คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
บทที่ 2
ลู่ฉินตื่นขึ้นมาตอนใกล้จะเที่ยงวัน
เธอนั่งอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ ห้อง ด้านหนึ่งของเตียงว่างเปล่าเหลือเธออยู่เพียงลำพัง เจสันหายตัวไปเหมือนเคย หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในค่ำคืนที่ร้อนแรง พอตื่นขึ้นในวันต่อมาก็จะต้องเหลือเธออยู่คนเดียวทุกครั้ง
“ตาบ้านั่นยุ่งเรื่องอะไรกันแน่นะ” ลู่ฉินอดบ่นพึมพำไม่ได้ เธอซุกตัวอยู่ในผ้าห่มโดยไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น ผิวเนื้อเนียนนุ่มยังคงมีรอยจูบของเขาหลงเหลืออยู่
ตั้งแต่พวกเขาคบกันมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านค่ำคืนสวยงามแสนสุขสมร่วมกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เจสันจะออกไปตอนเธอหลับสนิททุกครั้ง ซึ่งทำให้เธอสงสัยมากขึ้นทุกที
ถ้าเป็นวันธรรมดาก็แล้วไป แต่วันหยุดก็ยังเป็นแบบนี้อีก จะมีคนที่ยุ่งขนาดหายตัวไปตั้งแต่เช้ามืดในวันหยุดทุกครั้งด้วยหรือนี่
หลังจากเธอลงจากเตียงช้าๆ และสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เปิดประตูเดินออกไปนอกห้อง
“คุณลู่ฉิน อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
คนรับใช้ของเจสันรออยู่หน้าห้อง
“เจสันล่ะ?”
“ท่านออกไปทำธุระข้างนอกแล้วค่ะ ก่อนออกไปท่านกำชับไว้ว่าถ้าคุณอยากนอนพักต่อก็เชิญตามสบาย ถ้ารู้สึกหิว อาหารเช้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่ถ้าคุณอยากอาบน้ำ ดิฉันจะรีบไปรองน้ำให้ทันที”
แม่บ้านวัยกลางคนตอบอย่างมีพิธีรีตอง ท่าทางของเธอดูจงรักภักดีต่อเจ้านายอย่างยิ่ง ไม่ช่างพูด ถามอะไรก็เอาแต่ตอบว่าไม่รู้ ทุกครั้งที่หญิงสาวถามว่าเจสันไปไหน เธอจะต้องบอกว่าเขาออกไปทำธุระ
เอาเถอะ เธอมีแผนการอยู่ในใจแล้ว
“ฉันอยากอาบน้ำ”
“ได้ค่ะ ดิฉันจะไปเตรียมให้คุณทันทีเลย”
บ้านของเจสันเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่ชานเมืองไทเป มีแม่บ้านคอยดูแลความเรียบร้อย เธอสุภาพและมีมารยาทอย่างมาก เวลาหญิงสาวอยู่ที่นี่จึงเหมือนเป็นการมาพักผ่อนตากอากาศ
ห้องน้ำที่นี่ขนาดใหญ่กว่าร้อยห้าสิบตารางเมตร กลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่วห้อง เมื่อมองจากระเบียงห้องน้ำซึ่งปลูกดอกไม้ไว้เต็มพรืดไปหมดจะเห็นท้องฟ้าสีคราม การนอนแช่ตัวอยู่ในอ่างสีขาวที่โปรยกลีบดอกกุหลาบไว้จนเต็มเป็นความสุขชั้นยอดเลยทีเดียว
ตั้งแต่คบกับเจสันมาจนถึงตอนนี้ เธอลอยละล่องอยู่ท่ามกลางความรักที่เขามอบให้ เขาดีต่อเธอมากอย่างไม่มีที่ติ แต่พวกเขาสองคนไม่เคยออกไปเดตกันในเวลากลางวันเลย ตอนแรกเธอไม่รู้สึกสนใจนัก แต่พอนานวันเข้าความระแวงสงสัยในใจก็เริ่มทวีมากขึ้นทุกที
เพราะอะไรเขาจึงมักหายตัวไปในตอนกลางวันและปรากฏตัวในตอนกลางคืน
เธอเคยบ่นเรื่องนี้แล้ว แต่เขายอมรับปากเธอได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำไม่ได้ สิ่งที่ชอบกลมากกว่าคือหลังจากที่ทั้งสองคนสุขสมอารมณ์หมายแล้ว เธอต้องหลับเป็นตายทุกครั้ง ไม่รู้ว่าเจสันออกไปตอนไหน
เธอไม่ใช่คนหลับลึก เพราะฉะนั้นตามหลักแล้วตอนเจสันออกไป เธอน่าจะรู้สึกตัวบ้าง แต่ทุกครั้งที่อยู่กับเขา เธอจะหลับสนิทเป็นพิเศษและนอนรวดเดียวจนฟ้าสว่าง
เธอไม่อยากอยู่กับเขาเฉพาะตอนกลางคืนเหมือนที่แล้วๆ มา เลยอุตส่าห์ดื่มกาแฟอัดเข้าไปหลายๆ แก้ว เพื่อไม่ให้ตัวเองหลับไม่รู้เรื่องหลังจากร่วมรักกันเสร็จแล้ว และปล่อยให้เจสันถือโอกาสแอบหนีออกไป แต่เธอยังคงลงเอยด้วยการหลับจนถึงเช้าอยู่ดี
แล้วที่น่าแปลกใจก็คือเธอนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปได้ยังไง
จุดที่น่าสงสัยยังมีอีกจุดหนึ่ง นั่นคือตอนกลางวันเธอไม่เคยติดต่อเจสันได้เลย เธอโทรเข้ามือถือเขาไม่เคยติดสักครั้ง ชายหนุ่มอ้างว่าคนเป็นหมอนิติเวช เวลาทำงานจะไม่สะดวกรับสายหรือพบใครๆ ในตอนกลางวัน
เธอไม่เชื่อที่เขาบอกเลยสักนิด ทำงานแม้แต่ในวันหยุดเนี่ยนะ มีพิรุธชัดๆ
เขาคงไม่ได้แอบมีครอบครัวอยู่ข้างนอกหรอกมั้ง
ความคิดนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นระทึก วิญญาณความเป็นนักข่าวทำให้เธอช่างสงสัยไปเสียทุกเรื่องเป็นธรรมดา จึงโทษไม่ได้ที่เธอจะขี้ระแวงแบบนี้ แค่ได้กลิ่นทะแม่งๆ ก็กระตุ้นให้เธออยากขุดคุ้ยความจริงแล้ว อีกทั้งเธอก็เป็นผู้หญิงสวยจัดคนหนึ่ง จึงดึงดูดผู้ชายให้เข้ามารุมล้อมเธอได้มากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ดังนั้นเธอต้องฉลาดให้มากขึ้นเพื่อจะได้กลั่นกรองว่าผู้ชายคนไหนดี คนไหนไม่ดี
ถ้าเจสันมีครอบครัวแล้ว งั้นเธอก็คบอยู่กับผู้ชายที่มีเมียแล้วน่ะสิ
พอนึกถึงความน่าจะเป็นข้อนี้ขึ้นมา เธอก็อดโมโหไม่ได้ ถ้าเธอเป็นมือที่สามล่ะก็ เธอจะเล่นงานเขาให้หมอบเลย!
เธอไม่มีวันยอมให้ตัวเองตกต่ำขนาดนั้นแน่ เธอจึงตัดสินใจจะค้นหาความจริงด้วยตนเอง เพื่อสืบให้รู้ว่าเจสันไปไหนทำอะไรในเวลากลางวัน
ดังนั้นแม้ครั้งนี้เธอจะนอนตื่นสายจนรั้งตัวเจสันไว้ไม่ทันอีกแล้ว แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะครั้งนี้เธอเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
เธอแกล้งบอกว่าอยากอาบน้ำ แต่ความจริงแล้วมันเป็นแค่ข้ออ้างบังหน้าโดยมีจุดประสงค์จะกันตัวแม่บ้านออกไป เพื่อที่เธอจะได้ดำเนินแผนการขั้นต่อไป
หญิงสาวถือโอกาสหลบออกไปตอนที่แม่บ้านกำลังรองน้ำเตรียมให้เธอ ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากคฤหาสน์นักมีรถมินิแวนคันหนึ่งจอดรออยู่
เธอตรงดิ่งไปทางรถคันนั้นจนมาถึงที่นั่งตอนหลัง แล้วเคาะประตูรถสามครั้ง ประตูรถถูกเปิดออกจากด้านใน ถังซินจี๋ซึ่งผูกผมหางม้า หน้าตาคมขำ และดวงตาสุกใสเป็นประกายส่งยิ้มแฉ่งให้เธอ
“โหย กว่าจะตื่นได้”
“โทษที ฉันตื่นสายไปหน่อย” ลู่ฉินมุดเข้าไปในรถพร้อมกับถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพวกเธอยังอยู่ที่นี่อีก ไม่ได้สะกดรอยตามเขาไปเหรอ”
“วางใจได้ เราตามรอยเขาอยู่ตลอด”
“งั้นก็รีบไปสิ ฉันอยากจะรู้ว่าตอนกลางวันเขาไปไหนกันแน่”
“ไม่ต้องไปไหนหรอก เขายังอยู่ในบ้านอยู่เลย”
ลู่ฉินทำหน้างงงวย “เขาอยู่ในบ้านเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
“เธอเอาเครื่องติดตามตัวอันเล็กๆ ที่เราให้ไว้ไปติดบนตัวเขาหรือเปล่า”
“ติดแล้ว ฉันเอาเครื่องติดตามตัวแปะไว้ด้านหลังหูเขาตามที่เธอบอกแล้ว ถึงเขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรืออาบน้ำก็หาไม่เจอง่ายๆ หรอก เพราะมันเล็กอย่างกับเม็ดข้าว แถมบางเหมือนกระดาษ”
“งั้นเขาก็ยังอยู่ในบ้านตามที่แสดงไว้บนหน้าจอจริงๆ เพราะถ้าเขาออกจากบ้านไปแล้วล่ะก็ ไม่มีทางหลุดลอดจากสายตาของสามีฉันได้ จริงมั้ยที่รัก” ซินจี๋หันไปถามผู้ชายที่อยู่ข้างหลัง
ผู้ชายสวมแว่นดำที่เธอบอกว่าเป็นสามีซึ่งกำลังเอนตัวนอนบนที่นั่งตอนหลังอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะดูยังไงแม้แต่เด็กสามขวบยังรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้กำลังหลับอุตุอยู่
ลู่ฉินถามด้วยสีหน้าสงสัย “ขอถามหน่อย เขานอนหลับแบบนี้แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเจสันออกจากบ้านไปหรือเปล่า”
“พวกเราติดตั้งเซ็นเซอร์อินฟราเรดไว้รอบบ้านแล้ว ถ้ามีคนออกจากบ้านนี้ไปเราต้องรู้แน่ อย่าลืมสิว่าเราเป็นนักล่าเชียวนะ ก็ต้องเก่งเรื่องการตามรอยคนที่สุดสิ แล้วเพื่อนรักอย่างเธอไหว้วานให้ช่วยทั้งที ฉันจะทำชุ่ยๆ ได้ยังไง ฉันรับประกันเลยว่าเขายังอยู่ในบ้าน”
ลู่ฉินคิดดูแล้วก็เห็นด้วย ซินจี๋กับติงซู่ สามีของเธอเป็นนักล่าค่าหัวชื่อดัง ถึงภายนอกรถมินิแวนคันนี้จะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ความจริงแล้วข้างในมหัศจรรย์พันลึกอย่างยิ่ง ตั้งแต่อุปกรณ์ถ่ายภาพไปจนถึงอุปกรณ์ติดตามตัวล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือสุดไฮเทค แล้วเครื่องติดตามตัวอันที่ว่ายังเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ล่าสุดซึ่งเสิ่นอี้ หัวหน้าองค์กรนักล่าค่าหัวเป็นคนให้มา ดังนั้นเชื่อได้ว่าไม่มีผิดพลาด
ซินจี๋ส่งสร้อยเส้นหนึ่งให้ลู่ฉิน
“เอานี่ไปแขวนไว้ที่คอ”
“ให้สร้อยฉันทำไม”
“สร้อยเส้นนี้เป็นอุปกรณ์บอกตำแหน่งเครื่องติดตามตัว เธอแค่กดตรงจี้ของสร้อยเส้นนี้ มันก็จะจับสัญญาณหาตำแหน่งเครื่องติดตามตัว เธอใส่เอาไว้แล้วไปค้นดูในบ้าน เดี๋ยวก็รู้ว่าแฟนของเธออยู่ในบ้านจริงหรือเปล่า”
ลู่ฉินจับจี้บนสร้อยสวยเส้นนั้นด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจ นึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นอุปกรณ์บอกตำแหน่งเครื่องติดตามตัว เพื่อนของเธอมีของเจ๋งๆ แบบนี้ด้วย สมเป็นนักล่าค่าหัวจริงๆ
วิธีใช้งานง่ายมาก เพียงครู่เดียวลู่ฉินก็ใช้ได้คล่องแล้ว เธอถืออุปกรณ์บอกตำแหน่งเครื่องติดตามตัวขนาดจิ๋วแล้วบอกลาพวกซินจี๋ ก่อนจะแอบกลับเข้าไปในคฤหาสน์
ตัวบอกตำแหน่งแสดงว่าเครื่องติดตามตัวที่เธอติดไว้บนตัวเจสันอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่แม่บ้านกลับบอกว่าเขาออกไปข้างนอก มันแปลกพิลึกจนเธออดประหลาดใจไม่ได้จริงๆ
ถ้าเขาอยู่ในบ้าน แต่แม่บ้านโกหกว่าไม่อยู่ เธอก็อยากรู้นักว่าเขามีอะไรลับลมคมในกันแน่
ตัวบอกตำแหน่งแสดงว่าเครื่องติดตามตัวอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เธอเดินไปตามทิศทางที่แสดงบนหน้าจอและคอยหลบแม่บ้านไปด้วย จากนั้นจึงแอบเดินลงไปข้างล่าง
ถ้ายิ่งเข้าใกล้ที่มาของสัญญาณ จี้ก็จะกะพริบไฟสีแดง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเธอเดินผิดทาง ไฟสีแดงจะยิ่งกะพริบอ่อนลง
เธอใช้วิธีนี้ตามหาจนทั่วทุกชั้นและเข้าไปสำรวจในห้องเกือบทุกห้อง สุดท้ายเมื่อมาถึงห้องสมุดของเจสันจึงสังเกตเห็นว่าสัญญาณในนี้ชัดเจนที่สุด แต่ที่แปลกก็คือในนี้นอกจากจะมีตู้หนังสือจนเต็มกำแพงกับตำรับตำรามากมายแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน
“คุณลู่ฉิน”
เสียงเรียกดังขึ้นกะทันหัน ส่งผลให้ลู่ฉินใจหายวาบ เธอแอบกดปิดไฟสัญญาณสีแดงบนสร้อยให้ดับลง จากนั้นก็หมุนตัวกลับมาอย่างใจเย็นแล้วยิ้มน้อยๆ ขณะมองแม่บ้าน
“หือ?”
“คุณอยู่ในนี้น่ะเอง น้ำอาบเตรียมไว้พร้อมแล้วนะคะ”
“ได้จ้ะ ฉันกำลังหาหนังสืออยู่น่ะ ว่าจะเอาไปอ่านเล่นฆ่าเวลาในห้องน้ำสักหน่อย” เธอพูดไปพลาง แกล้งเลือกหนังสือไปพลาง จากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือด้วยท่าทีปกติ
สุดท้ายเธอก็ยังหาเจสันไม่เจอ
ลู่ฉินคิดในใจว่าเครื่องติดตามตัวอาจจะหล่นไปแล้วก็ได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองไม่แปะให้ดีๆ เธอตัดสินใจว่าคืนนี้จะลองดูอีกครั้ง จึงขอเครื่องติดตามตัวขนาดจิ๋วจากซินจี๋อีกอันหนึ่งเพื่อเอาไปติดไว้บนตัวเขา คราวนี้เธอจะแปะให้แน่นๆ เลย
ตกดึก พอเสียงกริ่งประตูดังขึ้น ลู่ฉินมองนาฬิกาบนกำแพง ขณะที่ในใจคิดว่าเจสันช่างตรงเวลาจริงๆ เขาบอกว่าทุ่มหนึ่งก็มาถึงทุ่มหนึ่งเป๊ะ ไม่เคยมาสายเลยสักครั้ง
พอเธอเปิดประตูก็มีช่อดอกกุหลาบยื่นส่งมา
“ให้คุณครับ”
เขาวางช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมแขนของเธอ แล้วใช้แขนแข็งแรงรวบเอวแบบบางดึงตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ประทับจูบบนริมฝีปากของเธอ
จูบนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวเร็ว หลังแลกจูบกันแล้วเธอก็ดึงตัวออก
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิ กินข้าวเถอะ”
“ผมอยากกินคุณมากกว่า”
เธอหน้าแดงก่ำขณะดุเสียงเบา “ปากหวานนักนะ”
ทั้งสองเดินมาถึงโต๊ะกินข้าวซึ่งมีอาหารน่ากินวางอยู่เต็มไปหมด
“นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นฝ่ายชวนผมมากินข้าว แถมยังเข้าครัวลงมือเองซะด้วย คุณไม่ชอบทำอาหารไม่ใช่เหรอ”
“นานทีปีหนฉันก็นึกสนุกอยากทำขึ้นมาบ้าง”
หญิงสาวอาจจะเก่งกาจสามารถในเรื่องการทำงาน แต่ฝีมือปลายจวักกลับไม่เอาไหนสุดๆ และไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเอาซะเลย เธอวุ่นอยู่ตลอดทั้งบ่ายก็ทำกับข้าวออกมาได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง พอเธอเห็นว่าจวนใกล้ถึงเวลาแล้วเลยจำเป็นต้องซื้ออาหารจากร้านมาจัดใส่จานวางให้ครบๆ
อันที่จริงมีแค่ไข่ทอดจานเดียวที่เธอทำเอง ส่วนจานที่เหลือเธอซื้อมาทั้งหมด แต่เธอรู้สึกขายหน้าเลยไม่กล้าบอก
“รีบกินกันเถอะ”
ความจริงแล้วเธอชวนเขามาบ้านเพราะมีเป้าหมายจะรั้งตัวเขาไว้ในคืนนี้ และเมื่อเขาค้างอยู่ที่นี่ เธอก็จะมีเวลาทั้งคืนที่จะเอาเครื่องติดตามตัวขนาดจิ๋วแปะไว้บนเสื้อของเขาได้อย่างสบายๆ เพราะยังไงตอนเขากลับไปก็ต้องใส่เสื้อผ้าชุดเดิมอยู่ดี
พอเธอตักข้าวเสร็จก็เดินยกไปให้และถือโอกาสตรวจดูหูของเขาไปด้วย แต่เธอกลับเห็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน
เครื่องติดตามตัวขนาดจิ๋วอันนั้นยังคงติดอยู่ด้านหลังหูเขา ไม่ได้หล่นหายไปไหน
เธอแอบนึกประหลาดใจ แต่ยังคงปั้นหน้าเป็นปกติขณะนั่งลงด้วยความรู้สึกสับสนงุนงงไปหมด
“วันนี้ตอนกลางวันคุณอยู่ที่ไหนเหรอ”
เขาแย้มยิ้ม “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
“เพราะคุณชอบทำตัวลึกลับอยู่เรื่อย ฉันคิดอยู่ว่าคุณคงไม่ได้ไปอี๋อ๋ออยู่กับสาวคนไหนหรอกนะ”
“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผมมีคุณอยู่ทั้งคน แล้วจะไปหาผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง”
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป คุณหล่อขนาดนี้แล้วก็ฮอตจะตายไป ถ้าคุณมีผู้หญิงที่ชอบแล้วช่วยบอกกันด้วยนะ ฉันจะได้ปล่อยคุณไป”
เจสันเลิกคิ้วขึ้น “หวังว่านี่คงไม่ใช่ข้ออ้างที่คุณจะทิ้งผมหรอกนะ ไม่งั้นผมคงเสียใจแย่เลย”
“พวกเพลย์บอยก็กลัวถูกทิ้งเหมือนกันด้วย?”
“สาบานได้เลยว่าระหว่างที่คบอยู่กับคุณ ผมเป็นเด็กดีมากๆ”
“คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่าตอนกลางวันคุณอยู่ที่ไหน”
“ในห้องชันสูตรของแผนกอาชญากรรม”
“อยู่ที่นั่นทั้งวันเลย?”
“ครับ ถ้าคุณอยากฟัง ผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังก็ได้ แต่ผมคิดว่าระหว่างกินอาหารมื้อเย็นอร่อยๆ แบบนี้ คุณคงไม่อยากจะฟังเท่าไหร่”
หญิงสาวแอบด่าอยู่ในใจ ตัวบอกตำแหน่งแสดงว่าเขาอยู่ในคฤหาสน์ชัดๆ ทำไมเขาต้องโกหกด้วย เธอยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยจริงๆ
เธอบอกตัวเองว่าจะต้องสืบความลับของเจสันให้ได้!
วันรุ่งขึ้น ตอนลู่ฉินตื่นขึ้นมา เจสันก็ไม่อยู่แล้วตามคาด
เธอรีบกระโดดลงจากเตียง สวมเสื้อผ้า และขับรถตรงดิ่งไปที่คฤหาสน์ของเจสัน เธอจอดรถไว้ตรงจุดที่ไม่ห่างจากคฤหาสน์นัก และพอเข้าไปใกล้ตัวบ้าน จี้บนคอก็มีปฏิกิริยาทันที ไฟสีแดงกะพริบขึ้นช้าๆ
ด้วยความที่เธอเป็นนักข่าว จึงต้องฝึกฝนร่างกายให้ว่องไวและปราดเปรียวเสมอ เธอปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วข้ามกำแพงเข้าไปอย่างเงียบเชียบ เพราะรู้ว่าตรงนี้หลบกล้องวงจรปิดได้ง่ายกว่าที่อื่น
พอเธอกระโดดลงพื้นอย่างคล่องแคล่วก็มีสุนัขล่าเนื้อสองตัวมารออยู่ก่อนแล้ว
“นี่ พวกแกเอาไปกินนะ แล้วอย่าเห่าเสียงดังล่ะ”
เธอลูบหัวสุนัขและเอากระดูกที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้พวกมันไปแทะเล่น พวกมันกระดิกหางเข้ามาประจบเธอด้วยความดีใจ ไม่เสียแรงที่ปกติเธอให้ความรักและดีกับพวกมัน เพราะเธอเป็นคนรักสัตว์มาแต่ไหนแต่ไร ขอเพียงเราทำดีต่อพวกสัตว์อย่างจริงใจ พวกมันก็ดีตอบเราเช่นกัน
เธอเดินลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้ไปเงียบๆ และคอยระวังหลบกล้องวงจรปิดไปด้วย ในเวลานี้แม่บ้านกำลังตัดแต่งกิ่งไม้อยู่ในสวน จึงเป็นโอกาสให้เธอแอบเข้าไปในบ้านได้อย่างสะดวกโยธิน
อุปกรณ์บอกตำแหน่งแสดงว่าเจสันอยู่ในห้องหนังสือ เธอจึงไปที่นั่นและค้นดูทั่วทุกซอกมุมอยู่นาน แต่ก็หาเจสันไม่เจอสักที
ไม่มีเหตุผลเลย ทั้งๆ ที่สัญญาณแรงขึ้น ไฟสีแดงกะพริบรัวเร็วเหมือนสัญญาณเตือนภัยบอกให้รู้ว่าเป้าหมายอยู่ใกล้ๆ แต่เธอกลับไม่เห็นใครสักคน
เธอหาอยู่เป็นนาน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น จะต้องเป็นแม่บ้านแน่ๆ
หญิงสาวเป็นคนแอบเข้ามาเองจึงจะให้แม่บ้านเห็นไม่ได้ เธอต้องหาที่ซ่อนตัว และในตอนนั้นเอง เธอไม่รู้ว่าไปแตะโดนอะไร ส่งผลให้กำแพงซึ่งตอนแรกควรจะเป็นตู้หนังสือกลับกลายเป็นประตูบานหนึ่ง
เธอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เพราะนึกไม่ถึงว่าห้องหนังสือห้องนี้จะยังมีประตูลับทะลุไปอีกห้องหนึ่ง ห้องอะไรกันถึงต้องออกแบบให้มีประตูลับอย่างนี้ แล้วยังจงใจทำหลบไว้หลังตู้หนังสือเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตรงนี้มีประตูอยู่อีกบานหนึ่ง
การค้นพบในครั้งนี้กระตุ้นให้หญิงสาวรู้สึกสงสัยขึ้นมาเต็มแก่ เธอจึงก้าวอาดๆ เข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในตอนนั้นเองไฟตรงประตูลับก็สว่างขึ้น หลอดไฟเปิดขึ้นเองอัตโนมัติเพราะเป็นระบบเซ็นเซอร์ ส่องสว่างจนเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในห้องทั้งหมด
ลู่ฉินสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ในนั้นมีตู้เย็นวางอยู่เต็มไปหมด และเป็นเพราะประตูตู้เย็นเป็นกระจกเลยมองเห็นของที่อยู่ข้างในได้ มันดูคล้ายกับตู้แช่เครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อ ขวดที่วางเรียงรายอยู่ด้านในบรรจุของเหลวสีแดงเหมือนจะเป็นไวน์ เธออยากรู้เลยเปิดตู้เย็น แล้วหยิบขวดที่ดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งออกมา บนขวดมีฉลากระบุรายละเอียดว่าปี 1990 เพศหญิง กรุ๊ปบี
เธอรู้ว่าบนขวดไวน์จะมีบอกข้อมูลปีเอาไว้ แต่ทำไมต้องระบุว่าเพศหญิงด้วย แล้วยังมีกรุ๊ปบีอีก เหมือนเป็นการบอกกรุ๊ปเลือดเลย
สายลมเย็นจากที่ไหนไม่รู้พัดวูบมา พาให้เธออดเสียวสันหลังวาบขึ้นมาไม่ได้
เธอส่ายหัว เป็นไปไม่ได้หรอก ในขวดจะใส่เลือดไว้ได้ยังไง แต่ถ้าเป็นไวน์แดง ทำไมต้องเก็บไว้ในที่ลึกลับแบบนี้ด้วย อีกอย่าง ที่นี่ก็ไม่ค่อยเหมือนห้องเก็บเหล้าแบบทั่วๆ ไปเลย
หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งสงสัยจึงเปิดฝาขวดออกและดมด้วยความอยากรู้ เธอรู้สึกตกใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดฉุนกึก แต่แล้วเธอก็บอกตัวเองว่ามันอาจจะเป็นงานของเขาก็ได้ เพราะเจสันเป็นหมอนิติเวช เขาเก็บซ่อนเลือดพวกนี้เอาไว้ก็เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์อะไรบางอย่าง เช่น งานวิจัย เป็นต้น เพราะจะว่าไปแล้วการวางเลือดไว้ในที่ที่เห็นได้ชัดย่อมไม่ดีนัก เขาเลยทำห้องเล็กๆ เอาไว้เก็บ เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสมเหตุสมผล
เธอมองไปรอบๆ อีกครั้ง แล้วประหลาดใจที่เห็นว่าในห้องลับมีบันไดเดินลงไปห้องใต้ดินด้วย ปลายอีกด้านของทางเดินนี้มืดมากจนชวนขนลุกซู่ เธอพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีราวกับมีเสียงบอกว่าไม่ให้ลงไป แต่ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงผลักดันให้เธอไขความกระจ่างจนถึงที่สุด ประเด็นสำคัญคือพอเธอยิ่งเข้าใกล้ทางเดิน ไฟสีแดงก็ยิ่งกะพริบเร็วขึ้น เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่าเจสันอยู่ข้างล่าง
ลู่ฉินอดกลืนน้ำลายไม่ได้ รู้ว่าตัวเองถอยหลังไม่ได้แล้ว นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะสืบเรื่องที่เจสันหายไปในตอนกลางวัน เธออยากรู้เต็มทีว่าเขามีความลับอะไรซุกซ่อนเอาไว้กันแน่
เธอเดินลงบันไดไป ดีที่มีหลอดไฟด้านบน ทำให้เธอพอจะเห็นทางข้างล่างได้รางๆ หลังจากสายตาปรับจนเคยชินกับความมืดแล้ว เธอจึงมองเห็นเต็มตาว่ากลางห้องใต้ดินมีโลงศพอยู่โลงหนึ่ง
ลู่ฉินเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ในนี้มีโลงศพได้ยังไง แถมยังเป็นโลงศพแบบฝรั่งด้วย ด้านข้างโลงศพสลักตัวเลขไว้สี่ตัวคือ 1703
โชคดีที่เธอมีพลังใจแข็งกล้าและเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ถึงได้ไม่ตกใจจนหันหลังวิ่งหนีไปทันที อีกทั้งไฟสัญญาณที่จี้สร้อยคอติดตลอด ไม่กะพริบอีก ซึ่งหมายความว่าเธอเจอเป้าหมายแล้ว
เจสันอยู่ในโลงศพ? เป็นไปได้ยังไง เรื่องมันจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว
แต่เมื่อเธอมองไปรอบตัว นอกจากโลงศพนี่แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะซ่อนตัวได้เลย
แม้ลึกๆ ในใจจะไม่เชื่อ แต่เธอยังคงเดินเข้าไป เพราะถ้าไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง เธอก็ไม่หายคาใจสักที
เธอวางขวดในมือลงและเดินตรงไปที่โลงศพช้าๆ หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ แล้วก็รวบรวมความกล้าออกแรงยกฝาโลงขึ้น
ถึงหญิงสาวจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็ยังคงทำให้เธอตกใจสุดขีดอยู่ดี
เจสันนอนอยู่ในโลงศพ แม้ในห้องจะมืดมิด แต่มองเห็นชัดเจนว่าเขาหลับตาอยู่ สองมือประสานอยู่กลางลำตัว ท่าทางเหมือนกำลังนอนพักผ่อน แต่สีหน้าของเขาขาวซีดอย่างมาก มันขาวเผือดเหมือนกับคนตายเลยทีเดียว
ลู่ฉินตกใจจนผงะถอยหลังไปแล้วทำขวดล้มลงโดยไม่ตั้งใจ เลือดสดๆ ไหลนองเต็มพื้นทันที ส่งผลให้กลิ่นคาวเลือดฉุนแรงอบอวลไปทั่ว กลิ่นของมันลอยไปในโลงศพ ปลุกเจสันที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่ให้ตื่นขึ้นและกระตุ้นสัญชาตญาณแวมไพร์ของเขาขึ้นมา
ลู่ฉินสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ขาสองข้างเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ เธอตกใจจนขยับตัวไม่ได้ ดวงตาจับจ้องไปที่เจสันซึ่งดีดตัวขึ้นมาจากโลงศพด้วยความหวาดกลัว
ไม่ เขาไม่ใช่เจสัน เพราะดวงตาสีฟ้าของเขากลายเป็นสีแดงจ้า ปากบางได้รูปมีเขี้ยวแหลมคมงอกออกมาสองข้าง เล็บบนมือทั้งสองข้างทั้งยาวทั้งคมเหมือนกรงเล็บเสือดาว
ท่าทางของเขาถมึงทึงดุร้ายเหมือนเพิ่งกลับมาจากนรก ดวงตาสีแดงจ้องเธอเขม็ง ก่อนจะยื่นฝ่ามือที่มีเล็บแหลมคมมาหาเธออย่างช้าๆ
“ฉิน...”
คำเรียกขานอย่างอ่อนโยนแบบเมื่อก่อน พอมาได้ยินในตอนนี้กลับเหมือนเสียงซาตานกำลังตามมาทวงชีวิตของเธอ ตอนที่กรงเล็บสุดสยองวางบนไหล่ เธอเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันร้ายจึงกัดลงไปบนแขนเขาเต็มแรงโดยไม่ทันคิด จากนั้นก็หมุนตัววิ่งออกไปเหมือนกับหนีตาย
จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ เธอถึงได้ตะโกนพูดสิ่งที่เธอไม่กล้าเชื่อมาตลอดโดยไม่รู้ตัว
“ช่วยด้วย! มีแวมไพร์!”
ตกดึก เสียงกริ่งประตูของบ้านเจียงมี่หยาดังระรัว บอกให้รู้ว่าคนกดกริ่งร้อนใจเป็นอย่างมาก
มี่หยาซึ่งตอนแรกกำลังนอนกอดกับแฟนหนุ่มอย่างรักใคร่อยู่ดีๆ ต้องเอาเสื้อนอนคลุมตัวแล้วรีบไปเปิดประตู พอรู้ว่าคนที่มาคือลู่ฉินเพื่อนรัก เธอก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะน้อยครั้งที่คนใจเย็นอย่างลู่ฉินจะมีสีหน้าตื่นตกใจแบบนี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น หน้าเธอซีดไปหมดเลย”
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องนอน ดวงหน้าแบบคนตะวันออกในขณะที่มีรูปร่างแบบคนตะวันตก เขาคือจงอี้หลุน แฟนหนุ่มของมี่หยา เขาเอ่ยถามด้วยความห่วงใยเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น”
สีหน้าตื่นตระหนกของลู่ฉินแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกเธอเลย”
“พูดอะไรกัน เราเป็นเพื่อนซี้ปึ้กกันนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอมาหาฉันได้ทุกเวลา”
ลู่ฉินรู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้ยินมี่หยาพูดอย่างมีน้ำใจสมกับที่เป็นเพื่อนรัก ไม่เสียแรงที่ปกติเธอคอยดูแลปกป้องเพื่อนรักขนาดนี้
หลังจากเธอนั่งลงบนโซฟาแล้ว อี้หลุนก็รินน้ำร้อนๆ ให้
“ขอบคุณค่ะ”
พอเกิดเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้นแล้ว เธออยู่ในอาการช็อกตลอดทั้งวัน เลยเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกไปเรื่อยๆ จนฟ้ามืดแล้วก็ไม่กล้ากลับบ้าน จึงมาหามี่หยาตอนกลางดึกอย่างกะทันหัน สาเหตุข้อแรกคือเธอไม่อยากอยู่คนเดียว ข้อสอง เธอกับมี่หยาโตมาด้วยกัน มี่หยาจึงไม่เคยสงสัยในสิ่งที่เธอพูดเลย เพราะเรื่องที่เธอจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่มีทางเชื่อแน่ และเธอคิดว่ามีแต่มี่หยาเท่านั้นที่จะเชื่อเธอ
หลังจากลู่ฉินได้ดื่มน้ำร้อนๆ เพื่อทำให้ร่างกายที่เย็นเฉียบอบอุ่นขึ้นแล้ว เธอก็ตั้งสติได้อีกครั้งแล้วเงยหน้ามองมี่หยา
“มีเรื่องหนึ่งถ้าฉันเล่าแล้วเธอต้องเชื่อ อย่าคิดว่าฉันเป็นคนบ้า สัญญานะ”
“เธอค่อยๆ พูด ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ฉันเชื่อเธอแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็อยู่ข้างเธออยู่แล้ว”
“จริงนะ?”
“จริงสิ เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ รู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว ฉันเคยหลอกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”
พอลู่ฉินได้ยินมี่หยาให้คำสัญญาตามที่เธอต้องการแล้ว เธอก็สูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นก็พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจสันเป็นแวมไพร์”
ลู่ฉินกับมี่หยาจ้องตากันนิ่ง หลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบงันไปนานราวสามสิบวินาที ลู่ฉินก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“เธอไม่เชื่อฉันเหรอ”
ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ตกตะลึงต่างหาก ความจริงแล้วมี่หยาไม่เพียงแต่เชื่อคำพูดของลู่ฉินเท่านั้น เธอยังรู้เรื่องแวมไพร์ก่อนหน้าเพื่อนรักเสียอีก เพราะอี้หลุนแฟนหนุ่มของเธอก็เป็นแวมไพร์ และตัวเธอก็เป็นครึ่งคนครึ่งแวมไพร์เหมือนกัน
พวกเขาไม่เคยบอกความลับนี้ให้ลู่ฉินรู้ แต่ตอนนี้ดูท่าทางจะมีคนทำความลับแตกซะแล้ว ถึงได้ทำให้ความลับของแวมไพร์ถูกเปิดเผย
มี่หยากับอี้หลุนแอบสบสายตากันเงียบๆ จากนั้นก็ปลอบขวัญลู่ฉินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ บอกฉันว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้”
ลู่ฉินเล่าสิ่งที่เธอเห็นในห้องใต้ดินบ้านเจสันให้พวกเขาฟังอย่างละเอียดเป็นฉากๆ
“เธอ...กัดเขาแล้วเหรอ”
“ใช่ ฉันกัดเขา ไม่งั้นจะรอให้เขามากัดฉันหรือไง”
ลู่ฉินไม่ได้สนใจสีหน้าที่แปลกไปของมี่หยา และนึกไปว่าเพื่อนรักรู้สึกประหลาดใจเหมือนตัวเอง เพราะเรื่องที่เจสันเป็นแวมไพร์พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
มี่หยารีบส่งสายตาบอกอี้หลุนแฟนหนุ่มไม่ให้เขาสะกดจิตลบความจำของลู่ฉิน เพราะมี่หยาอยากรู้บางเรื่องให้กระจ่างชัดเสียก่อน
“เธอกัดเขาตรงไหน แล้วดูดเลือดเขาไปหรือเปล่า”
ลู่ฉินมองหน้าเพื่อนรักอย่างเหลือเชื่อ
“ไม่อยู่แล้ว! ฉันกัดเขาเพื่อป้องกันตัวนะ จะไปดูดเลือดเขาได้ยังไง ฉันไม่ได้เป็น... ว้าย!”
ลู่ฉินตกใจจนสะดุ้งเฮือก ชี้ไปที่หน้าต่างบานยาวที่มีเงาคนมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และร้องเสียงดังด้วยความตระหนกตกใจ
“เขามาแล้ว! แวมไพร์อยู่ข้างหลังเธอ”
เงาที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานยาวไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจสันนั่นเอง ลู่ฉินตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กไปหมดทั้งตัวเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวขึ้น เธอหาอาวุธพลางตะโกนบอกมี่หยากับอี้หลุนด้วยความร้อนรน
“รีบหนีเร็ว! เขาจะมาดูดเลือดเราแล้ว พวกเธอยืนอยู่เฉยๆ ทำไม รีบหนีเร็วเข้าสิ!”
มี่หยารีบเข้าไปปลอบขวัญลู่ฉิน “ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ฉันบอกแล้วว่าเขาเป็นแวมไพร์ เธอต้องเชื่อฉันนะ!”
มี่หยายิ้มแหยๆ ขณะพูด “ฉันรู้”
แม้ลู่ฉินจะตกใจกลัวจนมือไม้สั่น หน้าตาซีดเผือด แต่ก็ยังไม่สติแตกจนฟังอะไรไม่เข้าใจ เธอจึงอดตะลึงงันไม่ได้
“เธอรู้เหรอ”
มี่หยาพยักหน้าและตอบเธออย่างชัดเจน “ใช่ ฉันรู้”
“มี่หยา...” อี้หลุนเรียกเธอ เขาทำหน้าไม่เห็นด้วยเพราะรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่มี่หยาไม่สนใจ เธอไม่อยากปิดบังเพื่อนรัก
“ลู่ฉินไม่พูดหรอก ฉันรู้จักเพื่อนฉันดี”
“ลู่ฉินเป็นนักข่าวนะ”
“แล้วไงล่ะ ไม่เห็นจะเสียหายเลย ฉันกับลู่ฉินเป็นเพื่อนรักกันนะ แล้วลู่ฉินก็ดีกับฉันมากเหมือนพี่น้องแท้ๆ เลย เธอไม่พูดออกไปหรอก ยังไงพวกคุณก็มีเพื่อนเป็นมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ” มี่หยากอดลู่ฉินไว้และขอร้องแฟนหนุ่ม “ให้เพื่อนฉันเข้าร่วมกับพวกเราเถอะนะ ฉันรับรองว่าเธอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
อี้หลุนกลุ้มใจไม่รู้จะทำยังไงเพราะเขารู้นิสัยของมี่หยาดี ถ้าเธอเชื่อในเรื่องใดแล้วก็จะไม่มีอะไรมาทำให้สั่นคลอนได้ และเขาก็รักเธอตรงจุดนี้
เขาขมวดคิ้วหันหน้าไปมองเจสันเพื่อนเก่าเพื่อนแก่
“นายทำความแตกได้ยังไง”
“โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
สีหน้าของเจสันดูกระอักกระอ่วนและรู้สึกผิดอย่างมาก
ลู่ฉินมองพวกเขาสลับไปมา
“นี่มันอะไรกัน พวกเธอ...คงไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นแวมไพร์ตั้งแต่แรกแล้วหรอกนะ”
มี่หยาดึงมือเพื่อนรักให้นั่งลงบนโซฟาด้วยกัน จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวัง
“ใช่แล้วล่ะ เรารู้แต่แรกแล้วว่าเจสันเป็นแวมไพร์ แต่เธอวางใจได้ มีฉันอยู่เขาไม่ทำร้ายเธอหรอก”
เจสันอดท้วงขึ้นมาไม่ได้ “ผมไม่ได้ทำร้ายลู่ฉินนะ และไม่คิดจะทำด้วย”
“แต่คุณทำให้ลู่ฉินตกใจ ฉันเคยบอกแล้วไงว่าถ้าคุณทำไม่ดีกับเพื่อนฉัน ได้เห็นดีกันแน่”
ตั้งแต่ตอนที่เจสันคิดจะตามจีบเพื่อนรัก มี่หยาก็เคยเตือนเขาไปแล้ว และถ้าไม่ใช่เพราะเขาสาบานว่าจะคิดจริงจัง ไม่ใช่แค่จีบเล่นๆ และจะไม่ดูดเลือดลู่ฉินแม้แต่หยดเดียวแล้วล่ะก็ เธอไม่มีทางยอมให้เขาตามจีบเพื่อนของเธอหรอก
เจสันยิ้มเจื่อนพลางยกมือเป็นเชิงยอมแพ้
“ก็ได้ๆ ผมเป็นคนผิดเอง ผมทำให้ลู่ฉินตกใจ ผมสมควรถูกด่า” ตอนที่นัยน์ตาสีฟ้าเจิดจ้าคู่นั้นมองลู่ฉิน มันทอประกายอ่อนโยนและสำนึกผิดอย่างยิ่ง “แต่เชื่อผมเถอะนะว่าผมไม่ได้ตั้งใจทำให้ลู่ฉินตกใจจริงๆ”
มี่หยาเห็นแก่ที่เจสันสำนึกผิดจึงตกลงใจปล่อยเขาไปก่อน เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือต้องแก้ปัญหาของลู่ฉินเป็นอันดับแรก
ลู่ฉินรู้สึกตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
“เธอบอกว่าเธอรู้ว่าเขาเป็นแวมไพร์ตั้งแต่แรกแล้วเหรอ”
“ใช่”
“รู้มาตลอดเลยเหรอ”
มี่หยากัดริมฝีปาก พยักหน้าเบาๆ “ใช่ และฉันมีความลับอย่างหนึ่งต้องบอกเธอด้วย”
ขณะที่มองมี่หยา ลู่ฉินมีลางสังหรณ์ว่าความลับที่มี่หยาจะพูดต้องทำให้เธอตกใจแทบช็อกแน่
“ความลับอะไร”
มี่หยาสูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้ง แล้วพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเพื่อไม่ให้เพื่อนรักตกใจ
“ความจริงแล้วฉันกับอี้หลุนก็เป็นแวมไพร์เหมือนกัน”
ลู่ฉินอ้าปากหวอจนขากรรไกรแทบค้าง เบิกตาโพลงมองมี่หยา
“เธอก็เป็นแวมไพร์?”
“ใช่”
ถ้าเป็นก่อนหน้าคืนนี้ ลู่ฉินไม่มีทางเชื่อเลยสักคำเดียว และคงนึกไปว่ามี่หยาสมองเสื่อมไปแล้ว แต่หลังจากได้เห็นเจสันกลายเป็นแวมไพร์มากับตาตัวเอง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
มี่หยาเพื่อนรักเป็นแวมไพร์?
อี้หลุน แฟนหนุ่มของเพื่อนรักก็เป็นแวมไพร์?
ในห้องนี้มีแวมไพร์ถึงสามตน?
เธอไม่ตกใจก็บ้าแล้ว และตอนนี้เธอตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแล้วต่างหาก
ความคิดเห็น