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน
“อย่าพูดอย่างนี้สิ เขาดีกับฉันมากเลยนะ” มี่หยารีบพูดออกหน้าแทนแฟนหนุ่มเป็นพัลวัน แต่ลู่ฉินไม่เชื่อง่ายๆ หรอก! ผู้ชายอะไรถึงได้ทิ้งให้แฟนจัดการทุกเรื่องเอาเอง แล้วก็อ้างเหตุผลว่าปลีกตัวมาไม่ได้ เป็นแบบนี้มาไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
“เธอใจดีเกินไป ชอบพูดแทนคนอื่นอยู่เรื่อย ระวังจะโดนหลอกเอา! เธอเสร็จอีตาเจี้ยนหงนั่นไปแล้วล่ะสิ”
“ไม่ต้องห่วง เรายังไม่มีอะไรกันหรอก เรื่องนี้ฉันมีจุดยืนของตัวเองอยู่นะ”
ลู่ฉินทำหน้าเหลือเชื่อ “เธอกับเขายังไม่ได้เสียกันอีกเหรอ”
มี่หยาเงยหน้าขึ้นเอ่ยท้วง “ฉันกับเขาไม่ได้เล่นพนันกันนะ ถึงมีได้มีเสีย”
“พวกผู้ชายฮอร์โมนพลุ่งพล่านจะตาย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะยอมปล่อยเธอง่ายๆ แบบนี้ คงไม่ใช่ว่าเขาไร้สมรรถภาพหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นทางที่ดีเธอรีบเลิกกับเขาเลย จะได้ไม่...”
มี่หยาตัดบทเพื่อนรักอย่างไม่สบอารมณ์ “เขาสุขภาพแข็งแรงดีย่ะ!”
“เธอไม่เคยลองจะรู้ได้ไง”
“ก็เห็นเขา ‘ชักธง’ บ่อยๆ อยู่เหมือนกัน”
“แล้วเธอช่วยเขา ‘ลดธง’ รึเปล่าล่ะ”
“เปล่า ฉันให้เขาช่วยตัวเอง”
ลู่ฉินทำเสียงฮึ “ขืนเป็นแบบนี้ ระวังเขาไปให้คนอื่นช่วยหรอก”
“ไม่มีทางหรอก เจี้ยนหงเป็นคนซื่อ เขาเป็นสามีในอุดมคติฉันเลยนะ” มี่หยาพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม และไม่ไหวหวั่นไปกับคำเตือนด้วยความหวังดีของลู่ฉิน เพราะเธอเชื่อว่าคนซื่อตรงอย่างเจี้ยนหงเป็นว่าที่สามีแบบที่ฝันเอาไว้ อีกทั้งเจี้ยนหงไม่เคยฝืนใจเธอ ถ้าเธอไม่ยอม เขาก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ
ในยุคที่เรื่องเพศสัมพันธ์เปิดกว้างแบบนี้ มี่หยายังคงใฝ่หารักแท้บริสุทธิ์แบบหญิงสาวยุคเก่า เธอมีความคิดความฝันมาตั้งแต่เล็กจนโตว่าอยากจะเก็บครั้งแรกของตัวเองไว้มอบให้แก่สามีในคืนแต่งงาน
มีคนมากมายรู้สึกเหลือเชื่อเมื่อรู้ว่าหญิงสาวมีความคิดเช่นนี้ การที่เธอยึดมั่นถือมั่นขนาดนี้ก็เพราะว่าเธอมาจากชนบททางใต้ที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากแม่ซึ่งเป็นคนหัวโบราณที่คอยพร่ำบอกเธอมาตั้งแต่เล็กว่าจะต้องถนอมครั้งแรกอันมีค่าที่สุดไว้ อย่ายอมให้ใครง่ายๆ และจะต้องมอบให้แก่คนที่รักที่สุด
แม้แม่จากไปแล้ว แต่เธอยังจำคำอบรมสั่งสอนของแม่เอาไว้ตลอด และหลังจากมาอยู่ที่ไทเป ไม่ว่าเธอจะคบกับแฟนคนไหน ก่อนที่ความสัมพันธ์จะเลยเถิดไปอีกขั้นหนึ่ง เธอก็มักจะเบรกตัวเองไว้แล้วถามใจดูว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ฉันรักที่สุดในชีวิตใช่ไหม
หญิงสาวได้ข้อสรุปว่า...ถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่เธอรักที่สุด เขาก็ต้องเป็นสามีของเธอ สุดท้ายจึงตัดสินใจได้ว่านอกจากสามีแล้ว เธอไม่ยอมทอดกายให้ใครเด็ดขาด
“แล้วพักนี้เธอก็ดวงตกชะมัดเลย ตอนแรกถูกล้วงกระเป๋า เงินฝากถูกคนแอบถอนไป งานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟในงานปาร์ตี้ก็หลุดลอย ตอนนี้ยังโดนเจ้าของห้องเช่าไล่ออกมาอีก อย่างกับสวรรค์จงใจแกล้งเธอให้หนำใจภายในเดือนเดียวเลย”
มี่หยาส่งเสียงหัวเราะฝืดๆ “อย่างน้อยฉันก็ยังมีเธอนี่ ถึงเงินฝากจะถูกคนแอบถอนไป แต่เพราะเธอให้ฉันยืมเงิน ฉันเลยไม่ต้องกินแกลบแทนข้าว เงินทองหาเอาใหม่ก็ได้ ส่วนค่าเช่าห้องแพงขึ้นก็ย้ายออกไง”
ดวงตาคู่งามของลู่ฉินที่มองเธออยู่แฝงความระอาใจเอาไว้ บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่นิดเดียว
“คนจริงจังกับชีวิตอย่างฉันทำไมถึงได้มีเพื่อนไร้เดียงสาแบบเธอได้ยังไงเนี่ย”
“มองโลกในแง่ดียังไงก็ดีกว่ามองโลกในแง่ร้ายนะ! สวรรค์มีความยุติธรรม ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากแค่ไหน ฉันเชื่อว่าคนเราชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ตอนนี้ฉันโชคร้าย แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉันแน่ จริงไหม”
แม้ลู่ฉินจะเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรักเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง แต่ก็ยังคงวางท่าเฉยเมยตามแบบฉบับของสาวสวยเย็นชา ขณะที่พูดขัดคอออกไป
“ไว้ตื่นเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน” ความหมายก็คือมี่หยากำลังฝันอยู่
มี่หยาไม่ถือสาหาความสักนิดที่เพื่อนรักพูดตรงไปตรงมา
คำพูดที่ว่ามีเรื่องดีๆ ในความโชคร้ายนั้นกล่าวไว้ไม่ผิดเลย จริงๆ แล้วเธอยังยิ้มออกได้ในช่วงเวลาที่ดวงตกขนาดนี้ ก็เพราะว่าเธอมีโชคอยู่อย่างหนึ่ง
การที่เจ้าของห้องเช่าขึ้นค่าเช่ากลับกลายเป็นโอกาสให้เธอหาห้องที่ดีกว่าเดิมได้
เมื่อนึกไปก็น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ ตอนที่เธอร้อนใจอยากหาห้องพักก็พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งอีเมลมาบอกว่ามีห้องเช่าว่างอยู่ จึงถามว่าเธอสนใจหรือเปล่า พร้อมกับส่งที่อยู่และหมายเลขติดต่อมาให้เสร็จสรรพ
ห้องใหม่ทั้งใหญ่ทั้งดีกว่าเก่า วิวหน้าต่างสวย มีเฟอร์นิเจอร์ให้พร้อมหมด และคิดค่าเช่าแค่ครึ่งเดียวของห้องเดิม แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงที่สุดคือมันตั้งอยู่ในย่านเทียนหมู่ซึ่งเป็นเขตที่พักอาศัยหรูหรา
ถ้านี่ไม่ใช่โชคดีแล้วจะเรียกว่าอะไร
แค่นึกว่าอีกหน่อยจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีๆ และสวยงามแบบนี้ก็ทำให้เธอมีแรงใจฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง และมองไปในอนาคตด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
หญิงสาวมีลางสังหรณ์ว่าเมื่อไปอยู่บ้านใหม่แล้ว เธอก็จะมีชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“จริงสิ ห้องใหม่ที่เธอหาได้เป็นยังไงกันแน่”
มี่หยาทำสีหน้ายิ้มๆ เป็นปริศนา เธอไม่ได้บอกลู่ฉินว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน สภาพห้องเป็นยังไง ราคาเท่าไหร่ แล้วยังทำเป็นอุบเงียบไว้ไม่แย้มพรายสักคำ
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
ลู่ฉินย่นหัวคิ้วน้อยๆ “ได้ยินแล้วใจคอไม่ค่อยดีเลย”
“โธ่เอ๊ย เธอต้องมั่นใจในตัวฉันบ้างสิ”
ลู่ฉินไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีเหมือนมี่หยา เท่าที่เธอรู้จักนิสัยเพื่อนรักมา เธอยอมเชื่อหมาแมวที่ไหนสักตัวยังดีกว่าเลย เพราะว่ามี่หยาหาห้องเช่าได้เร็วขนาดนี้ แถมยังพูดว่าเป็นห้องที่เยี่ยมมาก พานให้เธอรู้สึกไม่สบายใจชอบกล แล้วยัยคนนี้ยังชอบทำเป็นลึกลับบอกแต่ว่าอยากทำให้เธอตกใจจนตาค้างไปเลย เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมพูด
เมื่อถึงเวลาที่นัดไว้ตอนบ่าย รถรับจ้างย้ายบ้านก็มาถึง พวกเขาขนกล่องที่พวกเธอแพ็กไว้ขึ้นรถบรรทุกทีละใบ แล้วขับรถพาหญิงสาวทั้งสองคนไปตามที่อยู่ของบ้านใหม่
“ถึงแล้วๆ ที่นี่แหละ”
มี่หยาชี้ไปที่ย่านบ้านพักอาศัยหรูหราข้างหน้าอย่างตื่นเต้น อพาร์ตเมนต์สวยงามสูงสิบแปดชั้น ด้านบนมีแผ่นหินทรงกลมสลักเป็นรูปดอกกุหลาบ ที่นี่ก็คือบ้านใหม่ที่เธอกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่...โรสการ์เด้น บริเวณโดยรอบออกแบบในสไตล์ยุโรป ตกแต่งอย่างงามสง่าและละเอียดประณีต บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศวิไล สิ่งสำคัญคือแต่ละชั้นจะมีเพียงสองห้องเท่านั้น บ้านใหม่ของเธอเป็นห้องหนึ่งในตึกหลังนี้นั่นเอง
เธอคอยกำกับพนักงานบริษัทรับจ้างย้ายบ้านให้ยกกล่องสัมภาระลำเลียงเข้าบ้านใหม่อย่างกุลีกุจอ เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่สิบสาม เธอเดินไปที่ประตูห้องห้องหนึ่งอย่างดีอกดีใจ ชั่ววินาทีที่เธอเปิดประตูออก ห้องที่ตกแต่งได้อย่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลก็ปรากฏโฉมขึ้นตรงหน้า
“ดูสิ สวยใช่ม้า!”
มี่หยาพูดด้วยความรื่นเริงเบิกบาน และร้อนใจอยากจะอวดบ้านใหม่ที่สวยงามน่าอยู่ให้ลู่ฉินเพื่อนรักเห็น
ลู่ฉินยืนอึ้งอยู่หน้าประตู เธอตกใจแทบตาค้างจริงๆ ไม่ใช่เพราะห้องนี้สวยจนคาดไม่ถึงขนาดนี้ แต่เป็น ‘ของ’ ที่อยู่บนกรอบประตูต่างหาก
เธอเหลือบตาทั้งคู่ขึ้นจ้อง ‘ของ’ สิ่งนั้นเขม็ง เธอมองเห็นสิ่งแปลกประหลาดนั่นตั้งแต่แวบแรกเลยทีเดียว หน้าตาจึงเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ตรงมุมซ้ายบนของกรอบประตูมียันต์แผ่นหนึ่งติดอยู่
“...” สีหน้าของหญิงสาวเคร่งเครียดขึ้นถนัดตา เธอยิ้มไม่ออกจริงๆ การติดยันต์ไว้หน้าประตูไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ปกติมักจะแฝงความหมายบางอย่างไว้
“ลู่ฉิน รีบเข้ามาดูสิ” มี่หยาลากเพื่อนรักเข้ามาในห้องด้วยความตื่นเต้น
ลู่ฉินถามเสียงขรึมๆ “เธอ...เห็นของที่แปะอยู่บนประตูหรือเปล่า”
“หือ? ของอะไรเหรอ” สีหน้าตื่นตาตื่นใจแบบนั้นแสดงให้เห็นเลยว่าเพื่อนรักไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ซึ่งมันยิ่งทำให้ลู่ฉินไม่รู้จะพูดยังไงดี
ยัยนี่มองไม่เห็นจริงๆ
ลู่ฉินเริ่มปวดตุบๆ ตรงขมับ บางครั้งมี่หยาทำอะไรไม่ค่อยรอบคอบ และไม่เคยสนใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เลย ตอนที่ได้ยินมี่หยาพูดว่าเช่าห้องได้ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ เธอก็รู้สึกทะแม่งๆ อยู่ในใจแล้ว
หลังจากยกกล่องทั้งหมดเข้ามาในห้องแล้ว มี่หยาก็จ่ายค่าขนของ แถมยังใจดีซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่เลี้ยงพนักงานทั้งสองคนของบริษัทรับจ้างย้ายบ้านพลางพูดขอบอกขอบใจไม่หยุด
พอพวกพนักงานกลับไป มี่หยาจูงลู่ฉินออกเดินอย่างอดใจรอไว้ไม่อยู่ “มา ฉันจะพาเธอไปเดินดูรอบๆ ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่แจ๋วขนาดไหน!”
ลู่ฉินนิ่งเงียบปล่อยให้มี่หยาจูงมือไป เธอดูสงบเยือกเย็นขณะที่มี่หยาตื่นเต้นดีใจ
พอลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง มี่หยาเดินนำหน้าออกไปก่อน ลู่ฉินจึงถือโอกาสลองถามคุณนายคนหนึ่งที่ลงลิฟต์ตัวเดียวกันมาเสียงเบาๆ
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าห้องสองบนชั้นสิบสามของตึกนี้เคยเกิดเรื่องขึ้นใช่ไหม...แล้วเรื่องมันเป็นยังไงคะ” เธอเอ่ยปากถามไม่ทันไรก็สังเกตว่าอีกฝ่ายทำหน้าสยดสยองขึ้นมาราวกับเธอถามเรื่องน่ากลัวอะไรอยู่
“ห้องสองชั้นสิบสาม? คุณมาดูห้องใช่ไหม”
“ค่ะ เพราะว่า...” เธอพูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็พูดทะลุขึ้นมากลางปล้อง
“อย่าเช่าเด็ดขาด แล้วก็อย่าซื้อห้องนั้นด้วย!”
ลู่ฉินนิ่งงัน “เพราะอะไรคะ”
คุณนายคนนั้นมองไปรอบๆ ก่อน จากนั้นทำท่าบอกให้เธอเอาหูเข้ามาใกล้ๆ แล้วเตือนเธอด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง
“ห้องนั้นมีผี”
หางตาของลู่ฉินกระตุกเล็กน้อย นั่นไง...เธอว่าแล้วไม่ผิดเลย ยันต์ที่ติดบนประตูบอกให้รู้ว่าถ้าไม่ใช่มีผีหลอกก็ต้องเป็นบ้านผีสิง นี่แหละเป็นเหตุผลจริงๆ ที่ค่าเช่าห้องถึงได้ถูกนัก
คุณนายจอมสอดรู้สอดเห็นยังคงซุบซิบขยายความต่อไป โดยการเล่าถึงคนที่เคยอยู่ที่ห้องนั้นว่าลงเอยยังไงได้ละเอียดเป็นฉากๆ ให้เธอฟัง
“ใครก็ตามที่มาอยู่ห้องนั้นนะ ร่างกายจะแย่ลงเรื่อยๆ หน้าตาซีดเซียวดูไม่ได้เลยล่ะ เขาลือกันว่าในนั้นเป็นผีผู้ชาย มันเลยชอบคนเช่าห้องที่เป็นผู้หญิงที่สุด จะได้ลักหลับดูดพลังชีวิตไป ถึงจะเอายันต์มาติดแล้วก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี”
แม้ลู่ฉินจะไม่ใช่คนงมงาย แต่พอได้ยินแล้วก็อดเย็นสันหลังวาบๆ ไม่ได้
“ลู่ฉิน มานี่เร็วเข้า!” มี่หยากระโดดโลดเต้นอยู่กลางลานกว้างเหมือนกระต่ายตัวน้อยแสนสุข ใบหน้าเปล่งปลั่งแดงระเรื่อเพราะความเบิกบานใจ เธอดีใจเหมือนได้ซื้อบ้านเป็นของตัวเองขณะกวักมือเรียกลู่ฉินเป็นการใหญ่ “ดูสิ สวยจังเลยเนอะ ฉันโชคดีมากจริงๆ คุณนายเจ้าของห้องเช่าเป็นคนดีมากเลยนะ ยอมเช่าห้องให้ถูกขนาดนี้ ฉันเลยตกลงเซ็นสัญญาเช่าไปรวดเดียวสามปีเลย”
“เธอเซ็นสัญญาเช่าสามปี?”
“ห้องดีๆ แบบนี้ แถมยังถูกแสนถูก ก็ต้องเซ็นสัญญานานหน่อยสิ! ฉันยังจ่ายค่าเช่าให้เจ้าของห้องไปทีเดียวสามเดือนเลยนะ เผื่อเขาเกิดนึกเสียใจทีหลังขึ้นมาจะได้กลับคำไม่ได้”
คนที่นึกเสียใจทีหลังเป็นตัวเธอเองมากกว่ามั้ง ดันวู่วามจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปตั้งสามเดือน?! ลู่ฉินหายใจไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหันจนเกือบจะชักคาที่ไปแล้ว
หญิงสาวอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่พอคำพูดมารอที่ปลายลิ้นก็จำต้องกล้ำกลืนกลับลงคอไปในที่สุด เธอเห็นเพื่อนรักดีใจราวกับได้ขึ้นสวรรค์ ถึงพูดอะไรไปก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นแล้ว ฉะนั้นอย่าบอกเสียเลยจะดีกว่า
“ลู่ฉิน ดูสิๆ มีสระว่ายน้ำอุ่นในร่มด้วย อีกหน่อยเธอมาค้างที่นี่ เราจะได้ว่ายน้ำด้วยกัน แล้วฉันยังทำกับข้าวอร่อยๆ ให้เธอกินได้อีกด้วยนะ!”
“หวังว่าดวงเธอจะแข็งพอ...”
“อะไรนะ”
“ไม่มีอะไร”
ลู่ฉินทอดถอนใจเมื่อมองรอยยิ้มสดใสไม่มีพิษภัย บางทีคนไม่รู้อาจมีความสุขตามประสาคนไม่รู้ก็เป็นได้ มี่หยาเป็นคนไม่คิดอะไรมากขนาดนี้ แล้วยังมองโลกในแง่ดีด้วย ไม่แน่ว่าแม้แต่มีผีหลอกตอนกลางคืนเธอยังไม่รู้เรื่องเลย
การไม่รับรู้เป็นความสุขอย่างหนึ่ง ดังนั้นดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน
ตกค่ำเวลาหนึ่งทุ่มเศษ พระอาทิตย์ตกแล้ว
หน้าประตูลิฟต์ของโรสการ์เด้นมีกลิ่นหอมของหญิงสาวที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก
อี้หลุนซึ่งยืนอยู่หน้าลิฟต์เอียงคอมองไปด้านข้าง จึงเห็นผู้หญิงสามคนยืนอยู่ใกล้ๆ
ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในพวกแวมไพร์ ซึ่งนอกจากจะมีรูปร่างหน้าตางดงามหล่อเหลาแล้ว พวกเขายังมีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้ามด้วย
พอเขากวาดตามองไปที่ผู้หญิงคนแรก เธอคนนั้นก็หน้าแดงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาได้ยินเสียงเลือดสูบฉีดอยู่ใต้ผิวหนัง และความดันเลือดกำลังพุ่งสูงขึ้นเพราะเขามองอยู่
สายตาของเขาย้ายไปหาผู้หญิงคนที่สองซึ่งได้ผลไม่ต่างกัน แม้ผู้หญิงคนนั้นจะดูภายนอกสงบนิ่ง แต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัวหลอกกันไม่ได้ หูของเขาไวจนได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นเร็วขึ้น และยิ่งเขาจ้องมากขึ้น มันก็ยิ่งเต้นถี่ขึ้น
สุดท้ายเขาเบนสายตาไปมองหน้าผู้หญิงคนที่สาม เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาโดยไม่รู้ตัวราวกับรู้สึกได้ว่าเขาจับจ้องอยู่ วินาทีที่สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ส่วนชายหนุ่มแค่หยักยิ้มบางๆ
ทุกคนเดินเข้าไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก มี่หยาก็เข้าไปด้วยเช่นกัน แต่เธอจงใจหันหน้าไปอีกทางจะได้ไม่ต้องมองอี้หลุน
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
มี่หยาย่นหัวคิ้วน้อยๆ เธอจำเขาได้ตั้งแต่แวบแรก พลางนึกในใจว่าเขาคงพักอยู่ที่นี่เหมือนกันกระมัง
อี้หลุนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ทุกอย่างเป็นไปตามคาด เขาไม่รู้สึกว่าความดันเลือดสูงขึ้นผิดปกติแต่อย่างใดเลย ไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเร็วขึ้น ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้สึกแล้วก็ไม่สนใจเลยสักนิดว่าเขาจ้องมองอยู่ และออกจะรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำไป แถมยังแกล้งทำเป็นไม่รู้จักอีกต่างหาก
หญิงสาวอีกสองคนเดินออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นของตัวเองไปทีละคน โดยก่อนไปจะเหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยความเสียดาย และเมื่อเขาโปรยยิ้มน้อยๆ สุดเซ็กซี่ไปให้ อีกฝ่ายก็จะอมยิ้มหน้าแดงด้วยความขวยเขิน
ประตูปิดลง ในลิฟต์เหลือแค่เขากับมี่หยาเท่านั้น
หากเป็นเมื่อสามร้อยปีก่อนเขาได้เจออาหารหายากแบบนี้ คงจะรีบลงมือทันทีอย่างแน่นอน
กัดเธอดีไหม ไม่ดีอยู่แล้ว นั่นมันเป็นวิธีกินแบบป่าเถื่อน เขาก็เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งนะ แล้วในลิฟต์ยังมีกล้องวงจรปิดอีกด้วย เขาย่อมต้องไม่โง่ถึงขนาดปล่อยให้โดนถ่ายเอาไว้เพื่อป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตัวเขาเป็นแวมไพร์หรอก อีกทั้งเขาเลิกวิธีกินแบบป่าเถื่อนมาตั้งนานแล้ว
หญิงสาวย้ายมาตามแผนการของเขา และเดินเข้าใกล้กับดักที่วางไว้ทีละก้าวๆ โดยเข้ามาอยู่ในห้องที่เขาจัดเตรียมให้ ในที่แคบๆ แบบนี้แค่ได้กลิ่นของเธอก็ปลุกให้เลือดในตัวเขาพลุ่งพล่านไปหมด
พอไฟสัญญาณลิฟต์มาถึงชั้นสิบสาม มี่หยาเดินดุ่มๆ ออกไปโดยไม่รอช้า ส่วนอี้หลุนก้าวเดินตามหลังมา เธอจึงหันกลับไปถลึงตาใส่เขาอย่างอดทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“คุณตามฉันมาทำไม”
อี้หลุนไม่รู้สึกสะทกสะท้านสักนิดเมื่อต้องเผชิญกับสีหน้าหวาดระแวงไม่พอใจของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาแฝงรอยยิ้มไว้อย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ตามคุณมานะ”
“อย่าดีกว่า ไม่งั้นคุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง ขึ้นลิฟต์มากับฉัน แล้วยังออกจากลิฟต์พร้อมกับฉันอีก”
“ที่แท้คุณยังจำผมได้”
หญิงสาวรู้สึกหน้าแตกอยู่บ้าง เพราะเมื่อกี้จงใจแกล้งทำเป็นจำเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับเผลอหลุดปากออกมาเอง! ในเมื่อพูดไปแล้วก็ต้องเลยตามเลย และถึงเขาจะรู้ก็ช่างปะไร เธอจึงทำเป็นวางหน้าปั้นปึ่ง
“จำได้สิ พวกลูกเศรษฐีขี้เก๊ก”
“ผมชื่อจงอี้หลุน”
“ฉันไม่ได้ถามชื่อคุณสักหน่อย”
“คุณรู้ไว้ก็ไม่เสียหลายหรอก ยังไงอีกหน่อยเราคงได้เจอหน้ากันบ่อยๆ”
มี่หยามองค้อนเป็นเชิงบอกว่าไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา แต่ในตอนที่เขาหยิบกุญแจออกมาเสียบเปิดประตูห้องติดกัน สีหน้าเธอก็นิ่งอึ้งไปเลย
“คุณอยู่ห้องข้างๆ เองเหรอเนี่ย”
อี้หลุนเปิดประตู พร้อมกับยิ้มตรงมุมปากแฝงความหมายล้ำลึก
“อีกหน่อยเราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เขาขยิบตาสีดำเป็นประกายให้เธอก่อนจะเข้าห้องไป จากนั้นก็ปิดประตูทิ้งให้เธอยืนทำตาปริบๆ อยู่ที่เดิม
เธอไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะย้ายมาอยู่ห้องติดกับเขาจนกลายเป็นเพื่อนบ้านกันไปได้!
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเธอจะสะบัดหัวแรงๆ เพื่อเรียกสติคืนมา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เพื่อนบ้านก็เพื่อนบ้านสิ ใครกลัวใครกันแน่ อย่างน้อยไม่ต้องสนใจเขาก็สิ้นเรื่อง เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะทำอะไรเธอได้
พอเธอเข้าไปในห้อง คนที่อยู่ในห้องรับแขกก็หันหน้ากลับมาส่งเสียงทักทาย
“กลับมาแล้วเหรอ” ลู่ฉินนั่งดูรายการทีวีจากโทรทัศน์หน้าจอแอลซีดีอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกพลางบ่นงึมงำไปด้วย “มีเฟอร์นิเจอร์กับเครื่องใช้ไฟฟ้าดีๆ ให้แบบนี้...ก็พูดยากนะ ไม่ใช้ของพวกนี้มาล่อใจ ใครจะกล้าเช่าห้องผีสิงล่ะ...”
“หือ? เธอว่าอะไรนะ” มี่หยาถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร”
มี่หยาวางคีย์การ์ดกับกุญแจซึ่งเจ้าของห้องเช่าให้มาสามชุดบนเคาน์เตอร์ เธอให้ลู่ฉินไว้ชุดหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้เพื่อนรักมาหาเธอได้ทุกเวลา และเป็นการป้องกันเผื่อว่าวันไหนเกิดลืมติดกุญแจไป ยังตามเพื่อนรักให้มาช่วยได้
“เอ๊ะ? เธอซื้อกับข้าวมาด้วยเหรอ”
มี่หยาเห็นถุงใบใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ ของทะเลแล้วก็ผักสด จึงหันหน้าไปมองลู่ฉินในห้องรับแขกด้วยความงุนงง
ลู่ฉินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันดีใจกับเธอด้วยที่ได้ย้ายบ้าน เลยซื้อของพวกนี้ให้เป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่ ฉันคิดอยู่หลายตลบก็รู้สึกว่าอาหารเหมาะสมที่สุด และก็คิดว่าฉันอาจต้องมากินข้าวบ้านเธอ แล้วฉันก็เป็นคนกินยาก ถึงได้ซื้อของดีๆ มาให้ จะได้ไม่ต้องฝืนทนกินของที่ไม่ชอบ เธอทำให้อร่อยๆ หน่อยละกัน ไม่งั้น...”
“ขอบใจนะ!” มี่หยาวิ่งโถมตัวเข้าไปกอดลู่ฉิน เป็นผลให้เสียการทรงตัวจนล้มลงไปบนโซฟาด้วยกันทั้งคู่ มี่หยาสุดแสนจะซาบซึ้งใจ “ขอบใจนะลู่ฉิน” เธอรู้ว่าลู่ฉินตั้งใจซื้อมาให้เธอโดยเฉพาะ เพราะกลัวว่าเธอจะอดมื้อกินมื้อเพื่อประหยัดเงิน เพียงแต่ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ จึงใช้วิธีนี้เพื่อแสดงออกถึงความห่วงใยเธอ
“แค่ซื้อกับข้าวให้เท่านั้นเอง เธอก็ซึ้งถึงขนาดนี้เลย ไม่เว่อร์ไปหน่อยหรือไง” แม้ลู่ฉินจะไม่พูดยอมรับตรงๆ แต่แววตาบนใบหน้าเย็นชาทอประกายอ่อนโยนแบบที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก ขณะที่เอามือตบหลังยัยสาวอารมณ์อ่อนไหวคนนี้เบาๆ
“ลู่ฉิน เธอดีกับฉันที่สุดเลย ฉันรักเธอที่สุด ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอนะ” เธอให้คำมั่นอย่างแข็งขันเต็มปากเต็มคำ ลู่ฉินเลิกคิ้วขึ้นและพูดสวนกลับโดยไม่หยุดคิดแม้แต่นิดเดียว...
“เลิกกับเจี้ยนหงซะ”
“ไม่เอา” เธอปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
ลู่ฉินมองนาฬิกาข้อมือ “คำสัญญาของเธออยู่ได้แค่วินาทีเดียวเอง”
“โธ่ อย่าเอาเรื่องนั้นมาปนกันสิ ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบเจี้ยนหง แต่ว่า...”
“ผู้ชายคนนี้พึ่งพาไม่ได้ เขาจะทำให้เธอน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
“เอ่อ...ฉันไปหุงข้าวทำอาหารนะ” เธอตัดสินใจหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าเหมือนเต่าหดหัว โดยการเด้งตัวขึ้นจากโซฟาแล้วหนีเข้าห้องครัวไปเพื่อหลบสายตาคมกริบของลู่ฉิน
ในตอนนี้เองมีเงาดำวูบผ่านมาตรงด้านนอกระเบียง ก่อนจะทิ้งตัวลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง นัยน์ตาสีฟ้าคู่หนึ่งจ้องเขม็งที่แผ่นหลังอ้อนแอ้นแบบบางในห้องรับแขกผ่านทางหน้าต่างบานยาว
ลู่ฉินซึ่งอยู่ในห้องรับแขกยกสองมือเท้าเอว พร้อมกับถลึงตามองมี่หยาที่หลบเข้าห้องครัวไปพลางสบถพึมพำไปด้วย เธอไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่ามีสายตาลุกวาวคู่หนึ่งจับตาดูเธออยู่ทางด้านหลัง
เจสันแอบมาที่ด้านหลังของลู่ฉินเงียบๆ ดวงตาเขาเป็นประกายวาววับเมื่อได้เห็นสาวตะวันออกสวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เขาไม่ได้สนใจมี่หยา แต่รู้สึกสนใจสาวสวยผมยาวที่ไม่รู้จักชื่อคนนี้อย่างมาก
“ยัยคนนี้ทำตัวเป็นนกกระจอกเทศอีกแล้ว” ลู่ฉินบ่นงึมงำ
ปกติหญิงสาวไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน มีเพียงแค่เรื่องของเพื่อนสนิทรู้ใจอย่างมี่หยาคนเดียวเท่านั้นที่เธอไม่อาจนิ่งดูดายได้ มี่หยาสมควรจะได้รับความรักความเอาใจใส่จากผู้ชายที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่เจี้ยนหงที่เห็นเพื่อนเธอเป็นของตาย พอต้องการก็โผล่หน้ามาหา แต่พอมี่หยาต้องการเขาบ้างก็กลับหายเข้ากลีบเมฆไป ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มาถามไถ่
มี่หยารักแบบไม่มีสติเกินไปแล้ว ถึงเธอต้องกลายเป็นคนใจร้ายที่ทำลายความรักของพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชายห่วยๆ มาเหยียบย่ำความจริงใจของเพื่อนเธอเด็ดขาด!
ฉับพลันเธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่ด้านหลังจึงหันขวับไปทันที
มีชั่วแวบหนึ่งที่เธอคิดไปว่ามีคนอยู่ข้างหลัง แต่พอหันไปดูกลับไม่มีอะไรเลย
เธอมองไปรอบตัวอย่างงงๆ สุดท้ายก็มองไปที่ระเบียงจึงถึงบางอ้อในที่สุด ที่แท้เป็นเพราะลมพัดเข้ามาทางระเบียงนี่เอง แต่ว่า...เมื่อกี้นี้หน้าต่างระเบียงปิดอยู่ไม่ใช่หรือ
หญิงสาวไม่ได้สังเกตว่าบนเพดานด้านบนเหนือศีรษะมีผู้ชายคนหนึ่งเกาะอยู่เหมือนจิ้งจก ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้น เงาดำนั้นทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็ว และตอนที่เธอหันกลับไป เงาดำนั่นก็หลบไปด้านหลังโซฟาด้วยความคล่องแคล่วว่องไวผิดมนุษย์
แม้ลู่ฉินจะไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่ก็รู้สึกพิกลๆ ตั้งแต่ที่เห็นยันต์บนประตูอยู่แล้ว เธอจึงระแวงห้องนี้มาตลอด และรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ตอนนี้เธอยังรู้สึกเหมือนมีคนเป่าลมหายใจรดหูอีก
เธอเดินไปที่ห้องครัวโดยไม่รู้ตัวว่าเงาดำลึกลับด้านหลังตามมาเงียบๆ
“มี่หยา เธออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว เกิดเรื่องอะไรแปลกๆ บ้างมั้ย”
“หือ? อะไรเหรอ” มี่หยาเปิดน้ำเสียงดังซู่ซ่าๆ จึงได้ยินคำถามของเพื่อนรักไม่ชัด ลู่ฉินเลยต้องส่งเสียงดังขึ้น
“ฉันถามว่าเธออยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง”
“ดีมากเลย”
“ตอนกลางคืนหลับสนิทมั้ย”
“อื้อ มีอะไรเหรอ”
“เธอไม่รู้สึกว่าห้องนี้แปลกๆ เลยเหรอ”
“แปลกยังไงล่ะ”
ลู่ฉินหยุดคิดก่อนจะเอ่ยตอบ “พูดยังไงดีน้า อย่างมีบางครั้งรู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลัง...”
แวมไพร์หนุ่มเข้ามาใกล้เพื่อดมกลิ่นเธออย่างแผ่วเบา
“แต่พอหันไปก็ไม่เห็นใครเลย...”
พอเธอหันหน้าไป เงาดำก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“บางครั้งก็รู้สึกมีลมเย็นๆ พัดวูบผ่านมา เหมือนมีคนเป่าลมเบาๆ ที่แก้ม...”
พอเธอเบือนหน้ากลับมา เงาดำก็ไปโผล่ที่ข้างหลังเธออย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
“ว้าย!”
จู่ๆ มี่หยาก็ส่งเสียงอุทานดังลั่นเป็นผลให้เธอสะดุ้งเฮือก
“เป็นอะไรของเธอเนี่ย อยากให้คนอื่นตกใจตายหรือไง”
มี่หยาปิดน้ำ แล้วหันหลังกลับมาพูดอย่างรู้สึกผิด “ฉัน...ลืมซื้อมีดมาล่ะ”
ลู่ฉินกลอกตาขึ้น “ฉันนึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายอะไร ช่างเหอะ เราออกไปกินข้างนอกกันเถอะ”
“อย่าเลยนะ เธอรอฉันก่อน ฉันจะไปซูเปอร์ฯ ซื้อมีดกลับมาเดี๋ยวนี้เลย” มี่หยาพูดจบก็จะรีบออกไปทันที แต่ถูกลู่ฉินคว้าคอเสื้อดึงกลับมา
“ไม่ต้องหรอก เราไปกินข้าวฟรีกัน”
มี่หยาโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ได้นะ ฉันใช้เงินเธออีกไม่ได้ เธอให้ฉันยืมเงินแล้ว ฉันจะเอาแต่พึ่งเธอไม่ได้หรอก”
ดวงตาคู่งามเหล่มองเพื่อนรัก “ฉันมีพูดมั้ยว่าจะเลี้ยง”
“หือ? แต่เมื่อกี้เธอพูดว่า...”
“มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังตามจีบฉันอยู่ เขาชวนไปกินข้าว แต่ฉันปฏิเสธไป ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว ฉันตัดสินใจแหกกฎให้เขาเลี้ยงสักมื้อก็ได้”
ช่างเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจชะมัดเลย! เธอกะพริบตาแวววาวสุกใสปริบๆ พร้อมกับทำหน้าลังเล ทั้งๆ ที่อยากไป แต่ก็ยังสองจิตสองใจ
“แต่ว่า...อย่างนี้จะดีเหรอ เขาจะเลี้ยงข้าวเธอ แล้วฉันตามไปแบบนี้ ดูเหมือนไม่ค่อยดีนะ...”
“ไม่ไปก็ตามใจ” ลู่ฉินหันหลังเดินไป มี่หยารีบปรี่เข้าไปกอดเพื่อนรักไว้แบบที่เรียกได้ว่าแทบจะลงไปกอดขาอ้อนวอนลู่ฉินเลยทีเดียว
“ไปด้วยๆ ฉันอยากไป...”
“งั้นก็ไม่ต้องพูดมาก”
มี่หยารีบคว้ากุญแจเพราะกลัวลู่ฉินจะทิ้งเธอไว้ หลังจากปิดไฟและล็อกห้องแล้วก็เกาะติดเพื่อนรักเหมือนตังเม และเอาหัวพิงไหล่อย่างประจบประแจง
“ลู่ฉิน เธอดีกับฉันที่สุดเลย ไม่รู้ว่าฉันทำบุญมาแต่ชาติไหนถึงได้มีเพื่อนดีๆ แบบเธอ ฉันควรจะตอบแทนเธอยังไงดีน้า...”
“เลิกกับเขาซะ”
ใบหน้าที่ซบบนไหล่ผละออกทันทีและหุบยิ้มลง
“คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้นะ ฉันไม่ไปแล้ว” มี่หยาพูดจบก็หันหลังเดินกลับไปอย่างมีศักดิ์ศรี แต่มีมือเอื้อมมาดึงคอเสื้อเธอไว้
“ไปน่า ยัยสาวโบราณคร่ำครึ” เพื่อนรักออกแรงทีเดียวก็ลากตัวเธอเข้าลิฟต์ไป
“ผู้หญิงข้างห้องคนนั้น ฉันจองนะ” เจสันเอ่ยกับอี้หลุน
เขาเริ่มนึกสนุกขึ้นมาบ้างเมื่อเจอสาวสวยตรงสเป็ก แม้เขาจะรู้ว่าอี้หลุนไม่สนใจหรอกว่าเหยื่อจะสวยหรือไม่สวย แต่ยังไงเขาต้องบอกให้รู้ไว้ก่อน
อี้หลุนมองคู่หูด้วยสายตาคมกริบ
“ใคร”
“ไม่ต้องทำตาดุขนาดนั้นเลย ฉันหมายถึงเพื่อนของมี่หยา สาวจีนคนสวยผมยาวคนนั้นต่างหาก”
ดวงตาสีดำคมกริบเปลี่ยนเป็นกระด้างเย็นชาเหมือนเดิม “เรื่องของนาย ขอแค่อย่ามายุ่งกับเหยื่อของฉันก็พอ”
นอกจากมี่หยาแล้ว อี้หลุนไม่สนใจผู้หญิงคนอื่น เขาอดนึกถึงตอนเจอเธอในลิฟต์เมื่อครู่นี้ไม่ได้ เธอไม่แม้แต่จะมองเขาตรงๆ เลย
ไม่ได้เห็นผู้หญิงค้อนให้มานานแค่ไหนแล้วนะ เขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ยังรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มี่หยายิ่งระวังตัว เขายิ่งรู้สึกสนุกท้าทาย
ผู้หญิงที่ไม่หลงเสน่ห์เขาทำให้จิตใจที่ชืดชากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เขาผ่านโลกมามากมายจนรู้ว่าชีวิตมนุษย์ไม่เที่ยงแท้ ในสายตาเขาผู้หญิงจะสวยขนาดไหนก็เป็นเพียงแค่เนื้อหนังที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอะไรได้แล้ว
การที่ได้เจอกับผู้หญิงที่ไม่หวั่นไหวกับมนตร์เสน่ห์ของตัวเขาเลยสักนิดให้ความรู้สึกน่าอัศจรรย์จริงๆ เธอเห็นสายตาของเขาแล้วอยากวิ่งหนีแทบไม่ทันเหมือนเจอหมาป่า อีกทั้งเธอยังเป็นผู้หญิงที่มีเลือดกรุ๊ปอาร์เอชเนกาทีฟอีกด้วย เพียงแค่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ กลิ่นหอมอบอวลของเธอชวนให้เขาผ่อนคลายสบายใจไปหมด
“เพื่อนยาก ตอนนี้ฉันเป็นแนวร่วมเดียวกับนายแล้วนะ นายจะเริ่มลงมือเมื่อไหร่”
“ยังต้องรอเวลาอีกนิดหน่อย”
“น่าสงสารจัง ถ้าเธอรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือนายล่ะก็ เธอคงเกลียดนายน่าดูเลย”
“ในเมื่อจิตใจเธอไม่ยอมหวั่นไหวไปกับฉัน งั้นก็ต้องใช้วิธีตรงกันข้าม แค่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพซึมเซาหดหู่ รอให้พลังใจของเธออ่อนลง ฉันถึงจะฉวยโอกาสได้”
ความสุขของการล่าเหยื่อสามารถกระตุ้นแรงปรารถนาลึกที่สุดของเขาขึ้นมาได้ อีกไม่นานเขาก็จะสามารถสะกดจิตเธอได้สำเร็จ เพื่อให้เขาได้ดูดดื่มเลือดอร่อยๆ ได้ตามสะดวก แต่ขณะเดียวกันเขาก็หวังว่าเธอจะไม่ถูกจับได้ง่ายเกินไป เพราะยิ่งระดับความยากสูงยิ่งทำให้เขาเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อมากขึ้น
การรอคอยเป็นสิ่งทรมานใจ แต่เขาจะอดกลั้นเอาไว้ สำหรับแวมไพร์แล้วเวลาเป็นสิ่งไม่มีค่า แต่การมาปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้ทำให้ทุกๆ วินาทีของเขาผ่านไปอย่างมีความหมาย
“มา ดื่มฉลองให้กับเพื่อนบ้านของเราที่เพิ่งย้ายมาใหม่กันหน่อย” เจสันยกแก้วทรงสูงขึ้น
เรียวปากบางน่ามองของอี้หลุนกระตุกยิ้มขณะยกแก้วเหล้าขึ้น เลือดที่อยู่ในนั้นส่องประกายระยิบระยับเป็นสีทับทิมเหมือนไวน์แดงกระจ่างใส
“เชียร์ส”
ความคิดเห็น