ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิวาห์ร้อน ซ่อนกลรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : วิวาห์ร้อน ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 53


    เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบแปลบภายนอกหน้าต่างทำให้บรรยากาศภายในห้องนอนยิ่งตึงเครียดขึ้นอย่างน่าประหลาด
    “ออกไปนะ ไอ้โรคจิต!” คาเรนออกแรงผลักตัวเขาออกไป ก่อนยันตัวขึ้นแล้วรีบถอยกรูดไปชิดหัวเตียงอย่างรวดเร็ว มือของเธอกระชับคอเสื้อที่เปิดออกแน่น แววตาเต็มไปด้วยความสับสนและตกใจ
    “เธอจะกลัวทำไม เราเป็นสามีภรรยากัน ช้าเร็วเธอก็ต้องเป็นของฉันอยู่ดี” สายตาเจ้าเล่ห์ของวอริคจับจ้องบริเวณหน้าอก หวังจะเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อโผล่พ้นออกมาให้เขาได้ยลและสัมผัสอีกสักครั้ง
    “ใครเป็นภรรยานาย! โรคจิต!” สายตาของเขาโลมเลียไปทั่วร่างกายจนคาเรนรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะใช้สองมือปกปิดหน้าอกไว้อย่างแน่นหนา แต่เธอกลับรู้สึกราวกับตัวเองแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าเขายังไงยังงั้น
    วอริคเลิกคิ้วขึ้นพิจารณาเธอ ดูจากแววตาหวาดกลัวนั่นแล้วไม่เหมือนเสแสร้ง เธอไม่รู้ฐานะของเขาจริงๆ
    “นี่ ฉันขอเตือนเลยนะ ทางที่ดีนายรีบไปก่อนที่สามีฉันจะกลับมาดีกว่า เขาแรงเยอะ แถมยังอารมณ์ร้ายด้วย ถ้าเขาเห็นนายลวนลามฉันล่ะก็ นายตายแน่!” คาเรนพยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดขึ้นมาขู่โจรลามกที่บุกเข้ามาในห้องนอนเธอยามวิกาล
    “หืม? งั้นเหรอ” น่าสนใจนี่ หมายความว่ายังมีวอริคอีกคนสินะ
    “ก็ใช่น่ะสิ! เขา...เขา...แข็งแรงยังกับม้า แถมยังเคยมีประวัติพยายามฆ่าคนมาแล้วด้วย ทั้งโหดเหี้ยม กระหายเลือด กล้าทำเรื่องชั่วช้าทุกรูปแบบ ถ้าถูกเขาจับตัวได้ล่ะก็ นายโดนเล่นงานน่วมแน่ แล้วเขาก็จะฉีกนายเป็นชิ้นๆ ก่อนจะจับโยนใส่เครื่องบดอาหาร ปั่นจนเละ ดังนั้น...ฉันขอเตือนให้นายรีบหนีไปซะเดี๋ยวนี้เลย ไม่เคยได้ยินหรือไงว่ารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีน่ะ!” เพื่อปกป้องตัวเองแล้วเธอพูดโกหกมั่วซั่วไปหมด ไม่สนเลยว่าได้พูดเสียจนสามีที่เธอยังไม่เคยเห็นหน้ากลายเป็นฆาตกรอำมหิตเลือดเย็น
    ยังไงๆ เรื่องที่คนเขาลือกันเกี่ยวกับสามีเธอก็ไม่ต่างไปจากนี้อยู่แล้วนี่นา
    “พอแล้ว! หุบปากซะ!” วอริคขมวดคิ้วนิ่วหน้า รู้สึกฉุนที่ได้ยินบทบรรยายถึงตัวเองเสียเลวร้ายขนาดนี้
    ผู้หญิงคนนี้กล้าว่าร้ายเขาขนาดนี้เชียวหรือ! คำพูดที่ออกจากปากเธอช่างแตกต่างจากรสชาติหวานหอมที่เขาเพิ่งลิ้มลองซะจริง
    วอริคไม่สนใจท่าทางเอาเรื่องนั่น เขาขยับเข้าประชิดตัวเธอ แล้วดึงสองมือที่ใช้ปิดบังทรวงอกอิ่มออก
    “งั้นก็รู้ไว้ซะว่าฉันนี่แหละ สามีเธอ” จู่ๆ เขาก็ก้มลงจุมพิตเธอโดยไม่เปิดช่องให้ขัดขืน เพียงเพราะต้องการเอาชนะเธอมากกว่าจะด้วยเหตุผลอื่น
    พริบตาเดียวร่างของเธอก็ถูกเขากดให้นอนราบลงบนเตียง มือทั้งสองถูกจับตรึงไว้เหนือศีรษะ อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
    คาเรนเมินหน้าหนีไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แถมยังดิ้นพล่านหวังที่จะหนีไปให้พ้นจากการคุกคามและอุ้งมือปีศาจนั่น
    ไม่ว่าหมอนี่จะพูดยังไง หัวเด็ดตีนขาดเธอก็ไม่มีทางเชื่อว่าผู้ชายท่าทางลับๆ ล่อๆ คนนี้จะเป็นสามีของเธอได้ หากเจ้าของห้องนอนนี่กลับมาจริงๆ น้าโซฟีหรือทีน่าก็ต้องมาปลุกและบอกให้เธอรู้ถึงจะถูก มีอย่างที่ไหนแอบเข้ามาดึกดื่นค่ำมืดแบบนี้ แถมยังทำตัวอย่างกับหมาป่า กระโจนขึ้นมาบนตัวเธอ แล้วยังทำรุ่มร่ามกับเธออีกต่างหาก
    ทว่ายิ่งขัดขืนกลับยิ่งเป็นการกระตุ้น ไม่เพียงเรียกคืนอิสรภาพให้ตัวเองไม่ได้ ผลของการดิ้นรนกลับยิ่งทำให้ชายหนุ่มที่ทาบทับอยู่บนร่างเธอรู้สึกคึกมากกว่าเดิม ริมฝีปากสีเชอรี่ถูกเขาครอบครองอีกครั้ง ทันใดนั้น...
    “โอ๊ย! เธอกัดฉัน!” เขาเลียริมฝีปากที่มีเลือดไหลซิบๆ รสชาติของคาวเลือดปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบของราชสีห์ กวางน้อยตัวนี้กล้าท้าทายเขาเชียวหรือ!
    วอริคกัดริมฝีปากล่างจนเลือดซึมออกมามากกว่าเดิม วินาทีต่อมาเขาก็จู่โจมบดเบียดริมฝีปากของเธออย่างบ้าคลั่ง บีบให้เธอร่วมลิ้มรสชาติเค็มคาวนั่น
    เธอพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต แต่ริมฝีปากร้อนระอุก็ยังตามเข้าครอบครองเธออย่างไม่ลดละ ยิ่งจูบยิ่งลึกล้ำ ยิ่งทียิ่งเนิ่นนาน
    ยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้จูบเก่ง แถมยังมีเทคนิคแพรวพราว แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอลืมว่าเธอต้องยึดถือคุณธรรมซื่อสัตย์ต่อสามี เธอต้องรีบหาทางหนีให้พ้นจากเขา นี่ต่างหากเป็นเรื่องเร่งด่วนในเวลานี้ และในเมื่อเรี่ยวแรงสู้เขาไม่ได้ เธอจึงต้องปรับเปลี่ยนแผนการ หันมาใช้ไม้อ่อนหลอกล่อแทน
    “ขอร้องล่ะ...อย่าทำรุนแรงแบบนี้...สัมผัสฉันให้อ่อนโยนได้ไหม” เธอถือโอกาสที่เขาถอนจุมพิตผ่อนลมหายใจ กระซิบที่ข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้งจนเขาเคลิบเคลิ้ม
    พอเจอคำอ้อนวอนที่เย้ายวนใจเช่นนี้ วอริคผู้ซึ่งกำลังร้อนเร่าจากไฟปรารถนาเลยตอบรับคำขอนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
    “หึ... ว่าง่ายอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” วอริคหลงเชื่อว่าเธอยินยอมคล้อยตาม จึงปล่อยมือหญิงสาวให้เป็นอิสระ จากนั้นค่อยสอดมือเข้าไปในเสื้อเชิ้ต ทั้งลูบคลำส่วนเว้าส่วนโค้งที่ได้สัดส่วน และก้มลงจูบองค์เอวคอดกิ่วของเธอ มือทั้งสองข้างเลื้อยเปะปะอยู่ไม่สุข...
    “อ้า...ดีจัง...” เธอจงใจพูดให้เขาเข้าใจผิด แต่ในใจกลับอยากกรี๊ดและตะโกนด่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้
    ต่อให้เทคนิคการเล้าโลมของเขาจะจัดว่ายอดเยี่ยม แต่เธอก็ไม่มีแก่ใจชื่นชมหรอก ในหัวสมองคอยคิดแต่จะหาทางเอาตัวรอดและแก้เผ็ดคืน เรือนร่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเธอไม่เคยถูกใครกระทำล่วงเกินแบบนี้ แล้วหมอนี่เป็นใครกัน ถึงกล้ามาทำลามกกับเธอ!
    หญิงสาวฉวยโอกาสที่มือสองข้างเป็นอิสระพยายามเอื้อมมือไปควานหาอาวุธตรงหัวเตียง...เจอแล้ว! เธอมองเห็นหนทางรอดแล้ว
    เธอกระชับเครื่องเคลือบชิ้นนั้นมั่น ก่อนฟาดใส่หัวเขาโดยไม่ลังเลสักนิด
    “โอ๊ย!“ วอริคร้องอย่างเจ็บปวด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าฟาดหัวเขา แถม...ฟาดอย่างไม่ยั้งมือเลยด้วย
    คาเรนโยนเครื่องเคลือบทิ้ง พยายามดันร่างหนักอึ้งที่ทับบนตัวเธอออก แล้วอาศัยจังหวะนี้ลุกหนีจากเตียง
    แต่วอริคก็ไหวตัวทันรีบคว้าข้อเท้าเธอไว้ เลือดจากศีรษะเขาเลอะเปรอะขาขาวนวลของเธอ
    “ช่วยด้วย! ปล่อยฉันนะ ไปให้พ้น!” คาเรนใช้เท้าข้างที่เป็นอิสระเตะถีบเขาอย่างไม่ไว้ไมตรี
    บ้าชะมัด! หมอนี่ทำไมกัดไม่ยอมปล่อยอย่างนี้นะ ข้อเท้าเธอโดนบีบจนจะขาดออกจากกันอยู่แล้ว!
    คาเรนเหวี่ยงกำปั้นทุบตุ้บตั้บลงบนบ่าและหลังเขาเป็นพัลวัน แถมยังข่วนต้นคอเขาเป็นแผลแดงยาว
    แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรฝ่ามือเลือดที่บีบแน่นตรงข้อเท้าเธอได้เลย
    “ช่วยด้วย! โจรจะฆ่าฉัน!” คาเรนพยายามร้องตะโกนให้คนช่วย ด้านหนึ่งก็ออกแรงลากขาข้างที่ถูกวอริคดึงไว้ไปข้างหน้า ไม่ลืมหยิบทุกอย่างที่ใช้เป็นอาวุธได้ปาใส่เขา
    “หยุดนะ! เธอจะบ้าหรือไง!” วอริคปัดป้องข้าวของที่พุ่งเข้าใส่มือเป็นระวิง จนเศษแก้วแตกบาดแทงข้อศอกเขา
    “นายสิบ้า! มาจับขาฉันไว้ทำไมเนี่ย ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!” หมอนี่เป็นแมลงสาบตีไม่ตาย ไล่ก็ไม่ไปชัดๆ
    ทำร้ายคนแล้วคิดหนีงั้นหรือ ฝันไปเถอะ! ใจเขาตอนนี้ร้อนเป็นไฟ คิดแต่ว่าจะต้องสั่งสอนผู้หญิงคนนี้กับมือให้ได้ ดังนั้นจึงจับยึดขาเธอแน่นไม่ยอมปล่อย
    “ดีล่ะ นายบังคับฉันเองนะ” เธอยกเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งขึ้นมา คิดยุติความวุ่นวายนี้ด้วยการลงมือครั้งเดียว
    คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ไฟในห้องจะสว่างโร่ขึ้น แสงไฟแยงตาจนเธอต้องหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ
    ที่ยืนอยู่ตรงประตูซึ่งกลอนหลุดพังคือลุงแมกซ์คนสวน น้าโซฟี และคนในบ้านกลุ่มใหญ่ แต่ละคนถือไม้กวาดไม้ถูพื้นครบมือ ท่าทางตื่นเต้นเตรียมพร้อมประจัญบาน
    แต่พอทุกคนเห็นสภาพภายในห้องที่รกเละเทะไปหมดก็ได้แต่ยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่กับที่ ยิ่งตอนที่โซฟีได้เห็นผู้ชายที่นอนกองอยู่กับพื้นก็ถึงกับร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
    “คุณผู้ชาย!“ โซฟีรีบวิ่งเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของผู้เป็นนายของบ้าน
    พอเห็นวอริคที่ไม่ได้เจอเสียนานนอนพังพาบอยู่กับพื้น หน้าตาโชกไปด้วยเลือด โซฟีก็ทั้งกลัวทั้งตกใจ ลนลานทำอะไรไม่ถูก
    คุณผู้ชาย? น้าโซฟีเรียกผู้ชายคนนั้นว่า ‘คุณผู้ชาย’ งั้นเขา...เขาก็คือ...
    “คุณผู้หญิง คุณถือเก้าอี้ไว้ทำไมคะ” ทีน่าเดินเข้ามาถามคาเรนด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
    “หา? ฉัน...เปล่านี่ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว แหะๆๆ” คาเรนวางเก้าอี้ในมือลงอย่างเก้ๆ กังๆ ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพิ่งจะตอนนี้นี่แหละที่เธอไม่อยากยอมรับว่าตัวเองคือ ‘คุณผู้หญิง’ เลยให้ตายสิ
    หญิงสาวก้มลงมองวอริคที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ...ตายแล้วๆ คราวนี้ก่อเรื่องใหญ่ซะแล้ว
    “ทีน่า รีบไปโทรศัพท์ตามคุณอเล็กซ์เร็ว ไปสิ!” โซฟีหันมาสั่งการอย่างร้อนใจ
    สถานการณ์รอบข้างกลับมามีความเคลื่อนไหววุ่นวายอีกครั้ง หากคาเรนกลับได้แต่ยืนทื่ออยู่กับที่ สวดภาวนาให้ตัวเอง...และ ‘สามี’ ของเธอ
     
    ในคืนที่ฝนกระหน่ำฟ้าคำราม ลมกระโชกแรงแทบพัดพาต้นไม้ให้หักโค่น หากสภาพภายในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์กลับดูจะประสบวิกฤตหนักกว่า ข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจาย บ้างแตกหักเสียหาย แถมบนพื้นยังมีรอยเลือดเปื้อนเลอะเป็นทาง กว่าจะเก็บกวาดทำความสะอาดเสร็จก็ล่วงเข้าเช้าวันใหม่นั่นล่ะ ส่วนแผลที่ศีรษะของเจ้าของห้องตัวจริง...ที่มาของรอยเลือดน่ากลัวนั่นก็ได้รับการรักษาอย่างดีแล้ว พันทับปิดไว้ด้วยผ้าพันแผลเรียบร้อย
    “บาดแผลไม่ได้ร้ายแรงอะไร ดูแลดีๆ ไม่นานก็หายแล้ว” อเล็กซ์ยิ้มพลางพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
    ตามความเห็นของอเล็กซ์ ศัลยแพทย์มือดีที่ผ่านสมรภูมิในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล พบเจอผู้ป่วย ‘อาการหนัก’ มามากมายนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นสำหรับเขาแล้วบาดแผลบนศีรษะของวอริคก็ไม่ต่างอะไรกับแผลถูกเข็มจิ้ม ไม่ควรให้เขาต้องออกโรงเองด้วยซ้ำ เมื่อคืนตอนที่ทีน่าโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากเขา ละล่ำละลักพูดว่า ‘เลือดเปรอะเต็มหน้าคุณผู้ชายไปหมด แถมยังนอนนิ่งไม่ขยับอยู่กับพื้น’ เขาก็นึกว่าจะอาการหนักปางตาย
    “โชคดีที่เธอไม่ได้ฟาดแรง เลยได้แผลมาแค่นี้” เสร็จหน้าที่ทำแผลให้คนเจ็บ อเล็กซ์ก็จัดการเก็บอุปกรณ์กลับลงกล่องยา
    “อะไรนะ นี่นายตาบอดหรือไง!” วอริคไม่ยอมแพ้ ยกแขนที่มีทั้งรอยฟกช้ำและรอยข่วนให้อเล็กซ์ดูชัดๆ ตอนนี้บนศีรษะเขามีผ้าพันแผลพันอยู่ ตามร่างกายและแขนทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยบาดแผล ทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐานอย่างดีว่ายัยผู้หญิงคนนั้นแรงเยอะอย่างกับอะไร และป่าเถื่อนขนาดไหน
    อเล็กซ์เบ้ปาก ก็เพราะเขาไม่ได้ตาบอดน่ะสิถึงได้พูดแบบนี้ คิดแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
    “ถือเสียว่าหายกันแล้วกัน เพราะตอนงานแต่งนายก็ทิ้งเจ้าสาวไว้คนเดียวต่อหน้าทุกคน ผลุนผลันจากไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรสักคำ ลองคิดสิว่าเธอจะรู้สึกยังไง กระอักกระอ่วนแค่ไหน” อเล็กซ์พูดอย่างเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายไหนทั้งสิ้น
    “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้นสิ อย่าเอามาปนกัน อีกอย่างตอนนั้นฉันต้องรีบไปสะสางงานด่วน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย” วอริคยกเหตุผลขึ้นมาอธิบาย ทว่าก็เป็นเหตุผลในด้านของตัวเองฝ่ายเดียว เพราะลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในใจเขานั้น พ่อและแม่มาเป็นลำดับแรก ต่อด้วยงาน นอกเหนือจากนั้นไม่ถูกจัดอยู่ในระบบความคิดเขา
    “แต่นายเป็น ‘เจ้าบ่าว’ แล้วก็กำลังอยู่ระหว่างพิธีแต่งงานนะ”
    “แล้วไง”
    “แล้วไง? เจ้าบ่าวก็ต้องอยู่ในงานสิ!” เรื่องแบบนี้ยังต้องให้อธิบายอีกเหรอ ฉลาดอยู่แค่เรื่องธุรกิจเรื่องเดียวนั่นล่ะ
    “ถ้าไม่เพราะงานมีปัญหา ฉันก็ไม่ไปไหนหรอกน่า” เขาพยายามชี้แจงเหตุผลว่าเพราะมีเรื่องด่วน จึงต้องผลุนผลันจากไปแบบนั้น ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกพี่ลูกน้องเขาคนนี้ถึงได้ทู่ซี้นัก
    อเล็กซ์ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่มองอีกฝ่ายตาขวาง คิดอยากจะเขกหัววอริคให้หนักๆ สักทีสองที งานแต่งงานของตัวเองแท้ๆ ยังจะมีเรื่องอื่นสำคัญไปกว่าการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้แล้วเสร็จ กับเจ้าสาวผู้ซึ่งจะมาเป็นคู่ชีวิตของตัวเองอีกหรือ ต่อให้เป็นเรื่องงานแล้วไง นี่วอริคแยกแยะความควรไม่ควรไม่ได้เลยหรืออย่างไรนะ
    “วอริค ฉันรู้ว่านายให้ความสำคัญกับงานมาก แต่อย่าลืมว่านายแต่งงานแล้วนะ ต่อไปต้องรู้จักหันมาใส่ใจครอบครัวแล้วก็คาเรนบ้าง”
    “เรื่องนี้นายไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ที่แท้ผู้หญิงคนนั้น...ภรรยาเขาก็ชื่อ ‘คาเรน’ น่ะเอง
    คาเรน ช่างเป็นชื่อที่ฟังดูอ่อนโยน ต่างกับพฤติกรรมใจกล้าบ้าบิ่นของเธอราวฟ้ากับเหว
    “งั้นฉันไปก่อนล่ะ จะกลับโรงพยาบาลไปดูแลคนไข้ที่จำเป็นต้องให้ฉันดูแลจริงๆ พวกนายสองคนก็ค่อยๆ คุยกันไปล่ะ” พูดจบอเล็กซ์ก็ยิ้มบุ้ยใบ้ไปทางประตู
    คาเรนยืนอยู่ตรงนั้น หน้าตาบอกชัดว่าทั้งไม่สบายใจและอยากขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอทำท่าลังเลว่าจะเดินมาหาเขาดีหรือไม่
    วอริคปรายตามองตาม พอเห็นคาเรนเขาก็ขมวดคิ้วไม่พอใจทันที รีบหันไปมองทางอื่นอย่างจะกดความรู้สึกเดือดพล่านในใจไว้
    อเล็กซ์ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ยกกล่องยาเดินผละจากเตียงมา ระหว่างที่เดินผ่านคาเรนก็ไม่ลืมขยิบตาเป็นเชิงให้กำลังใจเธอ
    หญิงสาวยิ้มพยักหน้า มองตามหลังอเล็กซ์ไปอย่างอาวรณ์ ไม่มีคนที่สดใสร่าเริงราวกับพระอาทิตย์อย่างเขาสักคน บรรยากาศในห้องก็กลับมาอึดอัดอึมครึมในทันที
    คาเรนยืนจังก้ามองใบหน้าด้านข้างที่บึ้งตึงของเขา ในใจคิดหาวิธีทำลายความเงียบนี้
    “คุณไม่เป็นอะไรนะคะ” เธอเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง ตาก็มองจ้องผ้าพันแผลบนหัว และรอยฟกช้ำดำเขียวตามตัวของเขา
    “หึ” เขาทำเสียงประชด ท่าทางเย็นชาราวน้ำแข็ง
    หญิงสาวทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มอีก “ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร อารามตกใจถึงได้ลงไม้ลงมือ...หนักไปนิด ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ” เธอโค้งขอโทษจากใจจริง หวังให้เขายกโทษให้
    แต่คำพูดของเธอกลับทำให้เขายิ่งหัวเสีย วอริคเดือดปุดราวกับน้ำที่ตั้งอยู่บนเตาไฟปะทุ พริบตาเดียวเขาก็ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าเธอ “เหตุผลของเธอใช้ไม่ได้ มีอย่างที่ไหนไม่รู้จักสามีตัวเอง!”
    คาเรนอดกลั้นกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเขา เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาที่สายตาของทั้งคู่ประสานกัน เธอก็รู้สึกตะลึงงัน
    เมื่อคืนตอนที่เกิดเรื่องเป็นเวลาดึกมากแล้ว เมื่อถูกจู่โจมกะทันหันก็ต่อสู้เป็นพัลวัน จะมีแก่ใจเปิดไฟดูหน้าตาผู้ร้ายได้อย่างไร แถมเหตุการณ์หลังจากนั้น เมื่อความจริงว่าโจรลามกที่แท้คือสามีของเธอถูกเปิดเผย เธอก็ละอายเกินกว่าจะมองหน้าเขาตรงๆ จนกระทั่งเวลานี้...
    คิดไม่ถึงเลยว่าใบหน้าที่เธอไม่เคยพิศดูอย่างละเอียดมาก่อนจะหล่อเหลาขนาดนี้ ถึงบนหัวจะพันผ้าพันแผลที่ดูขัดกันอย่างไรชอบกล สีหน้าก็เย็นชาจนน่าตกใจ แววตาคมกริบราวกับมีด แต่ก็ไม่ได้กลบรัศมีของเขาเลย
    คาเรนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ลืมไปว่าตัวเองกำลังถูกคุกคาม เธอสงสัยเหลือเกิน...ด้วยหน้าตาที่ผู้หญิงคนไหนเห็นเป็นต้องกระโจนเข้าใส่อย่างเขา กับฐานะร่ำรวยมหาศาล ต่อให้ขาซ้ายกะเผลกแล้วอย่างไร แค่เขาเอ่ยปากก็คงมีลูกคุณหนูตระกูลเศรษฐีมากมายแห่แหนกันมายื่นใบสมัครเป็นภรรยาเขาจนมืดฟ้ามัวดิน เช่นนั้นแล้วทำไมเขาถึงยังต้องเสียเงินมากมายเพื่อให้ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรอย่างเธอมาเป็นภรรยาล่ะ
    “ว่าไง ไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้วหรือไง”
    คำพูดกระด้างเย็นชาของเขาปลุกหญิงสาวตื่นจากภวังค์
    ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะตะลึงค้างไปกับหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา จิตใจหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลืมสนิทว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ไหน แถม...ยังลืมว่ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่อีกต่างหาก
    “คือ...ฉันมาขอโทษคุณ” เธอนึกออกแค่จุดประสงค์แรกเริ่มที่มาหาเขา
    “ฉัน-ไม่-รับ”
    ผะ...ผู้ชายคนนี้ใจแคบเกินไปแล้ว แล้วสายตานั่นมันอะไรกัน มองเธออย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแบบนั้น เธอก็ขอโทษเขาจากใจจริงแล้วนี่
    “คุณวอริค อันที่จริงคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่รับคำขอโทษจากฉัน เพราะเรื่องนี้...คุณก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ถ้าคุณไม่จู่ๆ ก็กลับมา แถมยังทำลับๆ ล่อๆ ปีนขึ้นเตียงมาทำรุ่มร่ามกับฉัน ฉันจะไปลงไม้ลงมือกับคุณได้ยังไง” ผู้หญิงคนไหนลองว่าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ทำไม่ต่างจากที่เธอทำหรอก
    “ฉันกลับมาห้องของฉัน ขึ้นเตียงของฉัน กอดผู้หญิงของฉัน ฉันไม่เห็นว่าฉันจะมีส่วนผิดอย่างที่เธอว่าตรงไหน” เห็นๆ อยู่ว่าเธอเป็นฝ่ายผิด ยังมีหน้ามาพูดอย่างกับเขาเป็นโจรก็ไม่ปาน!
    “ฉันบอกแล้วไงว่าตอนนั้นฉัน ‘ไม่รู้’ ฐานะของคุณ อีกอย่างถึงเราจะเป็นสามีภรรยากัน แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” เธอยืนยันและไม่ต้องการถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของ
    “เธอกล้าพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้หรือ” วอริคหรี่ตามองเธอด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวและคุกคาม “เธอมันก็แค่ผู้หญิงที่ฉันใช้เงินซื้อมา ไม่มีคุณสมบัติจะมาพูดเรื่องสิทธิ์กับฉัน เธอแค่เชื่อฟังคำสั่งฉันก็พอ อย่าลืมฐานะของตัวเองสิ”
    อ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย คือคุณสมบัติขั้นต้นสำหรับผู้หญิงของเขา ยิ่งกับคนที่มาเป็นภรรยาของเขาด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีข้อยกเว้นไปได้
    ในวงสังคมล้วนรู้กันเป็นอย่างดีว่าลูกสาวทั้งสามคนของแซมล้วนหน้าตาสะสวยและเป็นกุลสตรี พวกเธองดงามเหนือใคร บุคลิกสง่างาม นิสัยอ่อนโยน จึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากมาย ดังนั้นเขาถึงตัดสินใจเลือกพวกเธอ
    “เอาล่ะ ฉันจะให้โอกาสเธอขอโทษฉัน ขอแค่ต่อไปเธอสัญญาว่าจะเชื่อฟัง ฉันก็จะไม่ถือสาหาความเรื่องที่แล้วมาอีก แล้วก็จะปฏิบัติต่อเธออย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องด้วย” เขาให้สัญญาอย่างใจกว้าง และให้โอกาสเธอสำนึกผิด
    คาเรนขมวดคิ้วเล็กน้อย สงสัยว่าหูตัวเองมีปัญหาหรืออย่างไร ถึงได้ยินคำพูดพิลึกๆ แบบนี้
    “คุณวอริค นอกจากเรื่องที่ทำร้ายคุณแล้วฉันไม่คิดว่าตัวเองมีเรื่องอะไรจะต้องขอโทษคุณอีก” เธอมองตอบเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
    เขามองเธอตาไม่กะพริบ บรรยากาศอันตรายแผ่คลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
    “เธอ...ไม่เหมือนกับที่ฉันจินตนาการไว้แต่แรกเลย” เขาเขยิบเข้าประชิดตัวเธอ แววตาเป็นประกาย
    “ฉะ...ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” หญิงสาวรีบแก้ตัว แต่ดวงตากลับหลุกหลิกอย่างไม่รู้ตัว
    “หมายความว่าพ่อเธอโกหกฉันสินะ เพราะเขาพูดถึงเธอเสียจนทำให้ฉันคิดว่าเธอ...ตรงกับเงื่อนไขที่ฉันกำหนดไว้” จู่ๆ เขาก็เขยิบเข้ามาจนชิดตัวเธอมากขึ้น
    วอริคจำได้ว่าวันที่แซมมาที่บริษัทเพื่อบอกผลการตัดสินใจ เขาเสียเวลาฟังแซมเยินยอลูกสาวคนนี้อยู่ร่วมยี่สิบนาที ฟังว่าเธออ่อนโยนว่าง่ายอย่างไร กิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยแค่ไหน หน้าตาสะสวยปานใด บอกว่าเธอช่างเหมาะสมกับเขาราวกิ่งทองใบหยก และสมควรจะมาเป็นภรรยาของเขาที่สุด
    แต่ดูท่าคำพูดพวกนั้นจะเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเสียแล้ว!
    “เงื่อนไข?” เธอเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเขาเข้ามาใกล้เธอเกินไป หรือเพราะสายตาคมกริบดุจคมมีดคู่นั้นกันแน่
    “เงื่อนไขที่ฉันกำหนด คุณสมบัติของผู้หญิงที่ฉันจะแต่งงานด้วย...มันตรงข้ามกับเธอทุกอย่าง” แม้คำพูดของเขาจะไม่มีคำหยาบคายปะปนมาแม้แต่น้อย แต่กลับส่อแววประชดประชันและดูถูกคนอย่างร้ายกาจ เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจและรำคาญเธออย่างเหลือเกิน เห็นชัดว่าเธอไม่ใช่ภรรยาที่ดี ยิ่งไม่มีทางจะเป็นแม่ที่ประเสริฐอย่างที่เขาคิด
    “พ่อของฉันไม่ใช่คนชอบโกหก ในสายตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมจะมองว่าลูกของตัวเองดีที่สุด พ่อของฉันก็เลย...”
    “ฉันไม่สนว่าพ่อเธอจะมองเธอยังไง ฉันสนแค่ว่าฉันหลงกล! และจะไม่ยอมปล่อยให้คนที่ปั่นหัวฉันลอยนวลไปง่ายๆ แน่” ดวงตาของเขาฉายรังสีอำมหิตออกมา ทำเอาเธอเหงื่อตกเลยทีเดียว
    “งั้นคุณ...คุณจะเอายังไง”
    วอริคไม่พูดเปล่า กลับเขยิบเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นๆ และเป็นสาเหตุให้เธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่หยุด
    “คำถามคือไม่ใช่ฉันจะเอายังไง แต่เธอจะเอายังไงต่างหาก...” นิ้วมือยาวเรียวของเขาไล้ไปบนแก้มที่ร้อนผ่าวของเธอ “ต่อไปเธอควรจะทำตัวยังไงเพื่อชดเชยความรู้สึกของฉันที่ถูกพวกเธอหลอก”
    สัมผัสจากปลายนิ้วของเขาที่ไล้ไปมาทำเอาหัวใจของคาเรนเต้นระรัวเร็วจนน่าตกใจ
    “ฉัน...รู้...รู้แล้วว่าควรทำยังไง” ตอนนี้จะให้เธอทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่เขาไม่ต้องเขยิบเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ ปล่อยให้เธอได้หายใจหายคอเป็นปกติเสียที
    บ้าจริง! เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ จู่ๆ ถึงได้รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟช็อตที่แก้ม แถมยังหมดเรี่ยวแรงไปเสียเฉยๆ แบบนี้
    “เธอแน่ใจ?”
    “แน่ใจ แน่ใจมาก” เธอกลั้นหายใจ “ฉันไปได้หรือยัง”
    เธอทนไม่ไหวแล้ว คิดแต่ว่ายังไงก็ต้องไปให้พ้นจากบรรยากาศแปลกๆ นี่ให้ได้ ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด อาจจะรู้สึกอึดอัดรุนแรงกว่าเมื่อคืนเสียด้วยซ้ำชนิดที่เธอก็หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้
    แววตาเย็นชาหยุดมองที่เธอไม่กี่วินาที ก่อนเสมองไปทางอื่น
    แค่ปราดเดียวเขาก็มองออกว่าเธอกำลังหวาดกลัวและว้าวุ่นใจ ทำไมเขาจะมองเธอไม่ออก ในเมื่อเขารู้ตัวดีว่าตัวเองมีอิทธิพลกับคนอื่นมากแค่ไหน
    แต่น่าเสียดาย นี่ถ้าไม่เพราะยังรู้สึกเจ็บแผลบนศีรษะอยู่ล่ะก็ เขาคงครึ้มอกครึ้มใจยั่วเย้าผู้หญิงแสนซื่อคนนี้ต่อ
    “ไปได้แล้ว!” จู่ๆ เขาก็ตะคอกเสียงดังทำเอาเธอตกใจ แต่เธอก็ไม่ได้นิ่งตะลึงนานเกินวินาที รีบออกจากห้องไปราวกับนักโทษได้รับการปล่อยตัว รีบหนีไปให้พ้นจากความกดดันด้านหลังประตูที่น่าขนลุกขนพองนั่น
    คาเรนก้าวฉับๆ จนกระทั่งมาไกลจากห้องนอนพอสมควรจึงกล้าหยุดหันหลังพิงผนังแล้วโกยอากาศหายใจเข้าเต็มปอด จังหวะหัวใจที่เต้นรัวผิดปกติค่อยกลับคืนสู่สภาวะปกติ
    ผู้ชายคนนี้...อยู่ให้ห่างเข้าไว้เป็นดีที่สุด
     
    แม้ว่าเธอสมควรอยู่ให้ห่างจากเขา แต่คนเป็นสามีภรรยากันมาแยกห้องนอนกันในคืนแรกของการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งมันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้โกรธเกลียดไม่ชอบหน้าแค่ไหนทั้งสองก็ยังต้องนอนเคียงเตียงเดียวกันอยู่ดี แต่สภาพเช่นนี้จะมีอยู่ต่อไปไม่นานหรอก คาเรนหมายมาดแผนการบางอย่างไว้ในใจ
    กลางดึกคืนนั้น รอจนเสียงหายใจของคนที่เธอนอนหันหลังให้ราบเรียบสม่ำเสมอ คาเรนจึงกล้าลืมตาขึ้น
    เธอจงใจพลิกตัวกลับไปกลับมาเพื่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ บนเตียง จากนั้นก็รอคอยอย่างเงียบๆ ดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย คิดว่าอีกสักพักจะลองพลิกตัวใหม่อีกสักรอบ
    จนเมื่อได้ยินเสียงหายใจยังคงราบเรียบเป็นปกติ และเธอปรับสายตาให้ชินในที่มืดได้แล้ว เธอก็ค่อยๆ ขยับตัวลงจากเตียง ก้มลงคลานอ้อมเตียงใหญ่ไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง แล้วบิดลูกบิดประตูอย่างเบามือ ก่อนแอบย่องออกไปจากห้องนอน...
    เธอเดินตรงไปที่ห้องครัว หยิบสัมภาระน้ำหนักเบาที่แอบซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ออกจากตู้เก็บของ คาเรนไม่ยอมโอ้เอ้เสียเวลา แม้กระทั่งชุดนอนก็ไม่ยอมเปลี่ยน เธอรีบร้อนออกจากบ้านทางประตูหลัง แล้วลัดเลาะตามกำแพงไปเรื่อยๆ จนมาถึงประตูรั้วบานใหญ่ซึ่งทำจากโครงโลหะเล่นลวดลายดอกไม้สวยงาม เธอถลกกระโปรงชุดนอน สะพายกระเป๋าพาดบ่า ก่อนปีนป่ายขึ้นไป...
    ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าขาข้างหนึ่งของเธอจะก้าวพ้นประตูรั้วไปได้ แต่กระโปรงลูกไม้เจ้ากรรมกลับถูกส่วนแหลมคมของประตูเกี่ยวไว้
    บ้าจริง! เธอสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียวว่าชุดนอนลูกไม้บ้านี่จะต้องเป็นอุปสรรคของเธอ แต่เธอก็ยังคงไม่อยากเสียเวลาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผลก็คือ...ตอนนี้เธอคาอยู่บนประตูใหญ่ ขยับตัวไม่ได้ ไปก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ด้วย
    แย่ชะมัด กระโปรงตัวนี้ก็เหลือเกิน แกะตรงนี้ได้ก็ไปเกี่ยวตรงนั้นอีก ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป จนฟ้าสว่างเธอก็ยังปีนข้ามไปไม่พ้น
    “ดีล่ะ แกรนหาที่เองนะ” ว่าแล้วเธอก็ออกแรงฉีกกระโปรงตรงส่วนที่ถูกเกี่ยวติดอยู่กับลายดอกไม้ของประตูเสียงดังแควก
    กระโปรงลูกไม้ตัวสวยถูกเธอฉีกจนเป็นทางยาว เผยให้เห็นขาอ่อนขาวละมุน แต่ในเวลานี้คาเรนไม่มีแก่ใจมาคิดถึงเรื่องโป๊ไม่โป๊อีกแล้ว เธอสนใจแต่จะต้องขยับตัวอย่างระมัดระวัง โน้มตัวไปอีกด้าน เตรียมก้าวขาอีกข้างให้พ้นประตูไป
    อ๊ะ! เกือบพ้นแล้วเชียว แต่เจ้าเศษผ้ารุ่งริ่งที่ปลายกระโปรงเหมือนกับจะแก้แค้นความโหดร้ายของเธอ ถึงได้ยิ่งเกี่ยวพันลายของประตูรั้วแน่น
    เธอเอี้ยวตัวใช้มือพยายามดึงกระโปรงให้หลุด แต่ครั้งนี้มันติดแน่นจนไม่ยอมไปตามแรงมือเธอง่ายๆ ไม่ว่าเธอจะออกแรงดึงแค่ไหนก็ไม่หลุดสักที
    หน้าผากเธอเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา เธอพยายามออกแรงสุดแรงเกิดทำลายเจ้าชุดนอนที่ดูบอบบางแต่กลับเหนียวแน่นเอาเรื่องนั่น...
    “ต้องการให้ช่วยหรือเปล่า” ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลังเธอ
    หญิงสาวตัวแข็งทื่อ เอาแล้วสิ ดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้นอกจากผีแล้วก็คงไม่มีใครออกมาเพ่นพ่านที่ข้างนอกหรอก ว่าแต่เสียงผีตนนี้ฟังดูแล้วช่างคล้าย...
    เธอหันไปมอง...ค่อยยังชั่ว! ที่แท้ก็เป็นวอริค ‘สามีที่รัก’ ของเธอนั่นเอง เขายืนถือไม้เท้าหน้าตาบูดบึ้งอยู่ข้างประตูใหญ่ มองแล้วเหมือนราชสีห์ถูกยั่วให้โมโห ส่วนเธอก็คือเหยื่อดวงกุดที่ก้าวเข้ามาผิดที่ผิดเวลา
    “คนของบริษัทรักษาความปลอดภัยโทรศัพท์มาถามฉันว่าจะให้แจ้งตำรวจหรือเปล่า เธอคิดว่ายังไง” น้ำเสียงเขาเย็นชาขนาดทำให้น้ำทะเลจับตัวเป็นน้ำแข็งได้เลยทีเดียว แน่นอนล่ะว่าร่างกายเธอได้แข็งทื่อไปก่อนหน้านี้นานแล้ว
    “ฉะ...ฉันว่า...ไม่ต้องแจ้งตำรวจหรอก” เธอตอบกลับด้วยท่าทางที่ยังคงแข็งทื่อ ส่วนรอยยิ้มที่พยายามสร้างขึ้นก็ดูน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าอะไร
    โอ๊ย! เธอนี่มันโง่จริงๆ เลย ทำไมถึงลืมไปได้นะว่ามีระบบกันขโมยอยู่ บ้านหลังใหญ่จนเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์แน่นอนว่าต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยชั้นยอดติดอยู่ สงสัยระบบรักษาความปลอดภัยคงทำงานตั้งแต่ตอนที่เธอผลักประตูหลังบ้านออกมาแล้ว นี่เธอยังจะมาทำงี่เง่าอยู่ตรงนี้อีก
    “ยังไม่รีบลงมาอีก! ดูสภาพเธอสิ ยังทำฉันขายหน้าไม่พอใช่ไหม!” เขาแผดเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกว่าตัวเองถูกผู้หญิงขาดการอบรมคนนี้ยั่วโมโหจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว
    คาเรนรีบร้อนยกขาที่ก้าวพ้นไปแล้วกลับเข้ามา แต่กระโปรงเจ้ากรรมกลับไม่ยอมปล่อยให้เธอทำแบบนั้นง่ายๆ ถึงได้เกี่ยวแน่นกับประตูใหญ่ไม่ยอมหลุด
    อับจนหนทางจริงๆ เธอจึงได้ออกแรงกระชากอีกครั้ง...คราวนี้ผ้าฉีกขาดสมใจ
    “ว้าย!“ ทว่าเธอยังไม่ทันตั้งตัวที่จู่ๆ กระโปรงเจ้ากรรมก็เกิดว่านอนสอนง่าย จึงได้เสียหลักร่วงลงมาข้างล่าง ชนโครมกับผู้ชายที่ยังโกรธเธอไม่หาย
    “ไปให้พ้น!” พอมือใหญ่ของเขาขยับได้ก็รีบผลักคาเรนที่ทับอยู่บนตัวเขาออกไป
    “โอ๊ย!” คาเรนล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
    วอริครีบหยิบไม้เท้าที่ถูกชนตกแล้วยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง ไม่วายเบิกตามองเธออย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนพาอารมณ์ที่กรุ่นโกรธเดินกลับเข้าตัวบ้านไป
    คาเรนนั่งอยู่บนพื้นหน้าตามอมแมม ใช้มือนวดคลึงบั้นท้ายที่รู้สึกเจ็บ แต่ก็ไม่วายหันไปมองประตูใหญ่นั่นอย่างเคืองขุ่น คิดในใจว่า ‘อีกแค่นิดเดียวแท้ๆ’
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×