คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5
บทที่ 5
หลายเดือนก่อนหน้านี้ชีวิตของลู่ฉินเป็นปกติสุขดี แต่นับตั้งแต่รู้ว่าแฟนเก่าเป็นแวมไพร์แล้ว ชีวิตของเธอก็ไม่เป็นปกติอีกต่อไป
การมีแวมไพร์รูปหล่อตามจีบยังพิสดารไม่พอ แต่คนที่เธอนัดเจอคืนนี้ก็เป็นแวมไพร์เหมือนกันต่างหากที่พิสดารที่สุด และคนคนนั้นก็คือมี่หยา เพื่อนรักของเธอซึ่งพลิกผันกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งแวมไพร์มือใหม่
ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับรู้เรื่องราวของมี่หยา ป่านนี้เธอคงยังไม่รู้ว่าพวกแวมไพร์ที่เห็นแต่ในโทรทัศน์และหนังสือนิยาย...ความจริงแล้วมีชีวิตอยู่รอบตัวปะปนอยู่ในสังคมมนุษย์
อย่างเช่นมี่หยาที่แม้จะกลายเป็นครึ่งคนครึ่งแวมไพร์แล้ว ก็ยังคงเป็นเหมือนคนทั่วไปที่ไปไหนมาไหนได้ในเวลากลางวัน กินข้าวได้ตามปกติ หรือจะกินสเต๊กกับเธอในร้านอาหารฝรั่งเหมือนตอนนี้ก็ได้ สิ่งเดียวที่แตกต่างไปก็คือมี่หยาซึ่งเดิมรูปร่างหน้าตาธรรมดากลับดูสวยวันสวยคืน
ลู่ฉินมองสำรวจมี่หยาด้วยความสงสัยใคร่รู้ นอกจากเธอจะสวยขึ้นแล้ว รูปร่างก็ยิ่งอรชรอ้อนแอ้นมากขึ้นอีก เธอบอกว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกลายเป็นครึ่งคนครึ่งแวมไพร์ ซึ่งเป็นกรณีพิเศษในประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของแวมไพร์อีกด้วย
“หน้าอกของเธอดูเหมือนจะอึ๋มขึ้นอีกแล้วนะ”
มี่หยาถอนหายใจเฮือกขณะบ่นกับเธอ “เธอก็สังเกตเห็นเหมือนกันเหรอ”
ลู่ฉินพยักหน้าพลางมองทรวงอกอวบอิ่มของเพื่อนรัก “ฉันว่าน่าจะสักคัพดี”
“เฮ้อ เลิกพูดเถอะ ฉันต้องซื้อเสื้อชั้นในใหม่อีกแล้ว ขนาดคัพซีของเก่าเล็กไป ใส่แล้วไม่สบายตัวเลย ทำไมถึงได้ยุ่งยากอย่างนี้นะ”
“ฉันคิดว่าคงมีใครบางคนดีใจแทบแย่เลยมั้ง”
เธอหมายถึงอี้หลุน แฟนหนุ่มแวมไพร์ของมี่หยา
มี่หยาอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ขณะเอ่ยขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียด
“เขาก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แต่ฉันสิเป็นคนลำบาก รูปร่างเปลี่ยนอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตอนแรกต้องเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่ ตอนนี้แม้แต่เสื้อผ้าก็ต้องซื้อขนาดใหม่หมดแล้ว”
นับตั้งแต่ที่เธอกัดอี้หลุนและเผลอดื่มเลือดของเขาเข้าไป นอกจากจะเป็นเหตุให้เธอกลายเป็นครึ่งคนครึ่งแวมไพร์แล้ว ยังทำให้รูปร่างของเธอเซ็กซี่ยิ่งขึ้น
ลู่ฉินมองมี่หยา เพื่อนของเธอคนนี้ดูเหมือนจะบ่นแต่ปากไปอย่างนั้นเอง แต่ความจริงแล้วอีกฝ่ายอิ่มอกอิ่มใจมากกว่า เป็นแฟนกับแวมไพร์มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ
“เธอรักเขามั้ย”
มี่หยาหน้าแดง เผยรอยยิ้มสุขใจ “รักสิ”
เธอรู้สึกได้ว่ามี่หยาตกอยู่ในห้วงของความรักอันแสนสุข
“จริงสิ แฟนคนใหม่เป็นไงบ้าง” มี่หยาถามด้วยความสนอกสนใจ
“เลิกแล้ว”
“เอ๊ะ?” มี่หยาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ลู่ฉินซึ่งทำท่าไม่ใส่ใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เลิกกันแล้ว?”
“ใช่”
“ทำไมล่ะ”
“เข้ากันไม่ได้” ลู่ฉินบอกสั้นๆ โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ น้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องของคนอื่นอยู่
หญิงสาวถือมีดด้วยมือซ้ายและถือส้อมด้วยมือขวาขณะหั่นสเต๊กเนื้อสันใน ตอนที่เธอจิ้มเนื้อวัวที่หั่นเสร็จขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกำลังจะส่งเข้าปากก็อดนิ่งอึ้งไปไม่ได้
มี่หยาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเธอทำคิ้วตกตาละห้อย หยดน้ำวาววับกลบสองตาดูเหมือนใกล้จะหยาดหยดลงมาอยู่รอมร่อ เธอเห็นแล้วอยากจะกุมขมับ
“ทำไมเธอต้องทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ด้วย”
“ฉันเศร้านี่นา” มี่หยาพูดอย่างน่าสงสารแล้วยังทำตาแดงๆ อีกด้วย
“โอเวอร์ไปหน่อยมั้ง คนที่เลิกกับแฟนคือฉันนะ ฉันควรเป็นคนที่เศร้าสิ เธอจะร้องไห้ทำไม”
“ฉันสงสารเธอนี่”
มี่หยาเป็นผู้หญิงที่อารมณ์อ่อนไหวประเภทที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเวลาดูละครน้ำเน่าแบบยืดแล้วยืดอีกก็ยังไม่จบสักที แล้วพอได้ยินว่าเพื่อนรักเลิกกับแฟนก็เดือดเนื้อร้อนใจเสียยิ่งกว่าเจ้าตัวซะอีก
ลู่ฉินนวดตรงหว่างคิ้ว
“ขอร้องน่า อย่าร้องห่มร้องไห้เพราะเรื่องเล็กแค่นี้ได้มั้ย ฉันไม่แคร์เลยสักนิด ถ้าฉันแคร์ล่ะก็ ฉันคงไม่บอกเลิกกับเขาหรอก”
จะให้เธอร้องไห้เพราะผู้ชายน่ะเหรอ อย่าหวังเลย เธอทำเรื่องอ่อนแอน่าขายหน้าแบบนี้ไม่เป็นหรอก เพราะเธอเป็นคนที่จัดการปัญหาด้วยความเยือกเย็นและมีสติมาตลอด
มี่หยาเช็ดน้ำตาแล้วถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ทำไมถึงเลิกกับเขาล่ะ”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ลู่ฉินก็พาลคิดไปถึงผู้ชายหล่อกระชากใจคนนั้น แล้วจากที่ใจเย็นอยู่ในตอนแรกเธอก็เริ่มของขึ้น
“เป็นเพราะเจ้าปลิงดูดเลือดเกาะหนึบตัวนั้นน่ะสิ”
มี่หยาอึ้งไปพร้อมกับทำหน้าสงสัย “ปลิงดูดเลือด?”
“เจสันไง” เธอบอกด้วยเสียงห้วนจัด
เจสัน? ปลิงดูดเลือด?
มี่หยาซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบเก็บงำความรู้สึกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรส่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาทันที
“ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเขามีชื่อเล่นใหม่แล้ว”
ลู่ฉินเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “เขาเป็นผีดูดเลือด แล้วยังชอบตามตื๊อฉันตั้งแต่เช้าจรดเย็นแบบนี้ ไม่เหมือนปลิงดูดเลือดเกาะหนึบเหรอไง”
“เหมือนสิ! เหมือนเลย! ฮ่าๆๆ เหมือนปลิงดูดเลือด!” หนนี้มี่หยาหัวเราะจนน้ำตาไหล
ลู่ฉินหัวเราะไม่ออก เพราะปกติแล้วเธอไม่ชอบปล่อยให้เรื่องความรักค้างๆ คาๆ ถ้าไปกันได้ก็คบกัน ถ้าไปกันไม่ได้ก็เลิกกัน ต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม
เนื่องจากเธอเป็นคนมีเหตุมีผลมากเกินไป จึงไม่เคยต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องขี้ผงเช่นการเลิกกับแฟน เพราะเหตุนี้คนภายนอกจึงมองว่าเธอเป็นสาวสวยแสนหยิ่งที่เย็นชาและแข็งกระด้าง และเธอเองก็คร้านจะแก้ตัวให้มากความ แต่พอนึกถึงเจสันขึ้นมา คิ้วเรียวบนดวงหน้างดงามเย็นชาก็ขมวดเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
แม้เธอจะเป็นฝ่ายทิ้งเจสันและประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่สนใจเขา แต่เธอรู้ดีแก่ใจว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเพราะเขา และจูบของเขาก็ทำให้เธอหวั่นไหวซึ่งชวนให้หงุดหงิดใจอย่างยิ่ง
หญิงสาวเข้าใจดีว่าเธอคบกับเจสันต่อไปก็ไม่มีอนาคต ความรักที่มองไม่เห็นปลายทางนั้นมีแต่เสียเวลาเปล่า เธอคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและเลือกที่จะแยกทางกับเขา เพราะไม่อยากถลำตัวลึกลงไป ต่อให้เขาเป็นแวมไพร์จอมตื๊อเธอก็ไม่สนใจอยู่ดี
หลังจากมี่หยาฟังลู่ฉินเล่าให้ฟังแล้วก็อุทานอย่างประหลาดใจ
“เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่นึกว่าเขาจะดอดเข้าไปในบ้านของเธอตอนกลางดึก ขัดขวางไม่ให้ตาคนนั้นจูบเธอ เขาจริงจังมากเลยนะ”
ลู่ฉินพูดเสียงเยาะ “จริงจัง? เขาคิดจะซ้ำเติมฉันน่ะสิ เขาคงเจ็บใจที่ฉันทิ้งเขา เลยมาป่วนตอนฉันเดต แถมยังทำให้คนที่ตามจีบฉันถอดใจไปกันหมด เขาซื้อใจคนเก่ง ทำให้เพื่อนๆ มาต่อว่าว่าฉันทิ้งแฟนสุดเพอร์เฟ็กต์แบบนี้ได้ยังไง ถ้าทุกคนรู้ว่าอีตานั่นเป็นแวมไพร์ที่อยู่มาสามร้อยกว่าปี ดูซิใครยังจะกล้าเข้าข้างเขาอีก”
“ฉันกลับรู้สึกว่าเขาเป็นห่วงว่าเธอจะโดนหลอก ถึงได้จงใจมาป่วนตอนเธอเดตนะ”
ถึงมี่หยาจะรู้สึกเช่นกันว่าเจสันเป็นเพลย์บอยจอมกะล่อน แต่ขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นว่าดูเหมือนเขาจะจริงจังกับลู่ฉินเป็นพิเศษ
“เขาอยากได้ผู้หญิงคนไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่เห็นมีอะไรยาก ฉันว่านะ เขาแค่ยังรู้สึกว่าฉันเป็นของแปลกใหม่เท่านั้นเอง ไว้เขาเบื่อเมื่อไหร่คงไม่มาตามตื๊อฉันแบบนี้อีกแล้ว”
เธอเชื่อสนิทใจว่าเป็นเช่นนี้ ด้วยรูปร่างหน้าตาและบุคลิกที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างร้ายเหลือ บวกกับความเป็นอมตะแล้วยังมีพลังพิเศษของแวมไพร์อีก เจสันจะหาผู้หญิงที่สวยกว่าเธอเป็นร้อยๆ เท่าก็ยังได้ ไม่จำเป็นต้องคอยมายุ่งวุ่นวายกับเธอไม่เลิกแบบนี้ สุดท้ายก็คือรอแต่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะเบื่อเธอเท่านั้น
นับตั้งแต่ได้พบกับเจสัน ชีวิตเรียบง่ายของเธอก็มีอันต้องวุ่นวายไปหมด ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้เธอขาดสติได้ เขาไม่เพียงมีเสน่ห์เท่านั้น แต่ยังมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เธอลุ่มหลงจนไม่สามารถปฏิเสธเขาได้อย่างจริงจัง
‘คุณเป็นผู้หญิงของผม’
เธออดนึกถึงคำพูดของเจสันขึ้นมาไม่ได้ เหมือนเขากำลังกระซิบบอกเธออยู่ข้างหูด้วยเสียงทุ้มนุ่มชวนฝัน พาให้เธอใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“เอ๊ะ? ทำไมเธอถึงใจเต้นแรงขึ้น” มี่หยาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลู่ฉินอึ้งไปเหมือนกัน “เธอได้ยินเหรอ”
“ใช่สิ... เอ๊ะ? ว้าย! ฉันได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้นด้วย”
มี่หยาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองมีพลังพิเศษเพิ่มขึ้น จึงตกใจเป็นการใหญ่และตะลึงงันยิ่งกว่าลู่ฉิน
หญิงสาวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับเพื่อนครึ่งคนครึ่งแวมไพร์มือใหม่คนนี้ดี
มี่หยายังคงเป็นมี่หยา แม้เธอจะกลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว แต่นิสัยซื่อๆ น่าเอ็นดูยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย
“เอาเป็นว่าฉันไม่อยากเห็นหน้าเจสันอีก ฝากเธอไปบอกเขาด้วยนะ ถ้าเขายังกล้าโผล่หน้ามาอีก ฉันจะใช้เครื่องดักสัตว์จับเขาส่งสวนสัตว์เอาไว้ให้คนดูเล่นเลย”
มี่หยาได้ยินเพื่อนรักพูดแล้วอดร้องเสียงหลงไม่ได้ “ตายแล้ว! อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ”
“แย่ยังไง”
“เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา แต่เห็นท่าคง...จะไม่ได้”
“เพราะอะไร”
“ความจริงแล้ววันนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเธอ”
“เรื่องสำคัญอะไร”
มี่หยาเขินหน้าแดงขณะบอกเพื่อนรัก “ฉันอยากชวนเธอไปงานแต่งงานของฉัน”
ลู่ฉินทำหน้าตะลึงลาน “เธอจะแต่งงานแล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว”
“แต่งกับใคร”
มี่หยายิ้มจืดๆ “ก็ต้องกับอี้หลุนน่ะสิ”
ลู่ฉินถามอะไรไม่เข้าท่าเลย อี้หลุนเป็นแฟนของเธอ ถ้าไม่แต่งกับเขาแล้วจะแต่งกับใคร
หญิงสาวตะลึงไปจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับประหลาดใจ เธอแค่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้เพราะอี้หลุนเป็นแวมไพร์ที่อยู่มาสามร้อยกว่าปี ถึงเธอจะเคยทำทั้งข่าวเรื่องประหลาดลี้ลับ ข่าวสังคม ข่าวอาชญากรรมมาแล้ว อีกทั้งเธอก็ไม่ใช่คนตกใจง่ายมาแต่ไหนแต่ไร แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองอยู่ดี
“เธอจะแต่งกับ...แวมไพร์งั้นเหรอ”
“ฉันก็เป็นแวมไพร์แล้วนะ ไม่แต่งกับเขาแล้วจะให้แต่งกับใครล่ะ”
“แต่เธอก็เป็นมนุษย์นะ”
แม้มี่หยาจะเป็นครึ่งคนครึ่งแวมไพร์ แต่อาจจะกลับคืนเป็นปกติตามเดิมก็ได้ ลู่ฉินคิดมาตลอดว่าการมีแฟนกับการแต่งงานเป็นคนละเรื่องกัน
มี่หยาส่ายหน้า “ฉันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
“เธอรู้ได้ยังไง”
มี่หยาเห็นว่ารอบๆ ปลอดคนจึงถือโอกาสแอบให้เพื่อนรักดูหลักฐานตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เธอดูมือฉันสิ”
เล็บนิ้วชี้บนมือของมี่หยาที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ ยืดออกมา มันทั้งยาวทั้งแหลมอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แล้วเธอยังใช้มันจิ้มเค้กชิ้นเล็กๆ บนโต๊ะเข้าปากแทนส้อมได้อีกด้วย
หลังจากมี่หยากินเค้กช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ เข้าไปแล้วก็หดเล็บกลับเป็นเหมือนเดิม
ถ้าลู่ฉินไม่เห็นเองกับตาก็คงไม่เชื่อจริงๆ
“เธอยืดเล็บสั้นยาวได้ตามใจนึกแล้วเหรอ”
“ใช่ ฉันทำให้เล็บนิ้วไหนยาวออกมาก็ได้นะ หรือจะให้มันยาวออกมาพร้อมกันทั้งสิบนิ้วเลยก็ยังได้”
ลู่ฉินถอนหายใจ มี่หยามีพลังพิเศษเพิ่มขึ้นอีกแล้ว นับวันยิ่งมีมาดเป็นแวมไพร์เข้าไปทุกที
“ถ้าเอาเรื่องที่ในโลกนี้มีแวมไพร์อยู่ไปลงเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่ง คงดังระเบิดเถิดเทิงไปเลยเนอะ”
มี่หยารีบเอ่ยขึ้น “ห้ามทำข่าวเชียว นี่เป็นข้อห้ามของแวมไพร์เลยนะ”
“กลัวอะไร เห็นฉันเป็นพวกขายเพื่อนกินเหรอ”
มี่หยาแลบลิ้นพลางพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรอกนะ ฉันกลัวว่าแวมไพร์ตนอื่นจะทำร้ายเธอ เพราะยังไงเรื่องนี้ก็เป็นความลับของพวกแวมไพร์”
ลู่ฉินพูดเสียงฮึดฮัด “ต่อให้ไม่ทำเพื่อเธอ ฉันก็ไม่ทำข่าวเรื่องนี้หรอก ถึงฉันจะเป็นนักข่าว แต่ก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ใช่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ข่าวมาท่าเดียว มีบางเรื่องรู้ไปก็ไม่มีผลดีอะไร อย่าให้คนบนโลกรู้ว่ามีแวมไพร์อยู่จริงจะดีกว่า”
มี่หยากุมมือเพื่อนรักไว้ด้วยความซึ้งใจ
“เธอเป็นคนฉลาดมาตลอด ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ซีเรียสแค่ไหน”
“กลับเข้าเรื่องเถอะ ถ้าเธอตกลงปลงใจจะแต่งกับอี้หลุนแล้ว ฉันก็ไม่พลาดงานแต่งงานของเธอแน่นอน”
“ขอบอกไว้ก่อนนะว่างานที่เธอจะไปนี่ไม่ใช่งานแต่งงานแบบธรรมดาๆ”
“แล้วเป็นยังไงล่ะ”
“งานที่เราจะจัดขึ้นเป็นงานแต่งงานสีดำตามประเพณีของแวมไพร์”
มี่หยาแวมไพร์น้องใหม่กำลังจะแต่งงานโดยมีอี้หลุนสุดยอดแวมไพร์เป็นเจ้าบ่าว
ตามประเพณีของแวมไพร์ พิธีแต่งงานจะจัดขึ้นในเวลาเที่ยงคืนของวันพระจันทร์เต็มดวง มีแวมไพร์จากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันในวันนี้
ในฐานะที่เป็นนักข่าวคนหนึ่ง ลู่ฉินเคยไปงานเลี้ยงมาแล้วทุกประเภท ทั้งของนักธุรกิจ นักการเมือง และผู้คนในวงการบันเทิง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาร่วมงานแต่งงานของแวมไพร์ ซึ่งสำหรับเธอแล้วถือเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
เนื่องจากหญิงสาวมีอาชีพนี้เลยทำให้เธอเป็นคนใจกล้ามาตลอด อีกทั้งด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็น เธอจึงไม่พลาดงานนี้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันยังเป็นงานแต่งงานของเพื่อนสนิทที่สุดด้วย
รถยนต์หรูหราราคาแพงจอดอยู่หน้าประตูโรงแรม คนขับรถลงมาเปิดประตูให้หญิงสาวบนที่นั่งตอนหลัง
“คุณลู่ฉิน เชิญครับ”
ขาเรียวสวยข้างหนึ่งก้าวออกมานอกรถ คนขับรถยื่นมือออกมาอย่างสุภาพนอบน้อม เพื่อให้ลู่ฉินเกาะแขนเขาและก้าวลงจากรถได้อย่างสะดวก
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้บริการคุณผู้หญิงครับ”
เธอพยักหน้าให้คนขับรถก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงดงาม เธอสวมชุดราตรีผ้าไหมปักลายสีดำ งานแต่งงานที่เธอกำลังไปร่วมจะจัดพิธีในเวลาเที่ยงคืนตรง
หญิงสาวรู้มาว่าในงานนี้มีเธอเป็นมนุษย์เพียงคนเดียว มี่หยาเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตไปหมดแล้ว ส่วนเธอเป็นเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันกับมี่หยา ดังนั้นเธอย่อมต้องไม่พลาดงานแต่งงานของมี่หยาแน่ ต่อให้แขกในงานเป็นแวมไพร์ทั้งหมด เธอก็ไม่รู้สึกหวาดกลัว และเธอยังมีสร้อยกุหลาบสีดำซึ่งสวมไว้บนคอทำหน้าที่เป็นบัตรผ่านเข้าไปในงานด้วย
ก่อนผ่านประตูหน้าซึ่งสลักลวดลายงดงามเข้าไป เธอเอาสร้อยกุหลาบสีดำที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกโชว์ให้ยามหน้าประตูดู เขาก็เปิดประตูเชิญให้เธอเข้าไปอย่างสุภาพตามที่คาดไว้
พิธีแต่งงานพระจันทร์เต็มดวงของแวมไพร์จัดขึ้นที่สวนดอกไม้ลอยฟ้าบนชั้นสูงสุดของโรงแรมแห่งนี้
มี่หยาบอกเธอว่าในพิธีแต่งงานจะมีแขกที่เป็นแวมไพร์ตนอื่นๆ มาร่วมงานด้วย แต่เธอไม่ต้องกลัว เพราะเพื่อนแวมไพร์ที่อี้หลุนเชิญมาไม่ใช่พวกกัดคนไม่เลือกเหมือนที่เห็นกันในหนัง มี่หยายังกำชับเธอเป็นพิเศษว่าถ้าสวมสร้อยเส้นนี้แล้ว แวมไพร์ตนอื่นก็จะไม่ทำร้ายเธอ เพราะมันเป็นสัญลักษณ์บอกว่าเธอเป็นเพื่อนของแวมไพร์ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโลกของพวกเขา
เธอได้ยินว่าแวมไพร์เหล่านี้เป็นเหมือนคนปกติทั่วไป พวกเขาจะแต่งชุดเต็มยศมาร่วมงานและมีกิริยาท่าทางเหมือนคนธรรมดาทุกอย่าง เพียงแต่ว่าจะปรากฏตัวเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น
เธอเคยไปร่วมงานแต่งงานมามายมาย มีทั้งประเภทที่จัดในโรงแรมสุดหรู งานแต่งงานที่เล่นดนตรีโฉ่งฉ่างแบบต่างจังหวัด พิธีแต่งงานบนเกาะเล็กๆ แสนโรแมนติกในต่างประเทศ พิธีแต่งงานทั้งแบบญี่ปุ่น จีน และฝรั่ง แต่มีแค่งานแต่งงานของพวกแวมไพร์เท่านั้นที่เลือกจัดกันในคืนพระจันทร์เต็มดวงตอนเที่ยงคืนตรง
ลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นบนสุด วินาทีที่ประตูเปิดออก ชั่วแวบหนึ่งลู่ฉินรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้าไปในโลกลึกลับที่มีสีสันพร่างพรายงดงามอีกโลกหนึ่ง
ในงานเลี้ยงบนสวนดอกไม้ลอยฟ้ามีแขกจากประเทศต่างๆ ทั้งชาวตะวันออกและชาวตะวันตก พวกเขาส่วนใหญ่สวมชุดโบราณแบบในยุคกลาง
ผู้หญิงบางคนแต่งตัวเหมือนสตรีชั้นสูงในพระราชวังแวร์ซายส์ ผู้ชายบางคนก็ใส่ชุดแบบบารอนฝรั่งเศส
ส่วนชาวตะวันออกมีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดเหมือนในหนังเรื่องตำนานเก็นจิ* และมีคนใส่ชุดซามูไรยืนอยู่ข้างๆ กัน
ชั่วขณะนั้นหญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในอีกมิติ นอกจากจะเห็นชายหญิงจากยุคโบราณของทุกประเทศแล้ว ยังมีแวมไพร์บางตนเอาสัตว์เลี้ยงติดตัวซึ่งเป็นค้างคาวเกาะห้อยหัวอยู่ที่แขนมาด้วย และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลี้ยงดูดีเกินไปหรือเปล่าจึงทำให้ค้างคาวพวกนี้อ้วนท้วนสมบูรณ์กันทุกตัว ถึงขนาดมีบางตัวอ้วนเกินไปเลยได้แต่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าของด้วยซ้ำ
ลู่ฉินสังเกตเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีสัญลักษณ์เป็นกุหลาบดำหนึ่งดอกเหมือนจี้ที่เธอห้อยอยู่บนคอ เพียงแต่ว่าของพวกเขาบางคนเป็นแหวนบ้าง กระดุมแขนเสื้อบ้าง ต่างหูบ้าง อีกทั้งพวกเขาทั้งหมดยังเป็นแวมไพร์ซึ่งเป็นแขกสำคัญที่มาร่วมงานในคืนนี้
เธอมองเห็นสาวชาวตะวันออกคนหนึ่งสวมชุดแบบสนมชายาในราชสำนักจีนโบราณ ผู้หญิงคนนั้นเอวบางร่างน้อย ทีท่านวยนาดกรีดกราย เธอเหน็บป้ายหยกขาวไว้ที่เอว มือถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ และมีกุหลาบสีดำหนึ่งดอกห้อยตุ้งติ้งลงมาจากปิ่นปักผม
“คนนั้นเป็นพระชายาแห่งราชวงศ์หมิง”
เสียงนุ่มหวานคุ้นหูซึ่งกระซิบอยู่ข้างหูดึงเธอออกมาจากภวังค์ความคิด
ลู่ฉินหันหน้าไปจึงมองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าเข้มดุจไพลิน เขาส่งยิ้มบางๆ ละลายหัวใจมาให้เธอเหมือนเคย
เธอไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ได้เจอเจสัน เพราะเขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ชายหนุ่มสวมชุดทักซิโดสีดำเหมือนเป็นบุรุษแห่งรัตติกาล ผมสีทองของเขาเป็นประกายวิบวับใต้แสงจันทร์ กิริยาสุภาพงดงามจับตาจับใจไม่เปลี่ยนแปลง
หญิงสาวรู้ว่าเขารูปหล่อดูดีมาก และแม้เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่หลงใหลในรูปลักษณ์ภายนอกของผู้ชาย แต่เธอก็อดยอมรับไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนอย่างมากจริงๆ
“ฮึ ฉันไม่ได้ถามคุณสักหน่อย”
“ท่าทางตอนคุณขมวดคิ้วก็สวยมาก”
“ทำเป็นปากหวาน ใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอก”
“ผมไม่ได้ปากหวานสักหน่อย นี่เป็นคำพูดจากใจจริงเลย”
“จะจีบฉัน คุณไม่รู้สึกว่าอายุของเราห่างกันไปหน่อยเหรอ ตาแก่”
“ตาแก่?” เขาอดอึ้งไม่ได้
“คุณอายุปาเข้าไปสามร้อยกว่าแล้ว ถ้าไม่ใช่ตาแก่แล้วเป็นอะไร ฉันเป็นหลานของหลานของหลานของหลานทวดคุณยังได้เลย”
เจสันอดเหงื่อแตกพลั่กไม่ได้ เธอเรียกเขาเป็นตาแก่เชียวหรือ แบบนี้โหดไปหน่อยมั้ง ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย
ด้านข้างพลันมีเสียงหัวเราะดังพรืดออกมาเหมือนขบขันเรื่องที่พวกเขาคุยกันเมื่อครู่นี้ ลู่ฉินอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปมองอีกด้านหนึ่ง จึงเห็นว่าคนที่หัวเราะอยู่ก็คือพระชายาแห่งราชวงศ์หมิงคนนั้นนั่นเอง
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะเจสัน” พระชายาแห่งราชวงศ์หมิงเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาก่อน ใต้แสงจันทร์มือของเธอเรียวบางดูสวยงามขาวนวลเนียนผุดผาดไร้ที่ติ
เจสันกุมมือเธอไว้และโค้งตัวลงประทับจูบบนหลังมือเธอตามมารยาทเหมือนสุภาพบุรุษทั่วไป
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะครับ พระชายาเอ๋อเฟย”
เอ๋อเฟยยิ้มพริ้มพราย เธอดูสูงศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์เต็มตัว และมีความงามเย้ายวนใจแบบสนมชายา เธอชำเลืองตามองลู่ฉินเหมือนกำลังประเมินหญิงสาวอยู่ในที
ลู่ฉินจ้องตอบผู้หญิงตรงหน้า พระชายาแห่งราชวงศ์หมิง งั้นก็แสดงว่าผู้หญิงคนนี้มีชีวิตอยู่มาเกือบสี่ร้อยปีแล้วหรือ
เอ๋อเฟยมองลู่ฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดวงตากลมโตพราวระยับจับตา
“ที่แท้เจ้ามีคนโปรดคนใหม่แล้วนี่เอง มิน่าถึงไม่ได้มาเยี่ยมเยียนข้าเสียตั้งนานเชียว”
คำพูดแฝงนัยล้อเลียนเอาไว้แบบนี้ คนที่ได้ยินไม่คิดว่าพวกเขาสองคนมีอะไรกันก็แปลกแล้ว
“พระชายาพูดเกินไปแล้ว” เจสันรีบหัวเราะกลบเกลื่อนและแอบมองไปทางลู่ฉินแวบหนึ่ง
“อุ๊ยตาย นี่ไม่ใช่เจสันสุดที่รักของฉันเหรอเนี่ย”
เจสันโอดครวญอยู่ในใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกเจสันสุดที่รัก พอหมุนตัวไปก็เห็นผู้หญิงแต่งชุดแบบสาวฝรั่งเศสชั้นสูงคนหนึ่ง เธอสวมกระโปรงสุ่มไก่ เกล้าผมเป็นมวยและปักขนนกเอาไว้ ในมือถือพัดแบบโบราณขณะเดินเข้ามาอย่างระเหิดระหง
“ท่านเคาน์เตส” เขายิ้มน้อยๆ พลางโน้มตัวลงยกมือท่านเคาน์เตสขึ้นมา ประทับจูบบนหลังมือเธอตามมารยาทเช่นเดียวกัน
“ที่รัก ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ” เคาน์เตสส่งยิ้มทอดสะพานให้เขา จากนั้นก็ชำเลืองนัยน์ตาสีเขียวมีเสน่ห์มองไปทางลู่ฉิน “ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
“เธอชื่อลู่ฉิน เป็นเพื่อนเจ้าสาวครับ” เจสันตอบยิ้มๆ
เอ๋อเฟยพูดต่อท้ายแทนเขาพลางยิ้มหวานหยดย้อย “แล้วก็เป็นคนโปรดคนใหม่ของเจสันด้วย”
เคาน์เตสเข้าใจในทันควัน
“แบบนี้นี่เอง นึกแล้วเชียวว่าทำไมคุณถึงได้หายหน้าหายตาไปเลย ที่แท้ก็มีคนโปรดคนใหม่แล้ว”
ลู่ฉินฟังแล้วไม่ชอบใจอย่างมาก จึงปฏิเสธเสียงเรียบ “ฉันไม่ใช่คนโปรดของเขา แล้วฉันกับเขาก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันด้วย”
คำพูดของเธอเป็นเหตุให้เจสันทำหน้ากระอักกระอ่วน และทำให้เคาน์เตสกับเอ๋อเฟยประหลาดใจเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินผู้หญิงรีบออกตัวว่าไม่เกี่ยวกับเจสัน แถมยังดูเหมือนจะไม่พอใจเจสันมาก พอย้อนกลับไปมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของเจสันแล้ว หญิงสาวทั้งคู่ก็เข้าใจในทันที
“คิกๆ งั้นฉันก็สบายใจได้แล้วสินะ ผู้หญิงที่มาแบ่งเจสันกับฉันจะได้น้อยลงไปอีกคน” เคาน์เตสจงใจพูด เอ๋อเฟยก็ช่วยผสมโรงไปด้วย
“เจสันมีหญิงรู้ใจทั่วแผ่นดิน เจ้าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวจิตหัวใจ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ
เคาน์เตสกับเอ๋อเฟยสองคนช่วยกันรุมแขวะเจสันเป็นการใหญ่จนเขาตั้งรับไม่ทัน
“ผมไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นสักหน่อย”
“อุ๊ย อย่าถ่อมตัวไปเลย คุณขี้เล่นแล้วก็เก่งขนาดนี้ มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่หลงเสน่ห์”
เจสันแทบหัวเราะไม่ออก พอเขามองไปทางลู่ฉินก็เห็นเธอทำหน้ามึนตึงอย่างที่คิด คราวนี้เป็นเรื่องแล้ว
ตลอดเวลาหลังจากนั้นลู่ฉินไม่แสดงสีหน้าอะไรทั้งนั้น เธอเพียงแค่พูดเสียงเรียบเฉย
“ฉันต้องไปช่วยเจ้าสาวแล้ว ขอตัวก่อนค่ะ”
พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินไปเลย
เจสันเห็นลู่ฉินเดินไปก็คิดจะตามไปด้วย แต่ถูกผู้หญิงสองคนกระหนาบข้างไว้
“แหม จะรีบไปไหน แค่หยอกนางเล่นเท่านั้นเอง เจ้าทำเป็นตื่นเต้นไปได้” เอ๋อเฟยกล่าว
เจสันเข้าใจดีว่าเอ๋อเฟยกับเคาน์เตสจงใจ แม้ภายนอกเขายังรักษาความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้ แต่นัยน์ตาสีฟ้าไม่แฝงรอยยิ้มไว้อีกแล้ว
“พวกคุณไม่ควรไปยั่วโมโหเธอ”
เคาน์เตสหัวเราะคิกคัก “โถ เรื่องนี้จะโทษฉันไม่ได้หรอกนะ เธอคนนั้นยังสาวยังแส้ เป็นธรรมดาที่จะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่”
“นั่นน่ะสิ นางยังอ่อนต่อโลกเกินไป จะทนฟังคำพูดยั่วแหย่ได้สักเท่าไหร่เชียว”
เจสันมองแวมไพร์สาวทั้งสอง คนหนึ่งเป็นพระชายาที่งดงามเฉิดฉาย อีกคนเป็นเคาน์เตสที่มีเสน่ห์แพรวพราว พวกเขาทุกคนล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ลับที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี เขาเองก็เคยหลงติดอยู่ในบ่วงกามารมณ์ของพวกเธอและแสวงหาความสุขจากความสวยงาม เพราะสำหรับพวกเขา ความรักก็เป็นแค่การเล่นสนุกอย่างหนึ่งเท่านั้น
ใต้แสงจันทร์ ผิวพรรณงามดุจกระเบื้องเนื้อดี ใบหน้าคมขำราวกับรูปสลักของพวกเธอยิ่งสวยงามจับตาขึ้น เพราะได้ดื่มเลือดซึ่งผ่านการบ่มหมักชั้นเลิศที่รินในแก้วเหล้า พวกเธอสองคนคลอเคลียอยู่ไม่ห่างและใช้มือลูบไล้ไปตามตัวเขาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์
สายตาเย้ายวนของสองสาวบอกเขาว่าพวกเธอพร้อมจะเล่นสนุกกับความรักแล้วและรอให้เขามาร่วมสนุก ทว่าแม้จะมีสาวงามเสนอตัวให้ เขากลับไม่กระตือรือร้นเหมือนแต่ก่อน เพราะเขารู้ว่าพวกเธอแค่ติดใจในหน้าตาหล่อเหลาและนิสัยรักสนุกไม่มีขีดจำกัดของเขาเท่านั้น
หัวใจตรงหน้าอกดวงนั้นของเขาซึ่งตายไปแล้วและจะเริ่มเต้นในเวลาที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเท่านั้นเกิดความเหงาหงอยอ้างว้างขึ้นมาอย่างลึกล้ำ ขณะมองใบหน้าสวยงามของสองสาว หัวใจของเขาไม่มีอาการไหวกระตุกแม้แต่น้อยนิด
เขาเก็บงำความรู้สึกไว้ภายใต้รอยยิ้มละไมแล้วถอยตัวออกอย่างสุภาพ พร้อมกับขอบคุณในน้ำใจอันล้นเหลือของสาวสวยทั้งสอง
“สงสัยว่าคืนนี้ผมคงต้องทำให้คุณผู้หญิงทั้งสองผิดหวังเสียแล้วล่ะครับ พวกคุณคงรู้ว่าเจ้าบ่าวเป็นคนเอาใจยากขนาดไหน ในฐานะที่ผมเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนเจ้าบ่าว ผมคงต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขอตัวก่อนนะครับ”
เจสันโค้งตัวให้สองสาวแล้วปลีกตัวออกไปอย่างมีชั้นเชิง
ชายหนุ่มเดินจากผู้หญิงสองคนนั้นมา ก่อนจะปะปนเข้าไปในฝูงชนเขาก็หันหน้าไปดูพวกเธออีกครั้ง ข้างกายเคาน์เตสกับเอ๋อเฟยมีหนุ่มอื่นเข้าไปเอาอกเอาใจทันที และพวกเธอก็มีความสุขกับการปรนนิบัติพัดวีของหนุ่มๆ เต็มที่โดยไม่มีสีหน้าเสียอกเสียใจที่เขาเดินจากมาเลยสักนิด
บางทีพวกเธอคงเป็นเหมือนเขาที่หัวใจด้านชามาหลายร้อยปี จนลืมไปนานแล้วว่าเวลาที่หัวใจหวั่นไหวนั้นเป็นยังไง
ลู่ฉินเดินฝ่าผู้คนจนมาถึงห้องเจ้าสาว ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว อีกไม่นานพิธีก็จะเริ่มต้นขึ้น
พอเธอมาถึงห้องเจ้าสาว คนรับใช้หน้าประตูก็เปิดประตูให้อย่างมีมารยาท เธอเดินเข้าไปในห้องเจ้าสาวที่หรูหราโอ่โถงอย่างยิ่งและมองเห็นเจ้าสาวอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังแต่งตัวให้มี่หยาซึ่งสวมชุดเจ้าสาวกำมะหยี่สีดำ
พอมี่หยาหันหน้ากลับมาเห็นลู่ฉินก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ น่ารักด้วยความเขินอาย
“ลู่ฉิน มาแล้วเหรอ”
ลู่ฉินเห็นชุดแต่งงานสีขาวจนชินตา ตอนแรกจึงนึกภาพไม่ออกว่าชุดเจ้าสาวสีดำจะเป็นยังไง แต่พอเธอได้เห็นมี่หยาแล้วก็ร้องชมอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว
มี่หยาสวมชุดเจ้าสาวสีดำที่ตัดเย็บเข้ารูปพอดีตัว ผ้ากำมะหยี่สีดำแนบไปตามเรือนร่างได้สัดส่วนของเจ้าสาว นอกจากดูสง่างามสูงศักดิ์แล้ว บนผ้ากำมะหยี่สีดำซึ่งมีกากเพชรฝังอยู่ยังแฝงความงามลึกลับไว้อีกด้วย
ลู่ฉินรับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวก็ย่อมต้องสวมชุดราตรีสีดำเช่นกัน ชุดของเธอเป็นแบบเรียบหรู แต่ดูไม่อลังการเหมือนเจ้าสาว
“เธอสวยจังเลย” ลู่ฉินร้องชม
มี่หยาได้ยินลู่ฉินพูดชมก็ยิ้มอย่างดีใจ “จริงเหรอ”
รอยยิ้มตื่นเต้นมีความสุขบนหน้าเพื่อนรักสวยงามหวานซึ้งอย่างยิ่ง ลู่ฉินไม่เคยเห็นมี่หยาสวยแบบนี้มาก่อน ความงามที่ว่านั้นไม่ได้หมายถึงความงามภายนอก แต่เป็นความงามที่มาจากการได้รับความรักสุดซึ้งจากชายหนุ่ม
ลู่ฉินอดอมยิ้มไม่ได้ขณะมองเพื่อนรัก
“ขี้เหร่ก็บอกว่าขี้เหร่ สวยก็บอกว่าสวย เธอก็รู้นี่นาว่าฉันเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
มี่หยาพยักหน้า “ฉันรู้ พอได้ยินเธอชมว่าสวยถึงได้ดีใจเป็นพิเศษไงล่ะ”
ลู่ฉินเดินเข้าไปหาแล้วเอาผ้าคลุมผมสีดำคลุมให้เพื่อนรัก ผ้าคลุมผมปักลายไว้อย่างประณีตสวยงามและบังใบหน้าของเจ้าสาวไว้เพียงครึ่งเดียวพอดิบพอดี ส่งผลให้กลีบปากแดงเรื่อที่โผล่พ้นออกมาดูลึกลับน่าค้นหามากยิ่งขึ้น
“เที่ยงคืนแล้ว ไปกันเถอะ”
* ตำนานเก็นจิเป็นเรื่องราวที่สะท้อนชีวิตหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นในสมัยญี่ปุ่นโบราณผ่านตัวละครชื่อฮิคารุ เก็นจิ สร้างขึ้นจากบทประพันธ์ของมุราซากิ ชิคิบุ นางข้าหลวงสมัยเฮอัน
ความคิดเห็น